เมนู

ว่าด้วยกรรมสมาทานอันเป็นกุศล


แม้ในคำทั้งหลายมีคำว่า กรรมสมาทานอันเป็นกุศลบางอย่าง
มีอยู่ กรรมสมาทานนั้นอันคติวิบัติห้ามไว้ ย่อมไม่ให้ผล
ดังนี้ เป็นต้น
บัณฑิตพึงประกอบเนื้อความ อย่างนี้.
กัลยาณกรรมจำนวนมาก มีอยู่แก่บุคคลบางคนในโลกนี้ กรรมนั้น
พึงให้ผลแก่ผู้ตั้งอยู่ในคติสมบัติ. แต่ว่า เขาผู้นั้นไปเกิดในคติวิบัติ คือ ใน
นรก หรือในอสุรกาย ด้วยบาปกรรมอย่างหนึ่ง. ในฐานะเช่นนี้ กุศลย่อม
ไม่อาจเพื่อให้ผล อกุศลเท่านั้นย่อมให้ผลโดยส่วนเดียว.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมทรงทราบว่า กุศลกรรมเหล่านั้น
ของบุคคลนั้น อันคติวิบัติห้ามไว้ จึงไม่ให้ผล ดังนี้ ด้วยประการ
ฉะนี้.

กัลยาณกรรมจำนวนมาก มีอยู่แม้แก่บุกคลอื่นอีก กรรมนั้น พึงให้
ผลแก่ผู้ตั้งอยู่ในอุปธิสมบัติ. แต่ว่าเขาตั้งอยู่ในอุปธิวิบัติ ด้วยบาปกรรมหนึ่ง
คือ เป็นผู้มีผิวพรรณทราม เช่นกับปีศาจ แม้ว่าเขาเกิดในราชตระกูล โดย
การอันล่วงไปแห่งพระบิดาย่อมไม่ได้ราชสมบัติ เพราะว่า อะไร ๆ ด้วยราช
สมบัติของผู้นี้หาสิริมิได้. แม้เกิดในบ้านของเสนาบดีเป็นต้น ก็ย่อมไม่ได้
ตำแหน่งเสนาบดี หรือตำแหน่งเศรษฐี. ก็เพื่อความแจ่มแจ้งแห่งเนื้อความนี้
พึงทราบเรื่องพระเจ้าทีปราช.

เรื่องพระเจ้าทีปราช


ได้ยินว่า พระราชา เมื่อพระราชบุตรประสูติแล้ว ทรงเลื่อมใสใน
พระเทวี จึงได้ทรงประทานพร พระเทวีนั้นรับพรแล้ว ทรงยับยั้งอยู่. ต่อมา
พระกุมารมีชันษา 7 พรรษา ได้ให้ราชบุรุษนำไก่มาชนกันที่พระลานหลวง

ไก่ตัวหนึ่งบินขึ้นไปแล้วทำลายพระเนตรของพระกุมาร. พระเทวีผู้เป็นพระ-
มารดาทรงดำริว่า เราจักทูลขอราชสมบัติในเวลาที่โอรสมีชันษา 15 หรือ 16
ดังนี้ จึงเสด็จไปเฝ้าพระราชา ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ในเวลาที่
พระกุมารประสูติแล้ว พระองค์ทรงประทานพรแก่หม่อมฉัน หม่อมฉันรับพร
นั้นแล้วรอเวลาอยู่ บัดนี้ หม่อมฉันจักถือเอาพรนั้น ดังนี้. พระราชาตรัสว่า
ดีแล้ว เทวี เธอจงถือเอา ดังนี้. พระเทวีทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ สิ่งอะไร ๆ
ชื่อว่า หม่อมฉันไม่ได้แล้วจากสำนักของพระองค์ มิได้มี แต่บัดนี้ หม่อมฉัน
ขอทูลขอราชสมบัติเพื่อพระโอรสของหม่อมฉัน ดังนี้. พระราชาตรัสว่า ดูก่อน
เทวี บุตรของเธอมีอวัยวะไม่สมประกอบ เราไม่อาจเพื่อจะให้ราชสมบัติแก่
บุตรของเธอได้ ดังนี้. พระเทวีทูลว่า พระองค์ เมื่อไม่อาจเพื่อประทานพรอัน
พอพระทัยแก่หม่อมฉัน เพราะเหตุไร จึงได้ประทานพรแก่หม่อมฉันในครั้ง
นั้นเล่า ดังนี้. พระราชา เมื่อถูกบีบคั้นอยู่อย่างยิ่ง ก็ไม่อาจเพื่อให้ราชสมบัติ
ในลังกาทวีปทั้งสิ้นแก่โอรสของพระองค์ จึงทรงส่งไปสู่นาคทีปะ (เกาะเล็ก)
ด้วยพระดำรัสว่า จงให้ราชบุรุษยกฉัตรขึ้นที่นาคทีปะแล้วอยู่เถิดดังนี้ พระราช-
บุตรนั้น จึงได้ทรงพระนามว่า พระเจ้าทีปราช. ถ้าว่า ความพิการแห่ง
จักษุจักไม่ได้มีแล้วไซร้ ก็จักได้ราชสมบัติอันแวดล้อมด้วยสมบัติทั้งปวงใน
ตัมพปัณณิทวีปทั้งสิ้นซึ่งมี 150 โยชน์เป็นประมาณ.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมทรงทราบว่า กัลยาณกรรมทั้งหลาย
อันอุปธิวิบัติห้ามไว้ จึงไม่ให้ผล ดังนี้ ด้วยประการฉะนี้
.
กัลยาณกรรมจำนวนมาก มีอยู่ แก่บุคคลอื่นอีก กรรมนั้นพึงให้
ผลแก่บุคคลผู้ตั้งอยู่ในกาลสมบัติ. แต่ว่าบุคคลนั้นเกิดในกาลวิบัติ คือใน
กาลแห่งพระราชาไม่ตั้งอยู่ในธรรมและมนุษย์ชั่ว เป็นกาลลามก ไร้ค่า มีอายุ

น้อยที่สุดแห่งการดำเนินไป. ก็ในกาลเช่นนั้น กัลยาณกรรม ย่อมไม่อาจเพื่อ
ให้ผล.
พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงทราบว่า กัลยาณกรรมทั้งหลาย
อันกาลวิบัติห้ามไว้ ย่อมไม่ให้ผล ดังนี้ ด้วยประการฉะนี้.

กัลยาณกรรมทั้งหลายมาก มีอยู่แก่บุคคลแม้บางคน กรรมเหล่านั้น
พึงให้ผลแก่ผู้ตั้งอยู่ในปโยคสมบัติ. แต่ว่า บุคคลนี้ตั้งอยู่ในปโยควิบัติ คือ
ย่อมฆ่าสัตว์ ฯลฯ ย่อมยังความเป็นผู้ทุศีลทั้งปวงให้เต็ม. โดยทำนองนั้น ตระกูล
ทั้งหลาย แม้มีชาติเสมอกัน ก็ย่อมไม่ทำอาวาหะและวิวาหมงคลกับตระกูลผู้
ทุศีลนั้น บุรุษเช่นนี้ เป็นผู้ลามก คือ เป็นนักเลงหญิง นักเลงสุรา นักเลง
การพนัน ฉะนั้น ผู้หวังประโยชน์ต้องเว้นให้ไกล. เพราะกัลยาณกรรมทั้งหลาย
ย่อมไม่อาจเพื่อให้ผล.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมทรงทราบว่า กัลยาณกรรมเหล่านี้
อันปโยควิบัติห้ามไว้ จึงไม่ให้ผล ดังนี้ ด้วยประการฉะนี้.

กัลยาณกรรม อันจะให้ซึ่งผลเพราะอาศัยสมบัติ 4 แต่ย่อมไม่
ให้ผล เพราะกัลยาณกรรมนั้น อันวิบัติ 4 ห้ามไว้ จึงไม่ให้ผล ด้วย
ประการฉะนี้.
กัลยาณกรรมจำนวนมาก มีอยู่แก่บุคคลแม้อื่นอีก กรรมนั้นไม่พึง
ให้ผลแก่บุคคลผู้ตั้งอยู่ในคติวิบัติ. แต่ว่าบุคคลนั้น เกิดในคติสมบัติ ด้วย
กัลยาณกรรมหนึ่งนั่นแหละ กรรมเหล่านั้นเข้าถึงผู้นั้นแล้ว จึงให้ผลในที่นั้น ๆ
คือให้เกิดในมนุษยโลกตามกาลอันควร ให้เกิดในเทวโลกตามกาลอันควร.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมทรงทราบว่า กัลยาณกรรมเหล่านี้
ไม่อาจเพื่อให้ผล เพราะคติวิบัติห้ามไว้ แต่ย่อมให้ผล เพราะอาศัย
คติสมบัติ ดังนี้ ด้วยประการฉะนี้.

กัลยาณกรรมจำนวนมาก มีอยู่แก่บุคคลแม้อื่นอีก กรรมเหล่านั้น
ไม่พึงให้ผลแก่ผู้ตั้งอยู่ในอุปธิวิบัติ. แต่ว่า บุคคลนั้นตั้งอยู่ในอุปธิสมบัติด้วย
กัลยาณกรรมอย่างหนึ่ง คือ มีรูปงาม น่าดู เช่นกับรูปพรหม กัลยาณกรรมเหล่า
นั้นชื่อว่าย่อมให้ผล เพราะความที่บุคคลนั้นตั้งอยู่ในอุปธิสมบัติ. ถ้ากรรมนั้น
เกิดในราชสำนัก ทั้งที่พระเชษฐาทั้งหลายแม้มีอยู่ อัตภาพของผู้อันกรรมให้
เกิดขึ้นแล้วนี้ ย่อมเป็นของสำเร็จแล้วด้วยดี ราชบุรุษทั้งหลาย ย่อมอภิเษก
ผู้นั้นนั่นแหละในราชสมบัติโดยความหวังว่า เมื่อเรายกเศวตฉัตรขึ้นแก่ผู้นี้แล้ว
ความผาสุกจักมีแก่ชาวโลก ดังนี้. ผู้เกิดในบ้านของอุปราช เป็นต้น ย่อมได้
ความเป็นอุปราช โดยกาลอันล่วงไปแห่งบิดา ซึ่งเป็นตำแหน่งเสนาบดี ตำแหน่ง
ขุนคลัง หรือตำแหน่งเศรษฐี.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมทรงทราบว่า กัลยาณกรรมเหล่านี้
ไม่อาจให้ผล เพราะอุปธิวิบัติห้ามไว้ แต่ย่อมให้ผล เพราะอาศัย
อุปธิสมบัติ ดังนี้ ด้วยประการฉะนี้.

กัลยาณกรรมจำนวนมาก มีอยู่แก่บุคคลแม้อื่นอีก กรรมเหล่านั้นไม่
พึงให้ผลแก่ผู้ตั้งอยู่ในกาลวิบัติ. แต่ว่า บุคคลนั้นเกิดในกาลสมบัติด้วยกัลยาณ-
กรรมอย่างหนึ่ง คือ ในกาลแห่งพระราชาทรงธรรม และมนุษย์ผู้ใจดี. กัลยาณ-
กรรมย่อมให้ผลแก่บุคคลผู้เกิดนั้น เพราะการสำเร็จแห่งกาลเช่นนั้น ในข้อนี้
พึงทราบเรื่องของพระเถระ ชื่อว่า มหาโสณะ เป็นอุทาหรณ์.

เรื่องพระเถระ ชื่อว่า มหาโสณะ


ได้ยินว่า ภิกษุมีจำนวนหนึ่งหมื่นสองพันรูป อาศัยอยู่ที่จิตตลบรรพต
ซึ่งมีภัยแต่พราหมณ์ (ผู้เป็นโจร) ชื่อว่า ติสสะ. ในติสสะมหาวิหาร ก็เหมือน