เมนู

วรรณนาอภิธรรมภาชนีย์


แบบแผนในอภิธรรมภาชนีย์ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตั้งไว้
โดยนัยอันมาแล้วจิตตุปปาทกัณฑ์ ในหนหลังนั่นแหละ. ฉะนั้น ในอภิธรรม
ภาชนีย์นี้ บัณฑิตพึงทราบเนื้อความแห่งฌานทั้งหลาย แม้ทั้งหมดที่พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว ด้วยสามารถแห่งธรรมอันเป็นกุศล วิบาก และ
กิริยา โดยนัยที่กล่าวไว้ในจิตตุปปาทกัณฑ์นั่นแหละ เนื้อความทั้งหมด แม้
อันต่างด้วยเนื้อความมีสุทธิกนวกะเป็นต้น ก็เช่นเดียวกับนัยที่กล่าวแล้วใน
จิตตุปปาทกัณฑ์เหมือนกัน แล.
วรรณนาอภิธรรมภาชนีย์ จบ

วรรณนาปัญหาปุจฉกะ


ในปัญหาปุจฉกะ บัณฑิตพึงทราบความที่ฌานทั้งหลายเป็น
กุศลเป็นต้น โดยทำนองแห่งพระบาลีนั่นแหละ ก็แต่ในอารัมมณติกะ (คือ
หมวด 3 แห่งอารมณ์) ฌานเหล่านั้น พึงทราบว่า ไม่พึงกล่าวโดยความเป็น
อารมณ์มีปริตตารมณ์เป็นต้น เพราะความที่ฌานทั้ง 3 มีนิมิตเป็นอารมณ์.
ส่วนในปัญหาปุจฉกะนี้ ฌานเหล่านั้นเป็นโลกุตตระ เป็นอัปปมาณารัมมณะ
พึงมีในเวลาแห่งมรรค หรือในเวลาแห่งผล. ในข้อว่า จตุตฺถํ ฌานํ สิยา
ปริตฺตารมฺมณํ
นี้ (แปลว่า ฌานที่ 4 พึงเป็นปริตตารมณ์)
ว่าโดยกุศลแล้ว จตุตถฌาน มี 13 ประเภท คือ
จตุตถฌาน อันเป็นบาทแห่งฌานทั้งปวง 1
จตุตถฌาน อันเป็นอิทธิวิธิ 1

จตุตถฌาน อันเป็น ทิพพโสตญาณ 1
จตุตถฌาน อันเป็น เจโตปริยญาณ 1
จตุตถฌาน อันเป็น ปุพเพนิวาสญาณ 1
จตุตถฌาน อันเป็น ทิพพจักขุญาณ 1
จตุตถฌาน อันเป็น ยถากัมมูปคตญาณ 1
จตุตถฌาน อันเป็น อนาคตังสญาณ 1
จตุตถฌาน อันเป็น อากาสานัญจายตนฌาน เป็นต้น อีก 4
และ จตุตถฌานอันเป็นโลกุตตระ 1
ในฌานเหล่านั้น จตุตถฌานอันเป็นบาทแห่งฌานทั้งปวง เป็น
นวัตตัพพารัมมณะอย่างเดียว (คือ มีอารมณ์ที่ไม่พึงกล่าว).
เมื่อภิกษุน้อมกายไปสู่ฌานที่ 4 เพื่อทำอิทธิวิธะ ด้วยอำนาจแห่งจิต
(คือ ให้กายไปพร้อมกับจิต) ชื่อว่า เป็นปริตตารัมมณะ. เพราะความที่ภิกษุ
นั้น มีกายเป็นอารมณ์ ในขณะที่ทำปาฏิหาริย์ด้วยการอันไม่ปรากฏอยู่ (คือเมื่อ
กายไปพร้อมกับจิต กายก็จะไม่ปรากฏ เรียกว่า อทิสสมานกาย).
เมื่อภิกษุน้อมจิตไปด้วยอำนาจแห่งกาย (คือ ให้จิตไปพร้อมกับกาย
ย่อมปรากฏเห็นได้) กระทำปาฏิหาริย์ด้วยกายอันปรากฏอยู่ ไปสู่พรหมโลก ชื่อว่า
เป็นมหัคคตารัมมณะ เพราะความที่ภิกษุนั้น มีจิตในสมาบัติเป็นอารมณ์.
ฌานที่ 4 อัน ให้สำเร็จทิพพโสตญาณ ชื่อว่า ปริตตารัมมณะ
เพราะความที่ภิกษุนั้นมีเสียงเป็นอารมณ์.
ฌานที่ 4 อันให้สำเร็จเจโตปริยญาณ เป็นปริตตารัมมณะ ใน
ขณะที่รู้จิตอันเป็นกามาวจร เป็นมหัคคตารัมมณะ ในเวลารู้จิตอันเป็นรูปาวจร
และอรูปาวจร เป็นอัปปมาณารัมมณะในเวลารู้จิตอันเป็นโลกุตตระ. ก็ปุถุชน

ผู้ได้เจโตปริยญาณ ย่อมรู้จิตของปุถุชนทั้งหลายเท่านั้น ย่อมไม่รู้จิตของ
พระอริยะทั้งหลาย พระโสดาบัน ย่อมรู้จิตของพระโสดาบัน และปุถุชนทั้งหลาย
พระสกทาคามี ย่อมรู้จิตของพระสกทาคามี และบุคคลผู้มีภูมิต่ำกว่า พระขีณาสพ
ย่อมรู้จิตของชนแม้ทั้งหมด.
ฌานที่ 4 อันเป็นปุพเพนิวาสญาณ เป็นปริตตารัมมณะในขณะที่
ระลึกถึงขันธ์อันเป็นกามาวจร เป็นมหัคคตารัมมณะในขณะที่ตามระลึกถึงขันธ์
อันเป็นรูปาวจรและอรูปาวจร เป็นอัปปมาณารัมมณะในเวลาตามระลึกว่า ใน
อดีตกาล พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระขีณาสพทั้งหลาย เจริญมรรค
แล้วกระทำให้แจ้งซึ่งผล ดังนี้ เป็นนวัตตัพพารัมมณะในเวลาที่ตามระลึกถึง
ชื่อและโคตร.
ฌานที่ 4 อันเป็นทิพพจักขุญาณ ชื่อว่า เป็นปริตตารัมมณะ เพราะ
ความที่ภิกษุนั้นมี สี เป็นอารมณ์.
ฌานที่ 4 อันเป็นยถากัมมูปคตญาณ เป็นปริตตารัมมณะในขณะ
ระลึกถึงกรรมอันเป็นกามาวจร เป็นมหัคคตารัมมณะในขณะระลึกถึงกรรมอัน
เป็นรูปาวจร และอรูปาวจร.
ฌานที่ 4 อันเป็นอนาคตังสญาณ เป็นปริตตารัมมณะในกาล
กำหนดรู้ถึงการเกิดขึ้นแห่งกามธาตุในอนาคตกาล เป็นมหัคคตารัมมณะในเวลา
ที่รู้การเกิดขึ้นในรูปภพและอรูปภพ เป็นอัปปมาณารัมมณะ ในการรู้ว่า ใน
อนาคตกาล พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระขีณาสพทั้งหลาย จักเจริญ
มรรค จักสำเร็จผล ดังนี้ เป็นนวัตตัพพารัมมณะในเวลาที่ระลึกถึงชื่อและ
โคตร.
ฌานที่ 4 อันเป็นอากาสานัญจายตนะ และอากิญจัญญายตนะ
เป็น นวัตตัพพารัมมณะ.

ฌานที่ 4 อันเป็นวิญญานัญจายตนะ และเนวสัญญานาสัญญา-
ยตนะ
เป็นมหัคคตารัมมณะ.
โลกุตตรจตุตถฌาน เป็นอัปปมาณารัมมณะ.
แม้ว่าโดยกิริยา แบบแผนอันเป็นอารมณ์ ดังกล่าวนี้นั่นแหล่ะ ย่อม
เป็นไปในฌาน 12 เหล่านั้น.
คำว่า ตีณิ ฌานานิ น มคฺคารมฺมณา ได้แก่ ปัจจเวกขณญาณ
หรือเจโตปริยญาณเป็นต้น พึงทำมรรคให้เป็นอารมณ์ได้. ฌานทั้ง 3 ไม่เป็น
มัคคารัมมณะ เพราะไม่เป็นไปอย่างนั้น. แต่พึงเป็นมัคคเหตุกะ ด้วยสามารถ
แห่งสหชาตเหตุ. เป็นมัคคาธิปติ ด้วยการเจริญมรรค อันมีวิริยะเป็นหัวหน้า
หรือมีวีมังสาเป็นหัวหน้า แต่ไม่พึงกล่าวว่า เป็นมัคคาธิปติ ในกาลที่มีฉันทะ
จิตตะเป็นหัวหน้า และในกาลแห่งผล.
แม้ในคำว่า จตุตฺถชฺฌานํ นี้ ว่าโดยกุศล ในจตุตถฌาน 13 ไม่
พึงกล่าวว่า ฌานที่ 4 อันเป็นสัพพัตถปาทกะ อิทธิวิธะ ทิพพโสตะ ทิพพจักขุ-
ญาณ ยถากัมมูปคตญาณ และฌานที่ 4 อันเป็นอรูป 4 อย่าง ว่าเป็นมัคคา-
รัมมณะเป็นต้น. ส่วนฌานที่ 4 อันเป็นเจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสญาณ
อนาคตังสญาณ เป็นมัคคารัมมณะ. แต่ไม่พึงกล่าวว่า เป็นมัคคเหตุกะ หรือ
มัคคาธิปติ. โลกุตตรจตุตถฌาน ไม่เป็นมัคคารัมมณะ. แต่ในกาลเเห่งมัค
เป็นมัคคเหตุกะ ด้วยสามารถแห่งสหชาตเหตุ. เป็นมัคคาธิปติ ในกาลเจริญ
มรรคอันมีวิริยะและวีมังสาเป็นหัวหน้า ไม่พึงกล่าวว่าเป็นมัคคาธิปติ ในกาล
เจริญมรรค อันมี ฉันทะ จิตตะเป็นหัวหน้า และในกาลแห่งผล.
แม้เมื่อว่าโดยกิริยาแล้ว ในฌาน 12 ก็นัยนี้เหมือนกัน.

คำว่า ตีณิ ฌานานิ น วตฺตพฺพา บัณฑิตพึงทราบว่า ไม่พึงกล่าว
ว่า ฌาน 3 เป็นปริตตารัมมณะ เป็นต้น เพราะไม่ปรารภธรรมแม้สักอย่าง
หนึ่งในอดีตเป็นต้นให้เป็นไป.
คำว่า จตุตฺถํ ฌานํ ได้แก่ เมื่อว่าโดยกุศล จตุตถฌานอันเป็น
บาทแห่งฌานทั้งหมด ในจตุตถฌาน 13 เป็นนวัตตัพพารัมมณะเท่านั้น.
จตุตถฌานอันเป็นอิทธิวิธะ เป็นอตีตารัมมณะ เพราะความที่ภิกษุนั้น
มีจิตในสมาบัติเป็นอารมณ์ในการน้อมจิตไปตามอำนาจกาย เป็นอนาคตารัมม-
ณะ ในกาลอธิษฐาน (ของพระเถระ) ว่า ในอนาคตกาลขอดอกไม้เหล่านั้น
จงอย่าเหี่ยวแห้งไป ประทีปทั้งหลายจงอย่าดับไป กองแห่งอัคคีหนึ่ง จงตั้งขึ้น
บรรพตจงตั้งขึ้นด้วยดี ดังนี้. เป็นปัจจุปปันนารัมมณะ เพราะความที่ภิกษุนั้น
มีกายเป็นอารมณ์ ในกาลน้อมกายไปด้วยอำนาจแห่งจิต (คือ ให้กายไปพร้อม
กับจิต).
จตุตถฌานอันเป็นทิพพโสตญาณ ชื่อว่า เป็นปัจจุปปันนารัมมณะ
เพราะความที่ภิกษุนั้นมีเสียงเป็นอารมณ์.
จตุตถฌานอันเป็นเจโตปริยญาณ เป็นอตีตารัมมณะ ในกาลที่รู้จิต
ที่เกิดขึ้นแล้วดับไปภายใน 7 วัน ที่เป็นอดีตกาล เป็นอนาคตารัมมณะ ใน
กาลรู้จิตที่จะเกิดขึ้นภายใน 7 วัน ในอนาคตกาล จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงประกาศเจโตปริยญาณนั่นแหละ ด้วยพระสูตรนี้ว่า พระองค์ จักทายใจ
แม้มากมาย โดยกำหนดถึงมโนสังขารของบุคคลผู้เจริญผู้นี้ เขาตั้งไว้แล้วโดย
ประการใด ในระหว่างแห่งจิตดวงนี้ เราจักตรึกไปถึงวิตกชื่อนี้โดยประการนั้น
จิตนั้น ก็ย่อมมีอย่างนั้นนั่นแหละ หามีอย่างอื่นไม่. เป็นปัจจุปปันนารัมมณะ
ในกาลปรารภปัจจุบันเป็นไปด้วยสามารถแห่งอัทธานปัจจุบัน (ปัจจุปันกาลอัน

ยืดยาว) และสันตติปัจจุบัน คือปัจจุบันอันสืบต่อกันไป. ในข้อนี้พึงทราบ
เรื่องพิศดาร โดยนัยที่กล่าวแล้วในการพรรณนาอรรถกถากัณฑ์ในหนหลังนั่น
แหละ.
จตุตถฌานอันเป็นปุพเพนิวาสญาณ เป็นอตีตารัมมณะ ในกาล
ตามระลึกถึงอดีตขันธ์ เป็นนวัตตัพพารัมมณะ ในกาลตามระลึกถึงชื่อและ
โคตร.
จตุตถฌานอันเป็นทิพพจักขุ ชื่อว่า เป็นปัจจุปันนารัมมณะ เพราะ
ความที่ภิกษุนั้น มีสีเป็นอารมณ์.
จตุตถฌานอันเป็นยถากัมมูปคตญาณ ย่อมกระทำอดีตกรรมเท่านั้น
ให้เป็นอารมณ์ เพราะฉะนั้น จตุตถฌานนั้น จึงชื่อว่า เป็นอตีตารัมมณะ.
จตุตถฌานอันเป็นอนาคตังสญาณ เป็นอนาคตารัมมณะ ในกาล
ตามระลึกถึงขันธ์ อันเป็นอนาคต เป็นนวัตตัพพารัมมณะ ในกาลตามระลึก
ถึงชื่อและโคตร.
อากาสานัญจายตนะ และอากิญจัญญายตนจตุตถฌาน เป็น
นวัตตัพพารัมมณะ.
วิญญาณัญจายตนะ และเนวสัญญานาสัญญายตนจตุตถฌาน
เป็นอตีตารัมมณะ.
โลกุตตรจตุตถฌาน เป็นนวัตตัพพารัมมณะ แล.
แม้ว่าโดยกิริยา ในจตุตถฌาน 12 ก็นัยนี้เหมือนกัน.
ข้อว่า ตีณิ ฌานานิ พหิทฺธารมฺมณา ได้แก่ ชื่อว่า เป็นพหิทธา-
รัมมณะ เพราะปรารภนิมิตอันเป็นภายนอกให้ปรากฏอยู่ภายในเป็นไป. แม้
ในข้อว่า จตุตฺถํ ฌานํ นี้ เมื่อว่าโดยกุศลแล้ว ได้จตุตถฌาน 13 ดังนี้ คือ

จตุตถฌาน อันเป็นบาทแห่งฌานทั้งปวง เป็นพหิทธารัมมณะ.
จตุตถฌาน อันเป็นอิทธิวิธะ ชื่อว่า เป็นอัชฌัตตารัมมณะ เพราะ
ความที่แห่งภิกษุนั้น มีกายและจิตของตนนั่นแหละเป็นอารมณ์ ในกาลน้อม
จิตไปด้วยอำนาจของกายบ้าง ในกาลน้อมกายไปด้วยอำนาจของจิตบ้าง เป็น
พหิทธารัมมณะ ในกาลเป็นไปโดยนัยว่า ภิกษุนั้น ย่อมแสดงแม้ซึ่งรูปช้าง
ในภายนอก ดังนี้เป็นต้น.
จตุตถฌานอันเป็นทิพพโสตญาณ เป็นอัชฌัตตารัมมณะ ในกาลที่
ภิกษุนั้น มีเสียงอันมีในท้องของตนเป็นอารมณ์ เป็นพหิทธารัมมณะ ในกาล
ที่ภิกษุนั้น มีเสียงของผู้อื่นเป็นอารมณ์ เป็นอัชฌัตตพหิทธารัมมณะ ด้วย
สามารถแห่งรูปทั้งของตนและของผู้อื่นเป็นอารมณ์.
จตุตถฌานอันเป็นเจโตปริยญาณ เป็นพหิทธารัมมณะอย่างเดียว.
จตุตถฌานอันเป็นปุพเพนิวาสญาณ เป็นอัชฌัตตารัมมณะ ในกาล
ตามระลึกถึงขันธ์ของตน เป็นพหิทธารัมมณะในกาลตามระลึกถึงขันธ์ทั้งหลาย
ของบุคคลอื่น และในกาลตามระลึกถึงชื่อและโคตร.
จตุตถฌานอันเป็นทิพพจักขุญาณ เป็นอัชฌัตตารัมมณะในกาลที่มี
รูปของตนเป็นอารมณ์ เป็นพหิทธารัมมณะในกาลที่มีรูปของบุคคลอื่นเป็น
อารมณ์ เป็นอัชฌัตตพหิทธารัมมณะ แม้ด้วยสามารถแห่งกาลที่มีรูปของตน
และของผู้อื่นเป็นอารมณ์.
จตุตถฌานอันเป็นยถากัมมูปคตญาณ เป็นอัชฌัตตารัมมณะในกาล
รู้กรรมของตน เป็นพหิทธารัมมณะในกาลรู้กรรมของผู้อื่น เป็นอัชฌัตต-
พหิทธารัมมณะ ด้วยสามารถแห่งกาลรู้กรรมของตนและของผู้อื่น.

จตุตถฌานอันเป็นอนาคตังสญาณ เป็นอัชฌัตตารัมมณะในกาลรู้
ธรรมอันเกิดขึ้นในอนาคตของตน เป็นพหิทธารัมณะในกาลตามระลึกถึงขันธ์
ของผู้อื่นและในกาลตามระลึกถึงชื่อและโคตร เป็นอัชฌัตตพหิทธารัมมณะ
ด้วยอำนาจแห่งกาลตามระลึกทั้งสองนั้น.
อากาสานัญจายตนจตุตถฌาน เป็นพหิทธารัมมณะ.
อากิญจัญญายตนจตุตถฌาน เป็นนวัตตัพพารัมมณะ.
วิญญาณัญจายตนะและเนวสัญญานาสัญญายตนจตุตถฌาน เป็นอัช-
ฌัตตารัมมณะ.
โลกุตตรจตุตถฌาน เป็นพหิทธารัมมณะ.
แม้ว่าโดยกิริยา ในฌานทั้ง 12 ก็นัยนี้เหมือนกัน แล.
วรรณนาปัญหาปุจฉกะ จบ
อนึ่ง ในฌานวิภังค์นี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสฌานทั้งหลายเป็น
มิสสกะ คือเป็นโลกิยะ และเป็นโลกุตตระ สลับกันไป ในการพรรณนา
สุตตันตภาชนีย์บ้าง ในการพรรณนาอภิธรรมภาชนีย์บ้าง ในปัญหาปุจฉกะบ้าง
จริงอยู่ นัยทั้ง 3 เหล่านั้น ชื่อว่า เอกปริจเฉทนั่นแหละ เพราะนัยทั้ง
3 เหล่านั้นเป็นธรรมอันเจือกันในภูมิทั้ง 3. แม้ฌานวิภังค์นี้ พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าก็ทรงนำออกจำแนกแสดงแล้ว 3 ปริวัฏ ดังพรรณนามาฉะนี้.
อรรถกถาฌานวิภังคนิทเทส จบ

13. อัปปมัญญาวิภังค์


สุตตันตภาชนีย์


[741] อัปปมัญญา 4 คือ
1. ภิกษุในศาสนานี้ แผ่เมตตาจิตไปยังทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่ 2 ก็
อย่างนั้น ทิศที่ 3 ก็อย่างนั้น. ทิศที่ 4 ก็อย่างนั้น ทิศเบื้องสูง ทิศเบื้องต่ำ
ทิศเบื้องขวาง ก็เช่นเดียวกันนี้ แผ่เมตตาจิตอันไพบูลย์ กว้างขวาง หา
ประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท ไปยังสัตว์โลกทั้งปวง เพราะเป็นผู้มี
จิตเสมอในสัตว์ทุกหมู่เหล่า อยู่.
2. แผ่กรุณาจิตไปยังทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่ 2 ก็อย่างนั้น ทิศที่ 3 ก็
อย่างนั้น ทิศที่ 4 ก็อย่างนั้น ทิศเบื้องสูง ทิศเบื้องต่ำ ทิศเบื้องขวาง ก็
เช่นเดียวกันนี้ แผ่กรุณาจิตอันไพบูลย์ กว้างขวาง หาประมาณมิได้ ไม่มี
เวร ไม่มีพยาบาท. ไปยังสัตว์โลกทั้งปวง เพราะเป็นผู้มีจิตเสมอในสัตว์ทุก
หมู่เหล่า อยู่.
3. แผ่มุทิตาจิตไปยังทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่ 2 ก็อย่างนั้น ทิศที่ 3 ก็
อย่างนั้น ทิศที่ 4 ก็อย่างนั้น ทิศเบื้องสูง ทิศเบื้องต่ำ ทิศเบื้องขวาง ก็
เช่นเดียวกันนี้ แผ่มุทิตาจิตอันไพบูลย์ กว้างขวาง หาประมาณมิได้ ไม่มี
เวร ไม่มีพยาบาท ไปยังสัตว์โลกทั้งปวง เพราะเป็นผู้มีจิตเสมอในสัตว์ทุก
หมู่เหล่า อยู่.
4. แผ่อุเบกขาจิตไปยังทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่ 2 ก็อย่างนั้น ทิศที่ 3
ก็อย่างนั้น ทิศที่ 4 ก็อย่างนั้น ทิศเบื้องสูง ทิศเบื้องต่ำ ทิศเบื้องขวาง ก็