พุทธประวัติ
มัชฌิมโพธิกาล
ปริเฉทที่ 9
ทรงบำเพ็ญพุทธกิจในมคธชนบท
พรรณนาถิ่น
มคธชนบทนั้น อยู่ในเขตมัธยมชนบท ตั้งอยู่ในภาคแห่งชมพู-
ทวีปตอนใต้ รวมอังคชนบทอันอยู่จดด้านเหนือ เข้าเป็นมหาอาณาจักร
เดียวกัน มีกรุงราชคฤห์เป็นพระนครหลวง มีมหากษัตริย์ทรงอำนาจ
สิทธิ์ขาดเป็นผู้ปกครอง มีราชอิสริยยศเป็นมหาราชหรือราชาธิราช
ในสมัยที่พระศาสดาเสด็จมาประดิษฐานพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก
พระเจ้าพิมพิสารทรงปกครอง, เช่นเดียวกับประเทศเอาสเตรียกับ
ประเทศหุงการี ในมัธยมยุโรป รวมเป็นมหาอาณาจักรเดียวกัน อยู่ใต้
ปกครองแห่งมหาราชเดียวกัน เมื่อก่อนเกิดมหาสงครามใน พ.ศ.
2457. มคธชนบทนั้น โดยอนุมานตามระยะทางเสด็จพุทธจาริก จด
กาสีชนบท อันสมทบกับโกศลชนบทในด้านเหนือ, จดวัชชีชนบทใน
ด้านตะวันออก, จดมหาสมุทรหรือจดกลิงคชนบทที่ปรากฏเมื่อภายหลัง
ในด้านใต้, จดชนบทอะไร ในด้านตะวันตกยังไม่พบทางอนุมาน,
มีแม่น้ำคงคาไหลผ่านอาณาเขต หรือเป็นพรมแดนตะวันออก. กรุง
ราชคฤห์ ตั้งอยู่ในลุ่มแม่น้ำตโปทา ห่างจากแม่น้ำคงคา ตามอรรถกถา
ธรรมบท 5 โยชน์ มีแม่น้ำมหีไหลผ่านอาณาเขตอังคชนบททางเหนือ
เมืองใดเป็นนครหลวง เมืองนั้นย่อมมีชื่อเสียง เพราะเป็นเมืองรุ่งเรือง
บริบูรณ์กว่า มีอำนาจบังคับบัญชาเมืองอื่น และเป็นที่มาแห่งคนต่างเมือง
ต่างด้าว, ในปกรณ์จึงกล่าวการเสด็จมคธชนบทว่า เสด็จกรุงราชคฤห์.
ต่อกล่าวถึงเรื่องอันเกิดในระหว่างเสด็จเดินทาง จึงออกชื่อมคธชนบท
ตามความสนใจ. โดยนัยนี้ จักนับชนบทที่เสด็จพระพุทธดำเนินกำหนด
ด้วยเสร็จประทับที่นครหลวงเป็นที่ตั้ง เริ่มแต่มคธชนบทเป็นต้นไป.
ประทานอุปสัมปทาแก่พระมหากัสสปะ
คราวหนึ่ง พระศาสดาเสด็จจาริกโปรดประชาชนในมคธชนบท
ประทับอยู่ที่ใต้ร่มไทร เรียกว่า พหุปุตตกนิโครธ ในระหว่างกรุงราช-
คฤห์และเมืองนาลันทาต่อกัน. ในเวลานั้น ปิปผลิมาณพกัสสปโคตร มี
ความเบื่อหน่ายในการครองเรือน ละฆราวาสเสียถือเพศเป็นบรรพชิต
ออกบวชอุทิศพระอรหันต์ในโลก จาริกมาถึงที่นั้น เห็นพระศาสดาเข้า
มีความเลื่อมใสเข้าไปเฝ้า รับเอาพระองค์เป็นพระศาสดาของตน, ทรง
รับเป็นภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ด้วยประทานพระโอวาท 3 ข้อว่า
กัสสปะ1 ท่านพึงศึกษาว่า เราจักเข้าไปตั้งความละอายและความเกรง
ไว้ในภิกษุ ทั้งที่เป็นผู้เฒ่า ทั้งที่เป็นผู้ใหม่ ทั้งที่เป็นปานกลาง เป็น
อย่างแรงกล้า ดังนี้ข้อ 1, เราจะฟังธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่ง
1. สํ. นิทาน. 16/260. สมนฺต. 1/282.
ประกอบด้วยกุศล เราจักเงี่ยหูลงฟังธรรมนั้น พิจารณาเนื้อความ
ดังนี้ข้อ 1, เราจกไม่ละสติที่ไปในกาย คือพิจารณาร่างกายเป็นอารมณ์
ดังนี้ข้อ 1, ครั้นทรงสั่งสอนอย่างนี้แล้ว เสด็จหลีกไป.
ในพระโอวาทนี้ พระศาสดาตรัสเรียกท่านปิปผลิว่ากัสสปะตาม
โคตรของท่าน, เมื่อเข้ามาอยู่ในพระธรรมวินัยนี้แล้ว ภิกษุสหธรรมิก
เรียกท่านว่า พระมหากัสสปะ เพื่อหมายรู้ต่างจากพระกัสสปะรูปอื่น
เช่นพระกุมารกัสสปะ ดังจะหมายว่า กัสสปะใหญ่ กัสสปะน้อย. การ
บวชอุทิศพระอรหันต์ในโลกของท่านนั้น เป็นธรรมเนียมกล่าวในบาลี
ไม่เฉพาะแต่ของพระมหากัสสปะ ของท่านผู้อื่นเช่นของท่านปุกกุสาต
ก็มี, ดูเป็นทีว่า ท่านเหล่านั้นยังไม่ปลงในว่าจักรับใครเป็นศาสดา
พระศาสดาของเรา แรกทรงผนวชดูท่วงทีก็อย่างนี้ แต่เพราะจะได้เป็น
พระศาสดาประกาศพระศาสนาเองกระมัง ท่านจึงไม่กล่าวว่า ทรง
อุทิศพระอรหันต์ในโลก. การบวชอย่างนี้คล้ายธรรมเนียมบวชเป็น
สันยาสีของพวกพราหมณ์. ผู้ปรารถนาจะบวชเป็นสันยาสี ต้องเป็นผู้
ครองเรือนที่เรียกว่าคฤหัสถ์มาก่อน จนถึงบุตรสืบสกุลตามนิยมของ
พวกพราหมณ์ว่า จักไม่ตกขุมนรกชื่อปุตตะแล้วเป็นบวชได้ ไม่จำเป็น
จะต้องออกไปอยู่จำศีลในป่า เป็นวนปรัตถะอีกชั้นหนึ่งก่อน หรือบวช
จากชั้นนั้นก็ได้. การบวชก็คือละการครองเรือน ปลงผมจุกที่พวก
พราหมณ์ไว้นั้นเสีย โกนโล้นทั้งศีรษะ นุ่งห่มผ้าสีเหลืองหม่น ได้แก่
ผ้ากาสายะของเรา นุ่งผืนห่มผืน เที่ยวภิกขาจารเลี้ยงชีวิต เข้าอยู่ใน
ป่า มีมรรยาทอันจะพึงรักษา มีภาวนาอันจะพึงบำเพ็ญตามวิธี ไม่
ปรากฏว่าตั้งอยู่เป็นหมู่เป็นคณะ. การบวชอย่างนี้ทำต่อหน้าปุโรหิต
คือผู้อำนวยการพิธีและแขกผู้มาประชุมเป็นการเด็ดเดี่ยว. การบรรพชา
ของพระศาสดา โดยโวหารของพระมัชฌิมภาณกาณกาจารย์ที่ว่า ปลง
พระเกศและพระมัสสุ ทรงผ้ากาสายะถือเพศผนวชต่อหน้าพระชนก
พระชนนี ผู้กำลังทรงกันแสงอยู่ แม้นด้วยการบวชเป็นสันยาสีของพวก
พราหมณ์.
อาการทรงรับพระมหากัสสปะเข้าในพระธรรมวินัยและโปรดให้
รับพระพุทโธวาท 3 ข้อนี้ พระอรรถกถาจารย์แยกเป็นวิธีอุปสัมปทา
อย่างหนึ่ง ดุจประทานแก่พระนางมหาปชาบดีโคตมี ด้วยโปรดให้รับ
ครุธรรม 8 ประการ, แต่วิธีหลังแลเห็นชัด เพราะเป็นครั้งแรกที่
ประทานอุปสัมปทาแก่สตรีให้เป็นภิกษุณี และไม่ได้ประทานเอหิ-
ภิกขุนีอุปสัมปทาเลย. ส่วนวิธีต้น เห็นไม่พ้นไปจากประทานเอหิภิกขุ-
อุปสัมปทา.
พระมหากัสสปะได้ฟังพุทธโอวาททรงสั่งสอนแล้วบำเพ็ญเพียรไม่
ช้านัก ในวันที่แปดแต่อุปสมบท ได้สำเร็จพระอรหัต. ท่านทรง
คุณธรรมอย่างไร ได้เอาภารธุระพระศาสนาอย่างไร จักกล่าวใน
ประวัติของท่านในอนุพุทธประวัติ.
พระมหากิจจายนะ ก็ว่าได้รับอุปสมบทเป็นเอหิภิกขุ จากพระ-
ศาสดาที่กรุงราชคฤห์ แต่เป็นเรื่องเล่าในอรรถกถา จักเอาไว้กล่าวใน
ประวัติของท่านในอนุพุทธประวัติ.
พุทธกิจที่ได้บำเพ็ญในมคธชนบท ในคราวแรก ๆ เนื่องด้วย
การประทานอุปสมบทเป็นพื้น จนมีพวกคนผู้ไม่เลื่อมใสกล่าวติเตียนว่า
พระสมณโคดมชักนำเพื่อความเป็นผู้ไม่มีบุตร เพื่อความเป็นหม้าย
เพื่อความขาดแห่งสกุล. พวกพราหมณ์ย่อมถือตามโอวาทของพระ
พรหมเป็นเจ้าว่า ให้แผ่พืชพันธุ์ให้แพร่หลาย ย่อมนิยมในความเป็น
ผู้มีบุตรสืบสกุล มีได้มากเพียงใดยิ่งดีเพียงนั้น แลถือกันว่า คนผู้ไม่มี
บุตรผู้จะทำทักษิณาเมื่อตายแล้วย่อมตากขุมนรกชื่อปุตตะ ต่อมีบุตรจึง
ปิดขุมนรกนั้นได้. ชาวมคธครั้งนั้น ถือเหมือนอย่างพวกพราหมณ์
กระมัง จึงได้ติเตียนในกาชักนำคนให้บวช, แต่การครหานั้นมีอยู่ไม่ช้า
พอคนทั้งหลายทราบว่า เจ้าตัวสมัครเอง เหมือนผู้บวชเป็นสันยาสี
ไม่ใช่ถูกล่อลวงหรือถูกบังคับขืนใจ ก็สงบไปเอง.
มหาสันนิบาตแห่งพระสาวก
ครั้งพระศาสดา เสด็จประทับอยู่ ณ กรุงราชคฤห์พระนครหลวง
แห่งมคธชนบท ได้มีการประชุมใหญ่แห่งพระสาวกคราวหนึ่ง เรียกว่า
จาตุรังคสันนิบาต แปลว่าการประชุมมีองค์ 4 คือพระสาวกผู้เข้าประชุม
นั้น ล้วนเป็นพระอรหันต์อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว นับเป็นองค์ 1, พระ
สาวกเหล่านั้นล้วนเป็นเอหิภิกขุ สาวกครั้งแรกผู้ได้รับอุปสมบทที่พระ
ศาสดาประทานเอง นับเป็นองค์ 1, พระสาวกเหล่านั้นไม่ได้นัดหมาย
ต่างมาพร้อมกันเข้าเอง นับเป็นองค์ 1, พระศาสดาประทานพระบรม-
พุทโธวาท ซึ่งเรียกว่า โอวาทปาฏิโมกข์ ย่อหัวใจพระพุทธศาสนาแสดง
นับเป็นองค์ 1, มหาสันนิบาตนี้ได้มีแล้ว ณ เวฬุวนาราม ในวันมาฆ-
ปุรณมีดิถีเพ็ญแห่งมาฆมาสคือเดือนสาม ที่เป็นวันทำพิธีศิวราตรีของ
พวกพราหมณ์ เวลาบ่าย. การประชุมนี้มีชื่อเล่าลือมาในพระศาสนา
จนถึงยกขึ้นกล่าวเป็นพระเกียรติของพระศาสดาในมหาปทานสูตร1 และ
เป็นอภิลักขิตสมัยที่ทำบูชาของวัดทั้งหลาย เรียกว่ามาฆบูชา.
พิจารณาองค์สี่และความยกย่องประกอบกัน น่าจะสันนิษฐาน
เห็นว่า พระสาวกผู้มาประชุมนั้น คือพระสาวกผู้อันพระศาสดาทรง
ส่งไปประกาศพระศาสนาในชนบททั้งหลาย ต่างมาเพื่อเฝ้าเยือนพระ
ศาสดา แต่เผอิญมามากด้วยกัน จนถึงให้เกิดความรู้สึกประหลาด
และชื่นบาน ของพระศาสดาและพระสาวกผู้ได้พบกันและกัน, เมื่อ
สาวกมาอยู่พร้อมกันมากเช่นนี้เป็นโอกาสที่สมควรดี, พระศาสดาจึงได้
ตรัสให้มีประชุมและทรงแสดงหัวใจพระศาสนา เพื่อพระสาวกจะได้
ถือเอาเป็นหลักสำหรับสอนพระศาสนา. พิจารณาน้ำพระหฤทัยของ
พระศาสดา เมื่อได้เห็นสาวกผู้ร่วมอัธยาศัยในการแผ่ประโยชน์ให้แก่
โลก มาออพร้อมกันอยู่มาก จะทรงพระโสมนัสสักปานไร, แม้พวก
พระสาวกได้เฝ้าพระศาสดาพร้อมกันมาก และได้พบกันเองผู้มีธุระร่วม
กันเป็นหมู่ใหญ่ คงมีใจเบิกบานเหมือนกัน, การประชุมครั้งนั้นจึงติด
อยู่ในใจของพวกพระสาวกไม่รู้ลืม จึงยกย่องเป็นสำคัญสืบกันมา.
1. ทิ. มหา. 10/1.