เมนู

การนับจำนวนวาระในปัจจนียานุโลม แห่งกุสลติกะ นับโดยวิธี
สาธยายฉันใด เวทนาติกะนี้ ก็พึงนับฉันนั้น.
ปัจจนียานุโลม จบ
เวทนาติกะที่ 2 จบ

อรรถกถาวรรณนาเนื้อความแห่งเวทนาติกปัฏฐาน


ธรรมเหล่านี้คือ เวทนา 3 รูป นิพพาน ย่อมไม่ได้ใน เวทนาติกะ
เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เอกํ ขนฺธํ ปฏิจฺจ เทฺว ขนฺธา
เป็นต้น. คำว่า ปฏิสนฺธิกฺขเณ สุขาย เวทนาย ตรัสด้วยอำนาจสเหตุก-
ปฏิสนธิ ส่วนทุกขเวทนาย่อมไม่ได้ในปฏิสนธิกาล. เพราะฉะนั้นพระผู้มี-
พระภาคเจ้าจึงไม่ทรงระบุถึงปฏิสนธิในวาระที่ 2. คำว่า ปฏิสนฺธิกฺขเณ ใน
วาระที่ 3 ตรัสด้วยอำนาจสเหตุกปฏิสนธิ ก็คำที่เหลือในอธิการนี้ในปัจจัยอื่น
จากนี้ ย่อมเป็นไปตามพระบาลีนั่นแหละ ในที่ทั้งปวงตรัสว่าระไว้ 3 วาระ
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เหตุยา ตีณิ ฯเปฯ อวิคเต ตีณิ.
ก็ในการเทียบเคียงปัจจัยตรัสว่า วิปาเก เทฺว ในวิปากปัจจัยมี 2
วาระ ในเหตุมูลกนัย เพราะทุกขเวทนาฝ่ายวิบากที่เป็นสเหตุกะไม่มี. ในการ
เทียบเคียงกับอธิปติปัจจัยเป็นต้น วิปากปัจจัย มีวิสัชนา 2 วาระเท่านั้น.
เพราะเหตุไร ? เพราะอธิปติ ฌาน และมัคคปัจจัยไม่มีโดยเป็นวิปากทุกข-
เวทนา. ก็ในการเทียบเคียงปัจจัยเหล่าใด วิปากปัจจัยย่อมได้วาระ 2 แม้ใน
ปัจจัยเหล่านั้นก็ได้วาระ 2 เหมือนกัน เพราะเทียบเคียงกับวิปากปัจจัย.

ในนปุเรชาตปัจจัย ที่เป็น ปัจจนียะ วาระ 2 มาแล้ว เพราะไม่
มีทุกขเวทนา ในอรูปภพ และในปฏิสนธิกาล. แม้ใน วิปปยุตตปัจจัย ก็มี
วาระ 2 เหมือนกัน เพราะไม่มีทุกขเวทนา ในอรูปภพ. ก็ปัจจัยทั้งหลายมี
สหชาตปัจจัยเป็นต้นที่คลุมไปถึงอรูปธรรมทั้งหมด ย่อมขาดไปในปัจจนียะ
วาระนี้. เพราะเหตุไร ? เพราะธรรมที่สัมปยุตด้วยเวทนา อาศัยธรรม
ที่สัมปยุตด้วยเวทนาเกิดขึ้นไม่ได้ โดยเว้น จากสหชาตปัจจัยเป็นต้น และเพราะ
ธรรมที่สัมปยุตด้วยเวทนาเกิดได้โดยเว้นปัจฉาชาตปัจจัย.
ก็ในการเทียบเคียงปัจจัย คำว่า นปุเรชาเต เอกํ ในนปุเรชาต-
ปัจจัยมี 1 วาระ ตรัสหมายถึง ธรรมในปฏิสนธิในอรูปภพ และธรรมที่สัมปยุต
ด้วยอเหตุกอทุกขมสุขเวทนา. สองบทว่า นกมฺเม เทฺว ในนกัมมปัจจัยมี 2
วาระ ตรัสด้วยอำนาจเจตนาที่สัมปยุตด้วยอเหตุกกิริยา. จริงอยู่ อเหตุกกิริยา
เจตนาที่สัมปยุตด้วยเวทนาเหล่านั้น ย่อมเกิดขึ้นเพราะอาศัยธรรมทั้งหลาย
ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา และอทุกขมสุขเวทนา. แม้ในคำว่า นเหตุปจฺจยา
นกมฺมปจฺจยา นวิปาก
ก็นัยนี้เหมือนกัน. สองบทว่า นวิปฺปยุตฺเต เอกํ
ในนวิปปยุตตปัจจัยมี 1 วาระ ตรัสด้วยอำนาจอาวัชขนจิตในอรูปภพ. ในการ
เทียบเคียงปัจจัยทุกแห่ง พึงทราบวิธีนับโดยอุบายนี้.
ปัจจัยที่ได้ใน อนุโลมปัจจนียะ เท่านั้น ตั้งอยู่โดยเป็นปัจจนียะ.
สหชาตปัจจัยเป็นต้น ที่คลุมไปถึงอรูปธรรมทั้งหมดใน ปัจจนียานุโลม ย่อม
ตั้งอยู่โดยอนุโลมเท่านั้น ไม่ตั้งอยู่โดยความเป็นปัจจนียะ แต่อธิปติของอเหตุก-
จิตตุปบาทไม่มี เพราะฉะนั้นอธิปติปัจจัย จึงไม่ตั้งอยู่โดยความเป็นอนุโลม.

ก็ในปฏิจจวาระเป็นต้น ปัจฉาชาตปัจจัยย่อมไม่มีได้เลย ฉะนั้น
จึงขาดไป.
อนึ่ง ในอธิการนี้ ปัจจัยเหล่าใดมีได้โดยเป็นอนุโลม ปัจจัยเหล่า
นั้น ท่านประกอบอธิบายหมุนเวียนไปกับปัจจัยที่ได้อยู่โดยเป็นปัจจนียะ. ใน
ปัจจัยเหล่านั้นมีกำหนดวาระ 3 เท่านั้นคือ 3-2 -1 ผู้ศึกษาพึงกำหนดตาม
ความเหมาะสม และพึงทราบปัจจัยเหล่านั้นในที่ทุกสถาน ก็นัยแห่งวรรณนานี้ใด
ตรัสแล้วในปฏิจจวาระ นัยแห่งวรรณนานี้เองตรัสไว้ในสหชาตวาระเป็นต้นด้วย.
ก็คำว่า สมฺปยุตฺตกานํ ขนฺธานํ ในปัญหาวาระ คือขันธ์ทั้งหลาย
ที่สัมปยุตด้วยธรรมนั้น หรือด้วยเหตุทั้งหลายเหล่านั้นเอง หรือด้วยสุขเวทนา
เป็นต้น. บทว่า วิปฺปฏิสาริสฺส คือมีความเดือดร้อนในกุศลมีทานเป็นต้น
อย่างนี้ว่า ทำไมเราถึงทำกรรมนี้ กรรมชั่วเราไม่ทำเสียเลยดีกว่า แต่มีความ
เดือดร้อนเพราะฌานเสื่อมไปอย่างนี้ว่า ฌานของเราเสื่อมแล้ว เราเป็นผู้เสื่อม
ใหญ่หนอ. สองบทว่า โมโห อุปฺปชฺชติ ได้แก่ โมหะที่สัมปยุตด้วยโทสะ.
เท่านั้น. คำว่า โมหํ อารพฺภ ได้แก่ โมหะที่สัมปยุตด้วยโทสะ เหมือนกัน
คำว่า ภวังค์ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา เป็นปัจจัยแก่ภวังค์ที่
สัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา
ความว่า ภวังค์ดวงหลัง กล่าวคือ ตทา-
รัมมณะเป็นปัจจัยแก่ภวังค์ดวงเดิม. บทว่า วุฏฺฐานสฺส คือตทารัมมณะหรือ
ภวังค์. จริงอยู่ จิตทั้งสองนั้นท่านเรียกว่า วุฏฐานะ เพราะออกจากกุศล-
ชวนะหรืออกุศลชวนะ. แม้ในคำว่า กิริยํ วุฏฺฐานสฺส นี้ ก็นัยนี้เหมือน
กัน. สองบทว่า ผลํ วุฏฺฐานสฺส ได้แก่ ผลจิตเป็นปัจจัยแก่ภวังคจิต. จริงอยู่
ชื่อว่าการออกจากผลจิตย่อมมีด้วยภวังคจิต แม้ในอาคตสถานว่า วุฏฺฐานํ ข้าง
หน้าก็นัยนี้เหมือนกัน.

คำว่า ทุกฺขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตา ขนฺธา ได้แก่ อกุศลขันธ์
ที่สัมปยุตด้วยโทมนัสเวทนา. คำว่า อทุกขมสุขาย เวทนาย สมฺปยุตตสฺส
วุฏฺฐานสฺส
ได้แก่ อาคันตุกภวังค์ คือ ตทารัมมณะ หรือ มูลภวังค์ ที่
สัมปยุตด้วยอุเบกขา. ก็ถ้าจิตที่สหรคตด้วยโสมนัสเป็นมูลภวังค์ เหตุที่จะให้
เกิดตทารัมมณะย่อมไม่มี อกุศลวิบากที่เป็นอุเบกขาเวทนา ย่อมเกิดขึ้นใน
อารมณ์อื่นจากอารมณ์ของชวนะ. จริงอยู่ อกุศลวิบากแม้นั้น ท่านเรียกว่า
วุฏฐานะ เพราะออกจากชวนะ. นิทเทสแห่งสหชาตปัจจัยเป็นต้น มีใจความ
ตื้นทั้งนั้น เพราะว่าในอธิการนี้คำที่ไม่สามารถจะรู้ตามนัยที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้แล้ว
ในหนหลังไม่มี เพราะฉะนั้นผู้ศึกษาพึงกำหนดให้ดี.
วาระเหล่าใด ๆ ได้แล้วในปัจจัยใด ๆ บัดนี้เพื่อจะย่อแสดงปัจจัยและ
วาระเหล่านั้นทั้งหมดด้วยอำนาจแห่งการนับ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
เหตุยา ตีณิ เป็นต้น. วิสัชนา 3 วาระเหล่านั้นทั้งหมด ในคำว่า เหตุยา
ตีณิ
ผู้ศึกษาพึงทราบด้วยอำนาจแห่งบทล้วน ๆ 3 บท. วิสัชนา 9 วาระใน
อารัมมณปัจจัย มีปัจจัยที่มีมูล 1 มีมูลี 1 เป็นที่สุด. ในอธิปติปัจจัย มี
วิสัชนา 5 วาระคือ วิสัชนา 3 ที่ไม่เจือกันด้วยอำนาจของสหชาตาธิปติปัจจัย
และวิสัชนา 2 คือ ธรรมที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่สัมปยุต
ด้วยสุขเวทนาด้วยอำนาจของอารัมมณาธิปติปัจจัย ธรรมที่สัมปยุตด้วยอุเบกขา
เวทนา เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่สัมปยุตด้วยอุเบกขาเวทนา ด้วยอำนาจของ
อารัมมณาธิปติปัจจัย. วิสัชนา 2 เหล่านั้น ผู้ศึกษาไม่ควรนับ แต่ควรนับ
วิสัชนา 2 เหล่านี้ คือ ธรรมที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาเป็นปัจจัยแก่ธรรมที่สัมปยุต
ด้วยอุเบกขาเวทนา ธรรมที่สัมปยุตด้วยอุเบกขาเวทนาเป็นปัจจัยแก่ธรรมที่
สัมปยุตด้วยสุขเวทนา รวมเป็นวิสัชนา 5 วาระ ด้วยประการฉะนี้.

บทว่า สตฺต ในอนันตรและสมนันตรปัจจัย ได้แก่ วิสัชนา 7
วาระอย่างนี้คือ สุขเวทนาเป็นปัจจัยแก่ธรรม 2 อย่าง ทุกขเวทนาเป็นปัจจัย
แก่ธรรม 2 อย่าง อุเบกขาเวทนาเป็นปัจจัยแก่ธรรมได้ทั้ง 3 อย่าง.
สองบทว่า อุปนิสฺสเย นว ได้แก่ วิสัชนา 9 วาระอย่างนี้คือ
ธรรมที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา โดย
อุปนิสสยปัจจัยทั้ง 3 อย่าง เป็นปกตูปนิสสยปัจจัยอย่างเดียวแก่ธรรมที่สัมปยุต
ด้วยทุกขเวทนา เป็นอุปนิสสยปัจจัยทั้ง 3 อย่าง แก่ธรรมที่สัมปยุตด้วยอุเบกขา-
เวทนา ธรรมที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา เป็นอนันตรูปนิสสยและปกตูปนิสสย-
ปัจจัย แก่ธรรมที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา เป็นปกตูปนิสสยปัจจัยแก่ธรรมที่
สัมปยุตด้วยสุขเวทนา เป็นอนันตรูปนิสสยะและปกตูปนิสสยปัจจัยทั้ง 2 อย่าง
แก่ธรรมที่สัมปยุตด้วยอุเบกขาเวทนา. ธรรมที่สัมปยุตด้วยอุเบกขาเวทนา
เป็นอารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยปัจจัย แก่ธรรมที่
สัมปยุตด้วยอุเบกขาเวทนาและสุขเวทนา เป็นอนันตรูปนิสสยะและปกตูปนิสสย-
ปัจจัยแก่ธรรมที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา. ก็ในอธิการนี้ เมื่อว่าโดยความต่างกัน
แห่งปัจจัย ปกตูปนิสสยปัจจัยมี 9 วาระ อนันตรูปนิสสยปัจจัยมี 7 วาระ
อารัมมณูปนิสสยปัจจัยมี 4 วาระ รวมเป็นอุปนิสสยปัจจัย 20 ประเภท.
ก็ในอธิการนี้ ปุเรชาตปัจจัยและปัจฉาชาตปัจจัยขาดไป เพราะว่า
อรูปธรรมที่เกิดก่อนหรือเกิดทีหลังย่อมไม่เป็นปัจจัยแก่อรูปธรรม. สองบทว่า
กมฺเม อฏฺฐ ได้แก่วิสัชนา 8 วาระ อย่างนี้คือ ธรรมที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา
เป็น กัมมปัจจัย ทั้ง 2 อย่าง แก่ธรรมที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา เป็นปัจจัย
โดยนานักขณิกกัมมปัจจัยอย่างเดียวแก่ธรรมที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา และแก่

ธรรมที่สัมปยุตด้วยอุเบกขาเวทนา ธรรมที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาเป็นปัจจัย
ด้วยอำนาจของกัมมปัจจัย 2 อย่าง แก่ธรรมที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนา ที่เป็น
ปัจจัยแก่ธรรมที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาไม่มี เป็นปัจจัยแก่อุเบกขาเวทนาโดย
นานักขณิกกัมมปัจจัยอย่างเดียว ธรรมที่สัมปยุตด้วยอุเบกขาเวทนาเป็นปัจจัย
โดยกัมมปัจจัยทั้ง 2 อย่าง แก่ธรรมที่สัมปยุตด้วยอุเบกขาเวทนา เป็นนานัก-
ขณิกกัมมปัจจัยอย่างเดียว แก่ธรรมที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนาและทุกขเวทนานอก
นี้. ก็ในอธิการนี้ ว่าโดยความต่างกันแห่งปัจจัย นานักขณิกกัมมปัจจัยมี 8
สหชาตกัมมปัจจัยมี 3 รวมเป็นกัมมปัจจัย 11 ประเภท. ก็ในนิทเทสแห่ง
กัมมปัจจัย นี้ วิปปยุตตปัจจัยย่อมขาดไปเหมือนปุเรชาตะ และปัจฉาชาต-
ปัจจัยฉะนั้น เพราะว่าอรูปธรรมทั้งหลายย่อมไม่เป็นวิปปยุตตปัจจัยแก่อรูป
ธรรมด้วยกัน.
วาระ 7 ใน นัตถิและวิคตปัจจัย เหมือนกับในอนันตรปัจจัย
และสมนันตรปัจจัย. ในอธิการนี้มีการกำหนดวิธีนับ 5 อย่าง คือวิสัชนา
3-5-7-8-9 ด้วยประการฉะนี้. ในการรวมปัจจัยด้วยอำนาจการกำหนดวิธี
นับเหล่านั้น ผู้ศึกษาพึงนำปัจจัยที่เกินและที่ไม่ได้ออกไป ในการรวมกับปัจจัย
ทีมีวิธีนับได้น้อยกว่า แล้วทราบวิธีนับต่อไป ในการรวมกับเหตุปัจจัยย่อม
ไม่ได้อารัมมณปัจจัยและสมนันตรปัจจัยเป็นต้น.
สองบทว่า อธิปติยา เทฺว วิสัชนา 2 วาระที่เหลือเว้นบทที่เกี่ยว
กับทุกขเวทนา. จริงอยู่ ชื่อว่าเหตุที่สัมปยุตด้วยทุกขเวทนาที่เป็นอธิบดีมีไม่ได้
เพราะเหตุนั้นท่านจึงนำออกเสีย แม้ในสองวาระที่เหลือก็นัยนี้เหมือนกัน.
ในคำว่า เทฺว ใน เหตุมูลกนัย มีการกำหนดวิธีนับ 2 วาระเท่า
นั้น ด้วยประการฉะนี้. ฆฏนา 6 พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ด้วยอำนาจการ

กำหนดวิธีนับเหล่านั้น. บรรดาฆฏนา 6 เหล่านั้น ฆฏนาที่ 1 ตรัสไว้
ด้วยอำนาจธรรมที่ไม่มีอธิบดีที่ไม่ประกอบด้วยญาณซึ่งเป็นวิบาก.
ฆฏนาที่ 2 ตรัสด้วยอำนาจธรรมเหล่านั้นเองซึ่งเป็นวิบาก.
ฆฏนาที่ 3 และ ฆฏนาที่ 4 ตรัสด้วยอำนาจธรรมเหล่านั้นอีก แต่
เป็นญาณสัมปยุต.
ฆฏนาที่ 5 ตรัสด้วยอำนาจอโมหะที่เป็นอธิบดีที่เป็นอวิปาก.
ฆฏนาที่ 6 ตรัสด้วยอำนาจอโมหะที่เป็นอธิบดีที่เป็นวิบาก.
อีกอย่างหนึ่ง ฆฏนาที่ 1 ตรัสด้วยอำนาจเหตุทั้งหมด.
ฆฏนาที่ 2 ตรัสด้วยอำนาจวิบากเหตุทั้งหมด.
ฆฏนาที่ 3 ตรัสด้วยอำนาจอโมหะเหตุทั้งหมด.
ฆฏนาที่ 4 ตรัสด้วยอำนาจอโมหะเหตุที่เป็นวิบากทั้งหมด.
ฆฏนาที่ 5 ตรัสด้วยอำนาจอโมหะที่เป็นอธิบดีทั้งหมด.
ฆฏนาที่ 6 ตรัสด้วยอำนาจอโมหะที่เป็นวิบากมีอธิบดีทั้งหมด.
ในอารัมมณมูลกนัย สองบทว่า อธิปติยา จตฺตาริ ความว่า ใน
อธิปติปัจจัยมีฆฏนา 4 วาระอย่างนี้คือ สุขเป็นปัจจัยแก่สุข แก่อุเบกขา ด้วย
อำนาจของอารัมมณาธิปติปัจจัย อุเบกขาเป็นปัจจัยแก่อุเบกขา แก่สุข ด้วย
อำนาจของอารัมมณาธิปติปัจจัย.
แม้ในอุปนิสสยปัจจัย พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสวาระไว้ 4 วาระ ด้วย
อำนาจอารัมมณูปนิสสยปัจจัย. ก็ในอุปนิสสยปัจจัยมีฆฏนา 1 เท่านั้น. แม้ใน
นัยที่มี อธิปติปัจจัย เป็นต้น ฆฏนาใดมีได้และไม่ได้ ตามนัยที่กล่าวแล้ว
ในหนหลัง ผู้ศึกษากำหนดฆฏนานั้นทั้งหมดแล้วพึงทราบจำนวนฆฏนาที่เทียบ
เคียงกัน.

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกปัจจัยทั้งหลายขึ้นโกยอนุโลมตามนัยที่ตรัสไว้
ในกุสลติกะในปัจจนียนัย แล้วทรงแสดงวาระ 9 ในปัจจัยทั้งปวงว่า นเหตุยา
นว
เป็นต้น ด้วยอำนาจการนับโดยปัจจนียะ เกี่ยวกับวาระที่ได้ในปัจจัยเหล่า
นั้น วาระเหล่านั้นผู้ศึกษาพึงยกบาลีขึ้นแสดงโดยนัยว่า บุคคลถวายทานด้วยจิต
ที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา ธรรมที่สัมปยุตด้วยสุขเวทนา เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่
สัมปยุตด้วยสุขเวทนา โดยนเหตุปัจจัย ดังนี้ เป็นต้น ด้วยอำนาจแห่งวิสัชนา 9
วาระ อันมีปัจจัยที่มีมูละ 1 และมีมูลี 1 เป็นที่สุด.
ก็ในการรวมปัจจัยในอธิการนี้ คำว่า นเหตุปจฺจยา ฯเปฯ นอุป-
นิสฺสเย อฏฺฐ
ผู้ศึกษาพึงทราบวาระด้วยอำนาจนานักขณิกกัมมปัจจัย จริงอยู่
กรรมที่มีกำลังทรามย่อมไม่เป็นอุปนิสสยปัจจัย แต่เป็นปัจจัยโดยนานักขณิก-
กัมมปัจจัยอย่างเดียวเท่านั้น ก็ฆฏนาที่เหลือทั้งในอนุโลมปัจจนียะและปัจจนียา-
นุโลมในอธิการนี้ ผู้ศึกษาสามารถนับได้โดยนัยที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้แล้วในหนหลัง
ด้วยอำนาจแห่งวาระที่ได้แล้วในการประกอบแห่งปัจจัยนั้น ๆ เพราะฉะนั้นจึง
ไม่อธิบายอย่างพิสดาร แล.
อรรถกถาวรรณนาเนื้อความแห่งเวทนาติกปัฏฐาน จบแล้ว

3. วิปากติกะ


ปฏิจจวาระ


อนุโลมนัย


เหตุปัจจัย


[1238] 1. วิปากธรรม อาศัยวิปากธรรมเกิดขึ้น เพราะเหตุ
ปัจจัย

คือ ขันธ์ 3 อาศัยขันธ์ ที่เป็นวิบากเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ 2 อาศัยขันธ์
2 เกิดขึ้น.
ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ 3 อาศัยขันธ์ 1 ที่เป็นวิบากเกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์
2 อาศัยขันธ์ 2 เกิดขึ้น.
2. เนววิปากนวิปากธัมมธรรม อาศัยวิปากธรรม
เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย

คือจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยวิบากขันธ์ทั้งหลายเกิดขึ้น.
ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปอาศัยวิบากขันธ์ทั้งหลายเกิดขึ้น.
3. วิปากธรรมและเนววิปากนวิปากธัมมธรรม
อาศัยวิปากธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย

คือ ขันธ์ 3 และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ 1 ที่เป็นวิบากเกิดขึ้น
ฯลฯ ขันธ์ 2 และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ 2 เกิดขึ้น.