เมนู

พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งภายในและภายนอก


[443] ก็ภิกษุพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งภายในและภาย
นอก
เนือง ๆอยู่เป็นอย่างไร ?
ภิกษุในศาสนานี้ รู้ชัดสุขเวทนาว่า เป็นสุขเวทนา รู้ชัดทุกขเวทนา
ว่า เป็นทุกขเวทนา รู้ชัดอทุกขมสุขเวทนาว่า เป็นอทุกขมสุขเวทนา รู้ชัด
สุขเวทนามีอามิสว่า เป็นสุขเวทนามีอามิส รู้ชัดสุขเวทนาไม่มีอามิสว่า เป็น
สุขเวทนาไม่มีอามิส รู้ชัดทุกขเวทนามีอามิสว่า เป็นทุกขเวทนามีอามิส รู้ชัด
ทุกขเวทนาไม่มีอามิสว่า เป็นทุกขเวทนาไม่มีอามิส รู้ชัดอทุกขมสุขเวทนามีอามิส
ว่า เป็นอทุกขมสุขเวทนามีอามิส รู้ชัดอทุกขมสุขเวทนาไม่มีอามิสว่า เป็น
อทุกขมสุขเวทนาไม่มีอามิส.
ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุ ชื่อว่าพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งภายใน
และภายนอกเนือง ๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและ
โทมนัสเสียได้ในโลก.
[444] ในบทเหล่านั้น บทว่า พิจารณาเห็นเนือง ๆ มีนิเทศ
ว่า การพิจารณาเห็นเนือง ๆ เป็นไฉน ?
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า พิจารณาเห็น
เนือง ๆ.

บทว่า อยู่ มีนิเทศว่า สืบเนื่องกันอยู่ ฯลฯ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า
อยู่.
บทว่า มีความเพียร มีนิเทศว่า ความเพียร เป็นไฉน ?
การปรารภความเพียรทางใจ ฯลฯ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่ามีความเพียร.

บทว่า มีสัมปชัญญะ มีนิเทศว่า สัมปชัญญะ เป็นไฉน ?
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า มีสัมปชัญญะ.
บทว่า มีสติ มีนิเทศว่า สติ เป็นไฉน ?
สติ ความตามระลึก ฯลฯ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า มีสติ.
บทว่า กำจัดอภิชฌาและโทมนัสเสียได้ในโลก มีนิเทศว่าโลก
เป็นไฉน ?
เวทนานั้นเอง ชื่อว่าโลก แม้อุปาทานขันธ์ ก็ชื่อว่า 5 ก็ชื่อว่า โลก
นี้เรียกว่าโลก.
อภิชฌา เป็นไฉน ?
ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ฯลฯ ความกำหนัดนักแห่งจิต อัน
ใดนี้เรียกว่า อภิชฌา.
โทมนัส เป็นไฉน ?
ความไม่สบายทางใจ ความทุกข์ทางใจ ความเสวยอารมณ์ที่ไม่สบาย
เป็นทุกข์อันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาที่เสวยอารมณ์ที่ไม่สบายเป็นทุกข์อันเกิด
แต่เจโตสัมผัส อันใด นี้เรียกว่า โทมนัส.
อภิชฌาและโทมนัสดังกล่าวมานี้ ถูกกำจัด ถูกกำจัดราบคาบ สงบ
ระงับ เข้าไประงับ ดับไป ดับไปอย่างราบคาบ ถูกทำให้พินาศไป ถูกทำ
ให้พินาศไปอย่างราบคาบ ถูกทำไห้เหือดแห้งด้วยดี ถูกทำให้มีที่สุดปราศไป
แล้ว ในโลกนี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า กำจัดอภิชฌาและโทมนัสเสียได้ในโลก.
เวทนานุปัสสนานิทเทส จบ

จิตตานุปัสสนานิทเทส


พิจารณาเห็นจิตในจิตภายใน


[445] ก็ภิกษุ พิจารณาเห็นจิตในจิตภายในเนืองๆ อยู่ เป็น
อย่างไร ?
ภิกษุในศาสนานี้ เมื่อจิตมีราคะ ก็รู้ชัดว่า จิตของเรามีราคะ หรือ
เมื่อจิตปราศจากราคะ ก็รู้ชัดว่า จิตของเราปราศจากราคะ.
เมื่อจิตมีโทสะ ก็รู้ชัดว่า จิตของเรามีโทสะ หรือเมื่อจิตปราศ
จากโทสะ
ก็รู้ชัดว่า จิตของเราปราศจากโทสะ.
เมื่อจิตมีโมหะ ก็รู้ชัดว่า จิตของเรามีโมหะ หรือเมื่อจิตปราศจาก
โมหะ
ก็รู้ชัดว่า จิตของเราปราศจากโมหะ.
เมื่อจิตหดหู่ ก็รู้ชัดว่า จิตของเราหดหู่ หรือเมื่อจิตฟุ้งซ่าน ก็รู้
ชัดว่า จิตของเราฟุ้งซ่าน.
เมื่อจิตเป็นมหัคคตะ ก็รู้ชัดว่า จิตของเราเป็นมหัคคตะ หรือเมื่อ
จิตไม่เป็นมหัคคตะ ก็รู้ชัดว่า จิตของเราไม่เป็นมหัคคตะ.
เมื่อจิตเป็นสอุตตระ ก็รู้ชัดว่า จิตของเราเป็นสอุตตระ หรือเมื่อ
จิตเป็นอนุตตระ ก็รู้ชัดว่า จิตของเราเป็นอนุตตระ.
เมื่อจิตตั้งมั่น ก็รู้ชัดว่า จิตของเราตั้งมั่น หรือเมื่อจิตไม่ตั้งมั่น
ก็รู้ชัดว่า จิตของเราไม่ตั้งมั่น.
เมื่อจิตหลุดพ้น ก็รู้ชัดว่า จิตของเราหลุดพ้น หรือเมื่อจิตยังไม่
หลุดพ้น
ก็รู้ชัดว่า จิตของเรายังไม่หลุดพ้น.