เมนู

โมฆราชมาณวกปัญหานิทเทส


ว่าด้วยปัญหาของท่านโมฆราช


[490] (ท่านโมฆราชทูลถามว่า)
ข้าแต่พระสักกะ ข้าพระองค์ได้ทูลถาม 2 ครั้งแล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีพระจักษุ มิได้ทรงพยากรณ์แก่
ข้าพระองค์ ได้ยินมาว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระ-
เทพฤๅษี (มีผู้ทูลถามปัญหา) เป็นครั้งที่ 3 ย่อมทรง
พยากรณ์.

[491] คำว่า ข้าแต่พระสักกะ ข้าพระองค์ได้ทูลถาม 2 ครั้ง
แล้ว
ความว่า พราหมณ์นั้นได้ทูลถามปัญหากะพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว 2
ครั้ง พระผู้มีพระภาคเจ้าอันพราหมณ์นั้นทูลถามปัญหา ไม่ทรงพยากรณ์
ในลำดับแห่งพระจักษุว่า ความแก่รอบแห่งอินทรีย์ของพราหมณ์นี้จักมี.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า สักกะ ในคำว่า สกฺก พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงผนวชจากศากยสกุล แม้เพราะเหตุดังนี้ จึงทรงพระนาม
ว่า สักกะ.
อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก นับว่า
มีทรัพย์มาก แม้เพราะเหตุดังนี้ จึงทรงพระนามว่า สักกะ. พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้านั้นทรงมีทรัพย์เหล่านั้น คือ ทรัพย์คือศรัทธา ทรัพย์คือศีล
ทรัพย์คือหิริ ทรัพย์คือโอตตัปปะ ทรัพย์คือสุตะ ทรัพย์คือจาคะ ทรัพย์
คือปัญญา ทรัพย์คือสติปัฏฐาน ทรัพย์คือสัมมัปปธาน ทรัพย์คืออิทธิ-
บาท ทรัพย์คืออินทรีย์ ทรัพย์คือพละ ทรัพย์คือโพชฌงค์ ทรัพย์คือ

มรรค ทรัพย์คือผล ทรัพย์คือนิพพาน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมั่งคั่ง
มีทรัพย์มาก นับว่ามีทรัพย์ด้วยทรัพย์อันเป็นรัตนะหลายอย่างนี้ แม้เพราะ
เหตุดังนี้ พระองค์จึงทรงพระนามว่า สักกะ.
อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้อาจ ผู้องอาจ ผู้สามารถ
มีความสามารถ ผู้กล้า ผู้แกล้วกล้า ผู้ก้าวหน้า ผู้ไม่ขลาด ผู้ไม่หวาด-
เสียว ผู้ไม่สะดุ้ง ผู้ไม่หนี ละความกลัวความขลาดเสียแล้ว ปราศจาก
ขนลุกขนพอง แม้เพราะเหตุดังนี้ จึงทรงพระนามว่า สักกะ. เพราะ-
ฉะนั้น จึงชื่อว่า ข้าแต่พระสักกะ ข้าพระองค์ได้ทูลถาม 2 ครั้งแล้ว.
คำว่า ได้ทูลถามแล้ว ความว่า ข้าแต่พระสักกะ ข้าพระองค์ได้
ทูลถาม ทูลขอ ทูลเชื้อเชิญ ทูลให้ทรงประสาท 2 ครั้งแล้ว เพราะ
ฉะนั้น จึงชื่อว่า ข้าแต่พระสักกะ ข้าพระองค์ได้ทูลถาม 2 ครั้งแล้ว.
คำว่า อิติ ในอุเทศว่า อิจฺจายสฺมา โมฆราชา เป็นบทสนธิ ฯ ล ฯ
คำว่า อายสฺมา เป็นเครื่องกล่าวด้วยความรัก. คำว่า โมฆราชา เป็น
ชื่อ เป็นคำร้องเรียกของพราหมณ์นั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ท่าน
โมฆราชทูลถามว่า.
[492] คำว่า มิได้ทรงพยากรณ์แก่ข้าพระองค์ ในอุเทศว่า
น เม พฺยากาสิ จกฺขุมา ความว่า มิได้ตรัสบอก ... มิได้ทรงประกาศ
แก่ข้าพระองค์.
คำว่า พระจักษุ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระจักษุด้วยจักษุ
5 ประการ คือ ด้วยมังสจักษุ ทิพยจักษุ ปัญญาจักษุ พุทธจักษุ
สมันตจักษุ.

พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระจักษุแม้ด้วยมังสจักษุอย่างไร สี 5 อย่าง
คือ สีเขียว สีเหลือง สีแดง สีดำและสีขาว ย่อมปรากฏแก่พระผู้มี-
พระภาคเจ้าในมังสจักษุ ขนพระเนตรตั้งอยู่เฉพาะในที่ใด ที่นั้นมีสีเขียว
เขียวดี น่าดู น่าชม เหมือนสีดอกผักตบ ที่ถัดนั้นเข้าไปมีสีเหลือง
เหลืองดี เหมือนสีทองคำ น่าดู น่าชม เหมือนดอกกรรณิการ์เหลือง
เบ้าพระเนตรทั้งสองข้างของพระผู้มีพระภาคเจ้า มีสีแดง แดงดี น่าดู
น่าชม เหมือนสีปีกแมลงทับทิมทอง ที่ท่ามกลางมีสีดำ ดำดี ไม่มัวหมอง
ดำสนิท น่าดู น่าชม เหมือนสีอิฐแก่ไฟ ที่ถัดนั้นเข้าไปมีสีขาว ขาวดี
ขาวล้วน ขาวผ่อง น่าดู น่าชม เหมือนสีดาวประกายพฤกษ์ พระผู้มี-
พระภาคเจ้ามีพระมังสจักษุเป็นปกตินั้น เนื่องในพระอัตภาพ อันเกิด
ขึ้นเพราะสุจริตกรรมในภพก่อน ย่อมทอดพระเนตรเห็นตลอดที่โยชน์
หนึ่งโดยรอบ ทั้งกลางวันและกลางคืน แม้ในเวลาใดมีความมืดประกอบ
ด้วยองค์ 4 คือ ดวงอาทิตย์อัสดงคตแล้ว คืนวันอุโบสถข้างแรม 1
แนวป่าทึบ 1 อกาลเมฆใหญ่ตั้งขึ้น 1 ในความมืดประกอบด้วยองค์ 4
เห็นปานนี้ ในกาลนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทอดพระเนตรเห็นตลอด
โยชน์หนึ่งโดยรอบ หลุม บานประตู กำแพง ภูเขา กอไม้หรือเถาวัลย์
ไม่เป็นเครื่องกั้นในการทอดพระเนตรเห็นรูปทั้งหลายเลย หากว่าบุคคล
พึงเอาเมล็ดงาเมล็ดหนึ่งเป็นเครื่องหมาย ใส่ลงในเกวียนสำหรับบรรทุกงา
บุคคลนั้นพึงเอาเมล็ดงานั้นขึ้น มังสจักษุเป็นปกติของพระผู้มีพระภาคเจ้า
บริสุทธิ์อย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระจักษุแม้ด้วยมังสจักษุอย่างนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระจักษุแม้ด้วยทิพยจักษุอย่างไร พระผู้มี-
พระภาคเจ้าย่อมทรงพิจารณาเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุบัติ ฯ ล ฯ ด้วย

ทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมทรงทราบชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้
เป็นไปตามกรรมด้วยประการฉะนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประสงค์จะดู
โลกธาตุหนึ่งก็ดี สองก็ดี สามก็ดี สี่ก็ดี ห้าก็ดี สิบก็ดี ยี่สิบก็ดี สามสิบ
ก็ดี สี่สิบก็ดี ห้าสิบก็ดี ร้อยก็ดี พันหนึ่งเป็นส่วนน้อยก็ดี สองพันเป็น
เป็นปานกลางก็ดี สามพันก็ดี สี่พันเป็นส่วนใหญ่ก็ดี หรือว่าทรงประสงค์
เพื่อจะทรงดูโลกธาตุเท่าใด ก็ทรงเห็นโลกธาตุเท่านั้น ทิพยจักษุของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าบริสุทธิ์อย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระจักษุแม้ด้วย
ทิพยจักษุอย่างนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระจักษุแม้ด้วยปัญญาจักษุอย่างไร พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้ามีพระปัญญาใหญ่ มีพระปัญญากว้างขวาง มีพระปัญญา
ร่าเริง มีพระปัญญาไว้ มีพระปัญญาคมกล้า มีพระปัญญาทำลายกิเลส
ทรงฉลาดในประเภทปัญญา มีพระญาณแตกฉาน ทรงบรรลุปฏิสัมภิทา
แล้ว ทรงถึงแล้วซึ่งเวสารัชชญาณ 4 ทรงพลญาณ 10 ทรงเป็นบุรุษ
ผู้องอาจ ทรงเป็นบุรุษสีหะ ทรงเป็นบุรุษนาค ทรงเป็นบุรุษอาชาไนย
ทรงเป็นบุรุษนำธุระไป มีญาณไม่มีที่สุด มีเดชไม่มีที่สุด มียศไม่มีที่สุด
เป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก นับว่ามีทรัพย์ เป็นผู้นำ นำไปให้วิเศษ นำ
เนือง ๆ ให้เข้าใจ ให้เพ่งพินิจ เป็นผู้ตรวจ ให้เลื่อมใส พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้านั้น ทรงยังมรรคที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ทรงยังประชาชนให้เข้าใจ
มรรคที่ยังไม่เข้าใจ ตรัสบอกมรรคที่ยังไม่มีใครบอก ทรงรู้มรรค ทรง
รู้แจ้งมรรค ฉลาดในมรรค ก็แหละในบัดนี้ พระสาวกทั้งหลายเป็นผู้
ดำเนินตามมรรค ประกอบในภายหลังอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรง
รู้อยู่ ชื่อว่าทรงรู้ ทรงเห็นอยู่ ชื่อว่าทรงเห็น เป็นผู้มีจักษุ มีญาณ

มีธรรม มีคุณอันประเสริฐ เป็นผู้ตรัสบอกธรรม ตรัสบอกทั่วไป ทรง
แนะนำประโยชน์ ประทานอมตธรรม เป็นพระธรรมสามี เสด็จไป
อย่างนั้น บทธรรมที่พระองค์มิได้ทรงรู้ มิได้ทรงเห็น มิได้ทรงทราบ
มิได้ทรงทำให้แจ่มแจ้ง มิได้ทรงถูกต้อง ไม่มีเลย.
ธรรมทั้งหมดรวมทั้งอดีต อนาคต ปัจจุบัน ย่อมมาสู่คลองในมุข
คือ พระญาณของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้แล้ว โดยอาการทั้งปวง ขึ้น
ชื่อว่าบทธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งที่ควรแนะนำ ควรรู้ มีอยู่ ประโยชน์ตน
ประโยชน์ผู้อื่น ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย ประโยชน์ในภพนี้ ประโยชน์ใน
ภพหน้า ประโยชน์ตน ประโยชน์ลึก ประโยชน์เปิดเผย ประโยชน์ลี้ลับ
ประโยชน์ที่ควรแนะนำ ประโยชน์ที่แนะนำแล้ว ประโยชน์ไม่มีโทษ
ประโยชน์ไม่มีกิเลส ประโยชน์ขาว หรือประโยชน์อย่างยิ่ง ทั้งหมดนั้น
ย่อมเป็นไปในภายในพระพุทธญาณ.
กายกรรมทั้งหมด วจีกรรมทั้งหมด มโนกรรมทั้งหมด ย่อมเป็น
เป็นไปตามพระญาณของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้แล้ว. พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าผู้ตรัสรู้แล้ว มีพระญาณมิได้ขัดข้องในอดีต อนาคต ปัจจุบัน
บทธรรมที่ควรแนะนำเท่าใด พระญาณก็เท่านั้น พระญาณเท่าใด บท
ธรรมที่ควรแนะนำก็เท่านั้น พระญาณมีบทธรรมที่ควรแนะนำเป็นที่สุด
บทธรรมที่ควรแนะนำก็มีพระญาณเป็นที่สุด พระญาณไม่เป็นไปล่วง
บทธรรมที่ควรแนะนำ ทางแห่งบทธรรมที่ควรแนะนำก็ไม่ล่วงพระญาณ
ธรรมเหล่านั้นตั้งอยู่ในที่สุดแห่งกันและกัน ลิ้นผอบ 2 ลิ้นสนิทกัน ลิ้น
ผอบข้างล่าง ไม่เกินลิ้นผอบข้างบน ลิ้นผอบข้างบน ก็ไม่เกินลิ้นผอบ
ข้างล่าง ลิ้นผอบทั้งสองนั้นตั้งอยู่ในที่สุดแห่งกัน ฉันใด พระผู้มีพระภาค-

เจ้าผู้ตรัสรู้แล้ว มีบทธรรมที่ควรแนะนำ และพระญาณตั้งอยู่ในที่สุดแห่ง
กันและกัน ฉันนั้นเหมือนกัน บทธรรมที่ควรแนะนำเท่าใด พระญาณก็
เท่านั้น พระญาณเท่าใด บทธรรมที่ควรแนะนำก็เท่านั้น พระญาณมี
บทธรรมที่ควรแนะนำเป็นที่สุด บทธรรมที่ควรแนะนำก็มีพระญาณเป็น
ที่สุด พระญาณไม่เป็นไปล่วงบทธรรมที่ควรแนะนำ ทางแห่งบทธรรม
ที่ควรแนะนำ ก็ไม่เป็นไปล่วงพระญาณ ธรรมเหล่านั้นตั้งอยู่ในที่สุดแห่ง
กันและกัน พระญาณของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้แล้ว ย่อมเป็นไปใน
ธรรมทั้งปวง ธรรมทั้งปวงเนื่องด้วยอาวัชชนะ เนื่องด้วยอากังขา เนื่อง
ด้วยมนสิการ เนื่องด้วยจิตตุปบาท ของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้แล้ว
ย่อมเป็นไปในสัตว์ทั้งปวง พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงทราบฉันทะเป็น
ที่มานอน อนุสัย จริต อธิมุตติ ของสัตว์ทั้งปวง ทรงทราบชัดซึ่งสัตว์
ทั้งหลายผู้มีกิเลสเพียงดังธุลีในนัยน์ตา คือปัญญาน้อย ผู้มีกิเลสเพียงดัง
ธุลีในนัยน์ตาคือมีปัญญามาก มีอินทรีย์แก่กล้า ที่มีอินทรีย์อ่อน ที่มี
อาการดี ที่มีอาการชั่ว ที่ให้รู้ง่าย ที่ให้รู้ยาก ที่เป็นภัพพสัตว์ ที่เป็น
อภัพพสัตว์ โลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก หมู่สัตว์พร้อม
ทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ย่อมเป็นไปในภายในแห่งพระพุทธ-
ญาณ.
ปลาและเต่าทุกชนิด โดยที่สุดรวมถึงปลาติมิติมิงคละ ย่อมเป็นไป-
ในภายในมหาสมุทร ฉันใด โลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก
หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ย่อมเป็นไปในภายใน
พระพุทธญาณ ฉันนั้นเหมือนกัน นกทุกชนิดโดยที่สุดรวมถึงครุฑสกุล
เวนเตยยะ ย่อมบินไปในประเทศอากาศ ฉันใด พระสาวกทั้งหลายเสมอ

ด้วยพระสารีบุตรโดยปัญญา ย่อมเป็นไปในประเทศแห่งพระพุทธญาณ
ฉันนั้นเหมือนกัน พระพุทธญาณย่อมแผ่ปกคลุมปัญญาของเทวดาและ
มนุษย์ทั้งหลาย กษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดี สมณะที่เป็นบัณฑิต มีปัญญา
ละเอียด มีวาทะโต้ตอบกับผู้อื่น เป็นดังนายขมังธนู ยิงขนทรายแม่น
บัณฑิตเหล่านั้นเป็นประหนึ่งว่า เที่ยวทำลายทิฏฐิเขาด้วยปัญญาของตน
บัณฑิตเหล่านั้นปรุงแต่งปัญหาเข้ามาเฝ้าพระตถาคตแล้ว ทูลถามปัญหา
เหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสบอกและตรัสแก้แล้ว ทรงแสดงเหตุ
และอ้างผลแล้ว บัณฑิตเหล่านั้นย่อมเลื่อมใสต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ใน
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมไพโรจน์ยิ่งขึ้นด้วยพระปัญญาใน
สถานที่นั้น เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงชื่อว่า มีพระจักษุแม้
ด้วยปัญญาจักษุอย่างนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระจักษุแม้ด้วยพุทธจักษุอย่างไร พระผู้มี-
พระภาคเจ้าเมื่อทรงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ได้ทรงเห็นหมู่สัตว์ผู้มีกิเลส-
เพียงดังธุลีในนัยน์ตา คือปัญญาน้อย ผู้มีกิเลสเพียงดังธุลีในนัยน์ตา คือ
ปัญญามาก ผู้มีอินทรีย์แก่กล้า ผู้มีอินทรีย์อ่อน ผู้มีอาการดี ผู้มีอาการ
ชั่ว ผู้แนะนำให้รู้ได้ง่าย ผู้แนะนำให้รู้ได้ยาก บางพวกเป็นผู้มีปกติเห็น
โทษและภัยในปรโลกอยู่ ในกออุบล ในกอปทุม หรือในกอบุณฑริก
ดอกอุบลบัวเขียว ดอกปทุมบัวหลวง หรือดอกบุณฑริกบัวขาว บางชนิด
เกิดในน้ำ เจริญในน้ำ ไปตามน้ำ จมอยู่ในน้ำ อันน้ำเลี้ยงไว้ บางชนิด
เกิดในน้ำ เจริญในน้ำ ตั้งอยู่เสมอน้ำ บางชนิดเกิดในน้ำ เจริญในน้ำ
โผล่พ้นจากน้ำ น้ำหล่อเลี้ยงไว้ แม้ฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรง

ตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ได้ทรงเห็นหมู่สัตว์ผู้มีกิเลสเพียงดังธุลีใน
นัยน์ตา คือปัญญาน้อย ผู้มีกิเลสเพียงดังธุลีในนัยน์ตา คือปัญญามาก ผู้มี
อินทรีย์แก่กล้า ผู้มีอินทรีย์อ่อน ผู้มีอาการดี ผู้มีอาการชั่ว ผู้แนะนำให้
รู้ได้ง่าย ผู้แนะนำให้รู้ได้ยาก บางพวกมีปกติเห็นโทษและภัยในปรโลก
อยู่ ฉันนั้นเหมือนกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงทราบว่า บุคคลนี้เป็น
ราคจริต บุคคลนี้เป็นโทสจริต บุคคลนี้เป็นโมหจริต บุคคลนี้เป็น
วิตักกจริต บุคคลนี้เป็นศรัทธาจริต บุคคลนี้เป็นญาณจริต พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสบอกอสุภกถาแก่บุคคลผู้เป็นราคจริต ตรัสบอกเมตตา-
ภาวนาแก่บุคคลผู้เป็นโทสจริต ทรงแนะนำบุคคลผู้เป็นโมหจริตให้ตั้งอยู่
ในเพราะอุเทศ และปริปุจฉาในการฟังธรรมโดยกาล ในการสนทนา
ธรรมโดยกาล ในการอยู่ร่วมกับครู ตรัสบอกอานาปานัสสติแก่บุคคล
ผู้เป็นวิตักกจริต ตรัสบอกความตรัสรู้ดีแห่งพระพุทธเจ้า ความที่ธรรม
เป็นธรรมดี ความที่สงฆ์ปฏิบัติดี และศีลทั้งหลายของตน ซึ่งเป็นนิมิต
เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส แก่บุคคลผู้เป็นศรัทธาจริต ตรัสบอกอาการ
ไม่เที่ยง อาการเป็นทุกข์ อาการเป็นอนัตตา อันเป็นวิปัสสนานิมิตแก่
บุคคลผู้เป็นญาณจริต.
บุคคลยืนอยู่บนยอดภูเขาศิลา พึงเห็นหมู่ชนโดย
รอบ แม้ฉันใด ข้าแต่พระสุเมธ ผู้มีพระสมันตจักษุ
พระองค์เสด็จขึ้นสู่ปราสาทอันสำเร็จด้วยธรรม ปราศจาก
ความโศก ก็ทรงเห็นหมู่ชนที่อาเกียรณ์ด้วยความโศก
ผู้อันชาติและชราครอบงำ เปรียบฉันนั้น.

พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระจักษุแม้ด้วยพุทธจักษุอย่างนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระจักษุแม้ด้วยสมันตจักษุอย่างไร พระ-
สัพพัญญุตญาตญาณท่านกล่าวว่า สมันตจักษุ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเข้าไป
เข้าไปพร้อม เข้ามา เข้ามาพร้อม เข้าถึง เข้าถึงพร้อม ประกอบด้วย
พระสัพพัญญุตญาณ.
บทธรรมอะไร ๆ อันพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นไม่ทรง
เห็น ไม่ทรงรู้แจ้ง หรือไม่พึงทราบ มิได้มีเลย พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้เฉพาะซึ่งบทธรรมทั้งปวง เนยยบทใด
มีอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนยยบทนั้น เพราะ-
เหตุนั้น พระตถาคตจึงเป็นพระสมันตจักษุ

พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระจักษุแม้ด้วยสมันตจักษุอย่างนี้ เพราะ-
ฉะนั้น จึงชื่อว่า พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระจักษุ ไม่ทรงพยากรณ์แก่
ข้าพระองค์.
[493] คำว่า ข้าพระองค์ได้ยินมาว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็น
พระเทพฤาษี
(เมื่อมีผู้ถามปัญหา) เป็นครั้งที่ 3 ย่อมทรงพยากรณ์ดังนี้
ความว่า ข้าพระองค์ได้ศึกษา ทรงจำ เข้าไปกำหนดไว้แล้วอย่างนี้ว่า
พระพุทธเจ้าใครทูลถามปัญหา อันชอบแก่เหตุเป็นครั้งที่ 3 ย่อมพยากรณ์
มิได้ตรัสห้าม.
คำว่า ผู้เป็นพระเทพฤๅษี ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นทั้งเทพ
เป็นทั้งฤๅษี เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เป็นพระเทพฤๅษี พระราชาทรงผนวช
แล้ว เรียกกันว่าพระราชฤๅษี พราหมณ์บวชแล้วก็เรียกกันว่า พราหมณ์

ฤๅษี ฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นทั้งเทพ เป็นทางฤๅษี ก็ฉันนั้น
เหมือนกัน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เป็นพระเทพฤๅษี.
อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงผนวชแล้ว แม้เพราะเหตุ
ดังนี้ พระองค์จึงชื่อว่า พระฤๅษี พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสวงหา เสาะหา
ค้นหา ซึ่งศีลขันธ์ใหญ่ แม้เพราะเหตุอย่างนี้ พระองค์จึงชื่อว่าเป็นพระ-
ฤๅษี พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสวงหา เสาะหา ค้นหา ซึ่งสมาธิขันธ์ใหญ่
ปัญญาขันธ์ใหญ่ วิมุตติขันธ์ใหญ่ วิมุตติญาณทัสสนขันธ์ใหญ่ แม้เพราะ
เหตุดังนี้ พระองค์จึงชื่อว่า เป็นพระฤๅษี พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสวงหา
เสาะหา ค้นหาซึ่งการทำลายกองแห่งความมืดใหญ่ การทำลายวิปลาสใหญ่
การถอนลูกศรคือตัณหาใหญ่ การคลายกองทิฏฐิใหญ่ การล้มมานะเพียง
ดังว่าธงใหญ่ การสงบอภิสังขารใหญ่ การสลัดออกซึ่งโอฆกิเลสใหญ่
การปลงภาระใหญ่ การตัดเสียซึ่งสังสารวัฏใหญ่ การดับความเดือดร้อน
การระงับความเร่าร้อนใหญ่ การให้ยกธรรมดังว่าธงใหญ่ขึ้น แม้เพราะ
เหตุนั้น พระองค์จึงชื่อว่า เป็นพระฤๅษี พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสวงหา
เสาะหา ค้นหาซึ่งสติปัฏฐานใหญ่ สัมมัปปธานใหญ่ อิทธิบาทใหญ่
อินทรีย์ใหญ่ พละใหญ่ โพชฌงค์ใหญ่ อริยมรรคมีองค์ 8 ใหญ่
นิพพานใหญ่ แม้เพราะเหตุดังนี้ พระองค์จึงชื่อว่า พระฤๅษี.
อีกประการหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า อันสัตว์ทั้งหลายที่มีอานุภาพ
มากแสวงหา เสาะหา ค้นหาว่า พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ไหน พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าเป็นเทวดา ล่วงเทวดาประทับอยู่ ณ ที่ไหน พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าผู้องอาจกว่านรชนประทับอยู่ ณ ที่ไหน แม้เพราะเหตุดังนี้ พระ-
องค์จึงชื่อว่า เป็นพระฤๅษี เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ข้าพระองค์ได้ยินมา

ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระฤๅษี (มีผู้ทูลถามปัญหา) เป็นครั้งที่ 3
ย่อมทรงพยากรณ์ เพราะเหตุนั้น พราหมณ์นั้นจึงกล่าวว่า
ข้าแด่พระสักกะ ข้าพระองค์ได้ทูลถาม 2 ครั้งแล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระจักษุ มิได้ทรงพยากรณ์แก่ข้า-
พระองค์ ข้าพระองค์ได้ยินมาว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
เป็นพระเทพฤๅษี (มีผู้ทูลถามปัญหา) เป็นครั้งที่ 3 ย่อม
ทรงพยากรณ์.


[494] โลกนี้ โลกอื่น พรหมโลกกับเทวโลก ย่อมไม่ทราบ
ความเห็นของพระโคดมผู้มียศ.

[495 ] คำว่า โลกนี้ ในอุเทศว่า อยํ โลโก ปโร โลโก ดังนี้
คือ มนุษยโลก คำว่า โลกอื่น คือ โลกทั้งหมด ยกมนุษยโลกนี้ เป็น
โลกอื่น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า โลกนี้ โลกอื่น.
[496] คำว่า พรหมโลกกับเทวโลก ความว่า พรหมโลก พร้อม
ทั้งเทวโลก มารโลก หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พรหมโลกกับเทวโลก.
[497] คำว่า ย่อมไม่ทราบความเห็นของพระองค์ ความว่า
โลกย่อมไม่ทราบซึ่งความเห็น ความควร ความชอบใจ ลัทธิ อัธยาศัย
ความประสงค์ของพระองค์ พระผู้มีพระภาคเจ้านี้มีความเห็นอย่างนี้ มี
ความควรอย่างนี้ มีความชอบใจอย่างนี้ มีลัทธิอย่างนี้ มีอัธยาศัยอย่างนี้
มีความประสงค์อย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ย่อมไม่ทราบความเห็น
ของพระองค์.

[498] คำว่า พระโคดมผู้มียศ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงถึงยศแล้ว เพราะฉะนั้น ทรงมียศ.
อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าอันเทวดาและมนุษย์สักการะ
เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง ทรงเป็นผู้ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ
และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า พระโคดมเป็นผู้มียศ
เพราะเหตุนั้น พราหมณ์นั้นจึงกล่าวว่า
โลกนี้ โลกอื่น พรหมโลกกับเทวโลก ย่อมไม่ทราบ
ความเห็นของพระโคดมผู้มียศ.

[499] ข้าพระองค์มีความต้องการด้วยปัญหา จึงมาเฝ้าพระ-
องค์ผู้เห็นธรรมอันงามอย่างนี้ เมื่อบุคคลพิจารณาเห็น
โลกอย่างไร มัจจุราชจึงไม่เห็น.

[500] คำว่า ผู้เห็นธรรมอันงามอย่างนี้ ความว่า ผู้เห็นธรรม
อันงาม เห็นธรรมอันเลิศ เห็นธรรมอันประเสริฐ เห็นธรรมอันวิเศษ
เห็นธรรมเป็นประธาน เห็นธรรมอันอุดม เห็นธรรมอย่างยิ่งอย่างนี้
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้เห็นธรรมอันงามอย่างนี้.
[501] คำว่า ข้าพระองค์มีความต้องการด้วยปัญหาจึงมาเฝ้า
ความว่า พวกข้าพระองค์เป็นผู้มีความต้องการด้วยปัญหาจึงมาเฝ้า ฯ ล ฯ
เพื่อให้ทรงชี้แจงเพื่อตรัส แม้เพราะเหตุอย่างนี้ ดังนี้จึงชื่อว่า ข้าพระองค์
มีความต้องการด้วยปัญหา จึงมาเฝ้า.
[502] คำว่า พิจารณาเห็นโลกอย่างไร ความว่า ผู้มองเห็น

เห็นประจักษ์ พิจารณา เทียบเคียง เจริญ ทำให้แจ่มแจ้งอย่างไร เพราะ-
ฉะนั้น จึงชื่อว่า พิจารณาเห็นโลกอย่างไร.
[503] คำว่า มัจจุราชจึงไม่เห็น ความว่า มัจจุราชย่อมไม่เห็น
ไม่แลเห็น ไม่ประสบ ไม่พบ ไม่ได้เฉพาะ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า มัจจุราช
จึงไม่เห็น เพราะเหตุนั้น พราหมณ์จึงกล่าวว่า
ข้าพระองค์มีความต้องการด้วยปัญหา จึงมาเฝ้า
พระองค์ผู้เห็นธรรมอันงามอย่างนี้ เมื่อบุคคลพิจารณา
เห็นโลกอย่างไร มัจจุราชจึงไม่เห็น.

[504] ดูก่อนโมฆราช ท่านจงเป็นผู้มีสติพิจารณาเห็นโลก
โดยความเป็นของสูญ ถอนอัตตานุทิฏฐิเสียแล้ว พึงข้าม
พ้นมัจจุราชได้ด้วยอุบายอย่างนี้ เมื่อบุคคลพิจารณาเห็น
โลกอย่างนี้ มัจจุราชจึงไม่เห็น.

[505] คำว่า โลก ในอุเทศว่า สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ ดังนี้
คือ นิรยโลก ดิรัจฉานโลก ปิตติวิสยโลก มนุษยโลก เทวโลก ขันธโลก
ธาตุโลก อายตนโลก โลกนี้ โลกอื่น พรหมโลกพร้อมทั้งเทวโลก.
ภิกษุรูปหนึ่งทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า โลก โลก ดังนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พระองค์ตรัสว่า โลก เพราะเหตุเท่าไรหนอแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ตอบว่า ดูก่อนภิกษุ เรากล่าวว่าโลก เพราะเหตุว่า ย่อมแตก อะไรแตก
จักษุแตก รูปแตก จักษุวิญญาณแตก จักษุสัมผัสแตก สุขเวทนาก็ดี

ทุกขเวทนาก็ดี อทุกขมสุขเวทนาก็ดี ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย
แม้เวทนานั้นก็แตก หูแตก เสียงแตก จมูกแตก กลิ่นแตก ลิ้นแตก
รสแตก กายแตก โผฎฐัพพะแตก มนะแตก ธรรมารมณ์แตก มโน-
วิญญาณแตก มโนสัมผัสแตก สุขเวทนาก็ดี ทุกขเวทนาก็ดี อทุกขม-
สุขเวทนาก็ดี ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย แม้เวทนานั้นก็แตก
ดูก่อนภิกษุ ธรรมมีจักษุเป็นต้นนั้นย่อมแตกดังนี้แล เพราะเหตุนั้น เรา
จึงกล่าวว่าโลก.
คำว่า จงพิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของสูญ ความว่า บุคคล
พิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของสูญ ด้วยเหตุ 2 ประการ คือ ด้วย
สามารถความกำหนดว่าไม่เป็นไปในอำนาจ 1 ด้วยสามารถพิจารณาเห็น
สังขารโดยเป็นของว่างเปล่า 1.
บุคคลย่อมพิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของสูญ ด้วยสามารถการ
กำหนดว่า ไม่เป็นไปในอำนาจ อย่างไร. ใคร ๆ ย่อมไม่ได้อำนาจในรูป
ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ.
สมจริงตามพระพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย รูปเป็นอนัตตา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้ารูปนี้จักเป็นอัตตาแล้ว
ไซร้ รูปนี้ก็ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และจะพึงได้ในรูปว่า ขอรูปของ
เราจงเป็นอย่างนี้ รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนี้เลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
แต่เพราะรูปเป็นอนัตตา ฉะนั้น รูปจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และย่อมไม่ได้
ในรูปว่า ขอรูปของเราจงเป็นอย่างนี้ รูปของเราจงอย่าได้เป็นอย่างนี้เลย
เวทนาเป็นอนัตตา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าเวทนานี้จักเป็นอนัตตาแล้ว
ไซร้ เวทนานี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และพึงได้ในเวทนาว่า ขอเวทนา

ของเราจงเป็นอย่างนี้ เวทนาของเราอย่าได้เป็นอย่างนี้เลย ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย แต่เพราะเวทนาเป็นอนัตตา ฉะนั้น เวทนาจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ
และย่อมไม่ได้ในเวทนาว่า ขอเวทนาของเราจงเป็นอย่างนี้ เวทนาของ
เราอย่าได้เป็นอย่างนี้แล สัญญาเป็นอนัตตา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้า
สัญญานี้จักเป็นอัตตาแล้วไซร้ สัญญานี้ก็ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และพึง
ได้ในสัญญาว่า ขอสัญญาของเราจงเป็นอย่างนี้ สัญญาของเราอย่าได้เป็น
อย่างนี้เลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่เพราะสัญญาเป็นอนัตตา ฉะนั้น
สัญญาจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และย่อมไม่ได้ในสัญญาว่า ขอสัญญาของเรา
จงเป็นอย่างนี้ สัญญาของเราอย่าได้เป็นอย่างนี้เลย สังขารเป็นอนัตตา
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าสังขารนี้จักเป็นอัตตาแล้วไซร้ สังขารนี้ก็ไม่พึง
เป็นไปเพื่ออาพาธ และจะพึงได้ในสังขารว่า ขอสังขารของเราจงเป็น
อย่างนี้ สังขารของเราอย่าได้เป็นอย่างนี้เลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่
เพราะสังขารเป็นอนัตตา ฉะนั้น สังขารจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และย่อม
ไม่ได้ในสังขารว่า ขอสังขารของเราจงเป็นอย่างนี้ สังขารของเราอย่าได้
เป็นอย่างนี้เลย วิญญาณเป็นอนัตตา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าวิญญาณนี้
จักเป็นอนัตตาแล้วไซร้ วิญญาณนี้ก็ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และจะพึง
ได้ในวิญญาณว่า ขอวิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้ วิญญาณของเราอย่า
ได้เป็นอย่างนี้เลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่เพราะวิญญาณเป็นอนัตตา
ฉะนั้น วิญญาณจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และย่อมไม่ได้ในวิญญาณว่า ขอ
วิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้ วิญญาณของเราอย่าได้เป็นอย่างนี้เลย.
และสมจริงตามพระพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย กายนี้ไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ทั้งไม่ใช่ของผู้อื่น ดูก่อน

ภิกษุทั้งหลาย กรรมเก่านี้ อันปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีเจตนาเป็นมูลเหตุ
ท่านทั้งหลายพึงเห็นว่าเป็นที่ตั้งแห่งเวทนา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกายนั้น
อริยสาวกผู้ได้สดับ แล้วย่อมมนสิการโดยแยบคายด้วยดี ถึงปฏิจจสมุปบาท
นั่นแหละว่า เพราะเหตุดังนี้ เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็มี เพราะสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้
ก็เกิด เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้ก็ดับ คือเพราะ
อวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ เพราะ
วิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ เพราะ
ชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้นย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ ก็เพราะ
อวิชชานั้นแล ดับโดยสำรอกไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ
วิญญาณจึงดับ เพราะวิญญาณดับนามรูปจึงดับ เพราะนามรูปดับสฬาย-
ตนะจึงดับ เพราะสฬายตนะดับผัสสะจึงดับ เพราะผัสสะดับเวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับตัณหาจึงดับ เพราะตัณหาดับอุปาทานจึงดับ เพราะ
อุปาทานดับภพจึงดับ เพราะภพดับ ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ
ทุกข์ โทมนัสและอุปายาสจึงดับ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้นย่อมมี
ด้วยอาการอย่างนี้ บุคคลย่อมพิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของสูญ ด้วย
สามารถการกำหนดว่า ไม่เป็นไปในอำนาจอย่างนี้.
บุคคลย่อมพิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของสูญ ด้วยสามารถการ
พิจารณาเห็นสังขารโดยความเป็นของว่างเปล่า อย่างไร. ใคร ๆ ย่อม

ไม่ได้แก่นสารในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ
รูปไม่มีแก่นสาร ไร้แก่นสาร ปราศจากแก่นสาร โดยสาระว่าความเที่ยง
เป็นแก่นสาร โดยสาระว่าความสุขเป็นแก่นสาร โดยสาระว่าตนเป็นแก่น
สาร โดยความเที่ยง โดยความยั่งยืน โดยความมั่นคง หรือโดยมีความ
ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา เวทนาไม่มีแก่นสาร ไร้แก่นสาร ปราศจาก
แก่นสาร สัญญาไม่มีแก่นสาร ไร้แก่นสาร ปราศจากแก่นสาร สังขาร
ไม่มีแก่นสาร ไร้แก่นสาร ปราศจากแก่นสาร วิญญาณไม่มีแก่นสาร
ไร้แก่นสาร ปราศจากแก่นสาร โดยสาระว่าความเที่ยงเป็นแก่นสาร
โดยสาระว่าความสุขเป็นแก่นสาร โดยสาระว่าตนเป็นแก่นสาร โดยความ
เที่ยง โดยความยั่งยืน โดยความมั่นคง หรือโดยมีความไม่แปรปรวน
เป็นธรรมดา ต้นอ้อไม่มีแก่นสาร ไร้แก่นสาร ปราศจากแก่นสาร อนึ่ง
ต้นละหุ่งไม่มีแก่นสาร ไร้แก่นสาร ปราศจากแก่นสาร อนึ่ง ต้นมะเดื่อ
ไม่มีแก่นสาร ไร้แก่นสาร ปราศจากแก่นสาร อนึ่ง ต้นรักไม่มีแก่นสาร
ไร้แก่นสาร ปราศจากแก่นสาร อนึ่ง ต้นทองหลางไม่มีแก่นสาร ไร้
แก่นสาร ปรากจากแก่นสาร อนึ่ง ฟองน้ำไม่มีแก่นสาร ไร้แก่นสาร
ปราศจากแก่นสาร อนึ่ง ค่อมน้ำไม่มีแก่นสาร ไร้แก่นสาร ปราศจาก
แก่นสาร อนึ่ง ต้นกล้วยไม่มีแก่นสาร ไร้แก่นสาร ปราศจากแก่นสาร
อนึ่ง พยับแดดไม่มีแก่นสาร ไร้แก่นสาร ปราศจากแก่นสาร ฉันใด
รูปไม่มีแก่นสาร ไร้แก่นสาร ปราศจากแก่นสาร โดยสาระว่าความเที่ยง
เป็นแก่นสาร โดยสาระว่าความสุขเป็นแก่นสาร โดยสาระว่าตนเป็น
แก่นสาร โดยความเที่ยง โดยความยั่งยืน โดยความมั่นคง หรือโดยมี
ความไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา เวทนาไม่มีแก่นสาร ไร้แก่นสาร

ปราศจากแก่นสาร สัญญาไม่มีแก่นสาร ไร้แก่นสาร ปราศจากแก่นสาร
สังขารไม่มีแก่นสาร ไร้แก่นสาร ปราศจากแก่นสาร วิญญาณไม่มี
แก่นสาร ไร้แก่นสาร ปราศจากแก่นสาร โดยสาระว่าความเที่ยงเป็น
แก่นสาร โดยสาระว่าความสุขเป็นแก่นสาร โดยสาระว่าตนเป็นแก่นสาร
โดยความเที่ยง โดยความยั่งยืน โดยความมั่นคง หรือโดยมีความไม่
แปรปรวนเป็นธรรมดา ฉันนั้นเหมือนกัน บุคคลย่อมพิจารณาเห็นโลก
โดยความเป็นของสูญ ด้วยสามารถการพิจารณาเห็นสังขารโดยเป็นของ
ว่างเปล่า อย่างนี้ บุคคลย่อมพิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของสูญด้วย
เหตุ 2 ประการนี้.
อีกประการหนึ่ง บุคคลย่อมพิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของสูญ
โดยอาการ 6 อย่าง คือ บุคคลย่อมเห็นรูปโดยความที่ตนไม่เป็นใหญ่ 1
โดยทำตามความชอบใจไม่ได้ 1 โดยเป็นที่ตั้งแห่งความไม่สบาย 1 โดย
ไม่เป็นไปในอำนาจ 1 โดยเป็นไปตามเหตุ 1 โดยว่างเปล่า 1 บุคคล
ย่อมพิจารณาเห็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยความที่ตนไม่เป็น
ใหญ่... โดยว่างเปล่า บุคคลย่อมพิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของสูญ
โดยอาการ 6 อย่างนี้.
อีกประการหนึ่ง บุคคลย่อมพิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของสูญ
โดยอาการ 10 อย่าง คือ บุคคลย่อมพิจารณาเห็นรูป โดยความว่าง 1
โดยความเปล่า 1 โดยความสูญ 1 โดยไม่ใช่ตน 1 โดยไม่เป็นแก่น
สาร 1 โดยเป็นดังผู้ฆ่า 1 โดยความเสื่อม 1 โดยเป็นมูลแห่งทุกข์ 1
โดยมีอาสวะ 1 โดยความเป็นขันธ์อันปัจจัยปรุงแต่ง 1 บุคคลย่อม
พิจารณาเห็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยความว่าง ... โดย

ความเป็นขันธ์อันปัจจัยปรุงแต่ง บุคคลย่อมพิจารณาเห็นโลกโดยความ
เป็นของสูญ โดยอาการ 10 อย่างนี้.
อีกประการหนึ่ง บุคคลย่อมพิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของสูญ
โดยอาการ 12 อย่าง คือ ย่อมพิจารณาเห็นว่า รูปไม่ใช่สัตว์ 1 ไม่ใช่
ชีวิต 1 ไม่ใช่บุรุษ1 ไม่ใช่คน1 ไม่ใช่มาณพ 1 ไม่ใช่หญิง 1 ไม่ใช่
ชาย 1 ไม่ใช่ตน 1 ไม่ใช่ของที่เนื่องกับตน 1 ไม่ใช่เรา 1 ไม่ใช่
ของเรา 1 ไม่มีใคร ๆ 1 บุคคลย่อมพิจารณาเห็นว่า เวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่สัตว์ ... ไม่มีใคร ๆ บุคคลย่อมพิจารณาเห็นโลก
โดยความเป็นของสูญ โดยอาการ 12 อย่างนี้.
และสมจริงตามพระพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงละสิ่งนั้นเสีย
สิ่งนั้นอันท่านทั้งหลายละเสียแล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข
ตลอดกาลนาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งอะไรเล่าไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงละรูป
นั้นเสีย รูปนั้นอันท่านทั้งหลายละเสียแล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อ
ความสุขตลอดกาลนาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เวทนาไม่ใช่ของท่าน
ทั้งหลาย ... สัญญาไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย... สังขารไม่ใช่ของท่าน
ทั้งหลาย... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิญญาณไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ท่าน
ทั้งหลายจงละวิญญาณนั้นเสีย วิญญาณนั้นอันท่านทั้งหลายละเสียแล้ว
จักเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขตลอดกาลนาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน หญ้า ไม้ กิ่งไม้ และใบไม้ใด
ที่มีอยู่ในเชตวันวิหารนี้ ชนพึงนำหญ้า ไม้ กิ่งไม้ และใบไม้นั้น

ไปเสีย เผาเสียหรือพึงทำตามควรแก่เหตุ ท่านทั้งหลายพึงมีความคิด
อย่างนี้ว่า ชนนำเราทั้งหลายไปเสีย เผาเสีย หรือทำตามควรแก่เหตุบ้าง
หรือหนอ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ไม่ใช่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าข้า นั่น
เป็นเพราะเหตุอะไร เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ตนหรือสิ่งที่เนื่องกับตนของ
ข้าพระองค์ทั้งหลายอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้น
เหมือนกันแล สิ่งใดไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงละสิ่งนั้นเสีย
สิ่งนั้นอันท่านทั้งหลายละเสียแล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุข
ตลอดกาลนาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ท่าน
ทั้งหลายจงละรูปนั้นเสีย รูปนั้นอันท่านทั้งหลายละเสียแล้ว จักเป็นไป
เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขตลอดกาลนาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เวทนา
สัญญา สังขาร วิญญาณไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงละสิ่ง
นั้นเสีย สิ่งนั้นอันท่านทั้งหลายละเสียแล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์
เพื่อความสุขตลอดกาลนาน บุคคลย่อมพิจารณาเห็นโลกโดยความเป็น
ของสูญแม้อย่างนี้.
ท่านพระอานนท์ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ พระองค์ตรัสว่า โลกสูญ ดังนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์
ตรัสว่า โลกสูญ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนอานนท์ เพราะสูญจากตน
หรือจากสิ่งที่เนื่องกับตน ฉะนั้น จึงกล่าวว่า โลกสูญ ดูก่อนอานนท์
สิ่งอะไรเล่าสูญจากตน หรือจากสิ่งที่เนื่องกับตน จักษุสูญ รูปสูญ จักษุ-
วิญญาณสูญ จักษุสัมผัสสูญ สุขเวทนาก็ดี ทุกขเวทนาก็ดี อทุกขมสุข-
เวทนาก็ดี ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย แม้เวทนานั้นก็สูญจากตน

หรือสิ่งที่เนื่องกับตน หูสูญ เสียงสูญ จมูกสูญ กลิ่นสูญ ลิ้นสูญ รสสูญ
กายสูญ โผฏฐัพพะสูญ ใจสูญ ธรรมารมณ์สูญ มโนวิญญาณสูญ
สุขเวทนาก็ดี ทุกขเวทนาก็ดี อทุกขมสุขเวทนาก็ดี ที่เกิดขึ้นเพราะ
มโนสัมผัสเป็นปัจจัย แม้เวทนานั้นก็สูญจากตนหรือจากสิ่งที่เนื่องกับตน
ดูก่อนอานนท์ เพราะสูญจากตนหรือจากสิ่งที่เนื่องกับตนนั่นแล ฉะนั้น
จึงกล่าวว่า โลกสูญ บุคคลย่อมพิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของสูญ
แม้อย่างนี้.
ดูก่อนคามณี เมื่อบุคคลเห็นซึ่งความเกิดขึ้นพร้อม
แห่งธรรมทั้งสิ้น ซึ่งความสืบต่อแห่งสังขารทั้งสิ้น ตาม
ความเป็นจริง ภัยนั้นย่อมไม่มี เมื่อใด บุคคลย่อม
พิจารณาเห็นโลกเสมอหญ้าและไม้ด้วยปัญญา เมื่อนั้น
บุคคลนั้นก็ไม่พึงปรารถนาภพหรืออัตภาพอะไร ๆ อื่น เว้น
ไว้แต่นิพพานอันไม่มีปฏิสนธิ.

บุคคลย่อมพิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของสูญแม้อย่างนี้.
และสมจริงตามพระพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมตามค้นหารูป คติของรูปมีอยู่เท่าไร ตามค้นหา
เวทนา คติของเวทนามีอยู่เท่าไร ตามค้นหาสัญญา คติของสัญญามีอยู่
เท่าไร ตามค้นหาสังขาร คติของสังขารมีอยู่เท่าไร ตามค้นหาวิญญาณ
คติของวิญญาณมีอยู่เท่าไร ก็เหมือนอย่างนั้นนั่นแหละ เมื่อภิกษุตามค้น
หารูป คติของรูปมีอยู่เท่าไร ตามค้นหาเวทนา คติของเวทนามีอยู่เท่าไร
ตามค้นหาสัญญา คติของสัญญามีอยู่เท่าไร ตามค้นหาสังขาร คติของ
สังขารมีอยู่เท่าไร ตามค้นหาวิญญาณ คติของวิญญาณมีอยู่เท่าไร แม้

ความถือใดด้วยอำนาจทิฏฐิว่า เราก็ดี ด้วยอำนาจตัณหาว่า ของเราก็ดี
ด้วยอำนาจมานะว่า เป็นเราก็ดี ของภิกษุใดมีอยู่ ความถือแม้นั้นย่อมไม่มี
แก่ภิกษุนั้น บุคคลย่อมพิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของสูญแม้อย่างนี้.
คำว่า จงพิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของสูญ ความว่า จง
มองดู จงพิจารณา จงเทียบเคียง จงตรวจตรา จงให้เเจ่มแจ้ง จงทำ
ให้ปรากฏ ซึ่งโลกโดยความเป็นของสูญ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า จง
พิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของสูญ.
[506] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกพราหมณ์นั้นโดยชื่อว่า โมฆ-
ราช
ในอุเทศว่า โมฆราช สทา สโต ดังนี้ คำว่า ทุกเมื่อ คือ ตลอดกาล
ทั้งปวง ฯ ล ฯ ในตอนวัยหลัง. คำว่า ผู้มีสติ คือ มีสติด้วยเหตุ 4 ประการ
คือ มีสติเจริญสติปัฏฐาน เครื่องพิจารณาเห็นกายในกาย ฯ ล ฯ บุคคล
นั้นตรัสว่า เป็นผู้มีสติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ดูก่อนโมฆราช... มี
สติทุกเมื่อ.
[507] ทิฏฐิมีวัตถุ 20 ตรัสว่า อัตตานุทิฏฐิ ในอุเทศว่า อตฺตา-
นุทิฏฺฐึ อูหจฺจ
ดังนี้ ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับในโลกนี้ ไม่ได้เห็นพระอริยเจ้า
ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยเจ้า ไม่ได้รับแนะนำในธรรมของพระ-
อริยเจ้า ไม่ได้เห็นสัตบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้รับแนะนำ
ในธรรมของสัตบุรุษ ย่อมตามเห็นรูปโดยความเป็นตนบ้าง ตามเห็นตน
ว่ามีรูปบ้าง ตามเห็นรูปในตนบ้าง ตามเห็นตนในรูปบ้าง ตามเห็น
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยความเป็นตนบ้าง ตามเห็นตนว่า
มีวิญญาณบ้าง ตามเห็นวิญญาณในตนบ้าง ตามเห็นตนในวิญญาณบ้าง
ทิฏฐิอันไปแล้ว ทิฏฐิอันรกชัฏ ทิฏฐิเป็นทางกันดาร ทิฏฐิเป็นข้าศึก

(เสี้ยนหนาม) ทิฏฐิอันแส่ไปผิด ทิฏฐิเป็นเครื่องประกอบไว้ ความถือ
ความยึดถือ ความถือมั่น ความจับต้องทางชั่ว ทางผิด ความเป็นผิด
ลัทธิแห่งเดียรถีย์ ความถือโดยการแสวงหาผิด ความถือวิปริต ความ
ถือวิปลาส ความถือผิด ความถือในวัตถุไม่จริงว่าเป็นจริง ทิฏฐิ 62
มีเท่าไร ทิฏฐินี้เป็นอัตตานุทิฏฐิ.
คำว่า ถอนอัตตานุทิฏฐิเสียแล้ว ความว่า รื้อ ถอน ฉุด ชัก
ลากออก เพิกขึ้น ละ บรรเทา ทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มี ซึ่งอัตตา-
นุทิฏฐิ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ถอนอัตตานุทิฏฐิเสียแล้ว.
[508] คำว่า พึงข้ามพ้นมัจจุได้ด้วยอุบายอย่างนี้ ความว่า
พึงข้ามขึ้น ก้าวล่วง เป็นไปล่วง แม้ซึ่งมัจจุ แม้ซึ่งชรา แม้ซึ่งมรณะ
ด้วยอุบายอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พึงข้ามพ้นมัจจุได้ด้วยอุบาย
อย่างนี้.
[509] คำว่า พิจารณาเห็นโลกอย่างนี้ ความว่า มองเห็น
พิจารณาเห็น เทียบเคียง พิจารณา ให้เจริญ ทำให้แจ่มแจ้งซึ่งโลก
ด้วยอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พิจารณาเห็นโลกอย่างนี้.
[510] แม้มารก็ชื่อว่ามัจจุราช แม้ความตายก็ชื่อว่ามัจจุราช
ในอุเทศว่า มจฺจุราชา น ปสฺสติ ดังนี้. คำว่า ย่อมไม่เห็น ความว่า
มัจจุราชย่อมไม่เห็น คือ ไม่ประสบ ไม่พบ ไม่ปะ ไม่ได้เฉพาะ.
สมจริงตามพระพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เนื้อที่อยู่ในป่า เมื่อเที่ยวอยู่ในป่าใหญ่ เดินไปก็ไม่ระแวง
ยืนอยู่ก็ไม่ระแวง นั่งพักอยู่ก็ไม่ระแวง นอนอยู่ก็ไม่ระแวง ข้อนั้น
เพราะเหตุอะไร เพราะเนื้อนั้นไม่ไปในทางของพราน แม้ฉันใด ดูก่อน

ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุก็เหมือนฉันนั้นแล สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม
เข้าปฐมฌานอันมีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุนี้เรากล่าวว่า ทำมารให้มืด กำจัดมารไม่ให้มีทางไปแล้ว
สู่สถานเป็นที่ไม่เห็นด้วยจักษุแห่งมารผู้ลามก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีก
ประการหนึ่ง ภิกษุเข้าทุติยฌาน อันมีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน
เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติ
และสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ เข้าตติยฌาน เข้าจตุตถฌาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุนี้เรากล่าวว่า ทำมารให้มืด กำจัดมารไม่ให้มีทาง ไปแล้วสู่สถาน
เป็นที่ไม่เห็นด้วยจักษุของมารผู้ลามก.
อีกประการหนึ่ง ภิกษุเข้าอากาสานัญจายตนฌานด้วยมนสิการว่า
อากาศไม่มีที่สุด เพราะล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่
มนสิการถึงนานัตตสัญญา โดยประการทั้งปวงอยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุนี้เรากล่าวว่า ทำมารให้มืด กำจัดมารไม่ให้มีทาง ไปแล้วสู่สถาน
เป็นที่ไม่เห็นด้วย จักษุของมารผู้ลามก.
อีกประการหนึ่ง ภิกษุล่วงอากาสานัญจายตนฌานโดยประการ
ทั้งปวง เข้าวิญญาณัญจายตนฌานด้วยมนสิการว่า วิญญาณหาที่สุดไม่ได้
ล่วงวิญญาณัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง เข้าอากิญจัญญายตนฌาน
ด้วยมนสิการว่า อะไร ๆ น้อยหนึ่งไม่มี ล่วงอากิญจัญญายตนฌานโดย
ประการทั้งปวง เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนฌานอยู่ ล่วงเนวสัญญานา-
สัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ และ
อาสวะของภิกษุนั้นก็หมดสิ้นไป เพราะเห็นด้วยปัญญา ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุนี้เรากล่าวว่าทำมารให้มืด กำจัดมารไม่ให้มีทาง ไปแล้ว

สู่สถานเป็นที่ไม่เห็นด้วยจักษุของมารผู้ลามก ข้ามแล้วซึ่งตัณหาอันซ่านไป
ในอารมณ์ต่าง ๆ ภิกษุนั้นเดินอยู่ก็ไม่ระแวง ยืนอยู่ก็ไม่ระแวง นั่งอยู่
ก็ไม่ระแวง นอนอยู่ก็ไม่ระแวง ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะภิกษุนั้น
ไม่ไปในทางแห่งมารผู้ลามก เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า มัจจุราชย่อมไม่เห็น
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
ดูก่อนโมฆราช ท่านจงเป็นผู้มีสติ พิจารณาเห็นโลก
โดยความเป็นของสูญทุกเมื่อ ถอนอัตตานุทิฏฐิเสียแล้ว
พึงข้ามพ้นมัจจุได้ด้วยอุบายอย่างนี้ เมื่อบุคคลพิจารณา
เห็นโลกอย่างนี้ มัจจุราชจึงไม่เห็น.

พร้อมด้วยเวลาจบพระคาถา ฯ ล ฯ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า เป็นศาสดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เป็นสาวกฉะนี้แล.
จบโมฆราชมาณวกปัญหานิทเทสที่ 15

อรรถกถาโมฆราชมาณวกปัญหานิทเทสที่ 15


พึงทราบวินิจฉัยในโมฆราชสูตรที่ 15 ดังต่อไปนี้.
บทว่า ทฺวาหํ คือ เทฺว วาเร อหํ ข้าพระองค์ได้ทูลถาม 2 ครั้ง
แล้ว. เพราะว่าโมฆราชมาณพนั้น คราวก่อนทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าถึง
2 ครั้ง เมื่อจบอชิตสูตรและติสสเมตเตยยสูตร. แต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงรอให้โมฆราชมาณพมีอินทรีย์แก่กล้าก่อน จึงไม่ทรงพยากรณ์. ด้วย
เหตุนั้น โมฆราชมาณพจึงทูลว่า ทฺวาหํ สกฺก อปุจฺฉิสฺสํ ข้าแต่พระสักกะ
ข้าพระองค์ได้ทูลถาม 2 ครั้งแล้ว. บทว่า ยาวตติยญฺจ เทวิสิ พฺยากโร-