เมนู

มิให้เหลือ ด้วยสามารถแห่งภาษิตในที่แม้นี้ว่า นี้เป็นอรรถแห่งภาษิตนี้
นี้เป็นอรรถแห่งภาษิตนี้
ดังนี้ ว่า เป็นอัตถปฏิสัมภิทา ดังนี้แล.
สุตตันตภาชนีย์ จบ

วรรณนาอภิธรรมภาชนีย์


บรรดาปฏิสัมภิทา 4 เหล้านั้น ปฏิสัมภทา 3 คือ ธัมมะ,
นิรุตติ, ปฏิภาณปฏิสัมภิทา เป็นโลกียะ. อัตถปฏิสัมภิทา เป็น
มิสสกะ คือ เป็นโลกิยะก็มี เป็นโลกุตตระก็มี. จริงอยู่ อัตถปฏิ-
สัมภิทานั้น เป็นโลกุตตระด้วยสามารถแห่งญาณในมรรคและผล อัน
มีพระนิพพานเป็นอารมณ์.

ในอภิธรรมภาชนีย์ ท่านจำแนกปฏิสัมภิทาเหล่านั้นโดยวาระทั้ง 4
ด้วยสามารถแห่ง กุศล อกุศล วิบาก และกิริยา. ในธรรมเหล่านั้น บัณฑิต
พึงทราบว่า กุศลจิตท่านจำแนกไว้ในจิตตุปปาทกัณฑ์ในหนหลัง มีประมาณ
เท่าไร พึงทราบปฏิสัมภิทาอย่างละ 4 ในจิตตนิทเทสหนึ่งๆ ด้วยสามารถแห่ง
ธรรมเหล่านั้นแม้ทั้งหมด. แม้ในอกุศลจิตทั้งหลาย ก็นัยนี้แหละ.

ปฏิสัมภิทา 3 (เว้นธัมมะ)

1
ในวาระว่าด้วยวิบากและกิริยา ท่านเว้นธัมมปฏิสัมภิทาเสีย
เพราะความที่วิบากและกิริยาทั้งหลายท่านสงเคราะห์ด้วยอัตถปฏิ-
สัมภิทา.2 ในวิปากจิตก็ดี ในกิริยาจิตก็ดี อย่างหนึ่ง ๆ ท่านจำแนก
ปฏิสัมภิทาไว้อย่างละ 3 เท่านั้น.


1. ธัมมะ ได้แก่ กามาวจรกุศลจิต รูปาวจรกุศลจิต อรูปาวจรกุศลจิต โลกุตตรจิต และอกุศลจิต
2. อัตถะ ได้แก่ อเหตุกกุศลวิปากจิต กามาวจรวิปากจิต รูปาวจรวิปากจิต อรูปาวจรวิปากจิต
โลกุตตรวิปากจิต และอกุศลวิปากจิต.

พระบาลีท่านแสดงย่อไว้เพียงแต่หัวข้อ. ปฏิสัมภิทา 3 เหล่านั้น
บัณฑิตพึงทราบด้วยสามารถแห่งความพิสดารอันมาแล้วในหนหลัง แล.
ถามว่า ก็ในวาระว่าด้วยกุศลและอกุศลทั้งหลาย ท่านกล่าวว่า ญาณ
ในวิบากแห่งธรรมเหล่านั้นว่าเป็น อัตถปฏิสัมภิทา ในวาระว่าด้วยวิบากและ
กิริยานี้ ท่านไม่กล่าวว่า ญาณในธรรมเหล่านั้นว่าเป็น ธัมมปฏิสัมภิทา เพราะ
เหตุไร ?
ตอบว่า เพราะท่านกล่าวไว้แล้วในหนหลัง.
แม้อัตถปฏิสัมภิทานี้ก็ไม่พึงกล่าวในที่นี้ เพราะท่านกล่าวไว้ในหนหลัง
แล้วว่า ญาณในวิบากของธรรมเหล่านั้นว่า เป็นอัตถปฏิสัมภิทา ดังนี้. ที่จริง
ไม่ควรกล่าวเสียเลยก็หาไม่.
ถามว่า เพราะเหตุไร ?
ตอบว่า เพราะความที่ปฏิสัมภิทานี้ ท่านไม่กล่าวด้วยสามารถแห่ง
จิตตุปปาทของวิบากและกิริยา.
อนึ่ง ในวาระว่าด้วยกิริยา ท่านจำแนกปฏิสัมภิทาไว้อย่างละ 3 เท่า
นั้น ในวาระแม้ทั้งสองเหล่านี้ คำว่า ธรรมเหล่านี้ เป็นกิริยาของธรรมเหล่าใด
ดังนี้ ไม่สมควร. ในวาระเหล่านั้น บัญญัติอย่างนี้ว่า ผัสสะนี้ เวทนานี้
แห่งธรรมทั้งหลายที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วโดยนัยว่า ยาย นิรุตฺติยา เตสํ
ธมฺมานํ ปญฺญตฺติ โหติ
เป็นต้น (แปลว่า บัญญัติแห่งธรรมเหล่านั้น ย่อม
มีด้วยนิรุตติใด) ในคำเหล่านั้น คำว่า ธมฺมนิรุตฺตาภิลาเป ญาณํ (แปลว่า
ความรู้แตกฉานในอันกล่าวธัมมนิรุตติ) ได้แก่ ญาณในอันกล่าวธรรมด้วย
สภาวบัญญัติ คือธัมมนิรุตตินั้น อันเป็นไปในอรรถ และในธรรม. แม้ใน
ข้อนี้ ท่านก็กล่าวว่าญาณอันเกิดขึ้นแล้วกระทำอภิลาปสัททะ (เสียงในการ

กล่าว) ให้เป็นอารมณ์. คำว่า เยน ญาเฌน แปลว่า ด้วยปฏิภาณปฏิ-
สัมภิทาใด. คำว่า ตานิ ญาณานิ ชานาติ ได้แก่ ย่อมรู้ซึ่งญาณใน
ปฏิสัมภิทา 3 นอกจากนี้.
บัดนี้ เพื่อแสดงซึ่งความเป็นไปในญาณทั้งหลาย ที่รู้ซึ่งญาณใด โดย
ประการใดเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า อิมานิ ญาณานิ อิทมตฺถ-
โชตกานิ
ดังนี้ (แปลว่า ญาณเหล่านี้ ส่องเนื้อความนี้). บรรดาคำเหล่านั้น
คำว่า อิทมตฺถโชตกานิ (แปลว่า ส่องเนื้อความนี้) ได้แก่ ส่อง คือประกาศ
ซึ่งเนื้อความนี้. อธิบายว่า ญาณ 3 เหล่านี้ ย่อมส่อง ย่อมประกาศ ย่อม
กำหนดซึ่งเนื้อความ ชื่อนี้. คำว่า อิติ ญาเณสุ ญาณํ (แปลว่า ความรู้
แตกฉานในญาณทั้งหลาย โดยอาการอย่างนี้) ได้แก่ ความรู้ในญาณทั้ง 3 เป็น
ไปโดยอาการอย่างนี้ ชื่อว่า ปฏิภาณปฏิสัมภิทา. ในปฏิสัมภิทา 4
เหล่านั้น ปฏิภาณปฏิสัมภิทานี้ ย่อมรู้ซึ่งกิจของปฏิสัมภิทาทั้งหลายเหล่านี้ว่า
นี้เป็นกิจของปฏิสัมภิทานี้ และนี้เป็นกิจของปฏิสัมภิทานี้ แม้ก็จริง ถึงอย่าง
นั้น ตัวเองก็ย่อมไม่อาจเพื่อกระทำกิจ (คือทำหน้าที่) ของปฏิสัมภิทาเหล่า
นั้นได้ เปรียบเหมือน พระธรรมกถึกผู้เป็นพหูสูต ย่อมไม่อาจเพื่อกระทำกิจ
ของพระธรรมกถึกผู้เป็นอัปปสูต (ผู้มีสุตะน้อย) ได้.
ได้ยินว่า ภิกษุ 2 รูป รูปหนึ่งเป็นพหูสูต รูปหนึ่งเป็นอัปปสูต.
ภิกษุทั้งสองรูปนั้นเรียนการบอกธรรมอย่างหนึ่งด้วยกัน. ในสองรูปนั้นผู้มีสุตะ
น้อยได้เป็นผู้มีเสียงไพเราะ ส่วนรูปที่เป็นพหูสูตมีเสียงเบา (ไม่ไพเราะ)ในสอง
รูปนั้น ภิกษุผู้อัปปสูตยังบริษัททั้งสิ้นให้หวั่นไหว (คือให้ติดใจ) ด้วยสมบัติคือ

เสียงของตนในสถานที่ตนไปแล้วๆ แล้วจึงแสดงธรรม. มหาชนฟังธรรมของท่าน
อยู่ต่างก็มีจิตร่าเริงยินดีกล่าวว่า รูปนั้นกล่าวธรรม เห็นจะเป็นผู้ทรงพระ
ไตรปิฎกรูปหนึ่ง.
แต่ภิกษุพหูสูตกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจักทราบได้ในเวลาฟัง
ธรรมว่า ภิกษุรูปนี้ทรงพระไตรปิฎกหรือไม่. ภิกษุผู้พหูสูตนั้นถึงจะกล่าวอย่างนี้
แต่เธอก็ไม่สามารถยังบริษัททั้งสิ้นให้หงั่นไหวแล้วแสดงธรรมเช่นนั้นได้ ฉันใด
ข้อนี้ก็ฉันนั้น เพราะความที่ภิกษุพหูสูตไม่มีความสามารถในการแสดง. บัณฑิต
พึงทราบว่าในปฏิสัมภิทา 4 เหล่านั้น ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ย่อมรู้ซึ่งกิจของปฏิ-
สัมภิทา 3 นอกจากนี้ เหมือนภิกษุพหูสูตรู้อยู่ซึ่งกิจการงานของภิกษุผู้เป็นอัปป-
สูต แต่ตัวเอง (ปฏิภาณปฏิสัมภิทา) ไม่สามารถเพื่อกระทำกิจนั้นได้ ดังนี้.
ในกาลบัดนี้ เพื่อจำแนกปฏิสัมภิทาทั้งหลายด้วยสามารถแห่งการเกิดขึ้น
ของกุศลจิตเป็นต้นแล้วแสดงเขตอันเป็นฐานแห่งการเกิดขึ้นของปฏิสัมภิทา
เหล่านั้น จึงตรัสคำว่า จตสฺโส ปฏิสมฺภิทา (แปลว่า ปฏิสัมภิทา 4)
เป็นต้นอีก. บรรดาปฏิสัมภิทาเหล่านั้น คำว่า ติสฺโส ปฏิสมฺภิทา กามาวจร-
กุสลโต จตูสุ ญาณสมฺปยุตฺตจิตฺเตสุ
(แปลว่า ปฏิสัมภิทา 3 เกิดในจิต
ที่สัมปยุตด้วยญาณ 4 ฝ่ายกามาวจรกุศล) นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสแล้ว
ด้วยสามารถแห่งพระเสกขะทั้งหลาย.
จริงอยู่ ธัมมปฏิสัมภิทา กระทำธรรมมีประการ 5 อย่าง (มีสัจจวาระ
เหตุวาระ ธัมมวาระ ปัจจยาการวาระ เเละปริยัตติวาระ) ที่ข้าพเจ้ากล่าวแล้วใน
หนหลังในเวลาพิจารณาธรรม (คือ เหตุ) แม้แห่งธรรมเหล่านั้นให้เป็นอารมณ์
แล้วเกิดขึ้นในกุศลจิตอันสัมปยุตด้วยญาณ 4. โดยทำนองเดียวกัน นิรุตติปฏิ-
สัมภิทากระทำเสียงในเวลาพิจารณานิรุตติให้เป็นอารมณ์แล้วเกิดขึ้น. ปฏิภาณ-
ปฏิสัมภิทากระทำญาณ (ความรู้) ในญาณในที่ทั้งปวงในเวลาพิจารณาญาณ
ให้เป็นอารมณ์เกิดขึ้น.

ส่วนคำว่า "กิริยโต จตูสุ" นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว ด้วย
สามารถแห่งพระอเสกขบุคคล. จริงอยู่ ธัมมปฏิสัมภิทา กระทำธรรม 5 ประการ
ตามที่กล่าวแล้วในหนหลังในเวลาพิจารณาธรรม (คือเหตุ) แห่งธรรมเหล่านั้น
ให้เป็นอารมณ์เกิดขึ้นในกิริยาจิตอันสัมปยุตด้วยญาณ 4. โดยทำนองเดียวกัน
นิรุตติปฏิสัมภิทา กระทำเสียงในเวลาพิจารณานิรุตติ ให้เป็นอารมณ์ เกิดขึ้น.
ปฏิภาณปฏิสัมภิทา กระทำญาณในที่ทั้งปวง ในเวลาพิจารณาญาณ ให้เป็น
อารมณ์เกิดขึ้น.
แต่ข้อว่า "อตฺถปฏิสมฺภิทา เอเตสุ เจว อุปฺปชฺชติ" (แปลว่า
อัตถปฏิสัมภิทา ย่อมเกิดขึ้นในจิตตุปบาทเหล่านี้ด้วย ย่อมเกิดในมรรค 4 และ
ผล 4 ด้วย) นี้พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสด้วยสามารถแห่งพระเสกขะ และพระ
อเสกขะ.
จริงอย่างนั้น อัตถปฏิสัมภิทานี้ กระทำอรรถมีประเภทตามที่กล่าว
แล้วในหนหลังในเวลาพิจารณาอรรถของพระเสกขะทั้งหลายให้เป็นอารมณ์แล้ว
เกิดในกุศลจิตอันสัมปยุตด้วยญาณ 4 ทั้งเกิดในมรรคในผล ในเวลาแห่ง
มรรคและผลด้วย. ก็ปฏิสัมภิทานี้กระทำอรรถมีประเภทดังกล่าวแล้วในหนหลัง
ในเวลาพิจารณาอรรถของพระอเสกขะให้เป็นอารมณ์ ย่อมเกิดขึ้นในกิริยาจิต
อันสัมปยุตด้วยญาณ 4.
อนึ่ง ปฏิสัมภิทาเหล่านี้ เมื่อเกิดแก่พระเสกขะและพระอเสกขะ
ย่อมเกิดในภูมิเหล่านี้ (ภูมิ 4) ในกาลแห่งผล คือในสามัญญผล อันตั้งอยู่
ในเบื้องบน
อย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงแสดงนัยนี้
ไว้ เพื่อแสดงถึงภูมิ ดังพรรณนามาฉะนี้.
วรรณนาอภิธรรมภาชนีย์ จบ

วรรณนาปัญหาปุจฉะ


ในปัญหาปุจฉกะ

บัณฑิตพึงทราบ ความที่ปฏิสัมภิทา 4 เป็นกุศล
เป็นต้น โดยทำนองแห่งพระบาลีนั้นแหละ. ก็แต่ ในอารัมมณติกะทั้งหลาย
นิรุตติปฏิสัมภิทา ชื่อว่า เป็นปริตตารัมมณะ เพราะทำเสียงเท่านั้นให้เป็น
อารมณ์.
อัตถปฏิสัมภิทา เป็นปริตตารัมมณะแก่ผู้พิจารณาซึ่งอรรถ กล่าว
คือ กามาวจรวิบากและกิริยา และสภาวะอันอาศัยกันเกิดขึ้นเพราะปัจจัย.
เมื่อพิจารณาอรรถแห่งรูปาวจรและอรูปาวจร มีประเภทตามที่กล่าวแล้วนั่น
แหละ เป็นมหัคคตารัมมณะ. เมื่อพิจารณาพระนิพพาน อันเป็นปรมัตถ์
และอรรถ คือโลกุตตรวิบาก ชื่อว่า เป็นอัปปมาณารัมมณะ.
ธัมมปฏิสัมภิทา เป็นปริตตารัมมณะ แก่ผู้พิจารณาซึ่งกามาวจรกุศล
อกุศล และธรรมอันเป็นปัจจัย. เมื่อพิจารณากุศลธรรมอันเป็นรูปาวจร
อรูปาวจร และธรรมอันเป็นปัจจัย เป็นมหัคคตารัมมณะ. เมื่อพิจารณาอยู่ซึ่ง
ธรรมอันเป็นโลกุตตรกุศล และธรรมอันเป็นปัจจัย เป็นอัปปมาณารัมมณะ.
ปฏิภาณปฏิสัมภิทา เป็นปริตตารัมมณะ แก่ผู้พิจารณาอยู่ซึ่งญาณ
ในกามาวจรกุศล วิบากและกิริยา. เมื่อพิจารณาอยู่ซึ่งญาณในกุศล วิบาก
และกิริยาอันเป็นรูปาวจร อรูปาวจร รู้อยู่ซึ่งอารมณ์ทั้งหลายของธรรมเหล่า
นั้น เป็นมหัคคตารัมมณะ. เมื่อพิจารณาอยู่ซึ่งญาณในกุศล และวิบาก อัน
เป็นโลกุตตระ เป็นอัปปมาณารัมมณะ.
อัตถปฏิสัมภิทา เป็นมัคคเหตุกะ ด้วยสามารถแห่งสหชาตเหตุ.
เป็นมัคคาธิปติ ด้วยการเจริญมรรค มีวิริยะเป็นหัวหน้า. ไม่พึงกล่าวว่า เป็น