เมนู

ติสสเมตเตยยมาณวกปัญหานิทเทส


ว่าด้วยปัญหาของท่านติสสเมตเตยยะ


[100] (ท่านติสสเมตเตยยะทูลถามว่า)
ใครยินดีแล้วในโลกนี้ ความหวั่นไหวของใครย่อม
ไม่มี ใครรู้สิ้นสุดทั้งสองแล้ว ย่อมไม่ติดในท่ามกลาง
ด้วยปัญญา พระองค์ตรัสเรียกใครว่าเป็นมหาบุรุษ ใคร
ล่วงแล้วซึ่งตัณหาอันเป็นเครื่องเย็บไว้ในโลกนี้.

[101] คำว่า ใครยินดีแล้วในโลกนี้ ความว่า ใครพอใจ คือ
ชอบใจ มีความดำริบริบูรณ์ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ใครยินดีแล้วใน
โลกนี้. บทว่า อิติ ในอุเทศว่า "อิจฺจายสฺมา ติสฺสเมตเตยฺโย"
ดังนี้ เป็นบทสนธิ คือเป็นบทเกี่ยวเนื่อง เป็นบทยังเนื้อความให้บริบูรณ์
เป็นความประชุมแห่งอักขระ เป็นความสละสลวยแห่งพยัญชนะ. บทว่า
อิติ นี้ เป็นไปตามลำดับบท. คำว่า อายสฺมา เป็นเครื่องกล่าวด้วย
ความรัก เป็นเครื่องกล่าวโดยเคารพ. คำว่า อายสฺมา นี้ เป็นเครื่อง
กล่าวถึงเป็นไปกับด้วยความเคารพและความยำเกรง. คำว่า ติสฺสเมตฺ-
เตยฺโย
เป็นชื่อ เป็นเครื่องนับ เป็นเครื่องหมายรู้ เป็นบัญญัติ เป็น
เครื่องร้องเรียก เป็นนาม เป็นการตั้งชื่อ เป็นเครื่องทรงชื่อ เป็นภาษา
ที่ร้องเรียกกัน เป็นเครื่องแสดงให้ปรากฏ เป็นเครื่องกล่าวเฉพาะ
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า "อิจฺจายสฺมา ติสฺสเมตฺเตยฺโย."
[102] คำว่า ความหวั่นไหวของใครย่อมไม่มี ความว่า ความ
หวั่นไหวเพราะตัณหา ความหวั่นไหวเพราะทิฏฐิ ความหวั่นไหวเพราะ

มานะ ความหวั่นไหวเพราะกิเลส ความหวั่นไหวเพราะกรรม ความ
หวั่นไหวเหล่านี้ของใครย่อมไม่มี คือ ไม่ปรากฏ ไม่ประจักษ์ คือ ความ
หวั่นไหวอันใครละได้แล้ว ตัดขาดแล้ว สงบแล้ว ระงับแล้ว มีความ
ไม่ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
ความหวั่นไหวของใครย่อมไม่มี.
[103] คำว่า ใครรู้ส่วนสุดทั้งสองแล้ว ความว่า ใครรู้จัก คือ
ทราบ เทียบเคียง พิจารณา เจริญ ทำให้แจ่มแจ้ง ซึ่งส่วนสุดทั้งสอง
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ใครรู้จักส่วนสุดทั้งสองแล้ว.
[104] คำว่า ไม่ติดในท่ามกลางด้วยปัญญา ความว่า ไม่ติด
คือไม่เข้าไปติด ออกไป สลัดออกไป หลุดพ้น ไม่เกี่ยวข้อง มีใจ
ปราศจากเขตแดนอยู่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ไม่ติดในท่ามกลางด้วย
ปัญญา.
[105] คำว่า พระองค์ตรัสเรียกใครว่าเป็นมหาบุรุษ ความว่า
พระองค์ตรัสเรียกใคร คือตรัสใคร ทรงสำคัญใคร ทรงชมเชยใคร
ทรงเห็นใคร ทรงบัญญัติใครว่าเป็นมหาบุรุษ คือเป็นอัครบุรุษ บุรุษ
สูงสุด บุรุษวิเศษ บุรุษประธาน อุดมบุรุษ บุรุษประเสริฐ เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า พระองค์ตรัสเรียกใครว่าเป็นมหาบุรุษ.
[106] คำว่า ใครล่วงแล้วซึ่งตัณหาอันเป็นเครื่องเย็บไว้ในโลก
นี้
ความว่า ใครล่วงแล้ว คือเข้าไปล่วงแล้ว ก้าวล่วงแล้ว พ้นแล้ว
เป็นไปล่วงแล้วซึ่งตัณหาอันเป็นเครื่องเย็บไว้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ใคร
ล่วงแล้วซึ่งตัณหาอันเป็นเครื่องเย็บไว้ในโลกนี้.
เพราะเหตุนั้น พราหมณ์จึงกล่าวว่า

ใครยินดีแล้วในโลกนี้ ความหวั่นไหวของใครย่อม
ไม่มี ใครรู้ส่วนสุดทั้งสองแล้ว ย่อมไม่ติดในท่ามกลาง
ด้วยปัญญา พระองค์ย่อมตรัสเรียกใครว่าเป็นมหาบุรุษ
ใครล่วงแล้วซึ่งตัณหาอันเป็นเครื่องเย็บไว้ในโลกนี้.

[107] (พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนเมตเตยยะ) ภิกษุ
มีพรหมจรรย์ในเพราะกามทั้งหลาย ปราศจากตัณหา มีสติทุกเมื่อ ทราบ
แล้ว ดับแล้ว ไม่มีความหวั่นไหว ภิกษุนั้นรู้ยิ่งซึ่งส่วนสุดทั้งสอง และ
ท่ามกลางด้วยปัญญาแล้วไม่ติดอยู่ เราเรียกภิกษุนั้นว่าเป็นมหาบุรุษ ภิกษุ
นั้นล่วงเสียแล้วซึ่งตัณหาอันเป็นเครื่องเย็บไว้ในโลกนี้.
[108] โดยอุทานว่า กามา ในอุเทศว่า "กาเมสุ พฺรหฺมจริยวา"
ดังนี้ กามมี 2 อย่าง คือ วัตถุกาม 1 กิเลสกาม 1 ฯ ล ฯ เหล่านี้เรียกว่า
วัตถุกาม ฯ ล ฯ เหล่านี้เรียกกิเลสกาม คำว่า มีพรหมจรรย์ ความว่า
ความงด ความเว้น ความเว้นขาด ความขับไล่เวร กิริยาที่ไม่กระทำ
ความไม่ทำ ความไม่ต้อง ความไม่ล่วงแดน ซึ่งความถึงพร้อมด้วย
อสัทธรรมเรียกว่าพรหมจรรย์.
อีกอย่างหนึ่ง โดยตรงท่านเรียกว่า อริยมรรคมีองค์ 8 คือสัมมา-
ทิฏฐิ ฯ ล ฯ สัมมาสมาธิ ว่าพรหมจรรย์ ภิกษุใดเข้าไป เข้าไปพร้อม
เข้ามา เข้ามาพร้อม เข้าถึง เข้าถึงพร้อม ประกอบด้วยมรรคมีองค์ 8 นี้
ภิกษุนั้นท่านเรียกว่า มีพรหมจรรย์ เขาเรียกบุคคลว่า มีทรัพย์ เพราะ
ทรัพย์ เรียกกันว่า มีโภคะ เพราะโภคะ เรียกกันว่ามียศ เพราะยศ
เรียกกันว่า มีศิลป เพราะศิลป เรียกกันว่ามีศีล เพราะศีล เรียกกันว่า
มีความเพียร เพราะความเพียร เรียกกันว่ามีปัญญา เพราะปัญญา เรียก

กันว่ามีวิชชา เพราะวิชชาฉันใด ภิกษุใดเข้าไป เข้าไปพร้อม เข้ามา
เข้ามาพร้อม เข้าถึง เข้าถึงพร้อม ประกอบด้วยอริยมรรคมีองค์ 8 นี้
ภิกษุนั้นท่านก็เรียกว่า มีพรหมจรรย์ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น จึง
ชื่อว่า มีพรหมจรรย์ในเพราะกามทั้งหลาย.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกพราหมณ์นั้นโดยโคตรว่า ดูก่อนเมต-
เตยยะ. คำว่า ภควา เป็นเครื่องกล่าวโดยเคารพ ฯ ล ฯ คำว่า ภควา นี้
เป็นสัจฉิกาบัญญัติ เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ตอบว่า ดูก่อนเมตเตยยะ.
[109] รูปตัณหา ... ธรรมตัณหา ชื่อว่า ตัณหา ในอุเทศว่า
"ปราศจากตัณหา มีสติทุกเมื่อ" ภิกษุใดละตัณหานี้ขาดแล้ว คือตัด
ขาดแล้ว สงบแล้ว มีความไม่ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือ ญาณ
ภิกษุนั้นท่านเรียกว่า ปราศจากตัณหา คือสละตัณหาแล้ว คายตัณหา
แล้ว ปล่อยตัณหาแล้ว ละตัณหาแล้ว สละคืนตัณหาแล้ว มีราคะไป
ปราศจากแล้ว สละราคะแล้ว คายราคะแล้ว ปล่อยราคะแล้ว ละราคะแล้ว
สละคืนราคะแล้ว เป็นผู้ไม่มีความหิว เป็นผู้ดับแล้ว เย็นแล้ว เสวยสุข
มีตนเป็นเพียงดังพรหมอยู่.
คำว่า สทา ความว่า ทุกเมื่อ คือทุกสมัย ตลอดกาลทั้งปวง
กาลเป็นนิตย์ กาลยั่งยืน ติดต่อ เนืองๆ เนื่องกัน ต่อลำดับไม่สับสนกัน
ไม่ว่าง ประกอบด้วยความพร้อมเพรียง ถูกต้องกัน กาลเป็นปุเรภัต กาล
เป็นปัจฉาภัต ตลอดยามต้น ตลอดยามกลาง ตลอดยามหลัง ในข้างแรม
ในข้างขึ้น ในฤดูฝน ในฤดูหนาว ในฤดูร้อน ในตอนวัยต้น ในตอน
วัยกลาง ในตอนวัยหลัง.

คำว่า มีสติ ความว่า มีสติด้วยเหตุ 4 ประการ คือ ชื่อว่ามีสติ
เพราะเป็นผู้เจริญสติปัฏฐาน คือการพิจารณาเห็นกายในกาย 1 ... การ
พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย 1 ... การพิจารณาเห็นจิตในจิต1 ...
การพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย 1 ฯ ล ฯ ภิกษุนั้นท่านเรียกว่า
ผู้มีสติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ปราศจากตัณหา มีสติทุกเมื่อ.
[110] ญาณ ปัญญา กิริยาที่รู้ ความเลือกเฟ้น ฯ ลฯ ความ
ไม่หลง ความเลือกเฟ้นธรรม ปัญญาอันเห็นชอบ ชื่อว่า สังขา
ในอุเทศว่า สงฺขาย นิพฺพุโต ภิกฺขุ.
คำว่า ทราบแล้ว ความว่า ทราบ คือรู้ เทียบเคียง พิจารณา
เจริญทำให้แจ่มแจ้งแล้ว คือทราบ ... ทำให้แจ่มแจ้งแล้วว่า สังขาร
ทั้งปวงไม่เที่ยง ... สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ... ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ...
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร ฯ ล ฯ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้น
เป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา.
อีกอย่างหนึ่ง ทราบ ... ทำให้แจ่นแจ้งแล้วโดยความเป็นสภาพ
ไม่เที่ยง ... เป็นทุกข์ ... เป็นโรค ... เป็นดังหัวฝี ... เป็นดังลูกศร ฯล ฯ
โดยไม่มีอุบายเครื่องออกไป.
คำว่า ดับแล้ว ความว่า ชื่อว่าดับแล้ว เพราะเป็นผู้ดับราคะ
โทสะ โมหะ ... มทะ ปมาทะ กิเลสทั้งปวง ทุจริตทั้งปวง ความกระวน
กระวายทั้งปวง ความเร่าร้อนทั้งปวง ความเดือดร้อนทั้งปวง อกุสลา-
ภิสังขารทั้งปวง.
คำว่า ภิกฺขุ ความว่า ชื่อว่าภิกษุ เพราะเป็นผู้ทำลายธรรม

7 ประการ ฯ ลฯ ภิกษุนั้น ... อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว มีภพใหม่สิ้นแล้ว
เพราฉะนั้น จึงชื่อว่า ภิกษุ ... ทราบแล้ว ดับแล้ว.
[111] คำว่า ตสฺส ในอุเทศว่า "ตสฺส โน สนฺติ อิญฺชิตา"
ความว่า พระอรหันตขีณาสพไม่มีความหวั่นไหว คือความหวั่นไหว
เพราะตัณหา ความหวั่นไหวเพราะทิฏฐิ ความหวั่นไหวเพราะมานะ
ความหวั่นไหวเพราะกิเลส ความหวั่นไหวเพราะกรรม ความหวั่นไหว
เหล่านี้ย่อมไม่มี ได้แก่ ไม่ปรากฏ ไม่ประจักษ์ แก่ภิกษุนั้น คือความ
หวั่นไหวเหล่านี้ภิกษุนั้นละได้แล้ว ตัดขาดแล้ว สงบแล้ว ไม่อาจเกิดขึ้นอีก
เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภิกษุนั้นไม่มีความ
หวั่นไหวทั้งหลาย.
[112] คำว่า ที่สุด ในอุเทศว่า "โส อุภนฺตมภิญฺญาย มชฺเฌ
มนฺตา น ลิมฺปติ"
ดังนี้ ความว่า ผัสสะเป็นส่วนสุดข้างหนึ่ง เหตุให้
เกิดผัสสะเป็นส่วนสุดที่สอง ความดับผัสสะเป็นท่ามกลาง อดีตเป็นส่วน
สุดข้างหนึ่ง อนาคตเป็นส่วนสุดที่สอง ปัจจุบันเป็นท่ามกลาง. สุขเวทนา
เป็นส่วนสุดข้างหนึ่ง ทุกขเวทนาเป็นส่วนสุดที่สอง อทุกขมสุขเวทนาเป็น
ท่ามกลาง. นามเป็นส่วนสุดข้างหนึ่ง รูปเป็นส่วนสุดที่สอง วิญญาณเป็น
ท่ามกลาง. อายตนะภายใน 6 เป็นส่วนสุดข้างหนึ่ง อายตนะภายนอก 6
เป็นส่วนสุดที่สอง วิญญาณเป็นท่ามกลาง. สักกายะเป็นส่วนสุดข้างหนึ่ง
เหตุให้เกิดสักกายะเป็นส่วนสุดที่สอง ความดับสักกายะเป็นท่ามกลาง.
ปัญญา ความรู้ทั่ว กิริยาที่รู้ ฯ ลฯ ความไม่หลง ความเลือกเฟ้น
ธรรม ปัญญาอันเห็นชอบ เรียกว่า มนฺตา.
ความติด 2 อย่าง คือ ความติดเพราะตัณหา 1 ความติดเพราะ

ทิฏฐิ 1 ชื่อว่า เลปา. ความติดเพราะตัณหาเป็นไฉน การทำเขต การ
ทำแดน การทำส่วน การทำความกำหนด ความหวงแหน ความยึดถือ
โดยส่วนแห่งตัณหาว่า นี้ของเรา นั่นของเรา เท่านี้ของเรา ประมาณ
เท่านี้ของเรา รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เครื่องลาด เครื่อง
นุ่งห่ม ทาสี ทาส แพะ แกะ ไก่ สุกร ช้าง โค ม้า ลา ไร่ นา
ที่ดิน เงิน ทอง บ้าน นิคม ราชธานี แว่นแคว้น ชนบท ฉางข้าว
คลังของเรา บุคคลย่อมยึดถือเอามหาปฐพีแม้ทั้งสิ้นว่าเป็นของเรา ด้วย
สามารถแห่งตัณหาและตัณหาวิปริต 108 นี้เป็นความติดเพราะตัณหา.
ความติดเพราะทิฏฐิเป็นไฉน สักกายทิฏฐิมีวัตถุ 20 มิจฉาทิฏฐิ
มีวัตถุ 10 อันตคาหิกทิฏฐิมีวัตถุ 10 ความเห็น รกชัฏคือทิฏฐิ ทาง
กันดารคือทิฏฐิ เสี้ยนหนามคือทิฏฐิ ความดิ้นรนคือทิฏฐิ ความประกอบ
ไว้คือทิฏฐิ ความถือ ความถือเฉพาะ ความถือมั่น ความลูบคลำ ทางชั่ว
ทางผิด ความเป็นผิด ลัทธิแห่งเดียรถีย์ ความถือด้วยความแสวงหาผิด
ความถืออันวิปริต ความถืออันวิปลาส ความถือผิด ความถือในวัตถุอัน
ไม่จริงว่าวัตถุจริง ทิฏฐิ 62 เท่าใด นี้เป็นความติดเพราะทิฏฐิ.
คำว่า ภิกษุนั้นรู้ยิ่งซึ่งส่วนสุดทั้งสองและท่ามกลางด้วยปัญญา
แล้วไม่ติดอยู่
ความว่า ภิกษุนั้นรู้ยิ่ง ทราบ เทียบเคียง พิจารณา
เจริญ ทำให้แจ่มแจ้ง ซึ่งส่วนสุดทั้งสองและท่ามกลางด้วยปัญญาแล้ว
ไม่ติดอยู่ คือไม่เข้าไปติด ไม่ทา ไม่เปื้อน ออกไป สละไป หลุดพ้น
ไม่เกี่ยวข้องแล้ว มีจิตปราศจากเขตแดนอยู่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
ภิกษุนั้นรู้ยิ่งซึ่งส่วนสุดทั้งสองและท่ามกลางด้วยปัญญาแล้วไม่ติดอยู่.
[113] คำว่า ตํ พฺรูมิ มหาปุริโส ความว่า เราย่อมเรียก

กล่าว สำคัญ บอก เห็น บัญญัติภิกษุนั้นว่าเป็นมหาบุรุษ คือเป็น
อัครบุรุษ บุรุษสูงสุด บุรุษวิเศษ บุรุษเป็นประธาน อุดมบุรุษ
บุรุษประเสริฐ. ท่านพระสารีบุตรทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ตรัสว่า มหาบุรุษ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ด้วยเหตุเท่าไรหนอแล บุคคลจึงเป็นมหาบุรุษ. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ตอบว่า ดูก่อนสารีบุตร เรากล่าวว่าเป็นมหาบุรุษ เพราะเป็นผู้มีจิต
หลุดพ้น เราไม่กล่าวว่าเป็นมหาบุรุษ เพราะเป็นผู้น้อมจิตเธอ ดูก่อน
สารีบุตร ก็ภิกษุเป็นผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วอย่างไร ดูก่อนสารีบุตร ภิกษุ
ในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกายเป็นภายใน มีความเพียร
มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกอยู่ เมื่อภิกษุนั้น
พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ จิตย่อมคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะ
ทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น ภิกษุเป็นผู้พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้ง-
หลาย... ในจิต... เป็นผู้พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย มีความเพียร
มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกอยู่ เมื่อภิกษุนั้น
พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่ จิตย่อมคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น
จากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่น ดูก่อนสารีบุตร ภิกษุเป็นผู้มีจิตหลุดพ้น
แล้วอย่างนี้แล ดูก่อนสารีบุตร เรากล่าวว่าเป็นมหาบุรุษ เพราะเป็นผู้มีจิต
หลุดพ้นแล้ว เราไม่กล่าวว่าเป็นมหาบุรุษ เพราะเป็นผู้น้อมจิตเชื่อ
เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า " เราย่อมเรียกภิกษุนั้นว่า มหาบุรุษ. "
[114] คำว่า ภิกษุนั้นล่วงแล้วซึ่งตัณหาอันเป็นเครื่องเย็บไว้ใน
โลกนี้
ความว่า ตัณหา ราคะ สาราคะ ฯ ล ฯ อภิชฌา โลภะ อกุศลมูล

ตรัสว่า ตัณหาอันเป็นเครื่องเย็บไว้ ตัณหาอันเป็นเครื่องเย็บไว้นั้น อัน
ภิกษุใดละแล้ว ตัดขาดแล้ว สงบแล้ว ระงับแล้ว ไม่อาจเกิดขึ้นอีก
เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ ภิกษุนั้นล่วงแล้ว คือเข้าไปล่วงแล้ว ล่วง
ไปแล้ว ล่วงเลยไปแล้ว ซึ่งตัณหาอันเป็นเครื่องเย็บไว้ เพราะฉะนั้น
ภิกษุนั้นจึงชื่อว่าล่วงแล้วซึ่งตัณหาอันเป็นเครื่องเย็บไว้ในโลกนี้.
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
ภิกษุมีพรหมจรรย์ในเพราะกามทั้งหลาย ปราศจาก
ตัณหา มีสติทุกเมื่อ ทราบแล้ว ดับแล้ว ไม่มีความ
หวั่นไหว ภิกษุนั้นรู้ส่วนสุดทั้งสอง และท่ามกลางด้วย
ปัญญาแล้วย่อมไม่ติดอยู่ เราเรียกภิกษุนั้นว่าเป็นมหา
บุรุษ ภิกษุนั้นล่วงเสียแล้วซึ่งตัณหาอันเป็นเครื่องเย็บไว้
ในโลกนี้.

[115] พร้อมด้วยเวลาจบพระคาถา ธรรมจักษุ (โสดาปัตติมรรค)
ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน เกิดขึ้นแล้วแก่เทวดาและมนุษย์หลายพัน
ผู้มีฉันทะร่วมกัน มีประโยคร่วมกัน มีความประสงค์ร่วมกัน มีความอบรม
วาสนาร่วมกันกับติสสเมตเตยยพราหมณ์นั้นว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้น
เป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั่งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา และจิตของ
ติสสเมตเตยยพราหมณ์นั้นพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น
หนังเสือ ชฎา ผ้าคากรอง ไม้เท้า ลักจั่น น้ำ ผม และหนวดของติสสเมต-
เตยยพราหมณ์หายไปแล้ว พร้อมด้วยการบรรลุพระอรหัต. ติสสเมตเตยย-
พราหมณ์นั้นเป็นภิกษุครองผ้ากาสายะเป็นบริขาร ทรงสังฆาฏิ บาตร
และจีวร เพราะการปฏิบัติตามประโยชน์ นั่งประนมอัญชลีนมัสการ

พระผู้มีพระภาคเจ้าประกาศว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้า
เป็นศาสดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เป็นสาวก ดังนี้.
จบติสสเมตเตยยมาณวกปัญหานิทเทสที่ 2

อรรถกถาติสสเมตเตยยมาณวกปัญหานิทเทสที่ 2


พึงทราบวินิจฉัยในติสสเมตเตยยสุตตนิทเทสที่ 2 มีบทเริ่มต้นว่า
โกธ สนฺตุสิโต ใครยินดีแล้วในโลกนี้ ดังนี้.
ก็เมื่อ อชิตสูตร1จบแล้ว โมฆราชมาณพเริ่มจะทูลถามอย่างนี้ว่า
มัจจุราชย่อมไม่เห็นผู้พิจารณาเห็นโลกอย่างไร. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
ทราบว่า อินทรีย์ของโมฆราชมาณพนั้นยังไม่แก่พอ จึงตรัสห้ามว่า
หยุดก่อนโมฆราช คนอื่นจงถามเถิด. ลำดับนั้น ติสสเมตเตยยะเมื่อจะ
ทูลถามความสงสัยของตน จึงกล่าวคาถามีอาทิว่า โกธ ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า โกธ สนฺตุสิโต คือ ใครยินดีแล้วในโลกนี้.
บทว่า อิญฺชิตา ความหวั่นไหว คือความดิ้นรนด้วยตัณหาและทิฏฐิ.
บทว่า อุภนฺตมภิญฺญาย คือ ใครรู้ส่วนสุดทั้งสอง. บทว่า มนฺตา น
ลิมฺปติ
คือ ย่อมไม่ติดด้วยปัญญา. บทว่า ปริปุณฺณสงฺกปฺโป มีความ
ดำริบริบูรณ์ คือมีความปรารถนาบริบูรณ์ด้วยเนกขัมมวิตกเป็นต้น. บทว่า
ตณฺหิญฺชิตํ คือ ความหวั่นไหวเพราะตัณหา. แม้ในความหวั่นไหว
เพราะทิฏฐิเป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. บทว่า กามิญฺชิตํ ความหวั่นไหว
เพราะกาม คือความหวั่นไหวดิ้นรนเพราะกิเลสกาม. ปาฐะว่า กมฺมิญฺชิตํ
บ้าง. บทนั้นไม่ดี บุรุษใหญ่ ชื่อว่า มหาบุรุษ. บุรุษสูงสุด ชื่อว่า
1. อรรถกถาใช้คำว่า สูตร แทนปัญหา ทั้ง 16 ปัญหา.