เมนู

และโทมนัสดับสนิทในก่อน มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา อยู่ เพราะ
ก้าวล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง เพราะความดับไปแห่งปฏิฆ-
สัญญา เพราะไม่มีมนสิการซึ่งนานัตตสัญญา จึงบรรลุอากาสานัญ-
จายตนฌาน โดยบริกรรมว่าอากาศไม่มีที่สุด ดังนี้ อยู่ เพราะก้าว
ล่วงอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง จึงบรรลุวิญญาณัญ-
จายตนฌาน โดยบริกรรมว่าวิญญาณไม่มีที่สุด ดังนี้ อยู่ เพราะก้าว
ล่วงวิญญาณัญจายตนะโดยประการทั้งปวง จึงบรรลุอากิญจัญญาย-
ตนฌาน โดยบริกรรมว่า วิญญาณน้อยหนึ่งไม่มี ดังนี้ อยู่ เพราะ
ก้าวล่วงอากิญจัญญายตนะโดยประการทั้งปวง จึงบรรลุเนวสัญญา-
นาสัญญายตนฌานอยู่.

มาติกา จบ

สุตตันตภาชนีย์


มาติกานิทเทส


[600] บทว่า ในศาสนานี้ มีอธิบายว่า ในทิฏฐินี้ ในขันตินี้
ในรุจินี้ ในลัทธินี้ ในธรรมนี้ ในวินัยนี้ ในธรรมวินัยนี้ ในปาพจน์นี้ ใน
พรหมจรรย์นี้ ในศาสนาของพระศาสดานี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า ในศาสนา
นี้.
[601] บทว่า ภิกษุ มีอธิบายว่า ชื่อว่าภิกษุ เพราะสมัญญา
ชื่อว่าภิกษุ เพราะปฏิญญา
ชื่อว่าภิกษุ เพราะขอ

ชื่อว่าภิกษุ เพราะเป็นผู้ขอ
ชื่อว่าภิกษุ เพราะเป็นผู้เข้าถึงภิกขาจาร
ชื่อว่าภิกษุ เพราะทรงแผ่นผ้าที่ถูกทำลาย
ชื่อว่าภิกษุ เพราะกำลังทำลายบาปอกุศลธรรมทั้งหลาย
ชื่อว่าภิกษุ เพราะทำลายบาปอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว
ชื่อว่าภิกษุ เพราะละกิเลสโดยจำเพาะส่วน
ชื่อว่าภิกษุ เพราะละกิเลสโดยไม่จำเพาะส่วน
พระเสขะ ชื่อว่าภิกษุ
พระอเสขะ ชื่อว่าภิกษุ
ผู้ไม่ใช่พระเสขะและไม่ใช่พระอเสขะ ชื่อว่าภิกษุ
ผู้ตั้งอยู่ในธรรมอันเลิศ ชื่อว่าภิกษุ
ผู้ประกอบด้วยธรรมอันงาม ชื่อว่าภิกษุ
ผู้บริสุทธิ์ผ่องใส ชื่อว่าภิกษุ
ผู้ประกอบด้วยธรรมอันเป็นสาระ ชื่อว่าภิกษุ
ผู้อุปสมบทด้วยญัตติจตุตถกรรมที่ไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ โดยสงฆ์
ผู้พร้อมเพรียงกัน ชื่อว่าภิกษุ.
[602] บทว่า ปาติโมกข์ ได้แก่ ศีลอันเป็นที่อาศัย เป็นเบื้องต้น
เป็นจรณะ เป็นเครื่องสำรวม เป็นเครื่องระวัง เป็นหัวหน้า เป็นประธาน
เพื่อความถึงพร้อมแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย.
บทว่า สังวร ได้แก่ การไม่ล่วงละเมิดทางกาย การไม่ล่วงละเมิด
ทางวาจา การไม่ล่วงละเมิดทั้งทางกายและทางวาจา.

บทว่า เป็นผู้สำรวมแล้ว มีอธิบายว่า เป็นผู้เข้าไปถึงแล้ว เข้า
ไปถึงแล้วด้วยดี เข้ามาถึงแล้ว เข้ามาถึงแล้วด้วยดี เข้าถึงแล้ว เข้าถึงแล้ว
ด้วยดี ประกอบแล้วด้วยปาติโมกข์สังวรนี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า เป็นผู้
สำรวมแล้วด้วยปาติโมกข์สังวร.
[603] บทว่า อยู่ มีอธิบายว่า สืบเนื่องกันอยู่ ประพฤติเป็นไปอยู่
รักษาอยู่ เป็นไปอยู่ ให้เป็นไปอยู่ เที่ยวไปอยู่ พักอยู่ ด้วยเหตุนั้น จึง
เรียกว่า อยู่.
[604] บทว่า ถึงพร้อมแล้วด้วยอาจาระและโคจร มีอธิบาย
ว่า อาจาระมีอยู่ อนาจาระ มีอยู่
ใน 2 อย่างนั้น อนาจาระ เป็นไฉน ?
ความล่วงละเมิดทางกาย ความล่วงละเมิดทางวาจา ความล่วงละเมิด
ทั้งทางกายและทางวาจา นี้เรียกว่า อนาจาระ ความเป็นผู้ทุศีล แม้ทั้งปวง
ก็เรียกว่า อนาจาระ. ภิกษุบางรูปในศาสนานี้ ย่อมเลี้ยงชีวิตด้วยการให้ไม้ไผ่
หรือด้วยการให้ใบไม้ หรือด้วยการให้ดอกไม้ หรือด้วยการให้ผลไม้ หรือ
ด้วยการให้จุณสำหรับอาบ หรือด้วยการให้ไม้ชำระฟัน หรือด้วยการพูด
ยกย่องเพื่อต้องการให้เขารัก หรือด้วยการพูดทีจริงทีเล่นเสมอด้วยแกงถั่ว
หรือด้วยการเป็นคนรับเลี้ยงเด็ก หรือด้วยการรับใช้ฆราวาส หรือด้วยมิจฉา-
อาชีวะที่พระพุทธเจ้าทรงตำหนิอย่างใดอย่างหนึ่ง นี้เรียกร่า อนาจาระ.
อาจาระ เป็นไฉน ?
ความไม่ล่วงละเมิดทางกาย ความไม่ล่วงละเมิดทางวาจา ความไม่
ล่วงละเมิดทั้งทางกายและทางวาจา นี้เรียกว่า อาจาระ ศีลสังวร แม้ทั้งปวง
ก็เรียกว่า อาจาระ. ภิกษุบางรูปในศาสนานี้ ย่อมไม่เลี้ยงชีวิตด้วยการให้ไม้

ไผ่ ย่อมไม่เลี้ยงชีวิตด้วยการให้ใบไม้ ย่อมไม่เลี้ยงชีวิตด้วยการให้ดอกไม้
ย่อมไม่เลี้ยงชีวิตด้วยการให้ผลไม้ ย่อมไม่เลี้ยงชีวิตด้วยการให้จุณสำหรับอาบ
ย่อมไม่เลี้ยงชีวิตด้วยการให้ไม้ชำระฟัน ย่อมไม่เลี้ยงชีวิตด้วยการพูดยกย่อง
เพื่อต้องการให้เขารัก ย่อมไม่เลี้ยงชีวิตด้วยการพูดทีจริงทีเล่นเสมอด้วยแกง
ถั่ว ย่อมไม่เลี้ยงชีวิตด้วยการเป็นคนรับเลี้ยงเด็ก ย่อมไม่เลี้ยงชีวิตด้วยการ
รับใช้ฆราวาส ย่อมไม่เลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาอาชีวะที่พระพุทธเจ้าทรงตำหนิ
อย่างใดอย่างหนึ่ง นี้เรียกว่า อาจาระ.
บทว่า โคจร มีอธิบายว่า โคจร มีอยู่ อโคจร มีอยู่.
ใน 2 อย่างนั้น อโคจร เป็นไฉน ?
ภิกษุบางรูปในศาสนานี้ เป็นผู้เที่ยวไปในสำนักของหญิงแพศยา หรือ
เป็นผู้เที่ยวไปในสำนักของหญิงหม้าย หรือเป็นผู้เที่ยวไปในสำนักของสาวเทื้อ
หรือเป็นผู้เที่ยวไปในสำนักของบัณเฑาะก์ เป็นผู้เที่ยวไปในสำนักของภิกษุณี
หรือเป็นผู้เที่ยวไปในโรงสุรา เป็นผู้คลุกคลีกับด้วยพระราชา มหาอำมาตย์
ของพระราชา เดียรถีย์ สาวกของเดียรถีย์ ด้วยการคลุกคลีกับคฤหัสถ์อันไม่
สมควรก็หรือตระกูลนั้นใด ไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใส ไม่เป็นที่ควรจะไปมา
มักด่าและบริภาษ ใคร่แต่ความพินาศ ไม่ใคร่ต่อสิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูล
ไม่ใคร่ต่อความผาสุก ไม่ใคร่ต่อความเกษมจากโยคะ แก่พวกภิกษุ ภิกษุณี
อุบาสก อุบาสิกา ภิกษุ ย่อมคบหา เข้าไปหา เข้าไปหาบ่อยๆ ซึ่งตระกูล
เห็นปานนั้นนี้เรียกว่า อโคจร.
โคจร เป็นไฉน ?
ภิกษุบางรูปในศาสนานี้ ไม่เป็นผู้เทียวไปในสำนักของหญิงแพศยา
ไม่เป็นผู้เที่ยวไปในสำนักของหญิงหม้าย ไม่เป็นผู้เที่ยวไปในสำนักสาวเทื้อ ไม่

ไม่เป็นผู้เที่ยวไปในสำนักของบัณเฑาะก์ ไม่เป็นผู้เที่ยวไปในสำนักของนาง
ภิกษุณี ไม่เป็นผู้เที่ยวไปในโรงสุรา เป็นผู้ไม่คลุกคลีกับด้วยพระราชา มหา-
อำมาตย์ของพระราชา เดียรถีย์ สาวกของเดียรถีย์ ด้วยการคลุกคลีกับคฤหัสถ์
อันไม่สมควร ก็หรือตระกูลนั้นใด มีศรัทธา เลื่อมใส รุ่งเรืองไปด้วยผ้ากาสาวะ
มีโยคีผู้ปฏิบัติเข้าออกอยู่เนือง ๆ เป็นผู้ใคร่ต่อความเจริญ ใคร่ต่อสิ่งที่เป็น
ประโยชน์เกื้อกูล ใคร่ต่อความผาสุก ใคร่ต่อความเกษมจากโยคะ แก่พวก
ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ภิกษุ ย่อมคบหา เข้าไปหา เข้าไปหา
บ่อย ๆ ซึ่งตระกูลเห็นปานนั้น นี้เรียกว่า โคจร.
ภิกษุ เป็นผู้เข้าไปถึงแล้ว ฯลฯ ประกอบแล้ว ด้วยอาจาระและโคจร
ดังกล่าวมานี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า ถึงพร้อมแล้วด้วยอาจาระและโคจร
ด้วยประการฉะนี้.
[605] คำว่า เห็นภัยในโทษทั้งหลายอันมีประมาณน้อย มี
อธิบายว่า โทษทั้งหลายอันมีประมาณน้อย เป็นไฉน ?
โทษทั้งหลายนั้นใด มีประมาณน้อย เป็นอย่างต่ำ เป็นอย่างเบา
ที่สมมติกันว่า โทษเบา ที่พึงสำรวม ที่พึงระวัง ที่พึงกระทำด้วยจิตตุปบาท
ที่เนื่องด้วยมนสิการ เหล่านี้เรียกว่า โทษทั้งหลายอันมีประมาณน้อย.
ภิกษุเป็นผู้เห็นโทษ เห็นภัย เห็นความชั่วร้าย และเห็นการรื้อถอน
ออกเสียให้พ้น ในโทษอันมีประมาณน้อยเหล่านั้น ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่าเห็น
ภัยในโทษทั้งหลายอันมีประมาณน้อย.
[606] คำว่า สมาทานแล้วประพฤติอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย
มีอธิบายว่า สิกขา เป็นไฉน ?

สิกขา 4 คือ สิกขาของภิกษุ เรียกว่าภิกษุสิกขา, สิกขาของภิกษุณี
เรียกว่า ภิกขุนีสิกขา, สิกขาของอุบาสก เรียกว่า อุบาสกสิกขา, สิกขาของ
อุบาสิกา เรียกว่า อุบาสิกาสิกขา เหล่านี้เรียกว่า สิกขา.
ภิกษุสมาทานสิกขาทั้งหมด ด้วยสิกขาสมาทานทั้งหมด สมาทานสิกขา
ทั้งหมดมิให้เหลือ ด้วยอาการที่จะพึงประพฤติทั้งหมด แล้วประพฤติอยู่ใน
สิกขาเหล่านี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า สมาทานแล้วประพฤติอยู่ในสิกขาบท
ทั้งหลาย.
[607] บทว่า คุ้มครองทวารในอินทรีย์ 6 มีอธิบายว่า ความเป็น
ผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ 6 มีอยู่ ความเป็นผู้ไม่คุ้มครองทวารในอินทรีย์ 6 มีอยู่.
ใน 2 อย่างนั้น ความเป็นผู้ไม่คุ้มครองทวารในอินทรีย์ 6
เป็นไฉน ?
ภิกษุบางรูปในศาสนานี้ เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ย่อมเป็นผู้ถือนิมิต
ถืออนุพยัญชนะ บาปอกุศลธรรม คือ อภิชฌาและโทมนัส พึงซ่านไปตาม
บุคคลนี้ ผู้ไม่สำรวมจักขุนทรีย์อยู่ เพราะการไม่สำรวมจักขุนทรีย์ใดเป็นเหตุ
ย่อมไม่ปฏิบัติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์นั้น ย่อมไม่รักษาจักขุนทรีย์นั้น ย่อมไม่
ถึงการสำรวมในจักขุนทรีย์นั้น ฟังเสียงด้วยโสตะแล้ว ฯลฯ ดมกลิ่นด้วยฆานะ
แล้ว ฯลฯ ลิ้มรสด้วยชิวหาแล้ว ฯลฯ ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว ฯลฯ
รู้ธรรมารมณ์ด้วยมนะแล้ว เป็นผู้ถือนิมิต ถืออนุพยัญชนะ บาปอกุศลธรรม
คืออภิชฌาและโทมนัส พึงซ่านไปตามบุคคลนี้ ผู้ไม่สำรวมมนินทรีย์อยู่
เพราะการไม่สำรวมมนินทรีย์ใดเป็นเหตุ ย่อมไม่ปฏิบัติเพื่อสำรวมมนินทรีย์นั้น
ย่อมไม่รักษามนินทรีย์นั้น ย่อมไม่ถึงการสำรวมในมนินทรีย์นั้น ความไม่
คุ้มครอง กิริยาที่ไม่คุ้มครอง การไม่รักษา การไม่สำรวมซึ่งอินทรีย์ 6 เหล่านี้
อันใด นี้เรียกว่า ความเป็นผู้ไม่คุ้มครองทวารในอินทรีย์ 6.

ความเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ 6 เป็นไฉน ?
ภิกษุบางรูปในศาสนานี้ เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ย่อมเป็นผู้ไม่ถือนิมิต
ไม่ถืออนุพยัญชนะ บาปอกุศลธรรม คืออภิชฌาและโทมนัส พึงซ่านไปตาม
บุคคลนี้ ผู้ไม่สำรวมจักขุนทรีย์อยู่ เพราะการไม่สำรวมจักขุนทรีย์ใดเป็นเหตุ
ย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์นั้น ย่อมรักษาจักขุนทรีย์นั้น ย่อมถึงการ
สำรวมในจักขุนทรีย์นั้น ฟังเสียงด้วยโสตะแล้ว ฯลฯ ดมกลิ่นด้วยฆานะแล้ว
ฯลฯ ลิ้มรสด้วยชิวหาแล้ว ฯลฯ ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว ฯลฯ รู้
ธรรมารมณ์ด้วยมนะแล้ว ย่อมเป็นผู้ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ บาป-
อกุศลธรรม คือ อภิชฌาและโทมนัส พึงซ่านไปตามบุคคลนี้ ผู้ไม่สำรวม
มนินทรีย์อยู่ เพราะการไม่สำรวมมนินทรีย์ใดเป็นเหตุ ย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวม
มนินทรีย์นั้น ย่อมรักษามนินทรีย์นั้น ย่อมถึงการสำรวมในมนินทรีย์นั้น
ความคุ้มครอง กิริยาที่คุ้มครอง การรักษา การสำรวม ซึ่งอินทรีย์ 6 เหล่า
นี้ อันใด นี้เรียกว่า ความเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ 6.
ภิกษุ เป็นผู้เข้าไปถึงแล้ว ฯลฯ ประกอบแล้ว ด้วยความเป็นผู้คุ้มครอง
ทวารในอินทรีย์ 6 นี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า ความเป็นผู้คุ้มครองทวารใน
อินทรีย์ 6.
[608] บทว่า รู้ประมาณในโภชนะ มีอธิบายว่า ความเป็นผู้
รู้ประมาณในโภชนะมีอยู่ ความเป็นผู้ไม่รู้ประมาณในโภชนะมีอยู่.
ใน 2 อย่างนั้น ความเป็นผู้ไม่รู้ประมาณในโภชนะ เป็นไฉน ?
ภิกษุบางรูปในศาสนานี้ ไม่พิจารณาโดยแยบคายบริโภคอาหาร เพื่อ
เล่น เพื่อมัวเมา เพื่อให้ผิวพรรณสวยงาม เพื่อให้อ้วนพี ความเป็นผู้ไม่
สันโดษ ความเป็นผู้ไม่รู้ประมาณ การไม่พิจารณา ในโภชนะนั้น อันใด
นี้เรียกว่า ความเป็นผู้ไม่รู้ประมาณในโภชนะ.

ความเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะ เป็นไฉน ?
ภิกษุบางรูปในศาสนานี้ พิจารณาโดยแยบคายว่า เราบริโภคอาหาร
ไม่ใช่เพื่อเล่น ไม่ใช่เพื่อมัวเมา ไม่ใช่เพื่อผิวพรรณสวยงาม ไม่ใช่เพื่อให้
อ้วนพี เราบริโภคอาหาร เพียงเพื่อความดำรงอยู่แห่งกายนี้ เพื่อให้ชีวิตินทรีย์
เป็นไป เพื่อระงับความหิว เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์ โดยอุบายนี้ เราจัก
กำจัดเวทนาเก่าเสียได้ และจักไม่ให้เวทนาใหม่เกิดขึ้น ความเป็นไปแห่ง
ชีวิตินทรีย์ ความไม่มีโทษและการอยู่โดยผาสุก จักมีแก่เรา ดังนี้ แล้วจึง
บริโภคอาหาร ความสันโดษ ความรู้ประมาณ การพิจารณาในโภชนะนั้น
อันใด นี้เรียกว่า ความเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะ.
ภิกษุ เป็นผู้เข้าไปถึงแล้ว ฯลฯ ประกอบแล้ว ด้วยความเป็นผู้รู้
ประมาณในโภชนะนี้ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า รู้ประมาณในโภชนะ.
[609] ก็ ภิกษุเป็นผู้ประกอบความเพียรตลอดปฐมยามและ
ปัจฉิมยาม
เป็นอย่างไร ?
ภิกษุในศาสนานี้ ชำระจิตให้หมดจดจากธรรมที่กั้นกางจิตไม่ให้บรรลุ
ความดี ด้วยการเดินจงกรม ด้วยการนั่ง ตลอดวัน ชำระจิตให้หมดจดจาก
ธรรมที่กั้นกางจิตไม่ให้บรรลุความดี ด้วยการเดินจงกรม ด้วยการนั่ง ตลอด
ปฐมยามแห่งราตรี สำเร็จสีหไสยา โดยนอนตะแคงขวา วางเท้าซ้อนกัน
มีสติสัมปชัญญะ ทำสัญญาในการลุกขึ้นไว้ในใจ ตลอดมัชฌิมยามแห่งราตรี
ลุกขึ้นชำระจิตให้หมดจดจากธรรมที่กั้นกางจิตไม่ให้บรรลุความดี ด้วยการเดิน
จงกรม ด้วยการนั่ง ตลอดปัจฉิมยามแห่งราตรี ด้วยการปฏิบัติอย่างนี้ ภิกษุ
ชื่อว่าเป็นผู้ประกอบความเพียรตลอดปฐมยามและปัจฉิมยาม.

[610] บทว่า ความเพียรอันเป็นไปติดต่อ ได้แก่ การปรารภ
ความเพียรทางใจ ฯลฯ สัมมาวายามะ.
บทว่า ปัญญาอันรักษาไว้ซึ่งตน ได้แก่ ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด
ฯลฯ ความไม่หลง ความวิจัยธรรม สัมมาทิฏฐิ.
[611] บทว่า เจริญโพธิ์ปักขิยธรรม มีอธิบายว่า โพธิปักขิย-
ธรรม เป็นไฉน ?
โพชฌงค์ 7 คือ สติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ วิริย-
สัมโพชฌงค์ ปีติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ อุเบก-
ขาสัมโพชฌงค์ ธรรมเหล่านี้ เรียกว่า โพธิปักขิยธรรม. ภิกษุ ย่อมเสพ
เจริญ ทำให้มาก ซึ่งโพธิปักขิยธรรมเหล่านี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า เจริญ
โพธิปักขิยธรรม.

[612] ก็ภิกษุเป็นผู้รู้ชัดอยู่โดยปกติในการก้าวไปข้างหน้าและถอย
กลับมาข้างหลัง เป็นผู้รู้ชัดอยู่โดยปกติในการแลดูข้างหน้าและเหลียวดูข้างซ้าย
ข้างขวา เป็นผู้รู้ชัดอยู่โดยปกติในการคู้อวัยวะเข้าและเหยียดอวัยวะออก เป็น
ผู้รู้ชัดอยู่โดยปกติในการทรงผ้าสังฆาฏิ บาตร และจีวร เป็นผู้รู้ชัดอยู่โดยปกติ
ในการกิน ดื่ม เคี้ยว และลิ้มรส เป็นผู้รู้ชัดอยู่โดยปกติในการถ่ายอุจจาระและ
ปัสสาวะ เป็นผู้รู้ชัดอยู่โดยปกติในการเดิน ยืน นั่ง หลับ ตื่น พูด และ
นิ่ง เป็นอย่างไร ?
ภิกษุในศาสนานี้ มีสติสัมปชัญญะก้าวไปข้างหน้า มีสติสัมปชัญญะ
ถอยกลับมาข้างหลัง มีสติสัมปชัญญะแลดูข้างหน้า มีสติสัมปชัญญะเหลียวดู
ข้างซ้ายข้างขวา มีสติสัมปชัญญะคู้อวัยวะเข้า มีสติสัมปชัญญะเหยียดอวัยวะออก
มีสติสัมปชัญญะในการทรงผ้าสังฆาฏิ บาตร และจีวร มีสติสัมปชัญญะในการกิน

ดื่ม เคี้ยว และลิ้มรส มีสติสัมปชัญญะในการถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ มีสติ
สัมปชัญญะในการเดิน ยืน นั่ง หลับ ตื่น พูด และนิ่ง.
ในบทเหล่านั้น บทว่า มีสติ มีอธิบายว่า สติ เป็นไฉน ?
สติ ความตามระลึก ความหวนระลึก สติ กิริยาที่ระลึก ความทรงจำ
ความไม่เลื่อนลอย ความไม่ลืม สติ สตินทรีย์ สตพละ สัมมาสติ อันใด
นี้เรียกว่า สติ.
บทว่า มีสัมปชัญญะ มีอธิบายว่า สัมปชัญญะ เป็นไฉน ?
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ความวิจัย ความเลือกสรร ความวิจัยธรรม
ความกำหนดหมาย ความเข้าไปกำหนด ความเข้าไปกำหนดเฉพาะ ภาวะที่รู้
ภาวะที่ฉลาด ภาวะที่รู้ละเอียด ความรู้แจ่มแจ้ง ความค้นคิด ความไคร่ครวญ
ปัญญาเหมือนแผ่นดิน ปัญญาเครื่องทำลายกิเลส ปัญญาเป็นเครื่องนำทาง
ความเห็นแจ้ง ความรู้ชัด ปัญญาเหมือนประตัก ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญา-
พละ ปัญญาเหมือนศัสตรา ปัญญาเหมือนปราสาท ความสว่างคือปัญญา
แสงสว่างคือปัญญา ปัญญาเหมือนประทีป ปัญญาเหมือนดวงแก้ว ความไม่
หลง ความวิจัยธรรม สัมมาทิฏฐิ อันใด นี้เรียกว่า สัมปชัญญะ.
ภิกษุ เป็นผู้เข้าไปถึงแล้ว ฯลฯ ประกอบแล้วด้วยสติและสัมปชัญญะ
นี้ ด้วยประการฉะนี้.
ด้วยการปฏิบัติอย่างนี้ ภิกษุชื่อว่า มีสติสัมปชัญญะก้าวไปข้างหน้า
มีสติสัมปชัญญะถอยกลับมาข้างหลัง มีสติสัมปชัญญะแลดูข้างหน้า มีสติสัม-
ปชัญญะเหลียวดูข้างซ้ายข้างขวา มีสติสัมปชัญญะคู้อวัยวะเข้า มีสติสัมปชัญญะ
เหยียดอวัยวะออก มีสติสัมปชัญญะในการทรงผ้าสังมาฏิ บาตร และจีวร มีสติ
สัมปชัญญะในการกิน ดื่ม เคี้ยว และลิ้มรส มีสติสัมปชัญญะในการถ่ายอุจจาระ
และปัสสาวะ มีสติสัมปชัญญะในการเดิน ยืน นั่ง หลับ ตื่น พูด และนิ่ง.

[613] บทว่า สงัด มีอธิบายว่า แม้หากเสนาสนะใดจะอยู่ในที่ใกล้
แต่เสนาสนะนั้นไม่เกลื่อนกล่นด้วยเหล่าคฤหัสถ์บรรพชิต ด้วยเหตุนั้น เสนา-
สนะนั้น ชื่อว่า สงัด แม้หากเสนาสนะใดจะอยู่ในที่ไกล แต่เสนาสนะนั้นไม่
เกลื่นกล่น ด้วยเหล่าคฤหัสถ์บรรพชิต ด้วยเหตุนั้น เสนาสนะนั้น ชื่อว่า สงัด.
[614] บทว่า เสนาสนะ ได้แก่ เสนาสนะคือเตียงบ้าง เสนาสนะ
คือตั่งบ้าง เสนาสนะคือที่นอนบ้าง เสนาสนะคือหมอนบ้าง เสนาสนะคือวิหาร
บ้าง เสนาสนะคือเพิงบ้าง เสนาสนะคือปราสาทบ้าง เสนาสนะคือป้อมบ้าง
เสนาสนะคือโรงบ้าง เสนาสนะคือที่เร้นลับบ้าง เสนาสนะคือถ้ำบ้าง เสนาสนะ
คือโคนไม้บ้าง เสนาสนะคือพุ่มไม้ไผ่บ้าง หรือภิกษุยับยั้งอยู่ในที่ใด ที่นั้น
ทั้งหมด ชื่อว่า เสนาสนะ.
[615] บทว่า อาศัย คือ อาศัยอยู่ อาศัยอยู่ด้วยดี เข้าอยู่ เข้า
พำนักอยู่ เข้าอาศัยอยู่ เสนาสนะอันสงัดนี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า อาศัย.
[616] บทว่า ป่า ได้แก่ ป่าบริเวณนอกเสาเขื่อนทั้งหมดนั้น.
[617] บทว่า โคนไม้ เป็นต้น มีอธิบายว่า รุกขมูล คือ โคนไม้
ปัพพตะ คือ ภูเขา กันทระ คือ ซอกเขา คิริคุหา คือ ถ้ำในเขา สุสาน คือ
ป่าช้า อัพโภกาส คือ ที่แจ้ง ปลาลปุญชะ คือ กองฟาง.
[618] บทว่า ดง เป็นชื่อของเสนาสนะที่อยู่ไกล.
บทว่า ดง เป็นชื่อของเสนาสนะราวป่า.
บทว่า ดง เป็นชื่อของเสนาสนะที่น่าหวาดกลัว.
บทว่า ดง เป็นชื่อของเสนาสนะที่น่าหวาดหวั่น.
บทว่า ดง เป็นชื่อของเสนาสนะที่อยู่ปลายแดน.
บทว่า ดง เป็นชื่อของเสนาสนะที่ไม่อยู่ใกล้หมู่มนุษย์.
บทว่า ดง เป็นชื่อของเสนาสนะที่หาความเจริญได้ยาก.

[619] บทว่า สถานที่ไม่มีเสียงรบกวน มีอธิบายว่า แม้หาก
เสนาสนะใดจะอยู่ใกล้ แต่เสนาสนะนั้นไม่เกลื่อนกล่นด้วยเหล่าคฤหัสถ์บรรพ-
ชิต ด้วยเหตุนั้น เสนาสนะนั้น ชื่อว่า ไม่มีเสียงรบกวน. แม้หากเสนาสนะ
ใดจะอยู่ไกล แต่เสนาสนะนั้นไม่เกลื่อนกล่นด้วยเหล่าคฤหัสถ์ บรรพชิต ด้วย
เหตุนั้น เสนาสนะนั้น ชื่อว่า ไม่มีเสียงรบกวน.
[620] บทว่า สถานที่ไม่มีเสียงอื้ออึง มีอธิบายว่า เสนาสนะใด
ไม่มีเสียงรบกวน เสนาสนะนั้น ชื่อว่า สถานที่ไม่มีเสียงอื้ออึง. เสนาสนะ
ใดไม่มีเสียงอื้ออึง เสนาสนะนั้น ชื่อว่า สถานที่ไม่ใคร่มีผู้คนสัญจรไปมา.
เสนาสนะใด ไม่ใคร่มีผู้คนสัญจรไปมา เสนาสนะนั้น ชื่อว่า สถานที่ไม่มี
คนพลุกพล่าน. เสนาสนะใด ไม่มีคนพลุกพล่าน เสนาสนะนั้น ชื่อว่า
สถานที่อันสมควรเป็นที่หลีกเร้น.
[621] คำว่า ไปสู่ป่าก็ตาม ไปสู่โคนไม่ก็ตาม ไปสู่เรือน
ว่างก็ตาม
ได้แก่ เป็นผู้ไปสู่ป่าแล้วก็ตาม เป็นผู้ไปสู่โคนไม้แล้วก็ตาม
เป็นผู้ไปสู่เรือนว่างแล้วก็ตาม.
[622] คำว่า นั่งคู้บัลลังก์ ได้แก่ เป็นผู้นั่งคู้บัลลังก์.
[623] คำว่า ตั้งให้กายตรง ได้แก่ กายที่ดำรงไว้ ที่ตั้งไว้เป็น
กายตรง.
[624] คำว่า ตั้งสติมุ่งหน้าต่อกรรมฐาน มีอธิบายว่า สติ เป็น
ไฉน ?
สติ ความตามระลึก ฯลฯ สัมมาสติ อันใด นี้เรียกว่า สติ. สตินี้
อันภิกษุนั้นเข้าไปตั้งไว้แล้ว ตั้งไว้ดีแล้ว ที่ปลายจมูก หรือที่นิมิตเหนือปาก
ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า ตั้งสติมุ่งหน้าต่อกรรมฐาน.


[625] คำว่า ละอภิชฌาในโลก มีอธิบายว่า อภิชฌา เป็นไฉน ?
ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ฯลฯ ความกำหนัดนักแห่งจิต อัน
ใดนี้เรียกว่า อภิชฌา.
โลก เป็นไฉน ?
อุปาทานขันธ์ 5 ชื่อว่าโลก นี้เรียกว่า โลก.
อภิชฌานี้ สงบ ระงับ เข้าไประงับ ดับไป ดับไปอย่างราบคาบ
ถูกทำให้พินาศไป ถูกทำให้พินาศไปด้วยดี ถูกทำให้เหือดแห้ง ถูกทำให้
เหือดแห้งด้วยดี ถูกทำให้มีที่สุดปราศไปแล้ว ในโลกนี้ ด้วยเหตุนั้น จึง
เรียกว่า ละอภิชฌาในโลกเสียได้.
[626] คำว่า ด้วยจิตที่ปราศจากอภิชฌา มีอธิบายว่า จิต
เป็นไฉน ?
จิต มโน มานัส ฯลฯ มโนวิญญาณธาตุที่สมกัน อันใด เรียกว่า
จิต จิตนี้ปราศจากอภิชฌา ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า ด้วยจิตที่ปราศจาก
อภิชฌา.

[627] บทว่า อยู่ มีอธิบายว่า สืบเนื่องกันอยู่ ประพฤติเป็นไป
อยู่ รักษาอยู่ เป็นไปอยู่ ให้เป็นไปอยู่ เที่ยวไปอยู่ พักอยู่ ด้วยเหตุนั้น
จึงเรียกว่า อยู่.
[628] คำว่า ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอภิชฌา มีอธิบายว่า
อภิชฌา เป็นไฉน ?
ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ฯลฯ ความกำหนัดนักแห่งจิต อันใด
นี้เรียกว่า อภิชฌา.

จิต เป็นไฉน ?
จิต มโน มานัส ฯลฯ มโนวิญญาณธาตุที่สมกัน อันใด นี้เรียกว่า
จิต.
ภิกษุ ชำระจิตนี้ให้หมดจด ให้หมดจดวิเศษ ให้บริสุทธิ์ ให้พ้น
ให้พ้นวิเศษ ให้หลุดพ้น จากอภิชฌานี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า ชำระจิต
ให้บริสุทธิ์จากอภิชฌา.

[629] คำว่า ละความพยาบาทและความประทุษร้าย มีอธิบาย
ว่า ความพยาบาท มีอยู่ ความประทุษร้าย มีอยู่.
ใน 2 อย่างนั้น ความพยาบาท เป็นไฉน ?
จิตอาฆาต การกระทบกระทั่ง ความกระทบกระทั่ง ความยินร้าย
ความเคือง การขุ่นเคือง ความขุ่นเคือง ความคิดประทุษร้าย การมุ่งคิด
ประทุษร้าย ความมุ่งคิดประทุษร้าย ความพยาบาทแห่งจิต ความคิดประทุษ-
ร้ายแห่งใจ ความโกรธ กิริยาที่โกรธ ภาวะที่โกรธ ความคิดประทุษร้าย
กิริยาที่คิดประทุษร้าย ภาวะที่คิดประทุษร้าย ควานคิดปองร้าย กิริยาที่คิด
ปองร้าย ภาวะที่คิดปองร้าย การยินร้าย ความยินร้าย ความดุร้าย ความ
ปากร้าย ความไม่แช่มชื่นแห่งจิต อันใดนี้เรียกว่า พยาบาท.
ความประทุษร้าย เป็นไฉน ?
ความพยาบาทอันใด ความพยาบาทอันนั้น ชื่อว่า ความประทุษร้าย
ความประทุษร้ายอันใด ความประทุษร้ายอันนั้น ชื่อว่า ความพยาบาท.
ความพยาบาทและความประทุษร้ายนี้ สงบ ระงับ เข้าไประงับ ดับไป
ดับไปอย่างราบคาบ ถูกทำให้พินาศไป ถูกทำให้พินาศไปด้วยดี ถูกทำให้
เหือดแห้ง ถูกทำให้เหือดแห้งด้วยดี ถูกทำให้มีทีสุดปราศไปแล้ว ด้วยเหตุ
นั้น จึงเรียกว่า ละความพยาบาทและความประทุษร้าย ด้วยประการฉะนี้.

[630] บทว่า มีจิตไม่พยาบาท มีอธิบายว่า จิต เป็นไฉน ?
จิต มโน มานัส ฯลฯ มโนวิญญาณธาตุที่สมกัน อันใด นี้เรียก
ว่า จิต จิตนี้ไม่พยาบาท ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า มีจิตไม่พยาบาท.
[631] บทว่า อยู่ มีอธิบายว่า สืบเนื่องกันอยู่ ฯลฯ พักอยู่ ด้วย
เหตุนั้น จึงเรียกว่า อยู่.
[632] คำว่า ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความพยาบาทและความ
ประทุษร้าย
มีอธิบายว่า ความพยาบาท มีอยู่ ความประทุษร้าย มีอยู่.
ใน 2 อย่างนั้น ความพยาบาท เป็นไฉน ?
จิตอาฆาต การกระทบกระทั่ง ความกระทบกระทั่ง ความยินร้าย
ความเคือง การขุ่นเคือง ความขุ่นเคือง ความคิดประทุษร้าย การมุ่งคิด
ประทุษร้าย ความมุ่งคิดประทุษร้าย ความพยาบาทแห่งจิต ความคิดประทุษ-
ร้ายแห่งใจ ความโกรธ กิริยาที่โกรธ ภาวะที่โกรธ ความคิดที่ประทุษร้าย
กิริยาที่ประทุษร้าย ภาวะที่คิดประทุษร้าย ความคิดปองร้าย กิริยาที่คิด
ปองร้าย ภาวะที่คิดปองร้าย การยินร้าย ความยินร้าย ความดุร้าย ความ
ปากร้าย ความไม่แช่มชื่นแห่งจิตอันใด นี้เรียกว่า ความพยาบาท.
ความประทุษร้าย เป็นไฉน ?
ความพยาบาทอันใด ความพยาบาทอันนั้น ชื่อว่า ความประทุษร้าย
ความประทุษร้ายอันใด ความประทุษร้ายอันนั้น ชื่อว่า ความพยาบาท.
จิต เป็นไฉน ?
จิต มโน มานัส ฯลฯ มโนวิญญาณธาตุที่สมกัน อันใด นี้เรียกว่า
จิต.

ภิกษุ ชำระจิตให้หมดจด ให้หมดจดวิเศษ ให้บริสุทธิ์ ให้พ้น
ให้พ้นวิเศษ ให้หลุดพ้นจากความพยาบาทและความประทุษร้ายนี้ ด้วยเหตุ
นั้น จึงเรียกว่า ชําระจิตให้บริสุทธิ์จากความพยาบาทและความประทุษ-
ร้าย
ด้วยประการฉะนี้.
[633] คำว่า ละถีนมิทธะ ได้แล้ว มีอธิบายว่า ถีนะ มีอยู่
มิทธะมีอยู่.
ใน 2 อย่างนั้น ถีนะ เป็นไฉน ?
ความไม่สมประกอบ ความไม่ควรแก่การงาน ความท้อแท้ ความ
ท้อแท้แห่งจิต ความย่อหย่อน กิริยาที่ย่อหย่อน ภาวะที่ย่อหย่อน ความหดหู่
กิริยาที่หดหู่ ภาวะที่หดหู่ แห่งจิต อันใด นี้เรียกว่า ถีนะ.
มิทธะ เป็นไฉน ?
ความไม่สมประกอบ ความไม่ควรแก่งาน ความง่วงซึม ความ
เฉื่อยชา ความซบเซา ความหาวนอน ความหลับ ความโงกง่วง ความหลับ
กิริยาที่หลับ ภาวะที่หลับแห่งเจตสิก อันใด นี้เรียกว่า มิทธะ.
ถีนะและมิทธะนี้ สงบ ระงับ เข้าไประงับ ดับไป ดับไปอย่าง
ราบคาบ ถูกทำให้พินาศไป ถูกทำให้พินาศไปด้วยดี ถูกทำให้เหือดแห้ง
ถูกทำให้เหือดแห้งไปด้วยดี ถูกทำให้มีที่สุดปราศไปแล้ว ด้วยเหตุนั้น จึงเรียก
ว่า ละถีนมิทธะได้แล้ว ด้วยประการฉะนี้.
[634] ค่าว่า เป็นผู้ปราศจากถีนมิทธะ มีอธิบายว่า ชื่อว่า เป็น
ผู้ปราศจากถีนมิทธะ เพราะถีนมิทธะนั้นอันภิกษุนั้นสละแล้ว คายแล้ว ปล่อย
แล้ว ละแล้ว สละคืนแล้ว ละแล้วและสละคืนแล้ว ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า
เป็นผู้ปราศจากถีนมิทธะ ด้วยประการฉะนี้.

บทว่า อยู่ มีอธิบายว่า สืบเนื่องกันอยู่ ฯลฯ พักอยู่ ด้วยเหตุนั้น
จึงเรียกว่า อยู่.
[635] บทว่า มีอาโลกสัญญา มีอธิบายว่า สัญญา เป็นไฉน ?
การจำ กิริยาที่จำ ความจำ อันใด นี้เรียกว่า สัญญา สัญญานี้
สว่างเปิดเผย บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า มีอาโลกสัญญา.
[636] บทว่า มีสติสัมปชัญญะ มีอธิบายว่า สติ เป็นไฉน ?
สติ ความตามระลึก ฯลฯ สัมมาสติ อันใด นี้เรียกว่า สติ.
สัมปชัญญะ เป็นไฉน ?
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลง ความวิจัยธรรม สัมมาทิฏฐิ
อันใด นี้เรียกว่า สัมปชัญญะ.
ภิกษุ เป็นผู้เข้าไปถึงแล้ว ฯลฯ ประกอบแล้ว ด้วยสติและสัมปชัญญะ
นี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า มีสติสัมปชัญญะ ด้วยประการฉะนี้.
[637] คำว่า ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากถีนมิทธะ มีอธิบายว่า
ถีนะมีอยู่ มิทธะ มีอยู่
ใน 2 อย่างนั้น ถีนะ เป็นไฉน ?
ความไม่สมประกอบแห่งจิต ฯลฯ ภาวะที่หดหู่แห่งจิต อันใด นี้
เรียกว่า ถีนะ.
มิทธะ เป็นไฉน ?
ความไม่สมประกอบ ฯลฯ ภาวะที่หลับแห่งเจตสิก อันใด นี้เรียกว่า
มิทธะ.
จิต เป็นไฉน ?
จิต มโน มานัส ฯลฯ มโนวิญญาณธาตุที่สมกัน อันใด นี้เรียกว่า

ภิกษุ ชำระจิตนี้ให้หมดจด ให้หมดจดวิเศษ ให้บริสุทธิ์ ให้พ้น
ให้พ้นวิเศษ ให้หลุดพ้นจากถีนมิทธะนี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า ชำระจิต
ให้บริสุทธิ์จากถีนมิทธะ.

[638] คำว่า ละอุทธัจจกุกกุจจะได้แล้ว มีอธิบายว่า อุทธัจจะ
มีอยู่ กุกกุจจะ มีอยู่.
ใน 2 อย่างนั้น อุทธัจจะ เป็นไฉน ?
ความฟุ้งซ่านแห่งจิต ความไม่สงบแห่งจิต ความวุ่นวายใจ ความ
พล่านแห่งจิต อันใด นี้เรียกว่า อุทธัจจะ.
กุกกุจจะ เป็นไฉน ?
ความสำคัญว่าควรในของที่ไม่ควร ความสำคัญว่าไม่ควร ในของที่ควร
ความสำคัญว่ามีโทษในของที่ไม่มีโทษ ความสำคัญว่า ไม่มีโทษในของที่มีโทษ
ความรำคาญ กิริยาที่รำคาญ ภาวะที่รำคาญ ความเดือดร้อนใจ ความยุ่งใจ
ซึ่งมีลักษณะเช่นว่านี้ อันใด นี้เรียกว่า กุกกุจจะ.
อุทธัจจะและกุกกุจจะนี้ สงบ ระงับ เข้าไประงับ ดับไป ดับไป
อย่างราบคาบ ถูกทำให้พินาศไป ถูกทำให้พินาศไปด้วยดี ถูกทำให้เหือดแห้ง
ถูกทำให้เหือดแห้งด้วยดี ถูกทำให้มีที่สุดปราศจากไปแล้ว ด้วยเหตุนั้น จึง
เรียกว่า ละอุทธัจจะกุกกุจจะได้แล้ว ด้วยประการฉะนี้.
[639] บทว่า เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน มีอธิบายว่า ชื่อว่าเป็นผู้ไม่
ฟุ้งซ่าน เพราะอุทธัจจกุกกุจจะนั้นอันภิกษุนั้นสละแล้ว คายแล้ว ปล่อยเเล้ว
ละแล้ว สละคืนแล้ว ละแล้วและสละคืนแล้ว ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า เป็น
ผู้ไม่ฟุ้งซ่าน.

[640] บทว่า อยู่ มีอธิบายว่า สืบเนื่องกันอยู่ ฯลฯ พักอยู่ ด้วย
เหตุนั้น จึงเรียกว่า อยู่.
[641] บทว่า ภายใน ได้แก่ เป็นภายในเฉพาะตน.
บทว่า มีจิตสงบ มีอธิบายว่า จิต เป็นไฉน ?
จิต มโน มานัส ฯลฯ มโนวิญญาณธาตุที่สมกัน อันใด นี้เรียกว่า จิต.
จิตนี้ สงบ ระงับ เข้าไประงับ ภายใน ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า
มีจิตสงบภายใน.
[642] คำว่า ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอุทธัจจกุกกุจจะ มีอธิบาย
ว่า อุทธัจจะ มีอยู่ กุกกุจจะ มีอยู่.
ใน 2 อย่างนั้น อุทธัจจะ เป็นไฉน ?
ความฟุ้งซ่านแห่งจิต ความไม่สงบแห่งจิต ความวุ่นวายใจ ความ
พล่านแห่งจิต อันใด นี้เรียกว่า อุทธัจจะ.
กุกกุจจะ เป็นไฉน ?
ความสำคัญว่าควรในของที่ไม่ควร ฯลฯ ความยุ่งใจ ซึ่งมีลักษณะ
เช่นว่านี้ อันใด นี้เรียกว่า กุกกุจจะ.
จิต เป็นไฉน ?
จิต มโน มานัส ฯลฯ มโนวิญญาณธาตุที่สมกัน อันใด นี้เรียกว่า
จิต.
ภิกษุ ชำระจิตให้หมดจด ให้หมดจดวิเศษ ให้บริสุทธิ์ ให้พ้น
ให้พ้นวิเศษ ให้หลุดพ้นจากอุทธัจจะและกุกกุจจะนี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า
ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอุทธัจจกุกกุจจะ.

[643] คำว่า ละวิจิกิจฉาได้แล้ว มีอธิบายว่า วิจิกิจฉา
เป็นไฉน ?
การเคลือบแคลง กิริยาที่เคลือบแคลง ความเคลือบแคลง ความ
คิดเห็นไปต่าง ๆ นานา ความตัดสินอารมณ์ไม่ได้ ความเห็นเป็นสองแง่
ความเห็นเหมือนทางสองแพร่ง ความสงสัย ความไม่สามารถจะถือเอาโดยส่วน
เดียวได้ ความคิดส่ายไป ความคิดพร่าไป ความไม่สามารถจะหยั่งลงถือเอา
เป็นยุติได้ ความกระด้างแห่งจิต ความลังเลใจ อันใด นี้เรียกว่า วิจิกิจฉา.
วิจิกิจฉานี้ สงบ ระงับ เข้าไประงับ ดับไป ดับไปอย่างราบคาบ
ถูกทำให้พินาศไป ถูกทำให้พินาศไปด้วยดี ถูกทำให้เหือดแห้ง ถูกทำให้
เหือดแห้งด้วยดี ถูกทำให้มีที่สุดปราศไปแล้ว ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า ละ
วิจิกิจฉาได้แล้ว.

[644] บทว่า เป็นผู้ข้ามเสียได้ซึ่งวิจิกิจฉา มีอธิบายว่า เป็น
ผู้ข้ามแล้ว ข้ามพ้นแล้ว ข้ามออกแล้วซึ่งวิจิกิจฉานี้ ถึงฝั่งแล้ว ถึงฝั่งแล้ว
โดยลำดับ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า เป็นผู้ข้ามเสียได้ซึ่งวิจิกิจฉา.
[645] บทว่า อยู่ มีอธิบายว่า สืบเนื่องกันอยู่ ฯลฯ พักอยู่
ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า อยู่.
[646] คำว่า ไม่มีความสงสัยในกุศลธรรมทั้งหลาย มีอธิบาย
ว่า ไม่เคลือบแคลง ไม่สงสัย ไม่มีความสงสัย หมดความสงสัย ปราศจาก
ความสงสัยในกุศลธรรมทั้งหลาย ด้วยวิจิกิจฉานี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า
ไม่มีความสงสัยในกุศลธรรมทั้งหลาย.
[647] คำว่า ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากวิจิกิจฉา มีอธิบายว่า
วิจิกิจฉา เป็นไฉน ?

การเคลือบแคลง กิริยาที่เคลือบแคลง ความเคลือบแคลง ฯลฯ
ความกระด้างแห่งจิต ความลังเลใจ อันใด นี้เรียกว่า วิจิกิจฉา.
จิต เป็นไฉน ?
จิต มโน มานัส ฯลฯ มโนวิญญาณธาตุที่สมกัน อันใด นี้เรียกว่า จิต.
ภิกษุ ชำระจิตนี้ให้หมดจด ให้หมดจดวิเศษ ให้บริสุทธิ์ ให้พ้น
ให้พ้นวิเศษ ให้หลุดพ้นจากวิจิกิจฉานี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า ชำระจิต
ให้บริสุทธิ์จากวิจิกิจฉา.

[648] คำว่า ละนิวรณ์ 5 เหล่านี้ได้แล้ว มีอธิบายว่า นิวรณ์
5 เหล่านี้ สงบ ระงับ เข้าไประงับ ดับไป ดับไปอย่างราบคาบ ถูกทำให้
พินาศไป ถูกทำให้พินาศไปด้วยดี ถูกทำให้เหือดแห้ง ถูกทำให้เหือดแห้ง
ด้วยดี ถูกทำให้มีที่สุดปราศไปแล้ว ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า ละนิวรณ์ 5
เหล่านี้ได้แล้ว.

[649] คำว่า เป็นเครื่องเศร้าหมองแห่งใจ ได้แก่ นิวรณ์ 5
เหล่านี้ เป็นเครื่องเศร้าหมองแห่งจิต.
[650] คำว่า ทำปัญญาให้ทราม มีอธิบายว่า ปัญญาที่ยังไม่
เกิดขึ้น ย่อมไม่เกิดขึ้น และปัญญาที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไป เพราะนิวรณ์
5 เหล่านั้น ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า ทำปัญญาให้ทราม.
[651] คำว่า สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว
มีอธิบายว่า กาม เป็นไฉน ?
ฉันทะ ชื่อว่า กาม. ราคะ ชื่อว่า กาม. ฉันทราคะ ชื่อว่า กาม.
สังกัปปะ ชื่อว่า กาม. ราคะ ชื่อว่า กาม. สังกัปปราคะ
ชื่อว่า กาม.

ธรรมเหล่านี้ เรียกว่า กาม.
อกุศลธรรมทั้งหลาย เป็นไฉน ?
กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา ธรรม
เหล่านี้ เรียกว่า อกุศลธรรมทั้งหลาย.
ภิกษุ สงัดจากกามและอกุศลธรรมเหล่านี้แล้ว ด้วยเหตุนั้น จึงเรียก
ว่า สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว ด้วยประการฉะนี้.
[652] คำว่า ประกอบด้วยวิตก วิจาร มีอธิบายว่า วิตก มีอยู่
วิจาร มีอยู่.
ใน 2 อย่างนั้น วิตก เป็นไฉน ?
ความตรึก ความตรึกอย่างแรง ความดำริ ความที่จิตแนบอยู่ใน
อารมณ์ ความที่จิตแนบสนิทอยู่ในอารมณ์ ความยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ สัมมา-
สังกัปปะ อันใด นี้เรียกว่า วิตก.
วิจาร เป็นไฉน ?
ความตรอง ความพิจารณา ความตามพิจารณา ความเข้าไปพิจารณา
ความทีจิตสืบต่ออารมณ์ ความที่จิตเพ่งดูอารมณ์อยู่เนือง ๆ อันใด นี้เรียกว่า
วิจาร.
ภิกษุ เป็นผู้เข้าไปถึงแล้ว ฯลฯ ประกอบแล้ว ด้วยวิตกและวิจารนี้
ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า ประกอบด้วยวิตก วิจาร ด้วยประการฉะนี้
[653] บทว่า เกิดแต่วิเวก มีอธิบายว่า ธรรมเหล่านั้น คือ
วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตาแห่งจิต เกิดแล้ว เกิดพร้อมแล้ว บังเกิด
แล้ว บังเกิดเฉพาะแล้ว ปรากฏแล้ว ในวิเวกนี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า
เกิดแต่วิเวก.

[654] บทว่า มีปีติและสุข มีอธิบายว่า ปีติ มีอยู่ สุข มีอยู่.
ใน 2 อย่างนั้น ปีติ เป็นไฉน ?
ความอิ่มใจ ความปราโมทย์ ความยินดียิ่ง ความบันเทิง ความร่าเริง
ความรื่นเริง ความปลื้มใจ ความปีติอย่างโลดโผน ความที่จิตชื่นชมยินดี
อันใด นี้เรียกว่า ปีติ.
สุข เป็นไฉน ?
ความสบายทางใจ ความสุขทางใจ ความเสวยอารมณ์ที่สบาย เป็น
สุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่สบายเป็นสุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส
อันใด นี้เรียกว่า สุข.
สุขนี้ สหรคต เกิดร่วม เจือปน สัมปยุต ด้วยปีตินี้ ด้วยเหตุนั้น
จึงเรียกว่า มีปีติและสุข.
[655] บทว่า ปฐม คือ เป็นที่ 1 ตามลำดับแห่งการนับ ฌาน
นี้ชื่อว่า ปฐมฌาน เพราะโยคาวจรบุคคลบรรลุเป็นครั้งแรก.
[656] บทว่า ฌาน ได้แก่ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตาแห่งจิต.
[657] บทว่า บรรลุ ได้แก่ การได้ การกลับได้อีก การถึง
ความถึง การถูกต้อง การทำให้แจ้ง การบรรลุ ซึ่งปฐมฌาน.
[658] บทว่า อยู่ มีอธิบายว่า สืบเนื่องกันอยู่ ฯลฯ พักอยู่
ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า อยู่.
[659] คำว่า เพราะวิตกวิจารสงบ มีอธิบายว่า วิตก มีอยู่
วิจาร มีอยู่.
ใน 2 อย่างนั้น วิตก เป็นไฉน ?

ความตรึก ความตรึกอย่างแรง ฯลฯ สัมมาสังกัปปะ อันใด นี้เรียก
ว่า วิตก.
วิจาร เป็นไฉน ?
ความตรอง ความพิจารณา ความตามพิจารณา ความเข้าไปพิจารณา
ความที่จิตสืบต่ออารมณ์ ความที่จิตเพ่งดูอารมณ์อยู่เนือง ๆ อันใด นี้เรียกว่า
วิจาร.
วิตกและวิจารนี้ ระงับ เข้าไประงับ ดับไป ดับไปอย่างราบคาบ
ถูกทำให้พินาศไป ถูกทำให้พินาศไปด้วยดี ถูกทำให้เหือดแห้ง ถูกทำให้
เหือดแห้งด้วยดี ถูกทำให้มีที่สุดปราศไปแล้ว ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า เพราะ
วิตกวิจารสงบ
ด้วยประการฉะนี้.
[660] บทว่า เป็นไปในภายใน ได้แก่เป็นของภายในเฉพาะตน
บทว่า ผ่องใส ได้แก่ ศรัทธา กิริยาที่เชื่อ ความปลงใจเชื่อ
ความเลื่อมใสยิ่ง.
[661] คำว่า เป็นธรรมเอกผุดขึ้นแก่ใจ ได้แก่ ความตั้งอยู่
แห่งจิต ฯลฯ สัมมาสมาธิ.
[662] คำว่า ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีอธิบายว่า วิตก มีอยู่
วิจาร มีอยู่.
ใน 2 อย่างนั้น วิตก เป็นไฉน ?
ความตรึก ความตรึกอย่างแรง ฯลฯ สัมมาสังกัปปะ อันใด นี้
เรียกว่า วิตก.
วิจาร เป็นไฉน ?

ความตรอง ความพิจารณา ความตามพิจารณา ความเข้าไปพิจารณา
อารมณ์ ความที่จิตสืบต่ออารมณ์ ความที่จิตเพ่งดูอารมณ์อยู่เนือง ๆ อันใด
นี้เรียกว่า วิจาร.
วิตกและวิจารนี้ สงบ ระงับ เข้าไประงับ ดับไป ดับไปอย่างราบคาบ
ถูกทำให้พินาศไป ถูกทำให้พินาศไปด้วยดี ถูกทำให้เหือดแห้งด้วยดี ถูก
ทำให้สิ้นสุดปราศไปแล้ว ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร
ด้วยประการฉะนี้.
[663] บทว่า เกิดแต่สมาธิ มีอธิบายว่า ธรรมเหล่านั้น คือ
ความผ่องใส ปีติ สุข เอกัคคตาแห่งจิต เกิดแล้ว เกิดพร้อมแล้ว บังเกิด
แล้ว บังเกิดเฉพาะแล้ว ปรากฏแล้ว ในสมาธินี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า
เกิดแต่สมาธิ.
[664] บทว่า มีปีติและสุข มีอธิบายว่า ปีติ มีอยู่ สุข มีอยู่.
ใน 2 อย่างนั้น เป็นไฉน ?
ความอิ่มใจ ความปราโมทย์ ฯลฯ ความที่จิตชื่นชมยินดี อันใด
นี้เรียกว่า ปีติ.
สุข เป็นไฉน ?
ความสบายทางใจ ฯลฯ กิริยาเสวยอารมณ์ที่สบายเป็นสุขอันเกิดแต่
เจโตสัมผัส อันใด นี้เรียกว่า สุข.
สุขนี้ สหรคต เกิดร่วม เจือปน สัมปยุต ด้วยปีตินี้ ด้วยเหตุนั้น
จึงเรียกว่า มีปีติและสุข.
[665] บทว่า ทุติยะ คือ เป็นที่ 2 ตามลำดับ แห่งการนับฌานนี้.
ชื่อว่า ทุติยฌาน เพราะโยคาวจรบุคคลบรรลุเป็นครั้งที่ 2.

[666] บทว่า ฌาน ได้แก่ ความผ่องใส ปีติ สุข เอกัคคตา
แห่งจิต.
[667] บทว่า บรรลุ ได้แก่ การได้ การกลับได้อีก การถึง
ความถึง การถูกต้อง การทำให้แจ้ง การบรรลุ ซึ่งทุติยฌาน.
[668] บทว่า อยู่ มีอธิบายว่า สืบเนื่องกันอยู่ ฯลฯ พักอยู่
ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า อยู่.
[669] คำว่า เพราะคลายปีติได้อีกด้วย มีอธิบายว่า ปีติ
เป็นไฉน ?
ความอิ่มใจ ความปราโมทย์ ความยินดียิ่ง ความบันเทิง ความ
ร่าเริง ความรื่นเริง ความปลื้มใจ ความปีติอย่างโลดโผน ความที่จิตชื่นชม
ยินดี อันใด นี้เรียกว่า ปีติ.
ปีตินี้ สงบ ระงับ เข้าไประงับ ดับไป ดับไปอย่างราบคาบ ถูก
ทำไห้พินาศไป ถูกทำให้พินาศไปด้วยดี ถูกทำให้เหือดแห้ง ถูกทำให้เหือด-
แห้งด้วยดี ถูกทำให้สิ้นสุดปราศไปแล้ว ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า เพราะ
คลายปีติได้อีกด้วย.

[670] บทว่า เป็นผู้มีจิตเป็นอุเบกขา มีอธิบายว่า อุเบกขา
เป็นไฉน ?
ความวางเฉย กิริยาที่วางเฉย ความเพ่งเฉพาะ ความเป็นกลางแห่ง
จิต อันใด นี้เรียกว่า อุเบกขา.
ภิกษุ เป็นผู้เข้าไปถึงแล้ว ฯลฯ ประกอบแล้ว ด้วยอุเบกขานี้ ด้วย
เหตุนั้น จึงเรียกว่า เป็นผู้มีจิตเป็นอุเบกขา.

[671] บทว่า อยู่ มีอธิบายว่า สืบเนื่องกันอยู่ ฯลฯ พักอยู่
ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า อยู่.
[672] คำว่า มีสติสัมปชัญญะ มีอธิบายว่า ใน 2 อย่างนั้น
สติ เป็นไฉน ?
สติ ความตามระลึก ฯลฯ สัมมาสติ อันใด นี้เรียกว่า สติ.
สัมปชัญญะ เป็นไฉน ?
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลง ความวิจัยธรรม สัมมา-
ทิฏฐิ อันใด นี้เรียกว่า สัมปชัญญะ.
ภิกษุ เป็นผู้เข้าไปถึงแล้ว ฯ ล ฯ ประกอบแล้ว ด้วยสติและสัมป-
ชัญญะนี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า มีสติสัมปชัญญะ ด้วยประการฉะนี้.
[673] คำว่า เสวยสุขด้วยนามกาย มีอธิบายว่า สุข เป็นไฉน ?
ความสบายทางใจ ความสุขทางใจ ความเสวยอารมณ์ที่สบายเป็นสุข
อันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่สบายเป็นสุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส
อันใด นี้เรียกว่า สุข.
กาย เป็นไฉน ?
สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ นี้เรียกว่า กาย.
ภิกษุ ย่อมเสวยสุขนี้ ด้วยกายนี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า เสวยสุข
ด้วยนามกาย.

[674] คำว่า เป็นฌานที่พระอริยเจ้ากล่าวสรรเสริญผู้ได้
บรรลุ
มีอธิบายว่า พระอริยเจ้า เป็นไฉน ?
พระพุทธเจ้าและพระสาวกของพระพุทธเจ้า เรียกว่า พระอริยเจ้า
พระอริยเจ้าเหล่านั้น ย่อมกล่าวสรรเสริญ แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย

จำแนก ทำให้ชัดเจน ประกาศ ซึ่งบุคคลผู้ได้บรรลุนี้ ด้วยเหตุนั้น จึง
เรียกว่า เป็นฌานที่พระอริยเจ้ากล่าวสรรเสริญผู้ได้บรรลุ.
[675] คำว่า เป็นผู้มีจิตเป็นอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข มี
อธิบายว่า อุเบกขา เป็นไฉน ?
ความวางเฉย กิริยาที่วางเฉย ความเพ่งเฉพาะ ความเป็นกลางแห่ง
จิต อันใด นี้เรียกว่า อุเบกขา.
สติ เป็นไฉน ?
สติ ความตามระลึก ฯลฯ สัมมาสติ อันใด นี้เรียกว่า สติ.
สุข เป็นไฉน ?
ความสบายทางใจ ความสุขทางใจ ความเสวยอารมณ์ที่สบายเป็นสุข
อันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่สบายเป็นสุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส
อันใด นี้เรียกว่า สุข.
ภิกษุ ประกอบด้วยอุเบกขา สติ และสุขนี้ สืบเนื่องอยู่ ประพฤติ
เป็นไปอยู่ รักษาอยู่ เป็นไปอยู่ ให้เป็นไปอยู่ เที่ยวไปอยู่ พักอยู่ ด้วย
เหตุนั้น จึงเรียกว่า เป็นผู้มีจิตเป็นอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข ด้วย
ประการฉะนี้.
[676] บทว่า ตติยะ คือ เป็นที่ 4 ตามลำดับแห่งการนับฌาน
นี้ ชื่อว่า ตติยฌาน เพราะโยคาวจรบุคคลบรรลุเป็นครั้งที่ 3.
[677] บทว่า ฌาน ได้แก่ อุเบกขา สติ สัมปชัญญะ สุข
เอกัคคตาแห่งจิต.
[678] บทว่า บรรลุ ได้แก่ การได้ การกลับได้อีก การถึง
ความถึง การถูกต้อง การทำให้แจ้ง ซึ่งตติยฌาน.

[679] บทว่า อยู่ มีอธิบายว่า สืบเนื่องกันอยู่ ฯลฯ พักอยู่
ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า อยู่.
[680] คำว่า เพราะละสุขและทุกข์ได้ มีอธิบายว่า สุข มีอยู่
ทุกข์ มีอยู่.
ใน 2 อย่างนั้น สุข เป็นไฉน ?
ความสบายทางกาย ความสุขทางกาย ความเสวยอารมณ์ที่สบายเป็น
สุขอันเกิดแต่กายสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่สบายเป็นสุขอันเกิดแต่กายสัมผัส
อันใด นี้เรียกว่า สุข.
ทุกข์ เป็นไฉน ?
ความไม่สบายทางกาย ความทุกข์ทางกาย ความเสวยอารมณ์ที่ไม่
สบายเป็นทุกข์อันเกิดแต่กายสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่สบายเป็นทุกข์อัน
เกิดแต่กายสัมผัส อันใด นี้เรียกว่า ทุกข์.
สุขและทุกข์นี้ สงบ ระงับ เข้าไประงับ ดับไป ดับไปอย่างราบคาบ
ถูกทำให้พินาศไป ถูกทำให้พินาศไปด้วยดี ถูกทำให้เหือดแห้ง ถูกทำให้
เหือดแห้งด้วยดี ถูกทำให้สิ้นสุดปราศไปแล้ว ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า เพราะ
ละสุขและทุกข์ได้
ด้วยประการฉะนี้.
[681] คำว่า เพราะโสมนัสและโทมันสดับสนิทในก่อน มี
อธิบายว่า โสมนัส มีอยู่ โทมนัส มีอยู่.
ใน 2 อย่างนั้น โสมนัส เป็นไฉน ?
ความสบายทางใจ ความสุขทางใจ ความเสวยอารมณ์ที่สบายเป็นสุข
อันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่สบายเป็นสุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส
อันใด นี้เรียกว่า โสมนัส.

โทมนัส เป็นไฉน ?
ความไม่สบายทางใจ ความทุกข์ทางใจ ความเสวยอารมณ์ที่ไม่สบาย
เป็นทุกข์อันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่สบายเป็นทุกข์อันเกิดแต่
เจโตสัมผัส อันใด นี้เรียกว่า โทมนัส.
โสมนัสและโทมนัสนี้ สงบ ระงับ เข้าไประงับ ดับไป ดับไป
อย่างราบคาบ ถูกทำให้พินาศไป ถูกทำให้พินาศไปด้วยดี ถูกทำให้เหือดแห้ง
ถูกทำให้เหือดแห้งด้วยดี ถูกทำให้สิ้นสุดปราศไปแล้วในก่อน ด้วยเหตุนั้น
จึงเรียกว่า เพราะโสมนัสและโทมนัสดับสนิทในก่อน ด้วยประการฉะนี้.
[682] บทว่า ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีอธิบายว่า ไม่มีความสบาย
ทางใจ ไม่มีความไม่สบายทางใจ มีแต่ความเสวยอารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุขอัน
เกิดแต่เจโตสัมผัส มีแต่กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส
ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข.
[683] บทว่า มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา มีอธิบายว่า อุเบกขา
เป็นไฉน ?
ความวางเฉย กิริยาวางเฉย ความเพ่งเฉพาะ ความเป็นกลางแห่ง
จิต อันใด นี้เรียกว่า อุเบกขา.
สติ เป็นไฉน ?
สติ ความตามระลึก ฯลฯ สัมมาสติ อันใด นี้เรียกว่า สติ.
สตินี้ เปิดเผย บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว เพราะอุเบกขานี้ ด้วยเหตุนั้น
จึงเรียกว่า มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา.
[684] บทว่า จตุตถะ คือ เป็นที่ 4 ตามลำดับแห่งการนับ
ฌานนี้ชื่อว่า จตุตถฌาน เพราะโยคาวจรบุคคลบรรลุเป็นครั้งที่ 4.

[685] บทว่า ฌาน ได้แก่ อุเบกขา สติ เอกัคคตาแห่งจิต.
[686] บทว่า บรรลุ ได้แก่ การได้ การกลับได้อีก การถึง
การถูกต้อง การทำให้แจ้ง การบรรลุ ซึ่งจตุตถฌาน.
[687] บทว่า อยู่ มีอธิบายว่า สืบเนื่องกันอยู่ ฯลฯ พักอยู่
ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า อยู่.
[688] ค่าว่า เพราะก้าวล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง
มีอธิบายว่า รูปสัญญา เป็นไฉน ?
การจำ กิริยาที่จำ ความจำ ของโยคาวจรบุคคลผู้เข้ารูปาวจรสมาบัติ
หรือของผู้อุปบัติในรูปภูมิ หรือของพระอรหันต์ผู้อยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม
เหล่านี้เรียกว่า รูปสัญญา.
ภิกษุก้าวล่วงเเล้ว ข้ามแล้ว ข้ามพ้นแล้ว ซึ่งรูปสัญญาเหล่านี้ ด้วย
เหตุนั้นจึงเรียกว่า เพราะก้าวล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง.
[689] คำว่า เพราะความดับไปแห่งปฏิสัญญา มีอธิบายว่า
ปฏิฆสัญญา เป็นไฉน ?
รูปสัญญา สัททสัญญา คันธสัญญา รสสัญญา โผฏฐัพพสัญญา
เหล่านี้เรียกว่า ปฏิฆสัญญา. ปฏิฆสัญญาเหล่านั้น สงบ ระงับ เข้าไประงับ
ดับไป ดับไปอย่างราบคาบ ถูกทำให้พินาศไป ถูกทำให้พินาศไปด้วยดี ถูก
ทำให้เหือดแห้ง ถูกทำให้เหือดแห้งด้วยดี ถูกทำให้สิ้นสุดปราศไปแล้ว ด้วย
เหตุนั้น จึงเรียกว่า เพราะความดับไปแห่งปฏิฆสัญญา.
[690] คำว่า เพราะไม่มนสิการซึ่งนานัตตสัญญา. มีอธิบาย
ว่า นานัตตสัญญา เป็นไฉน ?

การจำ กิริยาที่จำ ความจำ ของบุคคลผู้ไม่เข้าสมาบัติ พรั่งพร้อม
ด้วยมโนธาตุ หรือพรั่งพร้อมด้วยมโนวิญญาณธาตุ เหล่านี้ เรียกว่า นานัตต-
สัญญา ภิกษุย่อมไม่มนสิการซึ่งนานัตตสัญญาเหล่านี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า
เพราะไม่มนสิการซึ่งนานัตตสัญญา.
[691] บทว่า อากาศไม่มีที่สุด มีอธิบายว่า อากาศ เป็น
ไฉน ?
อากาศ ธรรมชาติอันนับว่าอากาศ ความว่างเปล่า ธรรมชาติอันนับ
ว่าความว่างเปล่า ช่องว่าง ธรรมชาติอันนับว่าช่องว่าง อันมหาภูตรูป 4
ไม่ถูกต้องแล้ว อันใด นี้เรียกว่า อากาศ ภิกษุตั้งจิตไว้ ตั้งจิตไว้ด้วยดี แผ่
จิตไปไม่มีที่สุดในอากาศนั้น ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า อากาศไม่มีที่สุด.
[692] บทว่า อากาสานัญจายตนะ ได้แก่จิตและเจตสิกของผู้เข้า
อากาสานัญจายตนฌาน หรือของผู้อุปบัติในอากาสานัญจายตนภูมิ หรือของ
พระอรหันต์ผู้อยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม.
[693] บทว่า บรรลุ ได้แก่ การได้ การกลับได้อีก การถึง
ความถึง การถูกต้อง การทำให้แจ้ง การบรรลุ ซึ่งอากาสานัญจายตนฌาน
[694] บทว่า อยู่ มีอธิบายว่า สืบเนื่องกันอยู่ ฯลฯ พักอยู่ ด้วย
เหตุนั้น จึงเรียกว่า อยู่.
[695] คำว่า เพราะก้าวล่วงอากาสานัญจายตนะโดยประการ
ทั้งปวง
มีอธิบายว่า ภิกษุ ก้าวล่วงแล้ว ข้ามแล้ว ข้ามพ้นแล้ว ซึ่ง
อากาสานัญจายตนะนี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า เพราะก้าวล่วงอากาสานัญ-
จายตนะโดยประการทั้งปวง.

[696] คำว่า วิญญาณไม่มีที่สุด มีอธิบายว่า ภิกษุ พิจารณา
อากาศอันวิญญาณถูกต้องแล้วนั้นแล แผ่จิตไปไม่มีที่สุด ด้วยเหตุนั้น จึง
เรียกว่าวิญญาณไม่มีที่สุด.
[697] บทว่า วิญญาณัญจายตนะ ได้แก่จิตและเจตสิกของผู้เข้า
วิญญาณัญจายตนฌาน หรือของผู้อุปบัติในวิญญาณัญจายตนภูมิ หรือของ
พระอรหันต์ผู้อยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม.
[698] บทว่า บรรลุ ได้แก่ การได้ การกลับได้อีก การถึง
ความถึง การถูกต้อง การทำให้แจ้ง การบรรลุ ซึ่งวิญญาณัญจายตนฌาน.
[699] บทว่า อยู่ มีอธิบายว่า สืบเนื่องกันอยู่ ฯ ล ฯ พักอยู่
ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า อยู่ [700] คำว่า เพราะก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนะโดยประการ
ทั้งปวง
มีอธิบายว่า ภิกษุ ก้าวล่วงแล้ว ข้ามแล้ว ข้ามพ้นแล้ว ซึ่งวิญญา-
ณัญจายตนะนี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า เพราะก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนะ
โดยประการทั้งปวง.
[701] คำว่า วิญญาณน้อยหนึ่งไม่มี มีอธิบายว่า ภิกษุพิจารณา
เห็นว่า วิญญาณนั้นแลไม่มี ไม่ปรากฏ อันตรธานไป น้อยหนึ่งไม่มี ด้วย
เหตุนั้น จึงเรียกว่า วิญญาณน้อยหนึ่งไม่มี.
[702] บทว่า อากิญจัญญายตนะ ได้แก่จิตและเจตสิกของผู้เข้า
อากิญจัญญายตนฌาน หรือของผู้อุปบัติในอากิญจัญญายตนภูมิ หรือของพระ-
อรหันต์ผู้อยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม.
[703] บทว่า บรรลุ ได้แก่ การได้ การกลับได้อีก การถึง
ความถึง การถูกต้อง การทำให้แจ้ง การบรรลุ ซึ่งอากิญจัญญายตนฌาน.

[704] บทว่า อยู่ มีอธิบายว่า สืบเนื่องกันอยู่ ฯลฯ พักอยู่
ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า อยู่.
[705] คำว่า เพราะก้าวล่วงอากิญจัญญายตนะโดยประการ
ทั้งปวง
มีอธิบายว่า ภิกษุ ก้าวล่วงแล้ว ข้ามแล้ว ข้ามพ้นแล้ว ซึ่งอากิญ-
จัญญายตนะนี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า เพราะก้าวล่วงอากิญจัญญายตนะโดย
ประการทั้งปวง.
[706] บทว่า มิใช่ผู้มีสัญญาและมิใช่ผู้ไม่มีสัญญา มีอธิบาย
ว่า ภิกษุพิจารณาอากิญจัญญายตนฌานนั้นแล โดยความสงบ เจริญสมาบัติ
อันมีสังขารเหลืออยู่ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า มิใช่ผู้มีสัญญาและมิใช่ผู้ไม่มี
สัญญา1.
[707] บทว่า เนวสัญญานาสัญญายตนะ ได้แก่จิตและเจตสิก
ของผู้เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน หรือของผู้อุปบัติในเนวสัญญานา-
สัญญายตนภูมิหรือของพระอรหันต์ผู้อยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม.
[708] บทว่า บรรลุ ได้แก่ การได้ การกลับได้อีก การถึง
ความถึง การถูกต้อง การทำให้แจ้ง การบรรลุ ซึ่งเนวสัญญานาสัญญายตน-
ฌาน.
[709] บทว่า อยู่ มีอธิบายว่า สืบเนื่องกันอยู่ ประพฤติเป็นไปอยู่
รักษาอยู่ เป็นไปอยู่ ให้เป็นไปอยู่ เที่ยวไปอยู่ พักอยู่ ด้วยเหตุนั้น จึง
เรียกว่า อยู่.
สุตตันตภาชนีย์ จบ

1. อุทเทสแห่งนิทเทสนี้ ไม่ปรากฏในมาติกา เพราะฉะนั้น นิทเทสนี้น่าจะเกินมา หรืออุทเทสนั้น
น่าจะขาดไป.

อภิธรรมภาชนีย์


กุศลฌาน จตุกกนัย


[710] ฌาน 4 คือ
1. ปฐมฌาน
2. ทุติยฌาน
3. ตติยฌาน
4. จตุตถฌาน
[711] ในฌาน 4 นั้น ปฐมฌาน เป็นไฉน ?
ภิกษุในศาสนานี้ เจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภพ สงัดจากกาม
สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌานที่มีปฐวีกสิณเป็นอารมณ์
ประกอบด้วยวิตก วิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่ ในสมัยใด ฌานมี
องค์ 5 คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตาแห่งจิต มีในสมัยนั้น นี้เรียก
ว่า ปฐมฌานกุศล ธรรมทั้งหลายที่เหลือ เรียกว่า ธรรมที่สัมปยุตด้วย
ฌาน.
[712] ทุติยฌาน เป็นไฉน ?
ภิกษุในศาสนานี้ เจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภพ บรรลุทุติย-
ฌานทีมีปฐวีกสิณเป็นอารมณ์ เป็นไปในภายใน เป็นธรรมชาติผ่องใส เพราะ
วิตกวิจารสงบ เป็นธรรมเอกผุดขึ้นแก่ใจ ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและ
สุขอันเกิดแต่สมาธิ อยู่ ในสมัยใด ฌานมีองค์ 3 คือ ปีติ สุข เอกัคคตา