เมนู

ปุณณกมาณวกปัญหานิมเทส


ว่าด้วยปัญหาของท่านปุณณกะ


[116] (ท่านปุณณกะทูลถามดังนี้ว่า)
ข้าพระองค์มีความประสงค์ด้วยปัญหา จึงมาเฝ้า
พระองค์ผู้ไม่มีตัณหาเครื่องหวั่นไหว ผู้เห็นมูล ฤาษี
มนุษย์ กษัตริย์ และพราหมณ์เป็นอันมากในโลกนี้อาศัย
อะไร จึงพากันแสวงหายัญให้แก่เทวดาทั้งหลาย ข้าแต่
พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ขอทูลถามปัญหานั้น ขอ
พระองค์จงตรัสบอกปัญหานั้นแก่ข้าพระองค์เถิด.

[117] คำว่า ผู้ไม่มีตัณหาเครื่องหวั่นไหว ผู้เห็นมูล ความว่า
ตัณหา ราคะ สาราคะ ฯ ล ฯ อภิชฌา โลภะ อกุศลมูล เรียกว่า
ความหวั่นไหว ตัณหาอันเป็นความหวั่นไหวนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
ผู้ตรัสรู้แล้ว ทรงละขาดแล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำไม่ให้มีที่ตั้งดุจตาล
ยอดด้วน ถึงความไม่มี มีความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา เพราะ-
เหตุนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าไม่มีความหวั่นไหว. พระผู้มีพระภาคเจ้า
ชื่อว่า อเนชะ เพราะพระองค์ทรงละตัณหาเครื่องหวั่นไหวขาดแล้ว ย่อม
ไม่ทรงหวั่นไหวเพราะลาภ แม้เพราะความเสื่อมลาภ แม้เพราะยศ แม้
เพราะความเสื่อมยศ แม้เพราะสรรเสริญ แม้เพราะนินทา แม้เพราะสุข
แม้เพราะทุกข์ ... ไม่หวั่น ไม่ไหว ไม่คลอนแคลน เพราะเหตุนั้น
จึงชื่อว่า อเนชะ.

คำว่า มูลทสฺสาวี ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นมูล คือ
ทรงเห็นเหตุ ทรงเห็นนิทาน ทรงเห็นสมภพ ทรงเห็นสมุฏฐาน ทรง
เห็นอาหาร ทรงเห็นอารมณ์ ทรงเห็นปัจจัย ทรงเห็นสมุทัย อกุศลมูล 3
คือ โลภะอกุศลมูล 1 โทสะอกุศลมูล 1 โมหะอกุศลมูล 1. สมจริง
ตามพระพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เหตุแห่งความเกิดขึ้นแห่งกรรม 3 ประการนี้ คือ โลภะ 1 โทสะ 1
โมหะ 1 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวดา มนุษย์ หรือสุคติอย่างใดอย่าง
หนึ่งแม้อื่น ย่อมไม่ปรากฏ เพราะกรรมเกิดแต่โลภะ เพราะกรรมเกิด
แต่โทสะ เพราะกรรมเกิดแต่โมหะ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โดยที่แท้
นรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ปิตติวิสัย หรือทุคติอย่างใดอย่างหนึ่งแม้
อื่น ย่อมปรากฏ เพราะกรรมเกิดแต่โลภะ เพราะกรรมเกิดแต่โทสะ
เพราะกรรมเกิดแต่โมหะ อกุศลมูล 3 ประการนี้ เพื่อความเกิดแห่ง
อัตภาพในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในปิตติวิสัย พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าย่อมทรงรู้ทรงเห็นดังนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นมูล ฯลฯ
ทรงเห็นสมุทัย แม้ด้วยประการอย่างนี้.
กุศลมูล 3 ประการ คือ อโลภะกุศลมูล 1 อโทสะกุศลมูล 1
อโมหะกุศลมูล 1 สมจริงตามพระพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้
ว่า กุศลมูล 3 ประการนี้ ฯ ล ฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นรก กำเนิด
สัตว์ดิรัจฉาน ปิตติวิสัย หรือทุคติอย่างใดอย่างหนึ่งแม้อื่น ย่อมไม่
ปรากฏ เพราะกรรมเกิดแต่อโลภะ เพราะกรรมเกิดแต่อโทสะ เพราะ
กรรมเกิดแต่อโมหะ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โดยที่แท้ เทวดา มนุษย์
หรือสุคติอย่างใดอย่างหนึ่งแม้อื่น ย่อมปรากฏ เพราะกรรมเกิดแต่

อโลภะ เพราะกรรมเกิดแต่อโทสะ เพราะกรรมเกิดแต่อโมหะ
กุศลมูล 3 ประการนี้ เพื่อความเกิดแห่งอัตภาพในเทวดา และใน
มนุษย์ พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงรู้ทรงเห็นดังนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้า
ย่อมทรงเห็นมูล ฯ ล ฯ ทรงเห็นสมุทัย แม้ด้วยประการอย่างนี้.

และสมจริงตามพระพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอกุศล เป็นส่วนอกุศล
เป็นฝ่ายอกุศล ธรรมทั้งหมดนั้น มีอวิชชาเป็นมูล มีอวิชชาเป็นที่รวม
มีอวิชชาอันอรหัตมรรคกำจัดได้ ย่อมถึงความเพิกถอนทั้งหมด พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงรู้ทรงเห็นดังนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นมูล
ฯ ล ฯ ทรงเห็นสมุทัย แม้ด้วยประการอย่างนี้.
และสมจริงตามพระพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นกุศล เป็นส่วนกุศล เป็น
ฝ่ายกุศล ธรรมทั้งหมดนั้น มีความไม่ประมาทเป็นมูล มีความไม่
ประมาทเป็นที่รวม ความไม่ประมาท บัณฑิตกล่าวว่าเป็นยอดแห่ง
ธรรมเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงรู้ทรงเห็นดังนี้.
พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงเห็นมูล ฯ ล ฯ ทรงเห็นสมุทัย แม้ด้วยประการอย่างนี้.
อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงรู้ทรงเห็นว่า อวิชชา
เป็นมูลแห่งสังขาร สังขารเป็นมูลแห่งวิญญาณ วิญญาณเป็นมูลแห่งนาม-
รูป นามรูปเป็นมูลแห่งสฬายตนะ สฬายตนะเป็นมูลแห่งผัสสะ ผัสสะ
เป็นมูลแห่งเวทนา เวทนาเป็นมูลแห่งตัณหา ตัณหาเป็นมูลแห่งอุปาทาน
อุปาทานเป็นมูลแห่งภพ ภพเป็นมูลแห่งชาติ ชาติเป็นมูลแห่งชราและ

มรณะ พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงรู้ทรงเห็นดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงเห็นมูล ฯ ล ฯ ทรงเห็นสมุทัย แม้ด้วยประการอย่างนี้.
และสมจริงตามพระพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอกุศล เป็นส่วนอกุศล
เป็นฝ่ายอกุศล ธรรมทั้งหมดนั้น มีอวิชชาเป็นมูล มีอวิชชาเป็นที่รวม
มีอวิชชาอันอรหัตมรรคกำจัดได้ ย่อมถึงความเพิกถอนทั้งหมด พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นมูล ทรงเห็นเหตุ ทรงเห็นนิทาน ทรงเห็น
สมภพ ทรงเห็นสมุฏฐาน ทรงเห็นอาหาร ทรงเห็นอารมณ์ ทรงเห็น
ปัจจัย ทรงเห็นสมุทัย แม้ด้วยประการอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
ไม่ทรงหวั่นไหว
ทรงเห็นมูล.
คำว่า อิติ ในอุเทศว่า อิจฺจายสฺมา ปุณฺณโก เป็นบทสนธิ.
คำว่า อายสฺมา เป็นเครื่องกล่าวด้วยความรัก. คำว่า ปุณฺณโก เป็นชื่อ
ของพราหมณ์นั้น.
[118] คำว่า ข้าพระองค์มีความต้องการด้วยปัญหาจึงมาเฝ้า
ความว่า ข้าพระองค์มีความต้องการด้วยปัญหาจึงมาเฝ้า คือข้าพระองค์
ประสงค์จะทูลถามปัญหาจึงมาเฝ้า เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ข้าพระองค์มี
ความต้องการด้วยปัญหาจึงมาเฝ้า แม้ด้วยประการอย่างนี้.
อีกอย่างหนึ่ง ความว่า ข้าพระองค์ทั้งหลายประสงค์จะทูลถามปัญหา
คือประสงค์จะฟังปัญหาจึงมาเฝ้า คือเข้ามาเฝ้า เข้าใกล้ นั่งใกล้ เพราะ-
ฉะนั้น จึงชื่อว่า ข้าพระองค์มีความต้องการด้วยปัญหาจึงมาเฝ้า แม้ด้วย
ประการอย่างนี้.
อีกอย่างหนึ่ง ความว่า พระองค์ทรงมีประสงค์ด้วยปัญหาจึงเสด็จมา

คือแม้พระองค์ก็ทรงอาจ ทรงสามารถ ทรงเป็นผู้ควรจะตรัส จะวิสัชนา
จะทรงแสดง จะชี้แจง ซึ่งปัญหาที่ข้าพระองค์ทูลถาม เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่าข้าพระองค์มีความต้องการด้วยปัญหาจึงมาเฝ้า แม้ด้วยประการ
ฉะนี้.
[119] คำว่า กึนิสฺสิตา ในอุเทศว่า กึนิสฺสิตา อิสโย มนุชา
ความว่า อาศัย คือหวัง เยื่อใย เข้าไปใกล้ พัวพัน น้อมใจถึงซึ่ง
อะไร บุคคลพวกใดพวกหนึ่งมีชื่อว่าฤาษี คือผู้ที่บวชเป็นฤาษี เป็น
อาชีวก เป็นนิครนถ์ เป็นชฎิล เป็นดาบส ชื่อว่า อิสโย. พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสเรียกมนุษย์ว่า มนุชา เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าฤๅษีมนุษย์
อาศัยอะไร.
[120] ผู้ที่เกิดเป็นชาติกษัตริย์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ชื่อว่า กษัตริย์
ในอุเทศว่า "ขตฺติยา พฺราหฺมณา เทวตานํ."
ผู้ที่ยกย่องสรรเสริญกันว่า มีวาทะเจริญ เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ชื่อว่า
พราหมณ์. คำว่า เทวตานํ ความว่า อาชีวกเป็นเทวดาของพวกอาชีวก.
สาวก นิครนถ์เป็นเทวดาของพวกนิครนถ์สาวก ชฎิลเป็นเทวดาของพวก
ชฎิลสาวก ปริพาชกเป็นเทวดาของพวกปริพาชกสาวก ดาบสเป็นเทวดา
ของพวกดาบสสาวก ช้างเป็นเทวดาของพวกพระพฤติหัตถีพรต ม้าเป็น
เทวดาของพวกประพฤติอัสสพรต โคเป็นเทวดาของพวกประพฤติโคพรต
สุนัขเป็นเทวดาของพวกประพฤติกุกกุรพรต กาเป็นเทวดาของพวก
ประพฤติกากพรต ท้าววาสุเทพเป็นเทวดาของพวกประพฤติวาสุเทวพรต
พลเทพเป็นเทวดาของพวกประพฤติพลเทพพรต ท้าวปุณณภัทร์เป็น
เทวดาของพวกประพฤติปุณณภัททพรต ท้าวมณิภัทร์เป็นเทวดาของพวก

ประพฤติมณิภัททพรต ไฟเป็นเทวดาของพวกประพฤติอัคคิพรต นาค
เป็นเทวดาของพวกประพฤตินาคพรต ครุฑเป็นเทวดาของพวกประพฤติ
สุบรรณพรต ยักษ์เป็นเทวดาของพวกประพฤติยักขพรต อสูรเป็นเทวดา
ของพวกประพฤติอสูรพรต คนธรรพ์เป็นเทวดาของพวกประพฤติคัน-
ธัพพพรต ท้าวมหาราชเป็นเทวดาของพวกประพฤติมหาราชพรต จันท-
เทวบุตรเป็นเทวดาของพวกประพฤติจันทรพรต สุริยเทพบุตรเป็นเทวดา
ของพวกประพฤติสุริยพรต อินทเทพบุตรเป็นเทวดาของพวกประพฤติ
อินทพรต พรหมเป็นเทวดาของพวกประพฤติพรหมพรต พวกเทพเป็น
เทวดาของพวกประพฤติเทพพรต ทิศทั่งหลา เป็นเทวดาของพวกประพฤติ
ทิศาพรต พระทักขิไณยบุคคลผู้สมควรแก่ไทยธรรมของชนเหล่าใด ก็เป็น
เทวดาของชนเหล่านั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า กษัตริย์. . . พราหมณ์. . .
เทวดาทั้งหลาย.
[121] ไทยธรรม คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัย
เภสัชบริขาร ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่
นอน ที่พัก เครื่องประทีป ท่านเรียกว่า ยัญ ในอุเทศว่า "ยญฺญมกปฺปึสุ
บุถูธ โลเก"
คำว่า แสวงหาแล้วซึ่งยัญ ความว่า แม้ชนเหล่าใดย่อม
แสวงหา เสาะหา สืบหายัญ คือจีวร . . . เครื่องประทีป แม้ชนเหล่านั้น
ก็ชื่อว่าแสวงหายัญ แม้ชนเหล่าใดย่อมจัดแจงยัญ คือจีวร . . . เครื่อง
ประทีปแม้ชนเหล่านั้น ก็ชื่อว่า แสวงหายัญ แม้ชนเหล่าใดย่อมให้ ย่อม
บูชา ย่อมบริจาคยัญ คือจีวร . . . เครื่องประทีป แม้ชนเหล่านั้นก็ชื่อว่า
แสวงหายัญ.

คำว่า เป็นอันมาก คือยัญเหล่านั้นก็มาก ผู้บูชายัญนั้นก็มาก หรือ
พระทักขิไณยบุคคลนั้นก็มาก.
ยัญเหล่านั้นมากอย่างไร ยัญเหล่านั้นมาก คือ จีวร . . . เครื่อง
ประทีป ยัญเหล่านั้นมากอย่างนี้.
ผู้บูชายัญนั้นมากอย่างไร ผู้บูชายัญนั้นมาก คือ กษัตริย์ พราหมณ์
แพศย์ ศูทร คฤหัสถ์ บรรพชิต เทวดา และมนุษย์ ผู้บูชายัญนั้นมาก
อย่างนี้.
หรือพระทักขิไณยบุคคลนั้นมากอย่างไร พระทักขิไณยบุคคลนั้น
มาก คือ สมณะ พราหมณ์ ยาจก วณิพก สาวก หรือพระทักขิไณย-
บุคคลนั้นมากอย่างนี้.
คำว่า ในโลกนี้ คือ ในมนุษยโลก เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า มาก
ในโลกนี้ . . . แสวงหาแล้วซึ่งยัญ.
[122] การถามมี 3 อย่าง คือ อทิฏฐโชตนาปุจฉา 1 ทิฏฐ-
สังสันทนาปุจฉา 1 วิมติเฉทนาปุจฉา 1
ชื่อว่า ปุจฉา ในอุเทศว่า
"ปุจฉามิ ตํ ภควา พฺรูหิ เม ตํ."
อทิฏฐโชตนปุจฉาเป็นไฉน ลักษณะที่ยังไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เทียบ-
เคียง ไม่พิจารณา ไม่แจ่มแจ้ง ไม่ปรากฏ โดยปกติ บุคคลย่อมถาม
ปัญหาเพื่อรู้ เพื่อเห็น เพื่อเทียบเคียง เพื่อพิจารณา เพื่อต้องการให้
แจ่มแจ้ง เพื่อต้องการให้ปรากฏ ซึ่งลักษณะนั้น ชื่อว่า อทิฏฐโชตนา-
ปุจฉา.

ทิฏฐสังสันทนาปุจฉาเป็นไฉน ลักษณะที่รู้ เห็น เทียบเคียง

พิจารณาแจ่มแจ้ง ปรากฏ โดยปกติ บุคคลย่อมถามปัญหา เพื่อต้องการ
สนทนากับบัณฑิตอื่น ๆ ชื่อว่า ทิฏฐสังสันทนาปุจฉา.
วิมติเฉทนาปุจฉาเป็นไฉน บุคคลแล่นไปสู่ความสงสัย ความ
เคลือบแคลง มีใจเป็นสองว่า เรื่องนี้เป็นอย่างนี้หรือหนอแล หรือไม่
เป็นอย่างนี้ เรื่องนี้เป็นไฉนหนอ หรือเป็นอย่างไร ดังนี้ โดยปกติ
บุคคลย่อมถามปัญหา เพื่อต้องการตัดความเคลือบแคลงเสีย นี้ชื่อว่า
วิมติเฉทนาปุจฉา ปุจฉา 3 ประการนี้.
ปุจฉาอีก 3 ประการ คือ มนุสสปุจฉา 1 อมนุสสปุจฉา 1
นิมมิตปุจฉา 1.

มนุสสปุจฉาเป็นไฉน มนุษย์ทั้งหลายเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ผู้ตรัสรู้แล้ว ย่อมทูลถามปัญหา ภิกษุทั้งหลาย . . . ภิกษุณีทั้งหลาย . . .
อุบาสกทั้งหลาย . . . อุบาสิกาทั้งหลาย . . . พระราชาทั้งหลาย . . . กษัตริย์
ทั้งหลาย . . . พราหมณ์ทั้งหลาย . . . แพศย์ทั้งหลาย . . . ศูทรทั้งหลาย . . .
คฤหัสถ์ทั้งหลาย . . . บรรพชิตทั้งหลาย เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ผู้ตรัสรู้แล้ว ย่อมทูลถามปัญหา นี้ชื่อว่า มนุสสปุจฉา.
อมนุสสปุจฉาเป็นไฉน อมนุษย์ทั้งหลายเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าแล้ว ย่อมทูลถามปัญหา นาคทั้งหลาย . . . ครุฑทั้งหลาย . . .
ยักษ์ทั้งหลาย . . . อสูรทั้งหลาย . . . คนธรรพ์ทั้งหลาย . . . ท้าวมหาราช
ทั้งหลาย . . . พระอินทร์ทั้งหลาย . . . พระพรหมทั้งหลาย . .. เทวดา
ทั้งหลาย เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ย่อมทูลถามปัญหา นี้ชื่อว่า
อนนุสสปุจฉา.
นิมมิตปุจฉาเป็นไฉน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนิรมิตพระรูปใด

อันสำเร็จด้วยพระทัย มีอวัยวะครบทุกส่วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง พระ-
พุทธนิรมิตนั้น เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้แล้ว ย่อมตรัสถาม
ปัญหา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงวิสัชนา นี้ชื่อว่า นิมมิตปุจฉา ปุจฉา
3 ประการนี้.
ปุจฉาอีก 3 ประการ คือ การถามประโยชน์ตน 1 การถาม
ประโยชน์ผู้อื่น 1 การถามประโยชน์ทั้งสอง 1.
ปุจฉาอีก 3 ประการ คือ การถามถึงทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ 1
การถามถึงสัมปรายิกัตถประโยชน์ 1 การถามถึงปรมัตถประโยชน์ 1.
ปุจฉาอีก 3 ประการ คือ การถามถึงเนื้อความอันไม่มีโทษ 1
การถามถึงเนื้อความอันไม่มีกิเลส 1 การถามถึงเนื้อความอันผ่องแผ้ว 1.
ปุจฉาอีก 3 ประการ คือ การถามถึงเรื่องอดีต 1 การถามถึง
เรื่องอนาคต การถามถึงเรื่องปัจจุบัน 1.
ปุจฉาอีก 3 ประการ คือ การถามเรื่องภายใน 1 การถามเรื่อง
ภายนอก 1 การถามเรื่องทั้งภายในภายนอก 1.
ปุจฉาอีก 3 ประการ คือ การถามเรื่องกุศล 1 การถามเรื่อง
อกุศล 1 การถามเรื่องอัพยากฤต 1.
ปุจฉาอีก 3 ประการ คือ การถามเรื่องขันธ์ 1 การถามเรื่อง
ธาตุ 1 การถามเรื่องอายตนะ 1.
ปุจฉาอีก 3 ประการ คือ การถามเรื่องสติปัฏฐาน 1 การถาม
เรื่องสัมมัปปธาน 1 การถามเรื่องอิทธิบาท 1.
ปุจฉาอีก 3 ประการ คือ การถามเรื่องอินทรีย์ 1 การถามเรื่อง
พละ 1 การถามเรื่องโพชฌงค์ 1.

ปุจฉาอีก 3 ประการ คือ การถามเรื่องมรรค 1 การถามเรื่อง
ผล 1 การถามเรื่องนิพพาน 1.
คำว่า ข้าพระองค์ขอทูลถามปัญหานั้น ความว่า ข้าพระองค์ทูล
ถาม คือทูลขอ ทูลเชื้อเชิญ ทูลให้ประสาท ซึ่งปัญหานั้นว่า ขอ
พระองค์จงตรัสบอกปัญหาแก่ข้าพระองค์ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ข้า-
พระองค์ขอทูลถามปัญหานั้น.
คำว่า ภควา นี้ เป็นคำกล่าวโดยเคารพ ฯ ล ฯ คำว่า ภควา นี้
เป็นสัจฉิกาบัญญัติ. คำว่า ขอพระองค์จงตรัสบอกปัญหานั้นแก่ข้า-
พระองค์
ความว่า ขอพระองค์จงตรัส . . . ขอพระองค์จงประกาศ
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ขอทูลถาม
ปัญหานั้น ขอพระองค์จงตรัสบอกปัญหานั้นแก่ข้าพระองค์.
เพราะเหตุนั้น พราหมณ์นั้นจึงกราบทูลว่า
ข้าพระองค์มีความประสงค์ด้วยปัญหา จึงมาเฝ้า
พระองค์ผู้ไม่หวั่นไหว ผู้เห็นมูล ฤๅษี มนุษย์ กษัตริย์
พราหมณ์เป็นอันมากในโลกนี้ อาศัยอะไร จึงพากัน
แสวงหายัญให้แก่เทวดาทั้งหลาย ข้าแต่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า ข้าพระองค์ขอทูลถามปัญหานั้น ขอพระองค์จง
ตรัสบอกปัญหานั้นแก่ข้าพระองค์เถิด.

[123] (พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนปุณณกะ)
ฤๅษี มนุษย์ กษัตริย์ พราหมณ์ พวกใดพวกหนึ่งนี้
เป็นอันมากในโลกนี้ พากันแสวงหายัญแก่เทวดาทั้งหลาย
ดูก่อนปุณณกะ ฤๅษี มนุษย์ กษัตริย์ พราหมณ์ เป็น

อันมาก ในโลกนี้ เหล่านั้น หวังความเป็นอย่างนี้
อาศัยชรา จึงพากันแสวงหายัญแก่เทวดาทั้งหลาย.

[124] คำว่า เยเกจิเม ในอุเทศว่า "เยเกจิเม อิสโย มนุชา"
ดังนี้ ความว่า ทั้งหมด โดยกำหนดทั้งหมด ทั้งหมดโดยประการทั้งหมด
ไม่เหลือ ไม่มีส่วนเหลือ. คำว่า เยเกจิเม นี้เป็นเครื่องกล่าวรวมหมด.
บุคคลพวกใดพวกหนึ่ง มีชื่อว่า ฤๅษี คือ พวกที่บวชเป็นฤๅษี อาชีวก
นิครนถ์ ชฎิล ดาบส ชื่อว่า ฤๅษี. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกมนุษย์
ว่า มนุชา เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ฤๅษี มนุษย์. . . เหล่าใดเหล่าหนึ่ง
นี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกพราหมณ์นั้นโดยชื่อว่า ปุณณกะ. พระ-
นามว่า ภควา นี้ เป็นเครื่องกล่าวโดยเคารพ ฯ ล ฯ พระนามว่า ภควา
นี้ เป็นสัจฉิกาบัญญัติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ดูก่อนปุณณกะ.
[125] ผู้ที่เกิดเป็นชาติกษัตริย์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ชื่อว่า กษัตริย์
ในอุเทศว่า "ขตฺติยา พฺราหฺมณา เทวตานํ."
ผู้ที่ยกย่องสรรเสริญกันว่ามีวาทะเจริญเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ชื่อว่า
พราหมณ์. คำว่า เทวตานํ ความว่า อาชีวกเป็นเทวดาของพวกอาชีวก
สาวก ฯ ล ฯ ทิศทั้งหลายเป็นเทวดาของพวกประพฤติทิศาพรต พระ-
ทักขิไณยบุคคลผู้สมควรแก่ไทยธรรมของชนเหล่าใด ก็เป็นเทวดาของชน
เหล่านั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า กษัตริย์ พราหมณ์. . . แก่เทวดา
ทั้งหลาย.
[126] ไทยธรรม คือ จีวร . . . เครื่องประทีป ท่านเรียกว่า ยัญ
ในอุเทศว่า ยญฺญมกปฺปึสุ ปุถูธ โลเก. แสวงหาแล้วซึ่งยัญ ความว่า

แม้ชนเหล่าใดย่อมแสวงหา เสาะหา สืบหา ยัญคือจีวร . . . เครื่อง
ประทีป แม้ชนเหล่านั้นก็ชื่อว่าแสวงหายัญ. คำว่า เป็นอันมาก คือ ยัญ
เหล่านั้นก็มาก ผู้บูชายัญนั้นก็มาก หรือพระทักขิไณยบุคคลนั้นก็มาก
ยัญเหล่านั้นมากอย่างไร ฯ ล ฯ หรือพระทักขิไณยบุคคลมากอย่างนี้. คำว่า
ในโลกนี้ คือ ในมนุษยโลก เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า มากในโลกนี้ . . .
แสวงหาแล้วซึ่งยัญ.
[127] คำว่า อาสึสมานา ในอุเทศว่า อาสึสมานา ปุณฺณก
อิตฺถตํ
ความว่า หวัง คือหวังได้รูป หวังได้เสียง หวังได้กลิ่น หวัง
ได้รส หวังได้โผฏฐัพพะ หวังได้บุตร หวังได้ภรรยา หวังได้ทรัพย์
หวังได้ยศ หวังได้ความเป็นใหญ่ หวังได้อัตภาพในสกุลกษัตริย์มหาศาล
หวังได้อัตภาพในสกุลพราหมณ์มหาศาล หวังได้อัตภาพในสกุลคฤหบดี
มหาศาล หวังได้อัตภาพในเทวดาชาวจาตุมหาราชิก หวังได้อัตภาพใน
เทวดาชาวดาวดึงส์ หวังได้อัตภาพในเทวดาชาวยามา หวังได้อัตภาพใน
เทวดาชาวดุสิต หวังได้อัตภาพในเทวดาชาวนิมมานรดี หวังได้อัตภาพ
ในเทวดาชาวปรนิมมิตวสวัตดี หวัง คือปรารถนา ยินดี ประสงค์
รักใคร่ ชอบใจ ซึ่งการได้อัตภาพในเทวดาที่นับเนื่องในหมู่พรหม
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า หวัง.
คำว่า ปุณฺณก อิตฺถตํ ความว่า หวังความเกิดแห่งอัตภาพใน
ฐานะนี้ คือหวังความเกิดแห่งอัตภาพในสกุลกษัตริย์มหาศาลนี้ . . . ชอบใจ
ซึ่งความเกิดแห่งอัตภาพในเทวดาที่นับเนื่องในหมู่พรหม เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า ดูก่อนปุณณกะ . . .หวังความเป็นอย่างนี้.
[128] คำว่า ชรํ สิตา ในอุเทศว่า ชรํ สิตา ยญฺญมกปฺปึสุ

ความว่า อาศัยชรา อาศัยพยาธิ อาศัยมรณะ อาศัยโสกะ ปริเทวะ
ทุกข์ โทมนัส อุปายาส บุคคลพวกนั้นแสวงหายัญในเทวดา เพราะ
อาศัยชาติ หรือว่าอาศัยชาติ จึงแสวงหายัญในเทวดา แสวงหายัญใน
เทวดา เพราะอาศัยชรา หรือว่าอาศัยชรา จึงแสวงหายัญในเทวดา
แสวงหายัญในเทวดา เพราะอาศัยพยาธิ หรือว่าอาศัยพยาธิ จึงแสวงหา
ยัญในเทวดา แสวงหายัญในเทวดา เพราะอาศัยมรณะ หรือว่าอาศัย
มรณะ จึงแสวงหายัญในเทวดา แสวงหายัญในเทวดา เพราะอาศัยโสกะ
ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส หรือว่าอาศัยโสกะ ปริเทวะ
ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส จึงแสวงหายัญในเทวดา แสวงหายัญใน
เทวดาเพราะอาศัยคติ หรือว่าอาศัยคติจึงแสวงหายัญในเทวดา แสวง
หายัญในเทวดาเพราะอาศัยอุบัติ หรือว่าอาศัยอุบัติจึงแสวงหายัญ
ในเทวดา แสวงหายัญในเทวดาเพราะอาศัยปฏิสนธิ หรือว่าอาศัย
ปฏิสนธิจึงแสวงหายัญในเทวดา แสวงหายัญในเทวดาเพราะอาศัยภพ
หรือว่าอาศัยภพจึงแสวงหายัญในเทวดา แสวงหายัญในเทวดาเพราะ
อาศัยสงสาร หรือว่าอาศัยสงสารจึงแสวงหายัญในเทวดา แสวงหายัญ
ในเทวดาเพราะอาศัยวัฏฏะ หรือว่าอาศัยวัฏฏะจึงแสวงหายัญในเทวดา
ปรารถนา พัวพัน เข้าถึง ติดใจ น้อมใจไปแล้ว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
อาศัยชรา จึงแสวงหายัญ.
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
ฤๅษี มนุษย์ กษัตริย์ พราหมณ์ พวกใดพวกหนึ่งนี้
เป็นอันมากในโลกนี้ แสวงหายัญ แก่เทวดาทั้งหลาย
ดูก่อนปุณณกะ ฤๅษี มนุษย์ กษัตริย์ พราหมณ์เป็น

อันมากในโลกนี้เหล่านั้น หวังความเป็นอย่างนี้ อาศัย
ชราจึงแสวงหายัญแก่เทวดาทั้งหลาย.

[129] (ท่านปุณณกะทูลถามว่า)
มนุษย์ กษัตริย์ พราหมณ์ พวกใดพวกหนึ่งนี้ มี
เป็นอันมากในโลกนี้ แสวงหาแล้วซึ่งยัญ แก่เทวดา
ทั้งหลาย ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้นิรทุกข์ ผู้บูชายัญ
เหล่านั้นไม่ประมาทแล้วในทางยัญ ได้ข้ามพ้นแล้วซึ่ง
ชาติชราบ้างหรือ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์
ขอทูลถามปัญหานั้น ขอพระองค์จงตรัสบอกปัญหานั้น
แก่ข้าพระองค์เถิด.

[130] คำว่า เยเกจิเม ในอุเทศว่า เยเกจิเม อิสโย มนุชา
ดังนี้ ฯ ล ฯ คำว่า กจฺจิสุ เต ภควา ยญฺญปเถ อปฺปมตฺตา ความว่า
การถามเพื่อตัดความสงสัย การถามเพื่อตัดความเคลือบแคลง การถาม
เพื่อตัดความมีใจเป็นสอง การถามโดยไม่ใช่ส่วนเดียว เรื่องนี้เป็นอย่างนี้
หรือหนอแล หรือไม่เป็นอย่างนี้ เรื่องนี้เป็นไฉน หรือเป็นอย่างไร
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า บ้างหรือ. คำว่า เต ความว่า ผู้บูชายัญ คำว่า
ภควา เป็นเครื่องกล่าวโดยเคารพ ฯ ล ฯ. คำว่า ภควา นี้ เป็นสัจฉิกา-
บัญญัติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า บุคคลพวก
นั้น . . . บ้างหรือ.
คำว่า ไม่ประมาทแล้วในทางยัญ ความว่า ยัญนั่นแหละท่าน
กล่าวว่าทางยัญ อริยมรรค ทางอริยะ มรรคเทวดา ทางเทวดา มรรค-

พรหม ทางพรหม ฉันใด ยัญนั่นแหละ ท่านกล่าวว่าทางยัญ ฉันนั้น
เหมือนกัน. คำว่า ไม่ประมาทแล้ว ความว่า ไม่ประมาทแล้ว คือ
ทำโดยความเคารพ ทำติดต่อ ทำไม่หยุด มีความประพฤติไม่ย่อหย่อน
ไม่ทอดฉันทะ ไม่ทอดธุระ ในทางยัญ คือประพฤติอยู่ในทางยัญนั้น
มากอยู่ในทางยัญนั้น หนักอยู่ในทางยัญนั้น น้อมไปในทางยัญนั้น โอน
ไปในทางยัญนั้น เงื้อมไปในทางยัญนั้น น้อมใจไปในทางยัญนั้น มีทาง
ยัญนั้นเป็นใหญ่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ไม่ประมาทแล้วในทางยัญ แม้
ชนเหล่าใดแสวงหา สืบหา เสาะหายัญ คือ จีวร . . . เครื่องประทีป
เป็นผู้กระทำโดยเคารพ ฯ ล ฯ มีทางยัญนั้นเป็นใหญ่ แม้ชนเหล่านั้นเป็น
ผู้ไม่ประมาทแล้วในทางยัญ แม้ชนเหล่าใดจัดแจงยัญ คือ จีวร . . . แม้
ชนเหล่านั้น เป็นผู้ไม่ประมาทแล้วในทางยัญ แม้ชนเหล่าใดย่อมให้ ย่อม
บูชา ย่อมบริจาคยัญ คือ จีวร . . . แม้ชนเหล่านั้นเป็นผู้ไม่ประมาท
แล้วในทางยัญ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้บูชา
ยัญเหล่านั้น ไม่ประมาทในทางยัญ . . . บ้างหรือ.
[131] คำว่า " อตารุํ ชาติญฺจ ชรญฺจ มาริส " ความว่า ผู้
บูชายัญเหล่านั้นได้ข้ามพ้นแล้ว คือ ข้ามขึ้นแล้ว ข้ามทั่วแล้ว ก้าวล่วง
แล้ว ล่วงไปแล้ว ซึ่งชาติ ชรา และมรณะ. คำว่า มาริส เป็นเครื่อง
กล่าวด้วยความรัก เป็นเครื่องกล่าวโดยเคารพ. คำว่า มาริส นี้ เป็น
เครื่องกล่าวเป็นไปกับด้วยความเคารพและความยำเกรง เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้นิรทุกข์ ผู้บูชายัญเหล่านั้น ได้ข้าม
พ้นแล้ว ซึ่งชาติและชรา.
[132] คำว่า ปุจฺฉามิ ตํ ในอุเทศว่า " ปุจฺฉามิ ตํ ภควา พฺรูหิ

เม ตํ " ดังนี้ ความว่า ข้าพระองค์ขอทุลถาม คือขอทูลวิงวอน ขอ
เชิญ ขอให้ทรงประสาท ขอจงตรัสบอกปัญหานั้น แก่ข้าพระองค์
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ข้าพระองค์ขอทูลถามปัญหานั้น. คำว่า ภควา
นั้น เป็นเครื่องกล่าวโดยเคารพ ฯ ล ฯ คำว่า ภควา นี้ เป็นสัจฉิกา-
บัญญัติ. คำว่า พฺรูหิ เม ตํ ความว่า ขอพระองค์จงตรัส คือขอจง
บอก ขอจงแสดง ขอจงบัญญัติ ขอจงแต่งตั้ง ขอจงเปิดเผย ขอจง
จำแนก ขอจงทำให้ตื้น ขอจงทรงประกาศ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ข้าแต่
พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ขอทูลถามปัญหานั้น ขอพระองค์จงตรัส
บอกปัญหานั้นแก่ข้าพระองค์.
เพราะเหตุนั้น พราหมณ์นั้นจึงกล่าวว่า
มนุษย์ กษัตริย์ พราหมณ์ พวกใดพวกหนึ่ง มีเป็น
อันมากในโลกนี้ แสวงหาซึ่งยัญแก่เทวดาทั้งหลาย ข้าแต่
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้นิรทุกข์ ผู้บูชายัญเหล่านั้นไม่ประ-
มาทแล้วในทางยัญ ได้ข้ามพ้นแล้วซึ่งชาติและชราบ้าง
หรือ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ขอทูลถาม
ปัญหานั้น ขอพระองค์จงตรัสบอกปัญหานั้นแก่ข้าพระองค์.

[133] (พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนปุณณกะ)
ชนทั้งหลายย่อมหวัง ย่อมชม (ย่อมชอบ) ย่อมบูชา
อาศัยลาภแล้ว ย่อมชอบกามทั้งหลาย เราย่อมกล่าวว่า
ชนเหล่านั้นประกอบการบูชายัญ กำหนัดแล้วด้วยความ
กำหนัดในภพ ไม่ข้ามพ้นชาติและชราไปได้.

[134] คำว่า อาสึสนฺติ ในอุเทศว่า อาสึสนฺติ โถมยนฺติ
อภิชปฺปนฺติ ชุหนฺติ
ดังนี้ ความว่า หวังได้รูป หวังได้เสียง หวังได้
กลิ่น หวังได้รส หวังได้โผฏฐัพพะ หวังได้บุตร หวังได้ภรรยา หวัง
ได้ทรัพป หวังได้ยศ หวังได้ความเป็นใหญ่ หวังได้อัตภาพในสกุลกษัตริย์
มหาศาล หวังได้อัตภาพในสกุลพราหมณ์มหาศาล หวังได้อัตภาพในสกุล
คฤหบดีมหาศาล หวังได้อัตภาพในเทวดาชาวจาตุมหาราชิก ฯ ล ฯ หวัง
ยินดี ปรารถนา รักใคร่การได้อัตภาพในเทวดาที่นับเนื่องในหมู่พรหม
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ย่อมหวัง.
คำว่า ย่อมชม ความว่า ย่อมชมยัญบ้าง ย่อมชมผลบ้าง ย่อม
ชมทักขิไณยบุคคลบ้าง.
ย่อมชมยัญอย่างไร ย่อมชม คือยกย่อง พรรณนา สรรเสริญ
ว่า เราให้ของรัก เราให้ของเจริญใจ เราให้ของประณีต เราให้ของที่
ควร เราเลือกให้ เราให้ของไม่มีโทษ เราให้เนือง ๆ เมื่อกำลังให้ จิต
ก็เลื่อมใส ย่อมชมยัญอย่างนี้.
ย่อมชมผลอย่างไร ย่อมชม ยกย่อง พรรณนา สรรเสริญว่า
เพราะยัญนี้เป็นเหตุ จักได้รูป . . . จักได้โผฏฐัพพะ จักได้อัตภาพใน
สกุลกษัตริย์มหาศาล ฯ ล ฯ จักได้อัตภาพในเทวดาที่นับเนื่องในหมู่
พรหม ย่อมชมผลอย่างนี้.
ย่อมชมทักขิไณยบุคคลอย่างไร ย่อมชม ยกย่อง พรรณนา
สรรเสริญว่า พระทักขิไณยบุคคลเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยชาติ ถึงพร้อมด้วย
โคตร เป็นผู้ชำนาญมนต์ ทรงมนต์ เรียนจบไตรเพท พร้อมด้วย
คัมภีร์นิฆัณฑุศาสตร์และเกตุภศาสตร์ เป็นประเภทอักขระ มีคัมภีร์อิติหาส

เป็นที่ห้า เป็นผู้เข้าใจตัวบท เข้าใจไวยากรณ์ ชำนาญในคัมภีร์โลกาย-
ตนะและตำราทํานายมหาบุรุษลักษณะ เป็นผู้ปราศจากราคะบ้าง ปฏิบัติ
เพื่อกำจัดราคะบ้าง เป็นผู้ปราศจากโทสะบ้าง ปฏิบัติเพื่อกำจัดโทสะบ้าง
เป็นผู้ปราศจากโมหะบ้าง ปฏิบัติเพื่อกำจัดโมหะบ้าง ถึงพร้อมด้วยศรัทธา
ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ ย่อมชมทักขิไณยบุคคล
อย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ย่อมหวัง ย่อมชม.
คำว่า อภิชปฺปนฺติ ความว่า ย่อมชอบการได้รูป . . . ชอบการ
ได้โผฏฐัพพะ ชอบการได้อัตภาพในสกุลกษัตริย์มหาศาล ฯ ล ฯ ชอบ
การได้อัตภาพในเทวดาผู้นับเนื่องในหมู่พรหม เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
ย่อมหวัง ย่อมชม ย่อมชอบ.
คำว่า ชุหนฺติ ความว่า ย่อมบูชา คือย่อมให้ ย่อมสละ ย่อม
บริจาคซึ่งจีวร . . . เครื่องประทีป เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ย่อมหวัง
ย่อมชม ย่อมชอบ ย่อมบูชา.
คำว่า ปุณฺณกาติ ภควา ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมตรัส
เรียกพราหมณ์นั้นโดยชื่อว่า ปุณณกะ.
คำว่า ภควา นี้ เป็นเครื่องกล่าวโดยเคารพ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนปุณณกะ.
[135] คำว่า อาศัยลาภแล้วย่อมชอบกามทั้งหลาย ความว่า
อาศัยการได้รูปแล้วย่อมชอบกามทั้งหลาย ฯ ล ฯ อาศัยการได้อัตภาพใน
เทวดาผู้นับเนื่องในหมู่พรหมแล้ว ย่อมชอบ คือยินดี ปรารถนากาม
ทั้งหลาย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อาศัยลาภแล้วย่อมชอบกามทั้งหลาย.

[136] คำว่า เต ในอุเทศว่า "เต ยาชโยคา ภวราครตฺตา
นาตรึสุ ชาติชรนฺติ พฺรูมิ"
ดังนี้ ความว่า ผู้บูชายัญ.
คำว่า ยาชโยคา ความว่า ผู้ประกอบ คือประกอบทั่ว ประกอบ
ทั่วด้วยดี ในการบูชาทั้งหลาย คือประพฤติในการบูชา มากอยู่ในการ
บูชา หนักอยู่ในการบูชา เอนไปในการบูชา โอนไปในการบูชา เงื้อม
ไปในการบูชา น้อมใจไปในการบูชา มีการบูชาเป็นใหญ่ เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า ชนทั้งหลายผู้ประกอบในการบูชายัญเหล่านั้น.
คำว่า ภวราครตฺตา ความว่า ตัณหาท่านเรียกว่า ภวราคะ (อนึ่ง)
ความพอใจในภพ ความกำหนัดในภพ ความเพลิดเพลินในภพ ตัณหา
ในภพ ความเยื่อใยในภพ ความกระหายในภพ ความเร่าร้อนในภพ
ความลุ่มหลงในภพ ความหมกมุ่นในภพ ในภพทั้งหลาย เรียกว่า ภวราคะ
ผู้บูชายัญเหล่านั้น กำหนัดแล้ว คือติดใจ หลงใหล หมกมุ่น ข้อง
เกี่ยวข้อง พัวพันแล้วในภพทั้งหลายด้วยความกำหนัดในภพ เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า ผู้บูชายัญเหล่านั้น ประกอบในการบูชา ยินดีแล้วด้วยภวราคะ.
คำว่า นาตรึสุ ชาติชรนฺติ พฺรูมิ ความว่า เราย่อมกล่าว คือ
ย่อมบอก ย่อมแสดง ย่อมบัญญัติ ย่อมแต่งตั้ง ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนก
ย่อมทำให้ตื้น ย่อมประกาศว่า ผู้บูชายัญเหล่านั้น ประกอบในการบูชา
กำหนัดแล้วด้วยภวราคะ ไม่ข้าม คือไม่ข้ามขึ้น ไม่ข้ามพ้น ไม่ก้าวล่วง
ไม่เป็นไปล่วงซึ่งชาติ ชรา และมรณะ คือเป็นผู้ไม่ออก ไม่สลัดออก ไม่
ล่วง ไม่พ้น ไม่เป็นไปล่วงจากชาติ ชรา และมรณะ ย่อมวนเวียนอยู่
ภายในชาติ ชรา และมรณะ ย่อมวนเวียนอยู่ภายในทางสงสาร เป็นผู้
เป็นไปตามชาติ อันชราแล่นตาม พยาธิก็ครอบงำ มรณะห้ำหั่น ไม่มี

ที่ต้านทาน ไม่มีที่ซ่อนเร้น ไม่มีอะไรเป็นสรณะ ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เราย่อมกล่าวว่า ผู้บูชายัญเหล่านั้น ประกอบใน
การบูชา ยินดีด้วยภวราคะ ไม่ข้ามพ้นซึ่งชาติ ชรา และมรณะไปได้.
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
ดูก่อนปุณณกะ ชนทั้งหลายย่อมหวัง ย่อมชม
(ย่อมชอบ) ย่อมบูชา อาศัยลาภแล้ ย่อมชอบกาม
ทั้งหลาย เราย่อมกล่าวว่า ชนเหล่านั้น ประกอบการ
บูชายัญ กำหนัดแล้วด้วยความกำหนัดในภพ ไม่ข้ามพ้น
ชาติและชราไปได้.

[137] (ท่านปุณณกะทูลถามว่า)
ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ถ้าชนเหล่านั้น ประกอบ
การบูชาด้วยยัญทั้งหลาย ไม่ข้ามพ้นชาติและชราไปได้
ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ เมื่อเป็นดังนี้ บัดนี้ ใครเล่าใน
เทวโลกและมนุษยโลก ได้ข้ามพ้นชาติและชรา ข้าแต่
พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ขอทูลถามปัญหานั้น ขอ
พระองค์จงตรัสบอกปัญหานั้นแก่ข้าพระองค์.

[138] คำว่า เต เจ นาตรึสุ ยาชโยคา ความว่า ผู้บูชายัญ
เหล่านั้น ประกอบในการบูชา กำหนัดแล้วด้วยความกำหนัดในภพ ไม่ข้าม
คือไม่ข้ามขึ้น ไม่ข้ามพ้น ไม่ก้าวล่วง ไม่เป็นไปล่วง ซึ่งชาติ ชรา และ
มรณะ คือเป็นผู้ไม่ออก ไม่สลัดออก ไม่ล่วง ไม่พ้น ไม่เป็นไปล่วง
จากชาติ ชรา และมรณะ ย่อมวนเวียนอยู่ภายในชาติชราและมรณะ
ย่อมวนเวียนอยู่ภายในทางสงสาร เป็นผู้เป็นไปตามชาติ อันชราแล่นตาม

พยาธิครอบงำ มรณะห้ำหั่น ไม่มีที่ต้านทาน ไม่มีที่ซ่อนเร้น ไม่มีอะไร
เป็นสรณะ ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ถ้าชนเหล่านั้น
ประกอบในการบูชา ไม่ข้ามพ้น.
คำว่า อิติ ในอุเทศว่า อิจฺจายสฺมา ปุณฺณโก เป็นบทสนธิ ฯลฯ
ท่านปุณณกะ.
[139] คำว่า อญฺเญหิ ชาติญฺจ ชรญฺจ มาริส ความว่า ด้วย
ยัญเป็นอันมาก คือด้วยยัญต่าง ๆ ชนิด ด้วยยัญมากมาย.
คำว่า มาริส เป็นเครื่องกล่าวด้วยความรัก เป็นเครื่องกล่าวโดย
เคารพ.
คำว่า มาริส นี้ เป็นเครื่องกล่าวเป็นไปกับด้วยความเคารพและ
ความยำเกรง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ยญฺเญหิ ชาติญฺจ ชรญฺจ
มาริส.

[140] คำว่า อถ โก จรหิ เทวมนุสฺสโลเก อตาริ ชาติญฺจ
ชรญฺจ มาริส
ความว่า เมื่อเป็นดังนั้น ใครเล่าในโลก พร้อมทั้ง
เทวโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและ
มนุษย์ ข้ามแล้ว คือข้ามขึ้น ข้ามพ้น ก้าวล่วง เป็นไปล่วง ซึ่งชาติ
ชรา และมรณะ.
คำว่า มาริส เป็นเครื่องกล่าวด้วยความรัก เป็นเครื่องกล่าวโดย
เคารพ. คำว่า มาริส นี้ เป็นเครื่องกล่าวเป็นไปกับด้วยความเคารพ
ยำเกรง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ เมื่อเป็นดังนั้น
ในบัดนี้ ใครเล่าในเทวโลกและมนุษยโลก ได้ข้ามพ้นชาติและชราไปได้.
[141] คำว่า ปุจฺฉามิ ตํ ภควา พฺรูหิ เม ตํ ความว่า ข้า-
พระองค์ขอทูลถามปัญหานั้น คือขอวิงวอน ขอเชื้อเชิญ ขอให้ทรง

ประสาทปัญหานั้น ขอพระองค์จงตรัสบอกปัญหานั้นแก่ข้าพระองค์
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ข้าพระองค์ขอทูลถามปัญหานั้น.
คำว่า ภควา นี้ เป็นเครื่องกล่าวเป็นไปกับด้วยความเคารพ ฯ ล ฯ
คำว่า ภควา นี้ เป็นสัจฉิกาบัญญัติ. คำว่า ขอพระองค์จงตรัสบอก
ปัญหานั้นแก่ข้าพระองค์
ความว่า ขอพระองค์จงตรัสบอก. . . ขอจง
ประกาศ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์
ขอทูลถามปัญหานั้น ขอพระองค์จงตรัสบอกปัญหานั้นแก่ข้าพระองค์.
เพราะเหตุนั้น พราหมณ์นั้นจึงกล่าวว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ถ้าชนเหล่านั้น ประกอบ
ในการบูชายัญทั้งหลาย ไม่ข้ามพ้นชาติและชราไปได้
ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ เมื่อเป็นดังนี้ ใครเล่าในเทวโลก
และมนุษยโลก ได้ข้ามพ้นชาติและชรา ข้าแต่พระผู้มี-
พระภาคเจ้า ข้าพระองค์ขอทูลถามปัญหานั้น ขอพระองค์
จงตรัสบอกปัญหานั้นแก่ข้าพระองค์.

[142] (พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนปุณณกะ)
เราย่อมกล่าวว่า ความหวั่นไหวในโลกไหน ๆ มิได้
มีแก่พระอรหันตขีณาสพใด เพราะทราบ ฝั่งนี้และฝั่ง
โน้นในโลก พระอรหันตขีณาสพนั้น เป็นผู้สงบ ขจัด
ทุจริตเพียงดังว่าควัน ไม่มีทุกข์ ไม่มีความหวัง ได้ข้าม
แล้วซึ่งชาติและชรา.

[143] ญาณ ปัญญา ความรู้ทั่ว ฯ ล ฯ ความไม่หลง ความ
เลือกเฟ้นธรรม สัมมาทิฏฐิ ตรัสว่า สังขา ในอุเทศว่า " สงฺขาย
โลกสฺมึ ปโรปรานิ. "

คำว่า ปโรปรานิ ความว่า มนุษยโลกตรัสว่าฝั่งนี้ เทวโลก
ตรัสว่าฝั่งโน้น กามธาตุตรัสว่าฝั่งนี้ รูปธาตุและอรูปธาตุตรัสว่าฝั่งโน้น
กามธาตุรูปธาตุตรัสว่าฝั่งนี้ อรูปธาตุตรัสว่าฝั่งโน้น.
คำว่า สงฺขาย โลกสฺมึ ปโรปรานิ ความว่า เพราะทราบ คือ
รู้ เทียบเคียง พิจารณา ให้แจ่มแจ้ง ทำให้ปรากฏ ซึ่งฝั่งนี้และฝั่งโน้น
โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดัง
ลูกศร ฯ ล ฯ โดยไม่มีอุบายเครื่องสลัดออกได้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
เพราะทราบฝั่งโน้นและฝั่งนี้ในโลก.
คำว่า ปุณณกาติ ภควา ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมตรัส
เรียกพราหมณ์นั้นโดยชื่อว่า ปุณณกะ.
คำว่า ภควา นี้ เป็นเครื่องกล่าวโดยเคารพ ฯ ล ฯ. คำว่า ภควา
นี้ เป็นสัจฉิกาบัญญัติ เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสว่า ดูก่อนปุณณกะ.
[144] คำว่า ยสฺส ในอุเทศว่า " ยสฺสิญฺชิตํ นตฺถิ กุหิญฺจิ
โลเก "
ดังนี้ ได้แก่พระอรหันตขีณาสพ. คำว่า อิญฺชิตํ คือ ความ
หวั่นไหวเพราะตัณหา ความหวั่นไหวเพราะทิฏฐิ ความหวั่นไหวเพราะ
กิเลส ความหวั่นไหวเพราะมานะ ความหวั่นไหวเพราะกรรม ความ
หวั่นไหวเหล่านั้น ไม่มี คือไม่ปรากฏ ไม่ประจักษ์ แก่พระอรหันต-
ขีณาสพใด คือความหวั่นไหวเหล่านี้ พระอรหันตขีณาสพใด ละได้แล้ว

ตัดขาดแล้ว สงบแล้ว ระงับแล้ว ทำไม่ให้อาจเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วย
ไฟคือญาณ.
คำว่า กุหิญฺจิ ความว่า ไหน ๆ คือแห่งไหน แห่งไร ภายใน
หรือภายนอก หรือทั้งภายในภายนอก.
คำว่า โลเก คือ ในอบายโลก ฯ ล ฯ ในอายตนโลก เพราะ
ฉะนั้น จึงชื่อว่า ความหวั่นไหวในโลกไหน ๆ มิได้มีแก่พระอรหันต-
ขีณาสพใด.
[145] คำว่า สนฺโต ในอุเทศว่า " สนฺโต วิธูโม อนีโฆ นิราโส
อตาริ โส ชาติชรนฺติ พฺรูมิ "
ดังนี้ ความว่า ชื่อว่า สันตะ เพราะเป็น
ผู้มีราคะสงบ มีโทสะสงบ มีโมหะสงบ ชื่อว่าสงบแล้ว คือเข้าไปสงบ
แล้ว ระงับแล้ว ดับแล้ว ระงับเฉพาะแล้ว เพราะเป็นผู้สงบแล้ว ถึง
ความสงบแล้ว เข้าไปสงบแล้ว เผาแล้ว ดับแล้ว ปราศจากแล้ว ระงับ
เฉพาะแล้วซึ่งความโกรธ ความผูกโกรธ ความลบหลู่ ความตีเสมอ
ความริษยา ความตระหนี่ ความลวง ความโอ้อวด ความกระด้าง
ความแข่งดี ความเมา ความประมาท กิเลสทั้งปวง ทุจริตทั้งปวง ความ
กระวนกระวายทั้งปวง ความเร่าร้อนทั้งปวง ความเดือดร้อนทั้งปวง
อกุสลาภิสังขารทั้งปวง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า สงบ.
คำว่า วิธูโม ความว่า กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต อัน
พระอรหันตขีณาสพขจัดแล้ว กำจัดแล้ว ทำให้เหือดแห้งแล้ว ทำให้สิ้นสุด
แล้ว ราคะ โทสะ โมหะ ความโกรธ . . . ความประมาท กิเลส
ทั้งปวง . . . อกุสลาภิสังขารทั้งปวง อันพระอรหันตขีณาสพขจัดแล้ว
กำจัดแล้ว ทำให้เหือดแห้งแล้ว ทำให้สิ้นสุดแล้ว.

อนึ่ง ความโกรธ ท่านกล่าวว่าเป็นดังควัน
ดูก่อนพราหมณ์ ท่านมีมานะเปรียบเหมือนดังเครื่อง
หาบ มีความโกรธเปรียบเหมือนควัน มีการพูดเท็จ
เปรียบเหมือนเถ้า มีลิ้นเปรียบเหมือนทัพพี หฤทัยของ
สัตว์ทั้งหลายเปรียบเหมือนสถานที่บูชายัญของท่าน ตน
ที่ฝึกดีแล้ว เป็นกำเนิดของบุรุษ.

อนึ่ง ความโกรธย่อมเกิดด้วยอาการ 10 อย่าง คือ ความโกรธ
เกิดด้วยผูกใจว่า คนโน้นได้ประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่เราแล้ว 1
คนโน้นประพฤติอยู่ซึ่งสิ่งไม่เป็นประโยชน์แก่เรา 1 คนโน้นจักประพฤติ
สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่เรา 1 คนโน้นได้ประพฤติแล้วซึ่งสิ่งที่ไม่เป็น
ประโยชน์แก่บุคคลผู้เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา 1 คนโน้นประพฤติอยู่ซึ่ง
สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่บุคคลผู้เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา 1 คนโน้นจัก
ประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่บุคคลผู้เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา 1 คน
โน้นได้ประพฤติแล้วซึ่งประโยชน์แก่บุคคลผู้ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา 1
คนโน้นประพฤติอยู่ซึ่งประโยชน์แก่บุคคลผู้ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา 1
คนโน้นจะประพฤติซึ่งสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่บุคคลผู้ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจ
ของเรา 1 อีกอย่างหนึ่ง ความโกรธย่อมเกิดในฐานะอันไม่ควร 1
ความปองร้าย ความมุ่งร้าย ความขัดเคือง ความโกรธตอบ ความเคือง
ความเคืองทั่ว ความเคืองเสมอ ความชัง ความชังทั่ว ความชังเสมอ
ความพยาบาทแห่งจิต ความประทุษร้ายในใจ ความโกรธ กิริยาที่โกรธ
ความเป็นผู้โกรธ ความชัง กิริยาที่ชัง ความเป็นผู้ชัง ความพยาบาท
กิริยาที่พยาบาท ความเป็นผู้พยาบาท ความพิโรธ ความพิโรธตอบ

ความเป็นผู้ดุร้าย ความเพาะวาจาชั่ว ความไม่พอใจของจิต นี้เรียกว่า
ความโกรธ.
อนึ่ง พึงทราบความโกรธมาก โกรธน้อย ความโกรธเป็นแต่
เพียงทำจิตให้ขุ่นมัวในบางครั้งก็มี แต่ยังไม่ถึงให้มีหน้าเง้าหน้างอ ความ
โกรธเป็นแต่เพียงทำให้หน้าเง้าหน้างอในบางครั้งก็มี แต่ไม่ถึงให้คาง
สั่น ความโกรธเป็นแต่เพียงทำให้คางสั่นในบางครั้งก็มี แต่ยังไม่ถึงเปล่ง
ผรุสวาจา ความโกรธเป็นแต่เพียงทำให้เปล่งผรุสวาจาในบางครั้งก็มี แต่
ยังไม่ถึงให้เหลียวดูทิศทางต่าง ๆ ความโกรธเป็นแต่เพียงทำให้เหลียวดูทิศ
ต่างๆ ในบางครั้งก็มี แต่ยังไม่ถึงการจับท่อนไม้และศัสตรา ความโกรธ
เป็นแต่เพียงทำให้จับท่อนไม้และศัสตราในบางครั้งก็มี แต่ยังไม่ถึงเงื้อ
ท่อนไม้และศัสตรา ความโกรธเป็นแต่เพียงทำให้เงื้อท่อนไม้และศัสตรา
ในบางครั้งก็มี แต่ยังไม่ถึงตีฟัน ความโกรธเป็นแต่เพียงทำให้ตีฟันใน
บางครั้งก็มี แต่ยังไม่ถึงฉีกขาดเป็นบาดแผล ความโกรธเป็นแต่เพียงทำ
ให้ถึงฉีกขาดเป็นบาดแผลในบางครั้งก็มี แต่ยังไม่ให้หักให้แหลก ความ
โกรธเป็นแต่เพียงทำให้หักให้แหลกในบางครั้งก็มี แต่ยังไม่ให้อวัยวะน้อย
ใหญ่เคลื่อนที่ ความโกรธเป็นแต่เพียงทำให้อวัยวะน้อยใหญ่เคลื่อนที่ใน
บางครั้งก็มี แต่ยังไม่ให้ชีวิตดับ ความโกรธเป็นแต่เพียงทำให้ชีวิตดับใน
บางครั้งก็มี แต่ยังไม่ถึงความสละบริจาคอวัยวะทั้งหมด เมื่อใดความโกรธ
ให้ฆ่าบุคคลอื่นแล้วให้ฆ่าตน เมื่อนั้นความโกรธถึงความเป็นความโกรธ
แรงยิ่ง ถึงความเป็นความโกรธมากยิ่ง โดยอาการอย่างนี้. ความโกรธนั้น
อันพระอรหันตขีณาสพใด ละได้แล้ว ตัดขาดแล้ว สงบระงับแล้ว ทำ
ไม่ให้อาจเกิดขึ้นอีก เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ พระอรหันตขีณาสพนั้น

เรียกว่าผู้กำจัดกิเลสเพียงดังควัน. พระอรหันตขีณาสพชื่อว่าวิธูมะ เพราะ
เป็นผู้ละความโกรธ เพราะเป็นผู้กำหนดรู้วัตถุแห่งความโกรธ เพราะเป็น
ผู้ตัดขาดซึ่งเหตุแห่งความโกรธ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า วิธูมะ.
คำว่า อนีโฆ ความว่า ราคะเป็นทุกข์ โทสะเป็นทุกข์ โมหะ
เป็นทุกข์ ความโกรธเป็นทุกข์ ความผูกโกรธเป็นทุกข์ ฯ ล ฯ อกุสลา-
ภิสังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ทุกข์เหล่านั้น อันพระอรหันตขีณาสพใดละได้
แล้ว . . . เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ พระอรหันตขีณาสพนั้น เรียกว่า
ผู้ไม่มีทุกข์.
คำว่า ไม่มีความหวัง ความว่า ตัณหาเรียกว่าความหวัง ราคะ
สาราคะ ฯ ล ฯ อภิชฌา โลภะ อกุศลมูล เรียกว่าความหวัง ตัณหา
อันเป็นความหวังนั้น อันพระอรหันตขีณาสพใดละได้แล้ว เผาเสียได้แล้ว
ด้วยไฟคือ ญาณ พระอรหันตขีณาสพนั้น เรียกว่า ผู้ไม่มีความหวัง.
ความเกิด ความเกิดพร้อม ความก้าวลง ความบังเกิด ความ
เกิดเฉพาะ ความปรากฏแห่งขันธ์ทั้งหลาย ความได้เฉพาะซึ่งอายตนะ
ทั้งหลาย ในหมู่สัตว์นั้น ๆ แห่งสัตว์เหล่านั้น ๆ ชื่อว่า ชาติ.
ความแก่ ความเสื่อม ความเป็นผู้มีฟันหัก ความเป็นผู้มีผมหงอก
ความเป็นผู้มีหนังย่น ความเสื่อมอายุ ความแก่แห่งอินทรีย์ทั้งหลาย ใน
หมู่สัตว์นั้น ๆ แห่งสัตว์เหล่านั้น ชื่อว่า ชรา.
คำว่า สนฺโต วิธูโม อนีโฆ นิราโส อตาริ โส ชาติชรนฺติ พฺรูมิ
ความว่า เราย่อมกล่าว . . . ย่อมประกาศว่า พระอรหันตขีณาสพใด
เป็นผู้สงบ กำจัดกิเลสเพียงดังว่าควัน ไม่มีทุกข์ และไม่มีความหวัง
พระอรหันตขีณาสพนั้นข้ามได้แล้ว ข้ามขึ้นแล้ว ข้ามทั่วแล้ว ล่วงแล้ว

เป็นไปล่วงแล้วซึ่งชาติ ชรา และมรณะ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เรา
ย่อมกล่าวว่า พระอรหันตขีณาสพนั้น เป็นผู้สงบ กำจัดกิเลสเพียงดังว่า
ควัน ไม่มีทุกข์ ไม่มีความหวัง ข้ามได้แล้วซึ่งชาติและชรา.
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
เราย่อมกล่าวว่า ความหวั่นไหวในโลกไหน ๆ มิได้
มีแก่พระอรหันตขีณาสพใด เพราะทราบฝั่งนี้และฝั่งโน้น
ในโลก พระอรหันตขีณาสพนั้น เป็นผู้สงบ กำจัดกิเลส
เพียงดังว่าควัน ไม่มีทุกข์ ไม่มีความหวัง ได้ข้ามแล้ว
ซึ่งชาติและชรา.

พร้อมด้วยวาจาจบคาถา ฯ ล ฯ ท่านพระปุณณกะนั้น เป็นภิกษุ
ครองผ้ากาสายะเป็นบริขาร ทรงสังฆาฏิ บาตร และจีวร นั่งประนม
อัญชลีนมัสการพระผู้มีพระภาคเจ้าประกาศว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าเป็นศาสดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เป็นสาวก ดังนี้.
จบปุณณกมาณวกปัญหานิทเทสที่ 3

อรรถกถาปุณณกมาณวกปัญหานิทเทสที่ 3


พึงทราบวินิจฉัย ในปุณณกสุตตนิทเทสที่ 3.
บทว่า อเนชํ ผู้ไม่หวั่นไหวแม้นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้าม
โมฆราชตรัสแล้ว โดยนัยก่อนนั่นแล.