เมนู

พุทธประวัติสังเขป

ข้อความเบื้องต้น
การศึกษาพุทธประวัติ คือการเรียนรู้ความเป็นไปของพระพุทธ-
เจ้า ย่อมเป็นสิ่งสำคัญและมีประโยชน์มาก สำหรับพุทธศาสนิกชน
เพราะพระพุทธประวัติเป็นเรื่องที่แสดงพระพุทธจรรยาของพระพุทธเจ้า
ให้ปรากฏ ทั้งเป็นส่วนอัตตสมบัติและสัตตูปการสัมปทา เป็นสิ่งสำคัญ
ของผู้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เท่ากับพงศาวดารย่อมเป็นสิ่ง
สำคัญของชาติคน ที่จะให้รู้ได้ว่าชาติใดได้เป็นมาแล้วอย่างไร เพราะ
พระองค์ทรงเป็นเยี่ยงอย่างอันดี ทั้งอุบายวิธีและระเบียบดำเนินการ
ในส่วนที่ทรงทำแก่พระองค์เองและแก่ผู้อื่น ผู้ที่ได้ศึกษาก็จะได้เห็น
ตัวอย่างที่ดี เป็นเหตุให้ทำชีวิตของตนให้เป็นประโยชน์ ปรับปรุงความ
ประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามคลองธรรม เป็นเครื่องนำมาซึ่งชั้นต่ำ ๆ
กลาง ๆ ไปก่อน กล่าวคือเรียนรู้แล้วให้รู้จักหยิบยกน้อมนำเอามาใช้
ในกิจการทางโลก จะเป็นส่วนพระวิริยะหรือพระขันติก็ตาม ก็คงจะได้
ประโยชนมาก ยิ่งได้ศึกษาให้ละเอียดก็จะยิ่งรู้สึกซาบซึ้งในพระพุทธคุณ
มากขึ้น ศรัทธา ปสาทะ ความเชื่อความเลื่อมใสก็เจริญมากขึ้น เท่ากับ
ระลึกถึงบรรพบุรุษผู้ได้ทำประโยชน์ไว้แก่วงศ์ตระกูล และประเทศชาติ

ของตน ๆ แล้วจะเห็นได้ว่าท่านเหล่านั้นมีบุญมีคุณแก่ตนอย่างไร แล้ว
จะได้มีแก่ใจบำเพ็ญความดีเจริญรอยตาม.
รวมความแล้วการเรียนรู้พุทธประวัติ ย่อมได้คติ 3 ทาง คือ :-
1. ทางตำนาน ให้สำเร็จผลคือทราบเรื่องของพระพุทธเจ้าว่า
เป็นมาอย่างไร.
2. ทางอภินิหาร ให้สำเร็จผลคือได้เห็นวิธีการเผยแผ่พระ
พุทธศาสนา ที่พระองค์ทรงกระทำสำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์
และผู้ที่หนักในทางอภินิหาร ก็จะได้ศรัทธาปสาทะในพระ
พุทธานุภาพยิ่งขึ้น.
3. ทางธรรม ให้สำเร็จผลคือ ได้หยั่งทราบข้อปฏิบัติและเหตุ
ผลที่เป็นจริงโดยละเอียดแล้วปฏิบัติถูกต้อง.
ฉะนั้น พุทธศาสนิกชน นักเรียน นักศึกษา ควรกำหนดจดจำไว้
โดยสังเขป ดังต่อไปนี้ :-

ปุริมกาล
ปริเฉทที่ 1
ชมพูทวีปและประชาชน
1. ดินแดนที่เรียกว่า ชมพูทวีป ได้แก่ประเทศอินเดีย (สมัยก่อน)
อยู่ทางทิศพายัพของประเทศไทย.
2. ชมพูทวีปมีชน 2 ชาติ อาศัยอยู่ต่างวาระกัน คือ :-
(1) ชาติมิลักขะ อาศัยอยู่ก่อน.
(2) ชาติอริยกะ ยกพวกข้ามภูเขาหิมาลัยมารุกไล่เจ้าของถิ่น
เดิม แล้วอาศัยอยู่ทีหลัง.
3. ชมพูทวีปแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ :-
(1) มัชฌิมชนบท หรือมัธยมประเทศ (ส่วนกลาง) เป็น
ที่อยู่ของพวกอริยกะ.
(2) ปัจจันตชนบท หรือปัจจันตประเทศ (ส่วนปลายแดน)
เป็นที่อยู่ของพวกมิลักขะ.
4. อาณาเขตของมัชฌิมชนบทนั้น มีปรากฏในพระบาลีจัมมขันธกะ
ในมหาวรรคแห่งพระวินัย ดังนี้ :-
(1) ทิศบูรพา จด มหาศาลนคร (ปัจจุบันคือเมืองเบงคอล).
(2) " อาคเนย์ " แม่น้ำสัลลวตี.
(3) " ทักษิณ " เสตกัณณิกนิคม (ปัจจุบันคือแคว้นเดกกัน).

(4) ทิศปัศจิม จด ถูนคาม (ปัจจุบันคือเมืองบอมเบย์).
(5) " อุดร " ภูเขาอุสีรธชะ (ปัจจุบันคือประเทศเนปาล).
5. มัชฌิมชนบทนั้น เป็นถิ่นที่อุดมสมบูรณ์ เป็นที่ตั้งนครใหญ่ ๆ
เป็นศูนย์กลางการปกครอง และเป็นที่ประชุมนักปราชญ์คณาจารย์
เจ้าลัทธิต่าง ๆ
6. ชมพูทวีปตามในอุโบสถสูตร ติกนิบาตอังคุตตรนิกาย แบ่งเป็น
16 แคว้นใหญ่ คือ :-
อังคะ มคธะ กาสี โกสละ วัชชี มัลละ เจตี วังสะ กุรุ
ปัญจาละ มัจฉะ สุรเสนะ อัสสกะ อวันตี คันธาระ กัมโพชะ.
และระบุไว้ในสูตรอื่นอีก 4 แคว้น คือ :-
สักกะ โกลิยะ ภัคคะ วิเทหะ อังคุตตราปะ.
7. การปกครองของแคว้นเหล่านี้ต่าง ๆ กัน คือ :-
(1) มีพระเจ้าแผ่นดินดำรงยศเป็นมหาราชบ้าง.
(2) มีพระเจ้าแผ่นดินดำรงยศเป็นเพียงราชาบ้าง.
(3) มีผู้ปกครองเป็นเพียงอธิบดีบ้าง.
(4) ใช้อำนาจโดยสิทธิขาดบ้าง.
(5) ใช้อำนาจโดยสามัคคีธรรมบ้าง.
(6) บางคราวเป็นรัฐอิสระ
(7) บางคราวเป็นรัฐเสียอิสระ.
8. ประชาชนในชมพูทวีปแบ่งออกเป็น 4 วรรณะ (พวก) คือ :-
(1) กษัตริย์ จำพวกเจ้ามีหน้าที่ปกครองบ้านเมือง.

(2) พราหมณ์ จำพวกเล่าเรียนมีหน้าที่ฝึกสอนและทำพิธี.
(3) แพศย์ จำพวกพลเรือนมีหน้าที่ประกอบอาชีพ เช่นทำ
นา ค้าขาย.
(4) ศูทร จำพวกคนงานมีหน้าที่รับจ้าง.
9. ชนทั้ง 4 จำพวกเหล่านี้ พวกที่ 1-2 จัดเป็นชั้นสูง ที่ 3 เป็น
ชั้นสามัญ ที่ 4 เป็นชั้นต่ำ พวกสูงถือตัวจัด ไม่ยอมร่วมกิน
ร่วมนอนกับพวกต่ำ หากบังเกิดมีร่วมกัน ลูกที่ออกมาจัดเป็นอีก
จำพวกหนึ่งเรียกว่า จัณฑาล ถือว่าเลวมาก.
10. การศึกษาของคนในสมัยนั้นก็เป็นไปตามวรรณะนั้น ๆ คือ มีหน้าที่
อย่างไร ก็ศึกษาในเรื่องเกี่ยวกับหน้าที่นั้น.
11. คนในสมัยนั้นสนใจวิชาธรรมมาก จึงมีความคิดเห็นขัดแย้งกัน
ต่าง ๆ เช่น :-

(1) เกี่ยวกับเรื่องสังสารวัฏ 2 พวกใหญ่ ๆ 1. เห็นว่าตายแล้วเกิด.
2. เห็นว่าตายแล้วสูญ.
(2) เกี่ยวกับเรื่องสุขทุกข์ 2 พวกใหญ่ ๆ 1. สุขทุกข์เกิดจากเหตุ-
2. สุขทุกข์ไม่เกิดจากเหตุ.
12. คนในสมัยนั้นทั้ง 4 วรรณะ ก่อนแต่พระพุทธเจ้าอุบัติก็ได้ถือ
ศาสนาพราหมณ์ ถือว่าโลกธาตุทั้งปวงมีเทวดาสร้าง จึงพากัน
เช่นสรวงด้วยการบูชายัญและประพฤติตบะทรมานร่างกายต่าง ๆ.

ปริเฉทที่ 2
สักกชนบท และศากยวงศ์ โกลิยวงศ์
1. ตำนานสักกชนบทมีเรื่องย่อว่า พระเจ้าโอกากราชในพระ-
นครหนึ่งมีพระราชบุตร 4 ราชบุตรี 5 พระองค์ ครั้นพระมเหสีทิวงคต
แล้ว ได้พระมเหสีใหม่ได้มีพระโอรสอีก 1 พระองค์ พระราชทาน
ราชสมบัติให้แก่พระโอรสองค์เล็กนั้น โปรดให้พระราชบุตร และ
พระราชบุตรีทั้ง 9 ไปสร้างพระนครใหม่ในดงไม้สักกะ จึงได้ชื่อว่า
สักกชนบท และดงไม้สักกะนั้นเป็นที่อยู่ของพวกกบิลดาบส จึงได้
ตั้งชื่อนครใหม่นั้นว่า กบิลพัสดุ์.
2. พระราชบุตร พระราชบุตรี 8 พระองค์ สมสู่กันเอง
ในนครกบิลพัสดุ์ จัดเป็นต้นวงศ์ศากยะ.
3. พระเชฏฐภคินีได้เป็นมเหสีของพระเจ้ากรุงเทวทหะ จัด
เป็นต้นวงศ์โกลิยะ.
4. ศากยวงศ์ กับ โกลิยวงศ์ สืบเชื้อสายลงมาโดยลำดับ เท่าที่
ปรากฏอยู่ มีดังนี้ :-
ศากยวงศ์ โกลิยวงศ์
พระเจ้าชยเสนะ ไม่ปรากฏพระนาม

มีพระราชบุตร และพระราชบุตรี พระเจ้าในโกลิยวงศ์ ไม่ปรากฏ
รวม 2 พระองค์ คือ :- พระนาม มีพระราชบุตร และ
(1) พระเจ้าสีหหนุ พระราชบุตรี 2 พระองค์ คือ :-