เมนู

อรรถกถามัคควิภังค์


วรรณนาสุตตันตภาชนีย์


อริยมรรคมีองค์ 8 นัยที่ 3


บัดนี้ พึงทราบวินิจฉัยในมัคควิภังค์ อันเป็นลำดับต่อจากโพชฌังค-
วิภังค์นั้นต่อไป
คำทั้งปวง มีคำว่า อริโย อฏฺฐงฺคิโก มคฺโค เป็นอาทิ (แปลว่า
อริยมรรคมีองค์ 8 เป็นต้น) บัณฑิตพึงทราบ โดยนัยที่ข้าพเจ้ากล่าวแล้วใน
นิทเทสทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ในสัจจวิภังค์นั่นแหละ. ว่าด้วยอำนาจแห่ง
ภาวนา แม้ในนัยที่สองที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้โดยเฉพาะแล้ว ก็ย่อม
ชื่อว่าเจริญสัมมาทิฏฐิ. คำทั้งปวงว่า วิเวกนิสฺสิตํ เป็นต้น พึงทราบโดยนัย
ที่กล่าวไว้แล้วในโพชฌังควิภังค์นั่นแหละ. สุตตันตภาชนีย์ นี้ ว่าด้วยอำนาจ
แห่งนัยแม้ทั้งสอง พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสเป็นมิสสกะ คือ เจือด้วยโลกิยะ
และโลกุตตระ แล.

วรรณนาอภิธรรมภาชนีย์


ในอภิธรรมภาชนีย์ พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ตรัสคำว่า อริโย
ตรัสแต่คำว่า มรรคมีองค์ 8 ดังนี้. ถึงไม่ตรัสว่า อริยะ ก็ตาม มรรค
มีองค์ 8 นี้ ก็เป็นอริยมรรคโดยแท้.
เหมือนอย่างว่า บุตรของพระราชาผู้มุรธาภิเษกแล้ว ซึ่งเกิดในครรภ์
ของพระเทวีผู้มุรธาภิเษกแล้ว แม้ใคร ๆ ไม่กล่าวว่า ราชบุตร เขาก็ย่อมเป็น
ราชบุตรนั่นแหละฉันใด แม้อริยมรรคนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ตรัส คำว่า

อริยะ ก็พึงทราบว่า มรรคมีองค์ 8 นั้นเป็นอริยมรรคโดยแท้. คำที่เหลือแม้
ในที่นี้ พึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้วในสัจจวิภังค์นั่นแหละ. แม้ในปัญจังคิก-
วาระ ถึงจะไม่ตรัสว่า มรรคมีองค์ 8 ก็พึงทราบว่า มรรคนั้น มีองค์ 8
เหมือนกัน. เพราะว่า ธรรมดาว่าโลกุตตรมรรคประกอบเพียงองค์ 5 มิได้มี.
ในอธิการนี้ พึงทราบอรรถกถาอันมีอยู่แห่งอาจารย์ทั้งหลาย
ต่อไป:-

ก็อาจารย์วิตัณฑวาที (อาจารย์ผู้มีปกติกล่าวเคาะ) กล่าวว่า แม้
โลกุตตรมรรคชื่อว่า ประกอบด้วยองค์ 8 มิได้มี มีแต่ประกอบด้วยองค์ 5
เท่านั้น ถูกโต้ว่า จงนำสูตรมาอ้าง อาจารย์วิตัณฑวาทีนั้น เมื่อไม่เห็นสูตร
อื่นจริง ๆ ก็จักนำส่วนแห่งสูตรนี้มาอ้าง เพราะเป็นมหาสฬายตนสูตร. คือว่า ทิฏฐิ
แห่งภิกษุผู้มีความเห็นอย่างนั้นใด ทิฏฐิของภิกษุนั้น จึงชื่อว่า สัมมาทิฏฐิ.
สังกัปปะ วายามะ สติ สมาธิแห่งความเห็นอย่างนั้น ย่อมมีแก่ภิกษุนั้นใด
สมาธิของภิกษุนั้นนี้ ก็ชื่อว่า สัมมาสมาธิ. ด้วยว่ากายกรรม วจีกรรม อาชีวะ
ของภิกษุนั้น ย่อมเป็นธรรมบริสุทธิ์ดีแล้ว ในกาลก่อนนั่นแหละ. ลำดับนั้นเขา
พึงท้วงอาจารย์วิตัณฑวาทีว่า ขอจงนำบทแห่งสูตรถัดไปมา. ถ้าอาจารย์
วิตัณฑวาที่จะนำมา ก็จะนำมาซึ่งบทแห่งสูตรอันเป็นกุสลนั้นมา. ถ้าไม่นำมา
เธอพึงนำมาเองแล้วกล่าวว่า "วาทะของอาจารย์วิตัณฑวาทีนั้นแตกแยกออกไป
จากคำสั่งสอนของพระศาสดา ที่ตรัสว่า อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ 8 นี้
ย่อมถึงความเต็มรอบด้วยภาวนาแก่ภิกษุนั้น เพราะฉะนั้น โลกุตตรมรรค จึง
ชื่อว่า ประกอบด้วยองค์ 5 ไม่มี คงมีแต่ประกอบด้วยองค์ 8 เท่านั้น". ก็
องค์ 3 เหล่านี้ (กายกรรม วจีกรรม อาชีวะ) ย่อมเป็นธรรมบริสุทธิ์แล้ว
เป็นไปก่อน แต่ย่อมเป็นธรรมบริสุทธิ์ยิ่งในขณะแห่งโลกุตตรมรรคแล.

ถามว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ คำว่า มรรคประกอบด้วยองค์ 5 นี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอาแล้ว เพื่อประโยชน์อะไร.
ตอบว่า เพื่อแสดงกิจอันยิ่ง (พิเศษ) จริงอยู่ ในสมัยใด ย่อมละ
มิจฉาวาจา ย่อมยังสัมมาวาจาให้บริบูรณ์ ในสมัยนั้น สัมมากัมมันตะ สัมมา-
อาชีวะชื่อว่า ย่อมไม่มี. องค์ 5 เหล่านี้จึงเป็นองค์ที่เป็นเหตุให้ละมิจฉาวาจา.
ก็สัมมาวาจา ย่อมบริบูรณ์ (เต็ม) เอง ด้วยสามารถแห่งวิรตี. ในสมัยใด
ย่อมละมิจฉากัมมันตะ ย่อมบำเพ็ญสัมมากัมมันตะ ในสมัยนั้น สัมมาวาจา
สัมมาอาชีวะมิได้มี. องค์ 5 อันเป็นเหตุเหล่านี้นั่นแหละ ย่อมละมิจฉา-
กัมมันตะ. ก็สัมมากัมมันตะ ย่อมบริบูรณ์เอง ด้วยอำนาจแห่งวิรตี. ในสมัยใด
ย่อมละมิจฉาอาชีวะ ย่อมบำเพ็ญสัมมาอาชีวะ สมัยนั้น ไม่มีสัมมาวาจา และ
สัมมากัมมันตะ. องค์ 5 อันเป็นเหตุเหล่านี้นั่นแหละ ย่อมละมิจฉาอาชีวะ.
ย่อมบริบูรณ์เองด้วยสามารถแห่งวิรตี. เพื่อแสดงซึ่งความทีธรรม 5 เหล่านี้
เป็นองค์ที่เป็นเหตุและเป็นธรรมพิเศษโดยกิจนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรง
ถือเอาศัพท์ว่า มรรคประกอบด้วยองค์ 5 ดังนี้.
จริงอยู่ โลกุตตรมรรค ย่อมประกอบด้วยองค์ 8 เท่านั้น มิได้
ชื่อว่า ประกอบด้วยองค์ 5. ถ้าเขากล่าวว่า ไม่แน่ว่ามรรคประกอบด้วยองค์ 5.
ถ้าเขากล่าวว่า. ไม่แน่ว่ามรรคประกอบด้วยองค์ 8 โดยรวมสัมมาวาจาเป็นต้น
เพราะความที่วิรตีนี้ มีเจตนามาก คือ สัมมาวาจามีเจตนา 4 สัมมากัมมันตะ
3 สัมมาอาชีวะ 7 เหตุนั้น จึงกล่าวว่าโลกุตตรมรรค ประกอบด้วยองค์ 5
เท่านั้น ดังนี้จะพึงแก้อย่างไร ?
ข้าพเจ้าจักเปลื้อง แม้เพราะความที่วิรตีเป็นธรรนมีเจตนามากด้วย
จักกล่าวว่าโลกุตตรมรรคประกอบด้วยองค์ 8 ด้วย. เบื้องต้น พึงถามเขาว่า

ท่านอ่านคัมภีร์มหาจัตตารีสะหรือไม่ ถ้าเขาตอบว่าไม่ พึงกล่าวว่า ท่านไม่
ทราบเพราะมิได้ศึกษาไว้. ถ้าเขากล่าวว่า อ่าน (ท่องไว้) ก็พึงพูดว่าจงนำ
สูตรมาอ้าง. ถ้าเขานำสูตรมา ข้อนั้นเป็นการดี. ถ้าไม่นำมา พึงนำมาเองจาก
อุปริปัณณาสก์ ดังต่อไปนี้.
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาวาจา เป็นไฉน. ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เราย่อมกล่าวสัมมาวาจา 2 อย่าง. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาวาจา
อันเป็นไปกับด้วยอาสวะเป็นส่วนแห่งบุญ เป็นผลแห่งอุปธิ (เป็นผลให้เกิด
อุปธิ) มีอยู่. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาวาจาเป็นอริยะ ไม่เป็นไปกับด้วย
อาสวะ เป็นโลกุตตระ เป็นมัคคังคะ มีอยู่.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาวาจา อันมีอาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
เป็นผลแห่งอุปธิ เป็นไฉน. เจตนาเป็นเครื่องงดเว้น จากมุสาสวาท จาก
ปิสุณาวาท จากผรุสวาท จากสัมผัปปลาปะ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาวาจานี้
เป็นไปกับด้วยอาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ เป็นผลวิเศษแล้วแห่งอุปธิ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาวาจา เป็นอริยะ ไม่มีอาสวะ
เป็นโลกุตตระ เป็นมัคคังคะ เป็นไฉน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การงด การ
เว้น การเว้นขาด เจตนาเป็นเครื่องงดเว้น จากวจีทุจริต 4 อันใดแล ของ
อริยจิต ของจิตอันหาอาสวะมิได้ ของผู้พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค ของผู้เจริญ
อริยมรรค ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาวาจานี้ เป็นอริยะ ไม่มีอาสวะ เป็น
โลกุตตระ เป็นมังคังคะ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมากัมมันตะเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เราย่อมกล่าวสัมมากัมมันตะ 2 อย่าง ฯลฯ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมากัมมันตะเป็นไฉน. สัมมากัมมันตะ
เป็นอริยะ ไม่มีอาสวะ เป็นโลกุตตระ ฯลฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาอาชีวะ เป็นไฉน. ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เราย่อมกล่าวสัมมาอาชีวะ 2 อย่าง ฯลฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาอาชีวะ เป็นไฉน. เป็นอริยะ ไม่มี
อาสวะ เป็นมัคคังคะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การงด การเว้น การเว้นขาด
เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากมิจฉาอาชีวะ อันใดแล ของอริยจิต ของจิตอัน
หาอาสวะมิได้ ของการพรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค ของผู้เจริญอริยมรรค. ดู
ก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาอาชีวะนี้ เรากล่าวว่า เป็นอริยะ เป็นอนาสวะ เป็น
โลกุตตระ เป็นมัคคังคะ ดังนี้. ในอธิการนี้ การงดเว้นแต่ละอย่าง คือ จาก
วจีทุจริต 4 กายทุจริต 3 และมิจฉาอาชีวะ เรากล่าวว่า เป็นอริยะ เป็น
อนาสวะ เป็นโลกุตตระ ดังนี้. ในฐานะเช่นนี้ ความเป็นผู้มากด้วยเจตนา
จักมีแต่ที่ไหน มรรคประกอบด้วยองค์ 5 จักมีแต่ที่ไหน พระผู้มีพระภาคเจ้า
ย่อมทรงแสดงสูตรนี้ แก่ผู้ไม่มีความห่วงใย ว่า โลกุตตรมรรคประกอบด้วย
องค์ 8 ดังนี้. ถ้าเขากำหนดได้ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้ไซร้ ข้อนั้นเป็นการดี.
ถ้าเขากำหนดไม่ได้ พึงนำเหตุแม้เหล่าอื่นมาให้เข้าใจ.
จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำนี้ไว้ว่า ดูก่อนสุภัททะ อริยมรรค
ประกอบด้วยองค์ 8 ไม่มีในธรรมวินัยใดแล แม้สมณะก็ไม่มีในธรรมวินัยนั้น
ฯลฯ ดูก่อนสุภัททะ อริยมรรคประกอบด้วยองค์ 8 มีในธรรมวินัยใดแล
ดูก่อนสุภัททะ สมณะก็ย่อมมีในธรรมวินัยนั้นนั่นแหละ ฯลฯ ลัทธิของผู้อื่น
(ปรับปวาท) ว่างจากสมณะ ดังนี้. มรรคประกอบด้วยองค์ 8 มาแล้วใน
สูตรแม้เหล่าอื่นก็มีเป็นอเนก นับเป็นร้อย.

มรรค 8 ในกถาวัตถุปกรณ์


แม้ในกถาวัตถุปกรณ์ ท่านสกวาทยาจารย์ ก็ได้กล่าวอ้างพุทธพจน์
ว่า
มคฺคานฏฺฐงฺคิโก เสฏฺโฐ สจฺจานํ จตุโร ปทา
วิราโค เสฏฺโฐ ธมฺมานํ ทฺวิปทานญฺจ จกฺขุมา

บรรดามรรค (ทาง) ทั้งหลาย มรรคประกอบด้วยองค์ 8 ประเสริฐ
ที่สุด บรรดาสัจจะทั้งหลาย บทสี่ประเสริฐที่สุด บรรดาธรรมทั้งหลาย วิราคะ
ประเสริฐที่สุด บรรดาสัตว์สองเท้าทั้งหลาย พระตถาคต ผู้มีจักษุประเสริฐ
ที่สุด ดังนี้ เป็นสูตรมีอยู่จริง มิใช่หรือ.
ท่านปรวาทยาจารย์ ตอบรับรองว่า ใช่.
ท่านสกวาทยาจารย์ จึงกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น มรรคก็ประกอบด้วย
องค์ 8 ดังนี้.
ก็ถ้าเขาไม่เข้าใจแม้ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้ได้ไซร้ พึงส่งเธอไปด้วย
คำว่า เธอจงเข้าไปสู่วิหารดื่มข้าวยาคูเถิด (การรับประทานอาหารทำให้เกิด
ปฏิภาณได้). การที่จะกล่าวเหตุผลให้มากกว่านี้ เป็นอฐานะ แล. คำที่เหลือ
ในที่นี้ มีอรรถตื้นทั้งนั้น.
ในที่นี้ บัณฑิตพึงนับนัยทั้งหลาย ดังนี้.
ก็ในมรรคทั้ง 4 ท่านจำแนกไว้ 4,000นัย ในการถามรวมกัน ตอบ
รวมกัน ในมรรคประกอบด้วยองค์ 8. ในมรรคประกอบด้วยองค์ 5 ในการ
ถามรวมกัน ตอบรวมกัน ท่านจำแนกไว้ 4,000 นัย แต่ในการถามแยกกัน
ตอบแยกกัน ท่านจำแนกไว้อย่างละ 4,000 นัย รวมในองค์ทั้ง 5 จึงเป็น
20,000 นัย. อนึ่ง นัยทั้งหมด ท่านจำแนกไว้ในมัคควิภังค์ 28,000 นัย คือ