เมนู

พุทธประวัติ
ปัจฉิมโพธิกาล*
[อนุสนธิ]
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิ-
ญาณแล้ว ได้ให้พระธรรมจักรอันประเสริฐ ซึ่งผู้อื่นจะให้เป็นไปเทียม
ไม่ได้เป็นไปแล้ว ทรงประกอบอุปการกิจสั่งสอนเวไนยสัตว์มีพระ
เบญจวัคคีย์เป็นต้นให้ตรัสรู้จตุราริยสัจจ์ ทรงประดิษฐานบริษัท
ทั้ง 4 ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ให้ดำรงอยู่ในพระสัทธรรม
โลกุตตราริยมรรคผลตามอุปนิสัยสามารถ พระองค์ทรงประกาศ
พรหมจรรย์ให้สมบูรณ์แพร่หลาย เป็นประโยชน์แก่ประชุมชน คือ
เทพดามนุษย์เป็นอันมาก เสด็จพระพุทธดำเนินสัญจรสั่งสอนเวไนย-
สัตว์ในคามนิคมชนบทราชธานีนั้น ๆ มีเมืองราชคฤห์ ในมคธรัฐ
เป็นต้น ประดิษฐานพุทธสาวกมณฑลให้เป็นไป นับกาลกำหนดแต่
อภิสัมโพธิสมัยล่วงได้ 44 พรรษา ครั้น ณ พรรษกาลที่ 45 เสด็จ
จำพรรษาธิษฐาน ณ บ้านเวฬุวคาม โดยพระพุทธอัธยาศัย.
ทรงปลงอายุสังขาร
[เสด็จบ้านเวฬุวคาม]
ครั้งนั้น พระองค์เสด็จจากอัมพปาลีซึ่งนางอัมพปาลีคณิกา
ถวายเป็นสังฆารามแล้ว จาริกไปกับด้วยภิกษุสงฆ์พุทธบริวารเป็น

* มหาปรินิพพานสูตร ที. มหา. 10/85.


อันมาก ถึงบ้านเวฬุวคามเป็นสถานในเขตเมืองไพศาลีนคร ครั้น
จวนใกล้วัสสูปนายิกาสมัย ตามวินยานุญาตนิยมแล้ว สมเด็จ
พระบรมโลกนาถ ตรัสเรียกพระภิกษุสงฆ์ทรงอนุญาตให้จำพรรษา
ตามอัธยาศัยว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงจำพรรษา
ณ จังหวัดเมืองไพศาลีตามมิตรตามสหายแห่งตน ๆ เถิด ก็แต่เราจะ
จำพรรษา ณ บ้านเวฬุวคามตำบลน้อยนี้แล้ว." ทรงพระอนุญาตให้
ภิกษุทั้งหลายจำพรรษาตามผาสุกแห่งตน ๆ ฉะนั้นแล้ว ส่วนพระองค์
ทรงจำพรรษาอยู่ ณ บ้านเวฬุวคามนั้น.
ครั้นภายในพรรษกาล สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระ
ประชวรขราพาธกล้า เกิดทุกขเวทนาใกล้มรณชนม์พินาศ ก็แต่พระ
องค์ดำรงพระสติสัมปชัญญะ อันทุกขเวทนากล้านั้น ไม่เบียดเบียน
ให้อาดูรเดือดร้อนระส่ำระสายได้ ทรงอดกลั้นซึ่งทุกขเวทนาด้วย
อธิวาสนขันติคุณ ทรงเห็นว่ายังมิควรที่จะปรินิพพานก่อน จึง
ประณามขันไล่บำบัดอาพาธพยาธิทุกข์นั้นเสียให้ระงับสงบไป ด้วย
ความเพียรอิทธิบาทภาวนา. ครั้งดำรงพระกายเป็นปกติระงับขราพาธ1
นั้นแล้ว วันหนึ่งเสด็จทรงนั่งเหนือพระพุทธอาสน์ ซึ่งปูลาด ณ ร่มเงา
แห่งพระวิหาร พระอานนทเถระเข้าไปเฝ้าถวายอภิวาทนมัสการ แล้ว
กราบทูลว่า "ข้าพระองค์ได้เห็นความผาสุกแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้ว ความที่ทนทานอดกลั้นแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์

1. อาพาธหนัก.

ได้เห็นแล้ว แต่ก็อาศัยที่พระผู้มีพระภาคทรงพระประชวรนั้น กาย
ข้าพระองค์ประหนึ่งจะงอมระงมไป แม้ทิศานุทิศก็มือมนไม่ปรากฏ
แก่ข้าพระองค์ แม้ธรรมทั้งหลายไม่สว่างแจ่มแจ้งแก่จิต เพราะ
มาวิตกรำพึงถึงความไข้ที่ทรงพระประชวรนั้น แต่มายินดีอยู่น้อย
หนึ่งว่า พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรารภภิกษุสงฆ์แล้ว ตรัสพุทธพจน์
อันใดอันหนึ่งเพียงใดแล้ว ก็ยังจักไม่ปรินิพพานก่อน ข้าพระองค์
มีความยินดีเป็นข้อไว้ในอยู่น้อยหนึ่งฉะนี้."
"ดูก่อนอานนท์ ภิกษุสงฆ์ยังมาหวังเฉพาะชื่ออะไรในเราเล่า
ธรรมเราได้แสดงแล้ว ทำไม่ให้มีภายใน ไม่ให้มีภายนอก กำมือ
อาจารย์คือจะซ่อนความในธรรมทั้งหลาย ไม่มีแก่พระตถาคตเจ้า ๆ
ซึ่งเป็นศาสดาของเทพดามนุษย์ มีจิตบริสุทธ์ พ้นจากตัณหานิสสัย
ทิฏฐินิสสัยด้วยประการทั้งปวงแล้ว ซึ่งข้อลี้ลับจะต้องปกปิดซ่อนบัง
ไว้ แสดงไว้แก่สาวกบางเหล่า มิได้ทั่วไปเป็นสรรพสาธารณ์ หรือ
จะพึงแสดงให้สาวกทราบได้ต่ออวสานกาลที่สุด ไม่มีเลย."
ดูก่อนอานนท์ ผู้ใดยังมีฉันทะอาลัยอยู่ว่า จักรักษาภิกษุสงฆ์
หรือว่าภิกษุสงฆ์ มีตัวเราเป็นที่พำนัก ผู้นั้นแลจะพึงปรารภภิกษุสงฆ์
และกล่าวคำอันใดอันหนึ่ง ซึ่งแสดงห่วงสิเนหาอาลัย อันจะรำพึง
เช่นนั้นไม่มีแก่พระตถาคตเลย พระตถาคตจะปรารภภิกษุสงฆ์แล้ว
กล่าวคำอันหนึ่งนั้นแลคราวหนึ่ง.
ดูก่อนอานนท์ บัดนี้เราแก่เฒ่าเป็นผู้ใหญ่ล่วงกาลผ่านวัยเสียแล้ว

ชนมายุกาลแห่งเราถึง 80 ปีเข้านี่แล้ว กายแห่งพระตถาคตย่อม
เป็นประหนึ่งเกวียนชำรุดที่ซ่อมแซมด้วยไม้ไผ่ มิใช่สัมภาระเกวียน
ฉะนั้น.
ดูก่อนอานนท์ สมัยใด พระตถาคตเจ้าเข้าไปถึงซึ่งเจโตสมาธิ
ความตั้งเสมอแห่งจิตไม่มีนิมิต เพราะไม่ทำในใจซึ่งนิมิตทั้งหลาย
ทั้งปวง เพราะดับแห่งเวทนาบางเหล่าแล้วแลอยู่เมื่อใด พระตถาคต
เข้าอนิมิตตเจโตสมาธิ หยุดยั้งอยู่ด้วยอนิมิตตสมาธิแล้ว กายแห่ง
พระตถาคต ย่อมมีผาสุกสบายในสมัยนั้น.
"ดูก่อนอานนท์ เพราะเหตุอนิมิตตสมาธิวิหาร เป็นเหตุให้กาย
มีความผาสุกนั้น ท่านทั้งหลายจงมีตนเป็นเกะเป็นที่พึ่ง ใช่บุคคลมีสิ่ง
อื่นเป็นที่พึ่ง คือมีธรรมเป็นเกาะเป็นที่พึ่งอยู่ทุกอิริยาบถเถิด." ตรัส
ดังนี้แล้ว ทรงแสดงซึ่งข้อว่ามีตนมีธรรมเป็นที่พึ่งนั้น ด้วยสามารถ
ประกอบในสติปัฏฐานทั้ง 4 สั่งสอนภิกษุสงฆ์ในเอกายนมรรค คือ
สติปัฏฐานภาวนาและปกิรณกเทศนา ตามสมควรแก่อุปปัตตินั้น ๆ
เสด็จสำราญพระอิริยาบถ บำเพ็ญพุทธกิจ ณ บ้านเวฬุวคาม จนกาล
ล่วงไปถึงเดือนที่ 3 แห่งฤดูเหมันต์ ซึ่งพระอรรถกถาจารย์กำหนดว่า
มาฆบุรณมีสมัยเป็นวันปลงอายุสังขาร ณ ปาวาลเจติยสถาน ดังนี้นั้น.
ในพระบาลีก็มิได้มีนิยมกาลว่า เป็นฤดู เดือน ปักษ์ ดิถี อันใด
กล่าวได้แต่โดยเป็นสมัยติดต่อกันฉะนี้ว่า ครั้งนั้น เป็นเวลาเช้า
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอาบาตรและจีวรแล้ว เสด็จโจร

บิณฑบาต ณ เมืองเวสาลีแล้ว ครั้นปัจฉาภัตกลับจากบิณฑบาต
ดำรัสสั่งให้พระอานนท์ถือเอาผ้านิสีทนะสำหรับรองนั่ง เสด็จไปยัง
ปาวาลเจดีย์ เพื่อสำราญอยู่ ณ กลางวัน พระอานนทเถรเจ้าลาดผ้า
นิสีทนะถวาย ณ ร่มพฤกษาแห่งหนึ่ง พระองค์เสด็จนั่งลงแล้ว พระ
อานนทเถรเจ้าเข้าไปถวายบังคม นั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง. สมเด็จพระ
ผู้มีพระภาคเจ้า ประสงค์จะให้พระอานนท์กราบทูลอาราธนา เพื่อจะ
ดำรงอยู่ชั่วอายุกัปหนึ่ง หรือเกินกว่าอายุกัปนั้น พระองค์จึงทำ
นิมิตอันชัด แสดงอานุภาพแห่งอิทธิบาทภาวนาว่า สามารถจะให้ท่าน
ผู้ได้เจริญดำรงอยู่อายุกัปหนึ่ง หรือเกินกว่าอายุกัป ได้ตรัสโอภาส
ปริยายนิมิตอันชัดดังนั้นถึง 3 หน มารเข้าดลใจพระอานนท์เสีย จึง
ไม่สามารถจะรู้ความแล้วได้สติอาราธนาฉะนั้น. พระสุคตเจ้าจึงทรง
ขับพระอานนท์เสียจากที่นั้น พระอานนท์ถวายบังคมทำประทักษิณ
แล้วไป นั่ง ณ ร่มไม้แห่งหนึ่ง ไม่ไกลนักแต่พระโลกนาถ.
ครั้นพระอานนท์หลีกไปแล้วไม่ช้า มารเข้าไปเฝ้าแล้ว ยกเนื้อ
ความแต่ปางหลัง ครั้งแรกได้ตรัสรูปอภิสัมโพธิญาณ ประทับควงไม้
อชปาลนิโครธนั้น ได้ตรัสว่า "บริษัททั้ง 4 เหล่า ภิกษุ ภิกษุณี
อุบาสก อุบาสิกา ยังไม่ฉลาดอาจแสดงธรรมย่ำยีปรับปวาทโดย
สหธรรม และพรหมจรรย์ยังไม่ประกาศแพร่หลายบริบูรณ์ด้วยดี
สำเร็จประโยชน์แก่ประชุมชนเป็นอันมาก ทั้งเทพดามนุษย์เพียงใด
ยังจักไม่ปรินิพพานก่อนเพียงนั้น ดังนี้. บัดนี้ ปริสสมบัติ และ

พรหมจรรย์ก็สมบูรณ์ดังพุทธประสงค์ทุกประการแล้ว ขอพระผู้มี
พระภาคจงปรินิพพานเถิด บัดนี้ เป็นกาลที่จะปรินิพพานแห่งพระผู้มี
พระภาคแล้ว." เมื่อมารกล่าวดังนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า
"ดูก่อนมาผู้มีบาป ท่านจงมีขวนขวายน้อยเถิด ความปรินิพพาน
แห่งพระตถาคตจักมีไม่ช้า โดยกาลที่ล่วงไปแล้วแห่ง 3 เดือนแต่นี้
พระตถาคตจักปรินิพพาน."
ครั้งนั้น สมเด็จพระผู้มีพระภาคมีพระสติสัมปชัญญะ ปลงอายุ-
สังขาร ณ ปาวาลเจดีย์ ก็เกิดอัศจรรย์แผ่นดินไหวใหญ่และขนชันสยด
สยองพิลึกน่าพึงกลัว ทั้งกลองทิพย์ก็บันลือลั่นในอากาศ ครั้งนั้น
พระอานนท์เกิดพิศวงเพราะอัศจรรย์เกิดมีนั้น จึงออกจากร่มพฤกษา
เข้าไปสู่ที่เฝ้า ถวายบังคมนั่ง ณ ที่ควรแล้ว ทูลถามถึงเหตุซึ่งให้เกิด
อัศจรรย์ มีแผ่นดินไหวใหญ่เป็นต้นนั้น. สมเด็จพระผู้มีพระภาค
ตรัสเหตุ 8 ประการ ที่จะให้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ คือลมกำเริบ 1
ท่านผู้มีฤทธิ์บันดาล 1 พระโพธิสัตว์จุติจากดุสิตลงสู่พระครรภ์ 1
พระโพธิสัตว์ประสูติ 1 พระตถาคตเจ้าตรัสรู้พระอนุตตรสัมมา-
สัมโพธิญาณ 1 พระตถาคตเจ้าให้พระอนุตตรธรรมจักรเป็นไป 1
พระตถาคตเจ้าปลงอายุสังขาร 1 พระตถาคตเจ้าปรินิพพานด้วย
อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ 1 เหตุทั้ง 8 นี้เป็นปัจจัยจะให้แผ่นดินไหว
ใหญ่ละอย่าง ๆ แล้ว ทรงนำเนื้อความแต่ปางหลัง ครั้งแรกได้ตรัส
อภิสัมโพธิ เสด็จอยู่ ณ ควงไม้อชปาลนิโครธ ได้ตรัสไว้แก่มารฉันใด