เมนู

ศาสนพิธี
เล่ม 1
ื บทนิเทศ
พิธี คือ แบบอย่างหรือแบบแผนกต่าง ๆที่พึงปฏิบัติในทางพระศาสดา
โดยเฉพาะพระพุทธศาสนา เรียกว่า ศาสนพิธี ความจริง เรื่องพิธีเป็นเรื่องมีด้วยกัน
ทุกศาสนา และเป็นเรื่องเกิดขึ้นทีหลังศาสนา หมายความว่า มีศาสนาเกิดขึ้นก่อน
แล้วจึงมีพิธีต่าง ๆ เกิดตามมาภายหลัง แม้ศาสนาพิธีใยนพระพุทธศาสนาก็เช่นกัน
เกิดขึ้นภายหลังทั้งสิ้น เหตุเกิดศาสนาพิธีในพระพุทธศาสนานี้ ก็เนื่องจากมี
หลักการของพระพุทธศาสนา ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงวางไว้แต่ในปีที่ตรัสรู้ เพื่อ
พุทธสาวกจะได้ถือเป็นหลักในการออกไปประกาศพระศาสนา อันเรียกว่า "โอวาท-
ปาติโมกข์"
ในโอวาทปาติโมกข์นั้น มีหลักการสำคัญที่ทรงวางไว้เป็นหลักทั่วไป ๆ ไห
3 ประการ คือ พระพุทธศาสนานี้
(1) สอนไม่ให้ทำความชั่วทั้งปวง
(2) สอนให้อบรมกุศลให้พร้อม
(3) สอนให้ทำจิตใจของตนให้ผ่องแผ้ว

โดยหลักการทั้ง 3 นี้ เป็นอันว่าพุทธบริษัทต้องพยายามเลิกละความ
ประพฤติชั่วทุกอย่างจนเต็มความสามารถ และพยายามสร้างกุศลสำหรับตนให้
พร้อมเท่าที่จะสร้างได้กับพยายามชำระจิตใจให้ผ่องในอยู่เสมอด้วยการพยายาม
ทำตามคำสอนในหลักการนี้เป็นการพยายามทำดีเรียกว่า "ทำบุญ" และการ
ทำบุญนี้แหละพระพุทธเจ้าทรงแสดงวัตถุคือที่ตั้งอันเป็นทางไว้ โดยหลักย่อ ๆ
3 ประการ เรียกว่า "บุญกิริยาวัตถุ" คือ
(1) ทาน การบริจาคพัสดุของตนให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น
(2) ศีล การรักษากายวาจกให้สงบเรียบร้อยไม่ล่วงบัญญัติห้าม
(3) ภาวนา การอบรมจิตใจให้ผ่องใสในการกุศล

บุญกิริยาวัตถุ นี้เป็น เป็นแนวให้พุทธบริษัทประพฤติบุญตามหลัก การ
ที่กล่าวข้างต้นและเป็นเค้าให้เกิดศาสนาพิธีต่าง ๆ ขึ้นโดยนิยม คือ ในกาลต่อๆ มา
พุทธบริษัทนิยมทำบุญ ไม่ว่าจะปรารภเหตุใด ๆ ก็ให้เข้าหลักบุญกิริยาวัตถุ 3 นี้
โดยเริ่มต้นมีรับศีลต่อไปภาวนาด้วยการสวดมนต์เอง หรือฟังพระสวดแล้วส่งใจ
ไปตามจบลงด้วยบริจาคทานตามสมควรเพราะนิยมทำบุญเป็นการบำเพ็ญความดี
ดังกล่าวนี้และทำในกรณีต่างๆ กันตามเหตุที่ปรารภ จึงเกิดพิธีกรรมขึ้นมาก
ประการ เมื่อพิธีกรรมใด เป็นที่นิยมและรับรองปฏิบัติสืบ ๆ มาจนเป็นประเพณี
พิธีกรรมนั้นก็กลายเป็นศาสนาพิธีขึ้น ฉะนั้น ศาสนาพิธีจึงมีมากมาย เมื่อแยก
เป็นหมวดก็สงเคราะห์ได้ 4 หมวด คือ
(1) หมวดกุศลพิธี ว่าด้วยพิธีบำเพ็ญกุศล
(2) หมวดบุญพิธี ว่าด้วยพิธีทำบุญ
(3) หมวดทานพิธี ว่าด้วยพิธีถวายทาน และ
(4) หมวดปกิณกะ ว่าด้วยพิธีเบ็ดเตล็ด
ในเล่มนี้ จะแสดงศาสนาพิธีทั้ง 4 หมวด คัดเฉพาะพิธีสามัญที่เป็น
เบื้องต้นและที่เห็นจำเป็นมาแสดงก่อน เพื่อให้เหมาะแก่การศึกษาโดยทั่วไป

หมวดที่ 1 กุศลพิธี
เรื่องกุศลพิธีที่จะกล่าวในหมวด เป็นเรื่องพิธีกรรมต่าง ๆ อันเกี่ยวด้วย
การอบรมความดีงามทางพระศาสนา เฉพาะตัวบุคคล คือ เรื่องสร้างความดีแก่ตน
ทางเดียวกันจึงให้ชื่อหมวดว่า"หมวดกุศลพิธี" สำหรับความรู้หมวดนี้ ใน
ศาสนาพิธีเล่มแรกสมควรได้ศึกษาเรื่องกุสลพิธีแต่เพียงบางเรื่องก่อน ฉะนั้น
หมวดกุศลพิธีที่จะกล่าวต่อไปนี้จะนำกุศลพิธีเฉพาะที่พุทธบริษัทพึงปฏิบัติใน
เบื้องต้น อย่างสามัญมาชี้แจงเพียง 3 เรื่อง คือ
ก. พิธีแสดงตนเป็นพุทธมามกะ
ข. พิธีเวียนเทียนในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
ค. พิธีรักษาอุโบสถ

ทั้ง 3 เรื่องนี้จะเห็นได้ว่า ล้วนเป็นเรื่องสำคัญในเบื้องต้นของพุทธบริษัท
จริง ๆ แต่ละเรื่องย่อมมีความมุ่งหมายและเหตุผลตลอดถึงระเบียบปฏิบัติ
โดยเฉพาะซึ่งจะได้ชี้แจงรายละเอียดพอสมควรโดยลำดับ.
พิธีแสดงตนเป็นพุทธมามกะ
การแสดงตนเป็นพุทธมามกะ คือ การประกาศตนของผู้แสดงว่าเป็น
ผู้รับนับถือพระพุทธเจ้าเป็นของตน เป็นการแสดงให้ปรากฏว่า ยอมรับ
นับถือพระพุทธศาสนาประจำชีวิตของตนนั่นเอง สมเด็จพระมหาสมณเจ้า-
กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงชี้แจงเหตุผลและที่มาของพิธีนี้ไว้โดยละเอียด
ในพระนิพนธ์คำนำหนังพุทธมามกะว่า
"การแสดงให้ปรากฏว่า เป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา ได้ทำกันมาตั้งแต่
ครั้งพุทธกาล เป็นกิจจำเป็น ทำในสมัยนั้นอันเป็นคราวที่พระพุทธสาสนาเกิด

ขึ้นใหม่เพื่อแสดงให้รู้ว่าตนละลัทธิเดิมรับเองพระพุทธศาสนาไว้เป็นที่นับถือ
วิธีแสดงตนมีต่างกันโดยสมควรแก่บริษัทดังนี้
1. ผู้เป็นบรรพชิตภายนอกมาก่อนแล้ว กราบทูลของบรรพชาอุปสมบท
ในพระธรรมวินัยนี้ พระศาสดาทรงรับด้วยวาจาว่า "มาเถิดภิกขุ ธรรมอันเรา
กล่าวดีแล้ว จงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด"
หรือ
เพียงว่า "มาเถิดภิกขุ จงประพฤติพรหมจรรย์เถิด" ภิกขุที่ทรงรับใหม่นั้น
ถือเพศตาม เป็นเสร็จ คฤหัสถ์ผู้ปรารถนาจะเป็นภิกขุแสดงตนและทรงรับเหมือน
อย่างนั้น
2. ผู้ขอบรรพชาอุปสมบทต่อพระสาวก รับถือเพศตามก่อนแล้วลั่นวาจา
ถึงพระพุทธพระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ คือ ที่ระลึกนับถือ 3 หนเป็นเสร็จ
3. ภายหลังใช้วิธีที่ 2 รับเป็นสามเณร สงฆ์ประกาศรับเป็นภิกขุ
4. คฤหัสถ์ผู้ไม่ปรารถนาจะบวช ลั่นวาจาถึง พระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์ เป็นสรณะปฏิญาณตน ชาย เป็นอุบาสก หญิง เป็นอุบาสิกา ลั่นวาจา
อย่างอื่นอันมีใจความอย่างเดียวกัน เช่น ขอถวายตัวของรับเอาเป็นที่พำนักขอ
เข้าเป็นศิษย์ หรือไม่ได้ลั่นวาจาแต่สำแดงความนับถืออย่างสูงให้ปรากฏ เช่น
ในบัดนี้กราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ท่านว่า ใช้ได้ ดูเหมือนเพียงได้ความรับรอง
ว่า เป็นผู้นับถือ"
"การปฏิญาณตนเป็นผู้นับถือศาสนา ไม่จำต้องทำเฉพาะคราวเดียว ทำซ้ำๆ
ตามกำลังแห่งศรัทธาและเลื่อมใสก็ได้ เช่น พระสาวกบางรูป ภายหลังแต่ได้รับ
อุปสมบทลั่นวาจาว่า "พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระศาสดาของข้าพระพุทธเจ้า ๆ
เป็นสาวก" ดังนี้ก็มี อุบาสกประกาศตนหนึ่งแล้ว ประกาศซ้ำอีกก็มี"
"เมื่อการถือพระศาสนาไม่เป็นเพียงเฉพาะตัว ถือกันทั่วทั้งสกุลและ
สืบชั้นลงมา มารดาบิดายอมนำบุตรธิดาของตนให้เข้าถึงพระศาสนาที่ตนนับถือ
ตั้งแต่ยังเป็นเด็กอ่อนไม่รู้จักเดียงสา มีเรื่องเล่าไว้ในอรรถกถาว่า นิมนต์พระสำหรับ
สกุลไปแล้ว ขอให้ขนานชื่อและให้สิกขาบทแก่เด็ก ขอให้ขนานชื่อเคอะ ขอให้
สิกขาบทเคอะอยู่ หรือให้พอเป็นพิธีเท่านั้น ธรรมเนียมเมืองเราเจ้านายประสูติใหม่
นำเข้าเมื่อสมโภชเดือน เชิญเสด็จออกมาหาพระสงฆ์ ถ้าเป็นพระกุมาร พระ-

สังฆเถระผูกพระหัตถ์ด้วยด้ายสายสิญจน์ ถ้าเป็นพระกุมารีพาสายสิญจน์ไว้
มุมเบาะข้างบท แล้วพระสงฆ์สวดอำนวยพระพรด้วยบาลีว่า โส อตฺถลทฺโธ...
หรือว่า สา อตฺถลทฺธา...โดยควรแก่ภาวะ บุตรธิดา ของสกุลที่ไม่ได้ทำขวัญเดือน
ดูเหมือนนำมาขอให้พระผูกมือให้เท่านั้น ความรู้สึกก็ไม่เป็นไปทางเข้าพระศาสนา
เป็นไปเพียงทางรับมงคลเนื่องด้วยพระศาสนา."
"นำเข้าพระศาสนาแต่ยังเล็ก เด็กไม่รู้สึกด้วยตนเอง เมื่อโตขึ้นที่เป็นชาย
จึงนำเข้าบรรพชาเป็นสามเณร และอุปสมบทเป็นภิกขุที่เจ้าตัวได้ปฏิญาณและ
ได้ความรู้สึก การนำและสำแดงซ้ำ อย่างนี้เป็นทัฬหีกรรม คือ ทำให้มั่น เช่นเดียว
กันอุปสมบทซ้ำ"
"เมื่อความนิยมในการบวชเณรจืดจางลง พร้อมกันเข้ากับการส่งเด็ก
ออกไปเรียนในยุโรปก่อนแต่มีอายุสมควรบวชเณร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว ทรงพระราชปริวิตกว่า เด็กๆ จักหาได้ความรู้สึกในทางพระศาสนาไม่
จึงโปรดให้พระราชโอรสผู้มิได้เคยทรงผนวชเป็นสามเณรทรงปฏิญาณพระองค์
เป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา ก่อนเสด็จออกไปศึกษาในยุโรป ครั้งนั้นใช้คำสำแดง
เป็นอุบาสกตามแบบบาลี พระบาทสมเด็จพระมุงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เป็น
พระองค์แรกปฏิญาณพระองค์ตามธรรมเนียมที่ทรงตั้งขึ้นใหม่ขึ้น และใช้เป็น
ราชประเพณีต่อมา ได้ทราบว่าผู้อื่นจากพระราชวงศ์เห็นชอบตามพระราชดำริ
ทำตามบ้างก็มี "
"ธรรมเนียมนี้แม้ได้ใช้นามแล้วยังไม่ได้เรียบเรียงไว้เป็นแบบแผน
คราวนี้สมเด็จพระบรมพิตรพระราชสมภารเจ้า (รัชกาลที่ 6) ทรงพระกรุณา
โปรดเกล้า ฯ จะส่งพระเจ้าวรวงค์เธอพระองค์จุมพฏพงศ์บริพัตร พระโอรส
สมเด็จพระเจ้าน้อยยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนครสวรรค์วรพินิตกับหม่อนเจ้าอื่น ๆ
ออกไปศึกษาในยุโรป สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงนครสวรรค์วรพินิตร มีพระ-
ประสงค์ได้ปฏิญาณพระองค์ในพระพุทธศาสนาตามธรรมเนียมที่พระองค์ได้เคย
ทรงมา พระบิดาและพระญาติของหม่อนเจ้าอื่นก็ทรงดำริร่วมกัน เป็นอันว่า
ธรรมเนียมนี้ยังจักใช้อยู่ต่อไป ข้าพเจ้าจึงเรียบเรียงตั้งเป็นแบบไว้ทีเดียว สำหรับ
ใช้ทั่วไปไม่เฉพาะเจ้านาย ได้แก่บท "อุบาสก" เฉพาะผู้ใหญ่ผู้ได้ศรัทธาเลื่อมใส
ด้วยตนเองเป็น "พุทธมามกะ"ที่แปลว่า ผู้รับเอาพระพุทธเจ้าเป็นของตน"

โดยเหตุนี้ จึงเกิดเป็นประเพณีนิยมแสดงตนเป็นพุทธมามกะขึ้นสืบ
ต่อกันมา แต่ในปัจจุบันความนิยมของพุทธในประเทศไทยมีสรุปได้ว่า
1. เมื่อมีบุตรหลานของตนมีอายุพ้นเขตเป็นทารก คือรู้เดียวสาแล้ว
เจริญวัยอยู่ในระหว่างอายุ 12 ถึง 15 ปี ก็ประกอบพิธีให้บุตรหลานได้แสดงตน
เป็นพุทธมามกะ เพื่อให้เด็กสืบความเป็นชาวพุทธตามตระกูลวงศ์ต่อไป หรือ
2. เมื่อจะส่งบุตรหลานของตนซึ่งเป็นชาวพุทธอยู่แล้ว ให้ไปอยู้แล้ว
ที่ไม่ใช่ดินแดนของพระพุทธศาสนา เพื่อการศึกษาหรือประโยชน์ใด ๆ ก้ตาม
เป็นการที่ต้องจากถิ่นไปนามแรมปี ก็นิยมประกอบพิธีให้บุตรหลานของตนที่จะ
จากไปนั้นแสดงตนเป็นพุทธมามกะ เพื่อให้เด็กได้รำลึกอยู่เสมอว่าตนเป็น
พุทธศาสนิกชน หรือ
3. เมื่อจะปลูกฝังนิสัยเยาวชนให้มั่งคงในพระพุทธศาสนา ส่วนมาก
ทางโรงเรียนที่สองวิชาทั้งสามัญศึกษาและวิสามัญศึกษาแก่เด็ก ซึ่งตั้งอยู่ในกลุ่ม
ชาวพุทธนิยมประกอบพิธีให้นักเรียนที่เข้าศึกษาใหม่ในรอบปี ได้แสดงตนเป็น
พุทธมามกะหมู่ คือ แสดงรวมกันเป็นหมู่ ทำปีละครั้งในวันที่สะดวกที่สุดแล้ว
แต่ทางโรงเรียนเห็นว่าเหมาะเพื่อให้นักเรียนเห็นความสำคัญในการที่ตนเป็น
ชาวพุทธร่วมอยู่กับชาวพุทธทั้งหลาย และ
4. เมื่อมีบุคคลต่างศาสนาเกิดเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาต้องการจะ
ประกาศตนเป็นชาวพุทธก็ประกอบพิธีแสดงตนเป็นพุทธมามกะเพื่อประกาศว่า
นับแต่นี้ไปตามยอมรับนับถือพระพุทธศาสนาแล้ว
การแสดงตนเป็นพุทธมามกะตามธรรมเนียมในปัจจุบัน มีระเบียบ
ปฏิบัติที่นิยมกันดังต่อไปนี้
ระเบียบพิธี
1. มอบตัว ผู้ประสงค์จะประกอบพิธี ต้องไปมอบตัวกับพระอาจารย์
ที่ตนเคารพนับถือ และมุ่งหมายจะให้เป็นประธานสงฆ์ในพิธีด้วยก่อน ถ้าเป็นเด็ก
ต้องมีผู้ปกครองนำไปแต่ถ้าเป็นพิธีแสดงหมู่ เช่น นักเรียน ให้ครูใหญ่หรือผู้แทน
โรงเรียนเป็นผู้นำแต่เพียงบัญชีรายชื่อของนักเรียนที่จะเข้าพิธีไปเท่านั้นก็พอ