เมนู

ปัญหาและเฉลยธรรมวิภาค
นักธรรม และ ธรรมศึกษาชั้นตรี

ข้อความทั่วไป

ถาม. มีผู้กล่าวหาว่า "พระพุทธศาสนาสอนคนให้สันโดษ ไม่
สอนให้ทะเยอทะยานมักได้ จึงทำให้คนเกียจคร้าน ไม่มักใหญ่ใฝ่สูง
เป็นเหตุให้บ้านเมืองไม่เจริญ ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ" ดังนี้ เป็น
ความจริงหรือ? ถ้าไม่เป็นจริง ท่านจงแก้ให้มีหลัก.
ตอบ. พระพุทธศาสนาสอนให้คนสันโดษจริง. สันโดษหมาย
ความว่าให้ยินดีแต่ในทรัพย์ของตน ถ้าคนไม่มีสันโดษ จักไม่อาจ
งดเว้นอนินนาทานได้ เห็นทรัพย์ของใครอยากได้ ก็จะลักแย่งชิง
เอาเป็นของตน การลักทรัพย์หรือการโจรกรรมที่มีไม่ขาดทุกวันนี้
คนไม่สันโดษก่อขึ้นทั้งนั้น ถ้าทุกคนยินดีทรัพย์ของตนแล้ว
การชั่วร้ายเช่นนั้นจักไม่เกิด.
คนสันโดษจักมีทรัพย์เป็นของตน ก็ต้องหมั่นแสวงหาแต่ใน
ทางที่ชอบ คือไม่ก่อความทุกข์ยากเดือดร้อนแก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
เพราะฉะนั้นพระพุทธศาสนาจึงบัญญัติ ศีลข้อที่ 2 คือเว้นจากลัก
ทรัพย์ของผู้อื่น สอนให้ยินดีแต่ในทรัพย์ของตน ไม่คิดโกงเอาทรัพย์
ของผู้อื่น ที่เรียกว่าสันโดษ สอนให้แสวงหาทรัพย์ในทางที่ชอบ

เรียกว่า สัมมาอาชีวะ สอนให้มีความหมั่นขยันให้มาก ที่เรียก
ว่า อุฏฐานสัมปทา สอนให้รู้จักปกครองรักษาทรัพย์ ที่เรียกว่า
อารักขสัมปทา สอนให้รู้จักประมาณในการใช้ทรัพย์ ที่เรียกว่า
สมชีวิตา ถ้าทุกคนได้ปฏิบัติตามคำสอนครบถ้วนแล้ว ความยากจน
ข้นแค้นจักไม่มีแน่ จักมีแต่ความมั่งคั่งสมบูรณ์ ความคดโกง
ลักแย่ง ปล้น อันเป็นการเบียดเบียนก็จักไม่มี บ้านจักมี
ความเจริญ เป็นเมืองสวรรค์.
ส่วนความทะเยอทะยานมักได้ เป็นเหตุให้แสวงหาในทางที่ผิด
ธรรม และให้ผิดสิทธิในทรัพย์ของผู้อื่น ทำให้คนเสียศีลธรรม
เพราะเห็นแก่ได้จักไม่เลือก ความมักใหญ่ใฝ่สูง เป็นเหตุให้แข่งดี
ชิงตัดรอนกันเอง เพราะขาดการรู้จักประมาณตน เป็นการที่
เห็นแก่ตัวเกินไป ไม่เห็นคุณธรรมและประโยชน์ส่วนรวม คนอื่น
จะฉิบหายวายวอดก็ช่างมัน ขอให้ตนได้เป็นพอใจ แทนที่จะทำให้
บ้านเมืองเจริญสมบูรณ์ พูนสุข เป็นเมืองสวรรค์ ก็จะพลันกลับเป็น
เสื่อมโทรมทุกข์ยากเสมอเมืองนรก เพราะฉะนั้น พระพุทธศาสนา
จึงสอนให้คนให้ละความทะเยอทะยานมักได้ และไม่ให้มักใหญ่ใฝ่สูง
แต่ให้สันโดษและให้รู้จักประมาณตน เป็นการตัดต้นเหตุแห่งความเสื่อม
ของบ้านเมืองต่างหาก.
12/9/78
ถ. บุคคลผู้มีศิลปวิทยา แต่ไร้ศีลธรรม กับบุคคลผู้บริบูรณ์
ด้วยศีลธรรม แต่ไร้ศิลปวิทยา ใน 2 คนนี้ ท่านเห็นว่าคนไหนดี

กว่าเพราะเหตุไร ?
ต. เห็นว่าบุคคลที่บริบูรณ์ด้วยศีลธรรม แต่ไร้ศิลปวิทยาดีกว่า
เพราะบุคคลผู้นี้เป็นผู้ไม่ก่อเวรแก่ใครๆ อยู่ที่ไหนที่นั่นย่อม
มีความสงบ ปราศจากความเบียดเบียนล้างผลาญกัน ฝ่ายผู้ที่มี
ศิลปวิทยาแต่ไร้ศีลธรรม เป็นผู้ไม่น่าไว้วางใจด้วยประการทั้งปวง
เพราะอาจใช้ศิลปวิทยาของตนในทางที่ผิดศีลธรรม นำความเสียหาย
เดือดร้อนมาให้แก่ชุมชนที่อยู่ร่วมกับตนได้ การเอารัดเอาเปรียบ
กัน ความเบียดเบียนล้างผลาญกัน ที่มีอยู่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ย่อมเกิด
แต่คนไร้ศีลธรรมเท่านั้น เพราะฉะนั้น ศีลธรรมจึงเป็นสิ่งจำเป็น
อย่างยิ่งสำหรับโลก.
12/9/78

หมวด 2
ถ. จงอธิบายให้เห็นว่า ธรรมมีอุปการะมากนั้น มีอุปการะ
มากอย่างไร ?
ต. มีอุปการะมากอย่างนี้ สติ ความระลึกได้ สัมปชัญญะ ความ
รู้ตัว ทั้ง 2 นี้มีอยู่เสมอๆแล้ว จะทำอะไรก็ไม่พลาด เช่น
การเขียนหนังสือ ในชั้นต้นต้องคิดก่อนว่า เราจะเขียนหนังสือและ
เขียนเรื่องอะไร เมื่อเขียนไปก็ใช้ความใคร่ครวญว่า ที่เขียนไปจักถูก
หรือผิด คอยนึกคอยคิดเช่นนี้ให้กำกับไป การเขียนหนังสือก็จะไม่
ผิดพลาด แม้กิจการงานอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน ถ้าบกพร่องด้วย
ธรรมทั้ง 2 อย่างนี้ แม้กิจการงานจะสำเร็จ ก็สำเร็จโดยไม่เรียบร้อย

ฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า ธรรมทั้ง 2 อย่างนี้มีอุปการะมากในกิจการงาน
ทั้งปวง เปรียบเสมือนมารดาบิดามีอุปการะแก่บุตรธิดาฉันนั้น.
ส. ป.
ถ. มารดาบิดาท่านกล่าวว่า เป็นผู้อุปการะแก่บุตรธิดามาก
ไม่มีใครจักเทียมถึง แต่ไฉน ในธรรมวิภาค ท่านจึงกล่าวว่า สติ
สัมปชัญญะ เป็นธรรมมีอุปการะมาก ?
ต. มารดาบิดาเป็นผู้อุปถัมถ์บำรุงเลี้ยง และคอยป้องกันบำบัด
ภัยอันตรายต่างๆ คอยดูแลแนะนำพร่ำสอนให้รู้จักผิดชอบชั่วดีเป็นต้น
เพื่อให้บุตรธิดาระวังและเว้นจากสิ่งที่ผิด ทำแต่ในทางที่ถูกมีคุณประ-
โยชน์ นับว่าเป็นกัลยาณมิตรในครอบครัวอย่างสำคัญ ท่านจึงว่าเป็น
ผู้มีอุปการะแก่บุตรธิดามาก แต่ที่มารดาบิดาจะทำหน้าที่เช่นนั้นได้ดี
หรือบุตรธิดาจะปฏิบัติตามคำแนะนำพร่ำสอนได้บริบูรณ์ ก็ต้องอาศัยสติ
และสัมปชัญญะเป็นเครื่องแนะนำตักเตือนอีกชั้นหนึ่ง บรรดาหน้าที่
กิจการทุกอย่าง ทั้งทางโลกและทางธรรม ซึ่งจัดว่าเป็นประโยชน์ใน
ปัจจุบัน-อนาคต. ตลอดจนชั้นสูงสุด ล้วนต้องมีสติสัมปชัญญะเป็น
อุปการะทั้งนั้น ฉะนั้นธรรม 2 ประการ คือ สติ สัมปชัญญะ จึงม
ีอุปการะมากทั้งแก่ผู้ปฏิบัติ ทั้งแก่ธรรมทีจะพึงปฏิบัติทุกประเภท.
ส. ป.
ถ. บางพวกพูดว่า คนนั้นๆสติปัญญาของเขาดี เขาเล่าเรียน
จึงทรงจำได้ บางพวกเถียงว่า การที่เขาเล่าเรียนทรงจำได้
เข้าใจได้ดีนั้น เป็นเพราะเขามีสติสัมปชัญญะดี ถ้อยคำทั้ง 2 นี้

อย่างไหนจะถูกเพราะเหตุไร ?
ต. คำทั้ง 2 นั้น ถูกด้วยกันทั้งหมด แต่คำว่าสติปัญญานั้น
ถูกโดยปริยาย. เพราะสติกับสัมปชัญญะ หรือ สติกับปัญญา โดย
อรรถเป็นอันเดียวกัน สัมปชัญญะเป็นปัญญาทางอ้อม ฉะนั้น
จึงว่าคำนั้นไม่ผิดทั้ง 2.
ส. ป.
ถ. สติกับสัมปชัญญะ จะควรใช้ในเวลาไหน เมื่อใช้ถูกต้อง
ตามเวลาแล้วให้ผลดีอย่างไร ?
ต. สติความระลึกได้ ควรใช้ในเวลาก่อนแต่จะทำจะพูดจะคิด
ส่วนสัมปชัญญะความรู้ตัว ควรใช้ในเวลากำลังพูดและคิดอยู่ ธรรม
2 ประการนี้ ถ้าใช้ให้ถูกต้องตามเวลาแล้วย่อมให้ผลดี. คือสติเป็น
ธรรมกับความพลั้งเผลอ ทำอะไรมักไม่พลาดพลั้ง ดังทำอะไรทาง
กายมีเดินเป็นต้น หรือพูดหรือคิดอะไรๆมักไม่พลั้งพลาด ส่วนสัมป-
ชัญญะนั้น เป็นหน้าที่รู้สึกตัวอยู่เสมอ ขณะจะทำหรือจะพูด หรือจะคิด
ก็รู้สึกอยู่ ทำและพูดและคิดย่อมไม่ผิดไปด้วย สติกับสัมปชัญญะ เมื่อ
ประกอบให้ถูกต้องตามเวลาแล้ว ย่อมให้ผลดีดังพรรณามานี้
16/11/57
ถ. คนบางคนทำอะไรไม่มีพลั้งพลาด บางคนทำอะไรมักมี
พลั้งพลาด นี้ต่างกันเพราะอะไร ?
ต. ต่างกันเพราะคนที่ทำอะไรไม่พลั้งพลาด มีธรรมมีอุปการะ
มาก 2 อย่าง คือ สติความระลึกได้ สัมปชัญญะความรู้ตัว คนที่

ทำอะไรมักพลั้งพลาด เพราะขาดธรรมมีอุปการะมาก 2 อย่างนั้น.
14/11/2462
ถ. ตามธรรมดาของบุคคลที่ดี เมื่อใครมีอุปการะแก่ตนแล้ว
ก็เป็นผู้รู้คุณของผู้นั้น และตอบแทนตามโอกาสที่จะทำได้ สติและ
สัมปชัญญะ ท่านกล่าว่าเป็นธรรมที่มีอุปการะมาก เมื่อเช่นนั้น
เราจึงพึงตอบแทนคุณธรรม 2 อย่างนั้นโดยอาการอย่างไร ?
ต. เราจึงพึงตอบแทนคุณธรรม 2 อย่างนั้น โดยอาการคือ
ประกอบให้มีขึ้นในตน เช่นในเวลาจะทำ จะพูด จะคิด ก็ไม่ปล่อย
ปละสติสัมปชัญญะ ใช้สติสัมปชัญญะเป็นเครื่องควบคุมรักษา ให้
เป็นประดุจพี่เลี้ยงนางนม ผู้ที่คอยดูแลระวังรักษาดูแลทารก อนึ่ง ไม่พึง
นำธรรม 2 ประการนั้นไปใช้ในทางที่ผิด ควรใช้ควบคุมจิตให้ตั้ง
มั่น เมื่อกระทำได้อย่างนี้แล จึงจะชื่อว่าเป็นผู้รู้คุณธรรม 2 อย่าง
นั้นแล้ว และตอบแทน.
2469 - 70
ถ. ธรรมอะไรท่านจัดว่ามีอุปการะมาก และธรรมอื่นๆ นอก
จากนี้ไม่มีอุปการะมากดอกหรือ ท่านจึงไม่จัดเป็นธรรมมีอุปการะมาก
ด้วย ?
ต. สติสัมปชัญญะ ท่านจัดเป็นธรรมมีอุปการะมาก ธรรม
เหล่าอื่นที่นอกนี้ มีอุปการะเหมือนกัน แต่ไม่สำคัญเหมือนธรรม 2
ข้อที่กล่าวมานี้ เพราะธรรมเหล่าอื่น เช่นหิริโอตตัปปะ ที่มีชื่อว่า
เป็นโลกบาล มีอุปการะในการบริหารโลก อิทธิบาท มีอุปการะ