บันทึก
ข้อที่ควรจำในวินัยมุข เล่ม 1
โดย
พระศรีวิสุทธิญาณ (อุบล นนฺทโก ป. ธ. 9) วัดบวรนิเวศวิหาร
กัณฑ์ที่ 1 อุปสัมปทา
พระศาสดาของพวกเรา เป็นพระองค์หนึ่ง แห่งบุคคลผู้พอใจ
ชักจูงให้คนประพฤติธรรม, แม้พระองค์ประสูติในสกุลกษัตริย์และเป็น
รัชทายาท ผู้จะได้รับราชสมบัติสืบพระวงศ์ ถึงอย่างนั้นก็ยังพอพระหฤทัย
ในทางเป็นผู้สั่งสอนมหาชนมากกว่าครองแผ่นดิน จึงทรงผนวช ทรง
ค้นคว้าหาธรรม คือความดี ก็ได้พบความบริสุทธิ์ว่าเป็นมูลแห่งความดี
ทั้งปวง จึงทรงตั้งอุตสาหะพากเพียรทำพระองค์ให้บรรลุความบริสุทธิ์นั้น
ได้ก่อนแล้วจึงเทศนาสั่งสอนผู้อื่นต่อไป.
ในชั้นต้นทรงสั่งสอนแก่พวกนักบวชนอกพระพุทธศาสนาก่อน เมื่อ
เขาเชื่อถือและทูลขอบวชในพุทธศาสนา ก็ทรงอนุญาตให้บวชเป็นภิกษุ
โดย 3 วิธี คือ :-
1. เอหิภิกขุอุปสัมปทา แปลว่า อุปสมบทด้วยทรงอนุญาตให้
เป็นภิกษุมา วิธีนี้ทรงทำเอง.
2. ติสรณคมนุปสัมปทา แปลว่า อุปสมบทด้วยถึง 3 สรณะ
วิธีนี้ทรงอนุญาตให้สาวกทำ.
3. ญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทา แปลว่า อุปสมบทด้วยกรรม-
วาจาที่ 4 ทั้งญัตติ วิธีนี้ทรงให้สงฆ์ทำ.
คำว่า สงฆ์
คำว่า " สงฆ์ " นั้น มิใช่ภิกษุเฉพาะรูป แต่ภิกษุนั้นเองหลายรูป
เข้าประชุมกันเป็นหมู่ เพื่อทำกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง เรียกว่า " สงฆ์ "
มี 4 ประเภท คือ :-
1. จตุวรรค มีพวก 4 คือมีภิกษุ 4 รูป เป็นอย่างน้อย.
2. ปัญจวรรค มีพวก 4 คือมีภิกษุ 5 รูป เป็นอย่างน้อย.
3. ทสวรรค มีพวก 10 คือมีภิกษุ 10 รูป เป็นอย่างน้อย.
4. วีสติวรรค มีพวก 20 คือมีภิกษุ 20 รูป เป้นอย่างน้อย.
การบวช 2 อย่าง
การบวชในพระพุทธศาสนามี 2 อย่าง คือ :-
1. การบวชเป็นสามเณร เรียก บรรพชา.
2. การบวชเป็นภิกษุ เรียก อุปสมบท.
วิธีบวชเป็นสามเณร ให้ผู้จะบวชปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ
เปล่งวาจาถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ด้วยเคารพ
จริง ๆ โดยเอาวิธีอุปสมบทที่ 2 ซึ่งเลิกแล้วมาใช้
บวชสามเณร.
วิธีบวชเป็นภิกษุ มี 3 วิธี แต่ครั้นทรงอนุญาตให้ใช้วิธีที่ 3 แล้ว
ทรงยกเลิกวิธีที่ 1 และที่ 2 เสีย
ญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทา ต้องถึงพร้อมด้วยสมบัติ 5 คือ :-
1. วัตถุสมบัติ.
2. ปริสสมบัติ.
3. สีมาสมบัติ.
4. บุรพกิจ (สมบัติ)
5. กรรมวาจาสมบัติ.
1. วัตถุสมบัติ ในที่นี้วัตถุหมายถึงตัวผู้อปสมบทนั่นเอง
1. ต้องเป็นมนุษย์ผู้ชาย.
2. มีอายุครบ 20 ปี.
3. ไม่เป็นมนุษย์วิบัติ คือถูกตอนเป็นต้น.
4. ไม่เป็นคนทำผิดอย่างร้ายแรง เช่นฆ่ามารดาหรือบิดาเป็นต้น.
5. ไม่เคยเป็นคนทำความเสียหายร้ายแรงในพระพุทธศาสนา เช่นต้อง
ปาราชิก.
2. ปริสสมบัติ คือ สมบูรณ์ด้วยบริษัท หมายความว่า ต้องมีภิกษุ
สงฆ์เข้าองค์ประชุมครบกำหนด ในมัชฌิมชนบท 10 รูปขึ้นไป ใน
ปัจจันตชนบท 5 รูปขึ้นไป. (ในประเทศไทย 10 รูปขึ้นไป)
3. สีมาสมบัติ สมบูรณ์โดยสีมา คือภิกษุอยู่ในสีมาเดียวกัน ต้องเข้า
ประชุมหมด หากมีเหตุขัดข้องต้องมอบฉันทะ.
สีมา 2 ชนิด
1. พัทธสีมา เขตที่สงฆ์สมมติไว้ทำสังฆกรรม.
2. อพัทธสีมา เขตนอกเหนือจากที่สมมติ.
วัดที่ยังไม่ได้ผูกพัทสีมา.
4. บุรพกิจ 1. ต้องมีผู้รับรอง คือพระอุปัชฌายะ.
2. ต้องมีบริขารที่จำเป็น คือ บาตร สังฆาฏิ อุตราสงค์
อันตรวาสก (รัดประคต อังสะ ผ้ารัดอก).
3. ซักถามอันตรายิกธรรม.
5. กรรมวาจาสมบัติ คือ การสวดประกาศในท่ามกลางสงฆ์ โดยออก
ชื่อผู้อุปสมบท ออกชื่ออุปัชฌาย์ด้วย และสวดให้ถูกต้องชัดเจนตามลำดับ
ด้วยญัตติจตุตถกัมมวาจา.
วิบัติ 5
วิบัติ 5 มีนัยอันตรงกันข้ามกับสมบัติ 5. ในการอุปสมบท ต้อง
หลีกเลี่ยงให้พ้นจากวิบัติทั้ง 5 ประการเสีย.
กัณฑ์ที่ 2 พระวินัย
กฎหมายและขนบธรรมเนียม สำหรับป้องกันความเสียหายและ
ชักจูงให้ภิกษุประพฤติดีงาม เรียกว่า พระวินัย จัดเป็นส่วนหนึ่งของ
พระไตรปิฎก (พระวินัยปิฎก, พระสุตตันตปิฎก, พระอภิธรรมปิฎก).
1. พระวินัยนั้นแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ :-
1. พระพุทธบัญญัติ ข้อที่ทรงตั้งไว้เป็นบทบังคับภิกษุ เพื่อ
ป้องกันความเสียหาย และวางโทษแก่ผู้ล่วงละเมิด โดยปรับอาบัติหนักบ้าง
เบาบ้าง อย่างเดียวกับพระราชบัญญัติ.
2. อภิสมาจาร ข้อที่ทรงแต่งตั้งไว้ เป็นขนบธรรมเนียม เพื่อ
ชักนำความประพฤติของภิกษุให้ดีงาม เหมือนอย่างขนบธรรมเนียมของ
สกุล.
2. การบัญญัติพระวินัย
การบัญญัติพระวินัยนั้น ไม่ได้ทรงบัญญัติไว้ล่วงหน้า ต่อเมื่อเกิด
ความเสียหาย เพราะการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งของภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง
แล้ว จึงทรงบัญญัติห้ามเป็นข้อ ๆ ไป. เฉพาะข้อหนึ่ง ๆ ยังแบ่งการ
บัญญัติออกเป็น 2 วาระก็มี
1. มูลบัญญัติ ข้อที่ทรงบัญญัติไว้เดิม.
2. อนุบัญญัติ ข้อที่ทรงบัญญัติเพิ่มเติมทีหลัง.
รวมมูลบัญญัติและอนุบัญญัติเข้าด้วยกัน เรียกว่า สิกขาบท (ข้อ
ที่ต้องศึกษา).
สิกขาบทข้อหนึ่ง ๆ มีหลายอนุบัญญัติก็มี เหมือนกับมาตราทาง
พระราชบัญญัติ.
3. อาบัติ
แปลว่า ความต้องการ ได้แก่โทษที่เกิดเพราะความละเมิดในข้อที่
พระพุทธเจ้าห้าม หรือได้แก่กิริยาที่ล่วงละเมิดพระราชบัญญัติ และมีโทษ
เหนือตนอยู่.
4. โทษ
อาบัตินั้นว่าโดยโทษมี 3 สถาน คือ :-
1. อย่างหนัก ขาดจากภิกษุ.
2. อย่างกลาง ต้องอยู่กรรมจึงพ้น.
3. อย่างเบา ต้องประจานตนต่อภิกษุด้วยกันจึงพ้นได้.
อีกอย่างหนึ่งมี 2 สถาน คือ :-
1. อเตกิจฉา แก้ไขไม่ได้.
2. สเตกิจฉา แก้ไขได้.
5. ชื่ออาบัติ
อาบัตินั้นว่าโดยชื่อ มี 7 อย่าง คือ :-
1. ปาราชิก.
2. สังฆาทิเสส.
3. ถุลลัจจัย.
4. ปาจิตตีย์ (นิสสัคคิยปาจิตตีย์ 1 สุทธิกปาจิตตีย์ 1).
5. ปาฏิเทสนียะ.