เมนู

พุทธประวัติ
ปุริมกาล
ปริเฉทที่ 1
ชมพูทวีป และ ประชาชน
ตั้งแต่ครั้งดึกดำบรรพ์มา ชมพูทวีปคือแผ่นดินที่เรียกในทุกวัน
นี้ว่าอินเดีย อันตั้งอยู่ในทิศพายัพแห่งประเทศสยามของเรานี้ ชน
ชาติอริยกะได้ตั้งมาแล้ว, ชนจำพวกนี้ไม่ใช่เจ้าของถิ่นเดิม, ยกลง
มาจากแผ่นดินข้างเหนือ ข้ามภูเขาหิมาลัยมา รุกไล่พวกมิลักขะ
เจ้าของถิ่นเดิมให้ถอยเลื่อนลงมาข้างใต้ทุกที แล้วเข้าตั้งถิ่นฐานใน
ชมพูทวีปนั้น.
พวกอริยกะนั้นเป็นผู้เจริญด้วยความรู้และขนบธรรมเนียมและ
มีฤทธิ์มีอำนาจมากกว่าพวกมิลักขะเจ้าของถิ่นเดิม จึงสามารถตั้งบ้าน
เมืองและปกครองได้ดีกว่า.
ชมพูทวีปนั้น แบ่งเป็น 2 จังหวัด ร่วมในเรียกว่ามัชฌิมชนบท
หรือมัธยมประเทศ แปลว่าประเทศกลาง, ภายนอกเรียกว่าปัจจันต-
ชนบท แปลว่าประเทศปลายแดน, อย่างหัวเมืองชั้นในและหัวเมือง
ชันนอกแห่งประเทศสยามของเรานี้. มูลเหตุแบ่งจังหวัดเป็นมัชฌิม-

ชนบทและปัจจันตชนบทนั้น สันนิษฐานว่า แรกพวกอริยกะยกมา
ตั้งในชมพูทวีป คงจะเรียกชนบทที่ตนเข้าตั้งและเป็นกลางแห่งการ
ปกครองว่า ' มัชฌิมชนบท, ' เรียกชนบทที่พวกมิลักขะตั้งอยู่นอกเขต
ของตนว่า ' ปัจจันตชนบท. '
อาณาเขตแห่งมัชฌิมชนบทนั้นคงไม่ยืนที่ น่าจะขยายออกตาม
ยุคที่ผู้ปกครองแผ่อำนาจออกไป กว่าจะได้กำหนดเอาจังหวัดกลาง
แห่งชมพูทวีปจริง ๆ, ถึงอย่างนั้น ขอบเขตก็ยังน่าจะเขยิบเข้าออก
ได้อยู่. ครั้งพุทธกาล จังหวัดมัชฌิมชนบทกำหนดไว้ในบาลีจัมม-
ขันธกะในมหาวรรคแห่งพระวินัย1 ดังนี้ :-
ในทิศบูรพา ภายในแต่มหาศาลนครเข้ามา.
ในทิศอาคเนย์ ภายในแต่แม่น้ำสัลลวตีเข้ามา.
ในทิศทักษิณ ภายในแต่เสตกัณณิกนิคมเข้ามา.
ในทิศปัศจิม ภายในแต่ถูนคามเข้ามา.
ในทิศอุดร ภายในแต่ภูเขาอุสีรธชะเข้ามา.
ที่ในกำหนดเท่านี้ เรียกว่า ' มัชฌิมชนบท, ' ที่นอกออกไป
จากกำหนดที่ว่าแล้ว เรียกว่า ' ปัจจันตชนบท. ' แต่กำหนดที่รู้จัก
กันในครั้งหนึ่ง, ครั้งกาลล่วงไปนาน ชื่อบ้านเมืองเป็นต้นตลอดจน
ชื่อภูเขา แม่น้ำ ได้เปลี่ยนแปลงยักย้ายไป จะนิยมเอาเป็นแน่ไม่ได้
ถึงอย่างนั้น การจัดจังหวัดเป็นมัชฌิมชนบท ก็ยังมีปรากฏในแผนที่

1. มหาวคฺค. ทุติย. 2/535.

อินเดียจนทุกวันนี้ ( พ.ศ. 2455 )1 มัชฌิมชนบทนั้นเป็นที่นิยมนับถือ
ของคนในครั้งนั้น เพราะเป็นท่ามกลาง เป็นที่ตั้งแห่งนครใหญ่ ๆ
และเป็นที่ประชุมนักปราชญ์ผู้มีความรู้.
ชมพูทวีปนั้น ปันเป็นหลายอาณาจักร, ที่ปรากฏชื่อในครั้ง
พุทธกาล ระบุไว้ในบาลีอุโบสถสูตรในติกนิบาตอังคุตร2 เป็นมหา-
ชนบท 16 แคว้น คือ อังคะ มคธะ กาสี โกสละ วัชชี มัลละ
เจตี วังสะ กุระ ปัญจาละ มัจฉะ สุรเสนะ อัสสกะ อวันตี คันธาระ
กัมโพชะ. ระบุไว้ในบาลีแห่งสูตรอื่น ไม่ซ้ำชื่อข้างต้น คือ สักกะ
โกลิยะ ภัคคะ วิเทหะ อังคุตตราปะ. อาณาจักเหล่านี้ มีพระเจ้า
แผ่นดินดำรงยศ เป็นมหาราชาบ้าง เป็นแต่เพียงราชาบ้าง มีอธิบดี
บ้าง เป็นผู้ปกครองโดยทรงอำนาจสิทธิ์ขาดบ้าง โดยสามัคคีธรรม
บ้าง, บางคราวตั้งเป็นอิสระตามลำพัง บางคราวตกอยู่ในอำนาจอื่น
ตามยุคตามคราว.
คนในชมพูทวีปนั้น แบ่งเป็น 4 จำพวก เรียกว่า วรรณะ คือ :-
กษัตริย์ จำพวกเจ้า มีธุระทางรักษาบ้านเมือง 1.
พราหมณ์ จำพวกเล่าเรียน มีธุระทางฝึกสอนและทำพิธี 1.
แพศย์ จำพวกพลเรือน มีธุระทางทำนาค้าขาย 1.
ศูทร จำพวกคนงาน มีธุระรับจ้างทำการทำของ 1.

1. ตามที่กำหนดนั้น ในทิศบูรพา ภายในแต่ประเทศเบงคอลเข้ามา, ในทิศทักษิณ
ภายในแต่ประเทศเดดกันเข้ามา, ในทิศปัศจิม ภายในแต่ประเทศบอมเบเข้ามา, ใน
ทิศอุดร ภายในแต่ประเทศเนปาลเข้ามา, ( จากพุทธานุพุทธประวัติ หน้า 6 ).
2. องฺ. ติก. 20/273.

กษัตริย์และพราหมณ์ จัดเป็นชาติสูง, แพศย์เป็นสามัญ, ศูทร
เป็นต่ำ. ในครั้งพุทธกาล กษัตริย์เป็นสูงสุด แต่พวกพราหมณ์เขาก็
ถือว่าพวกเขาสูงสุด. พวกเหล่านั้น ที่เป็นชั้นสูง ย่อมมีมานะ
ถือตัวจัดเหตุชาติและโคตรของตน พวกกษัตริย์และพวกพราหมณ์
ย่อมรังเกียจพวกชั้นต่ำลงมา ไม่สมสู่เป็นสามีภรรยาด้วย ไม่ร่วม
กินด้วย, เพราะเหตุนั้น พวกกษัตริย์ก็ดี พวกพราหมณ์ก็ดี จึงสมสู่
กันแต่ในจำพวกของตน. พวกมีโคตรสูง ย่อมรังเกียจพวกมีโคตรต่ำ
ดุจเดียวกัน ไม่สมสู่ด้วยคนอื่นนอกจากสกุลของตน เช่นพวกศากยะ
อันเป็นโคตมโคตร ไม่ยอมสมสู่แม้ด้วยพวกกษัตริย์ด้วยกันแต่ต่างโคตร
ย่อมสมสู่ด้วยกันเอง.
วรรณะ 4 นี้เป็นจำพวกใหญ่ นอกจากนี้ยังมีอีก แต่เป็นจำพวก
ที่เลวทั้งนั้น, เกิดแต่วรรณะ 4 เหล่านี้ สมสู่กับวรรณะอื่นจากพวก
ของตน เช่นพวกพราหมณีได้กับศูทร มีบุตรออกมา จัดเป็นอีก
จำพวกหนึ่ง เรียกว่า ' จัณฑาล. ' จำพวกคนเกิดจากมารดาบิดา
ต่างวรรณะกันเช่นนี้ เขาถือเป็นเลว เป็นที่ดูหมิ่นของคนมีชาติสกุล
เช่นกับคนที่เรียกกันว่าครึ่งชาติในบัดนี้.
การศึกษาของคนทั้งหลาย ย่อมเป็นไปตามประเภทของวรรณะ
พวกกษัตริย์ ก็ศึกษาไปในยุทธวิธี.
พวกพราหมณ์ ก็ศึกษาไปในศาสนาและในวิทยาต่าง ๆ.
พวกแพศย์ ก็ศึกษาไปในศิลปะและกสิกรรม พาณิชการ.
พวกศูทร ก็ศึกษาไปในการงานที่จะพึงทำด้วยแรง.

คนในยุคโน้น สนใจในวิชาธรรมมาก จึงเป็นคนเจ้าทิฏฐิ.
ความเห็นของเขา อันปรารภความตาย ความเกิดและสุขทุกข์เป็น
ต่าง ๆ กัน, ย่นลงสั้นคงเป็น 2 อย่าง คือ ถือว่าตายแล้วเกิดก็มี,
ถือว่าตายแล้วศูนย์ก็มี. ในพวกที่ถือว่าตายแล้วเกิด, บางพวกเห็นว่า
เกิดเป็นอะไรก็เป็นอยู่อย่างนั้น ไม่จุติแปรผันต่อไป, บางพวกเห็นว่า
เกิดแล้วจุติแปรผันได้ต่อไป. ในพวกที่ถือว่าตายแล้วศูนย์, บางพวก
เห็นว่า ศูนย์ด้วยประการทั้งปวง, บางพวกเห็นว่า ศูนย์บางสิ่ง.
บางพวกถือว่า สัตว์จะได้สุขหรือทุกข์ก็ได้เอง สุขทุกข์ไม่มีเหตุ
ปัจจัย, บางพวกเห็นว่าสุขทุกข์มีเหตุปัจจัย. ในชนพวกหลัง บางพวก
เห็นว่า สุขทุกข์มีมาเพราะเหตุภายนอกมีเทวดาเป็นต้น, บางพวก
เห็นว่า สุขทุกข์มีมาเพราะเหตุภายใน คือ กรรม. ต่างก็ประพฤติ
กายวาจาใจตามความเห็นของตน และชักนำคนอื่นให้ประพฤติ
อย่างนั้นตาม.
พวกที่ถือว่าตายแล้วเกิด เข้าใจว่าประพฤติอย่างไร จะไปเกิด
ในสวรรค์และสุคติ ก็ประพฤติอย่างนั้น, พวกที่ถือว่าตายแล้วศูนย์
ก็ประพฤติมุ่งแต่เพียงเอาตัวรอดในปัจจุบัน ไม่กลัวแต่ความเกิดใน
นรกและทุคติ.
ฝ่ายพวกที่ถือว่า จะได้สุขหรือทุกข์ก็ได้เอง สุขทุกข์ไม่มีเหตุ
ปัจจัย ก็ไม่ขวนขวาย ได้แต่คอยเสี่ยงสุขเสี่ยงทุกข์อยู่, ฝ่ายพวก
ที่ถือว่า สุขทุกข์มีมาเพราะเหตุปัจจัย แต่เป็นเหตุปัจจัยภายนอก ก็
บวงสรวงเทวดาขอให้ช่วยบ้าง ขวนขวายในทางอื่นบ้าง พวกที่ถือ

ว่า สุขทุกข์มีมาเพราะเหตุภายในคือกรรม เห็นว่ากรรมใดเป็นเหตุ
แห่งทุกข์ ก็เว้นกรรมนั้นเสียไม่ทำ เห็นว่ากรรมใดเป็นเหตุแห่งสุข
ก็ทำกรรมนั้น.
การสั่งสอนธรรมแก่คนทั้งหลาย ดูเหมือนจะถือว่าเป็นธุระ
อันประเสริฐของคนที่มีกรุณาเป็นวิหารธรรม, มีพวกมุนียอมสละสมบัติ
ในฆราวาสประพฤติพรตเป็นบรรพชิต น้อมชีวิตของตนในการสั่งสอน
คนทั้งหลาย เป็นคณาจารย์ตั้งสำนักแยกย้ายกันตามลัทธิ, มีบริวาร
ผู้ทำตามโอวาท มุ่งผลอันเป็นที่สุดแห่งลัทธินั้น. เกียรติยศของศาสดา
เจ้าลัทธิผู้มีชื่อเสียงดังในสมัยนั้น ได้รับยกย่องเสมอเกียรติยศของ
พระเจ้าแผ่นดิน หรือบางทีจะยิ่งเสียกว่า. วาสนาอันจะทำให้เป็นผู้
เช่นนั้น เป็นสมบัติอย่างสูงสุดในฝ่ายหนึ่ง พึงเห็นในคำทำนาย
มหาบุรุษลักษณะว่า ท่านผู้ประกอบด้วยลักษณะอย่างนั้น ๆ ถ้าอยู่
ครองฆราวาส จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ, ถ้าออกบวชจักได้ตรัส
เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า. เกียรติยศอันนี้ พวกคณาจารย์เจ้าลัทธิ
กระหยิ่มนักเพื่อจะได้, ต่างประมูลกันว่าลัทธิของตนนั่นแลถูก อาจ
นำมนุษย์ให้ถึงผลอย่างสูงสุดได้, ลัทธิของคณาจารย์อื่นผิด ไม่มี
แก่นสาร, ทิฏฐิของคนทั้งหลายมีต่าง ๆ กัน เป็นเหตุมีคณาจารย์
สั่งสอนลัทธิต่าง ๆ กันฉะนี้.
ส่วนคนที่เป็นพื้นเมือง สงเคราะห์ในวรรณะ 4 เหล่า ได้ถือ
ตามลัทธิของพราหมณ์, ประพฤติตามคำสอนในไตรเพทและเพทางค์
อันเป็นต้นคัมภีร์, ถือว่าโลกธาตุทั้งปวงมีเทวดาสร้าง, มีเทวดาประจำ