เมนู

โธตกมาณวกปัญหานิทเทส


ว่าด้วยปัญหาของท่านโธตกะ


[203] (ท่านโธตกะทูลถามว่า)
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ขอทูลถาม
ปัญหานั้น ขอพระองค์โปรดตรัสบอกปัญหานั้นแก่ข้า-
พระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้แสวงหาธรรมอันใหญ่ ข้า-
พระองค์ย่อมหวังพระวาจาของพระองค์ บุคคลได้ฟัง
พระดำรัสของพระองค์แล้ว พึงศึกษานิพพานเพื่อตน.

[204] คำถามในคำว่า ปุจฺฉามิ ในอุเทศว่า " ปุจฺฉามิ ตํ ภควา
พฺรุหิ เม ตํ "
ดังนี้ มี 3 อย่าง คือ อทิฏฐโชตนาปุจฉา 1 ทิฏฐ-
สังสันทนาปุจฉา 1 วิมติเฉทนาปุจฉา 1 ฯ ล ฯ ปุจฉา 3 อย่างนี้ ฯ ล ฯ
ถามถึงนิพพาน.
คำว่า ปุจฺฉามิ ตํ ความว่า ข้าพระองค์ขอทูลถาม คือทูลวิงวอน
ทูลเชื้อเชิญ ทูลให้ประสาทปัญหานี้ว่า ขอพระองค์จงตรัสบอกปัญหา
นั้นแก่ข้าพระองค์ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ข้าพระองค์ขอทูลถามปัญหา
นั้น.
คำว่า ภควา นี้ เป็นเครื่องกล่าวโดยเคารพ ฯ ล ฯ คำว่า ภควา
นี้ เป็นสัจฉิกาบัญญัติ.
คำว่า พฺรูหิ เม ตํ ความว่า ขอพระองค์โปรดตรัสบอก คือ
โปรดบอก . . . ขอทรงโปรดประกาศ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ข้าแต่

พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ขอทูลถามปัญหานั้น ขอพระองค์โปรด
ตรัสบอกปัญหานั้นแก่ข้าพระองค์.
คำว่า อิจฺจ ในอุเทศว่า " อิจฺจายสฺมา โธตโก " ดังนี้ เป็น
บทสนธิ. คำว่า อายสฺมา เป็นเครื่องกล่าวด้วยความรัก. คำว่า โธตโก
เป็นชื่อ ฯ ล ฯ เป็นคำร้องเรียกของพราหมณ์นั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
ท่านพระโธตกะทูลถามว่า.
[205] คำว่า ข้าแต่พระองค์ผู้แสวงหาธรรมใหญ่ ข้าพระองค์
ย่อมหวังพระวาจาของพระองค์
มีความว่า ข้าพระองค์ย่อมหวัง คือย่อม
จำนง ปรารถนา ยินดี ประสงค์ รักใคร่ ชอบใจ ซึ่งพระดำรัส คือ
คำเป็นทาง เทศนา อนุสนธิ ของพระองค์.
คำว่า มเหสี ความว่า ชื่อว่ามเหสี เพราะอรรถว่า กระไร ชื่อว่า
มเหสี เพราะอรรถว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสวงหา เสาะหา ค้นหา
ซึ่งศีลขันธ์ใหญ่ ฯ ล ฯ พระนราสภประทับที่ไหน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
มเหสี เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า ข้าแต่พระองค์ผู้แสวงหาธรรมใหญ่ ข้า-
พระองค์ย่อมหวังเฉพาะซึ่งพระวาจาของพระองค์.
[206] คำว่า บุคคลได้ฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว ความว่า
บุคคลได้ฟัง คือ ได้ยิน ศึกษา เข้าไปทรงจำ เข้าไปกำหนดแล้ว ซึ่ง
พระดำรัส คือ คำเป็นทาง เทศนา อนุสนธิของพระองค์ เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า บุคคลได้ฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว.
[207] สิกขา ในคำว่า สิกฺเข ในอุเทศว่า " สิกฺเข นิพฺพาน-
มตฺตโน "
ดังนี้ มี 3 อย่าง คือ อธิสีลสิกขา 1 อธิจิตตสิกขา 1
อธิปัญญาสิกขา 1 ฯ ล ฯ นี้ชื่ออธิปัญญาสิกขา.

คำว่า นิพฺพานมตฺตโน ความว่า พึงศึกษาแม้อธิศีล แม้อธิจิต
แม้อธิปัญญา เพื่อดับราคะ โทสะ โมหะ โกธะ อุปนาหะ เพื่อสงบ
เพื่อเข้าไปสงบ เพื่อสงบวิเศษ เพื่อดับ เพื่อสละคืน เพื่อระงับ ฯ ล ฯ
อกุสลาภิสังขารทั้งปวง เมื่อนึกถึงสิกขา 3 อย่างนี้ก็พึงศึกษา เมื่อรู้ก็พึง
ศึกษา เมื่อเห็นก็พึงศึกษา เมื่อพิจารณาก็พึงศึกษา เมื่ออธิษฐานจิตก็พึง
ศึกษา เมื่อน้อมใจไปด้วยศรัทธาก็พึงศึกษา เมื่อประคองความเพียรก็พึง
ศึกษา เมื่อเข้าไปตั้งสติก็พึงศึกษา เมื่อตั้งจิตก็พึงศึกษา เมื่อรู้ด้วยปัญญา
ก็พึงศึกษา เมื่อรู้ยิ่งด้วยปัญญาอันรู้ยิ่งก็พึงศึกษา เมื่อกำหนดรู้ด้วยปัญญา
เครื่องกำหนดรู้ก็พึงศึกษา เมื่อละธรรมที่ควรละก็พึงศึกษา เมื่อเจริญ
ธรรมที่ควรเจริญก็พึงศึกษา เมื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้งก็พึง
ศึกษา สมาทานประพฤติ สมาทานปฏิบัติไป เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
พึงศึกษานิพพานเพื่อตน เพราะเหตุนั้น พราหมณ์นั้น จึงกล่าวว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ขอทูลถาม
ปัญหานั้น ขอพระองค์จงตรัสบอกปัญหานั้นแก่ข้าพระองค์
ข้าแต่พระองค์ผู้แสวงหาธรรมอันใหญ่ ข้าพระองค์ย่อม
หวังพระวาจาของพระองค์ บุคคลได้ฟังพระดำรัสของ
พระองค์แล้ว พึงศึกษานิพพานเพื่อตน.


[208] (พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนโธตกะ)
ถ้าเช่นนั้น ท่านจงเป็นผู้มีปัญญา มีสติ ทำความ
เพียรในทิฏฐินี้นี่แหละ บุคคลได้ฟังคำแต่ปากเรานี้แล้ว
พึงศึกษานิพพานเพื่อตน.

[209] คำว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านจง . . . ทำความเพียร ความว่า
ท่านจงทำความเพียร ทำความหมั่น ทำความเป็นผู้มีความหมั่น ทำความ
พยายาม ทำความทรงจำ ทำความเป็นผู้กล้า ยังฉันทะให้เกิด ให้เกิด
พร้อม ให้เข้าไปตั้งไว้ ให้บังเกิด ให้บังเกิดเฉพาะ เพราะฉะนั้น จึง
ชื่อว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านจง . . . ทำความเพียร.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกพราหมณ์นั้นโดยชื่อว่า โธตกะ ใน
อุเทศว่า โธตกาติ ภควา.
คำว่า ภควา นี้ เป็นเครื่องกล่าวโดยเคารพ ฯ ล ฯ คำว่า ภควา
นี้ เป็นสัจฉิกาบัญญัติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ตอบว่า ดูก่อนโธตกะ.
[210] คำว่า อิธ ในอุเทศว่า " อิเธว นิปฺปโก สโต " ดังนี้
คือในทิฏฐินี้ ในความควรนี้ ในความชอบใจนี้ ในความถือนี้ ในธรรม
นี้ ในวินัยนี้ ในธรรมวินัยนี้ ในปาพจน์นี้ ในพรหมจรรย์นี้ ในสัตถุ-
ศาสน์นี้ ในอัตภาพนี้ ในมนุษยโลกนี้.
คำว่า นิปโก ความว่า เป็นผู้มีปัญญา คือ เป็นบัณฑิต มีความรู้
มีความตรัสรู้ มีญาณ มีปัญญาแจ่มแจ้ง มีปัญญาทำลายกิเลส.
คำว่า สโต ความว่า มีสติด้วยเหตุ 4 ประการ คือ มีสติเจริญ
สติปัฏฐานเครื่องพิจารณาเห็นกายในกาย ฯ ล ฯ ผู้นั้นตรัสว่า มีสติ
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เป็นผู้มีปัญญา มีสติ . . . ในทิฏฐินี้นี่แหละ.
[211] คำว่า ได้ฟังคําแต่ปากเรานี้แล้ว ความว่า ได้ยิน คือ
ได้ฟัง ศึกษา เข้าไปทรงจำ เข้าไปกำหนดแล้วซึ่งถ้อยคำ คำเป็นทาง

เทศนา อนุสนธิ ของเรา แต่ปากเรานี้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า บุคคล
ได้ฟังคำแต่ปากเรานี้แล้ว.
[212] สิกขา ในคำว่า สิกฺเข ในอุเทศว่า " สิกฺเข นิพฺพาน-
มตฺตโน "
ดังนี้ มี 3 คือ อธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา
ฯ ล ฯ นี้ ชื่อว่า อธิปัญญาสิกขา.
คำว่า นิพฺพานมตฺตโน ความว่า พึงศึกษาแม้อธิศีล แม้อธิจิต
แม้อธิปัญญา . . . สมาทานปฏิบัติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พึงศึกษา
นิพพานเพื่อตน เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
ถ้าเช่นนั้น ท่านจงเป็นผู้มีปัญญา มีสติ ทำความ
เพียรในทิฏฐินี้นี่แหละ บุคคลได้ฟังคำแต่ปากเรานี้แล้ว
พึงศึกษานิพพานเพื่อตน.

[213] ข้าพระองค์ย่อมเห็นพระองค์ผู้เป็นเทพ ผู้ไม่มีเครื่อง
กังวล เป็นพราหมณ์ เที่ยวอยู่ในมนุษยโลก ข้าแต่
พระองค์ผู้มีพระสมันตจักษุ ข้าพระองค์ขอนมัสการ
พระองค์นั้น ข้าแต่พระสักกะ ขอพระองค์จงปลดเปลื้อง
ข้าพระองค์ จากความสงสัยทั้งหลาย.

[214] เทพ ในคำว่า เทว ในอุเทศว่า " ปสฺสามหํ เทว-
มนุสฺสโลเก "
ดังนี้ มี 3 คือ สมมติเทพ 1 อุปบัติเทพ 1 วิสุทธิ-
เทพ 1.
สมมติเทพเป็นไฉน พระราชา พระราชกุมารและพระเทวี เรียก
ว่า สมมติเทพ.

อุปบัติเทพเป็นไฉน เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา เทวดาชั้นดาวดึงส์
เทวดาชั้นยามา เทวดาชั้นดุสิต เทวดาชั้นนิมมานรดี เทวดาชั้นปรนิม-
มิตวสวัตดี เทวดาที่นับเนื่องในหมู่พรหม และเทวดาในชั้นที่สูงกว่านั้น
เรียกว่า อุปบัติเทพ.
วิสุทธิเทพเป็นไฉน พระอรหันตขีณาสพสาวกของพระตถาคต
และพระปัจเจกสัมพุทธเจ้า เรียกว่า วิสุทธิเทพ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นเทพ เป็นเทพยิ่งกว่าสมมติเทพ กว่าอุบัติ
เทพ และกว่าวิสุทธิเทพทั้งหลาย เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ เป็นสีหะยิ่งกว่า
สีหะ เป็นนาคยิ่งกว่านาค เป็นเจ้าคณะยิ่งกว่าเจ้าคณะ เป็นมุนียิ่งกว่ามุนี
เป็นพระราชายิ่งกว่าพระราชา.
คำว่า ปสฺสามหํ เทวมนุสฺสโลเก ความว่า ข้าพระองค์ย่อมเห็น
พระองค์ผู้เป็นเทพ คือ ย่อมเห็นพระองค์ผู้เป็นอติเทพ ย่อมเห็น ย่อมดู
ย่อมแลดู ย่อมเพ่งดู ย่อมเข้าพิจารณาซึ่งพระองค์ผู้เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ข้าพระองค์ย่อมเห็นพระองค์ผู้เป็นเทพ ... ใน
มนุษยโลก.
[215] คำว่า อกิญฺจนํ ในอุเทศว่า " อกิญฺจนํ พฺราหฺมณํ
อริยมานํ "
ดังนี้ ความว่า ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ กิเลส
ทุจริต เป็นเครื่องกังวล เครื่องกังวลเหล่านั้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสรู้แล้ว ทรงละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำไม่ให้มีที่ตั้งดังตาลยอดด้วน
ให้ถึงความไม่มี ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา เพราะเหตุนั้น พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้แล้ว จึงชื่อว่า ไม่มีเครื่องกังวล.

คำว่า พฺราหฺมณํ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าชื่อว่า เป็นพราหมณ์
เพราะทรงลอยธรรม 7 ประการแล้ว คือ ทรงลอยสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา
สีลัพพัตตปรามาส ราคะ โทสะ โมหะ มานะ และทรงลอยธรรมทั้งหลาย
ที่เป็นอกุศลอันลามก อันทำให้เศร้าหมอง ให้เกิดในภพใหม่ มีความ
กระวนกระวาย มีทุกข์เป็นวิบาก เป็นที่ตั้งแห่งชาติ ชราและมรณะ
ต่อไป.
(พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนสภิยะ)
พระผู้มีพระภาคเจ้า ลอยเสียแล้วซึ่งธรรมอันลามก
ทั้งปวง ปราศจากมลทิน มีจิตตั้งมั่น มีจิตคงที่ ล่วงแล้ว
ซึ่งสงสาร เป็นผู้บริบูรณ์ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ตัณหา
และทิฏฐิไม่อาศัยแล้ว เป็นผู้คงที่ บัณฑิตกล่าวว่า เป็น
ผู้ประเสริฐ.

คำว่า อริยมานํ ความว่า เที่ยวไป เที่ยวไปทั่ว ผลัดเปลี่ยนอิริยาบถ
รักษา เป็นไป เยียวยา เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้ไม่มีเครื่องกังวล เป็น
พราหมณ์เที่ยวไป.
[216] โธตกพราหมณ์กล่าวกะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ตํ ในอุเทศ
ว่า " ตนฺตํ นมสฺสามิ สมนฺตจกฺขุ " ดังนี้.
คำว่า นมสฺสามิ ความว่า ข้าพระองค์ขอนมัสการด้วยกาย ด้วย
วาจา ด้วยจิต ขอนมัสการด้วยข้อปฏิบัติอันเป็นไปตามประโยชน์ หรือ
ขอนมัสการสักการะ เคารพ นับถือ บูชาด้วยการปฏิบัติธรรมสมควร
แก่ธรรม.

พระสัพพัญญุตญาณเรียกว่า สมันตจักษุ ในบทว่า สมนฺตจกฺขุ
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเข้าไป เข้าไปพร้อม เข้ามา เข้ามาพร้อม เข้าถึง
เข้าถึงพร้อม ประกอบด้วยพระสัพพัญญุตญาณนั้น.
พระตถาคตพระองค์นั้น ไม่ทรงเห็นอะไรๆน้อยหนึ่ง
ในโลกนี้ อนึ่ง ไม่ทรงรู้อะไร ๆ ที่ไม่ทรงรู้แล้ว ไม่มีเลย
พระตถาคตทรงรู้ยิ่งซึ่งธรรมทั้งปวง ธรรมชาติใดที่ควร
แนะนำมีอยู่ พระตถาคตทรงรู้ยิ่งซึ่งธรรมชาตินั้นแล้ว
เพราะฉะนั้น พระตถาคตจึงชื่อว่า มีพระสมันตจักษุ.

เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระสมันตจักษุ ข้าพระองค์
นมัสการพระองค์.
[217] คำว่า สกฺก ในอุเทศว่า " ปมุญฺจ มํ สกฺก กถํกถาหิ "
ดังนี้ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงผนวชจากศากยสกุล แม้เพราะเหตุนี้
จึงชื่อว่า สักกะ อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก
นับว่ามีทรัพย์ แม้เพราะเหตุนี้ พระองค์จึงชื่อว่า สักกะ พระองค์มีทรัพย์
เหล่านี้ คือ ทรัพย์คือศรัทธา ทรัพย์คือศีล ทรัพย์คือหิริ ทรัพย์คือ
โอตตัปปะ ทรัพย์คือสุตะ ทรัพย์คือจาคะ ทรัพย์คือปัญญา ทรัพย์คือ
สติปัฏฐาน ทรัพย์คือสัมมปปธาน ทรัพย์คืออิทธิบาท ทรัพย์คืออินทรีย์
ทรัพย์คือพละ ทรัพย์คือโพชฌงค์ ทรัพย์คือมรรค ทรัพย์คือผล ทรัพย์
คือนิพพาน พระผู้มีพระภาคเจ้ามั่งคั่ง มีทรัพย์มาก นับว่ามีทรัพย์ ด้วย
รัตนทรัพย์หลายอย่างนี้ แม้เพราะฉะนั้น พระองค์จึงชื่อว่า สักกะ อีก
อย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้อาจ ผู้องอาจ อาจหาญ มีความ
สามารถ ผู้กล้า ผู้แกล้วกล้า ผู้ก้าวหน้า ผู้ไม่ขลาด ผู้ไม่หวาดเสียว

ผู้ไม่สะดุ้ง ผู้ไม่หนี ละความกลัวความขลาดเสียแล้ว ปราศจากความเป็น
ผู้ขนลุกขนพอง แม้เพราะเหตุนี้ จึงชื่อว่า สักกะ.
วิจิกิจฉา คือ ความสงสัยในทุกข์ ความสงสัยในทุกขสมุทัย ความ
สงสัยในทุกขนิโรธ ความสงสัยในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ความสงสัย
ในเงื่อนเบื้องหน้า ความสงสัยในเงื่อนเบื้องปลาย ความสงสัยทั้งในเงื่อน
เบื้องต้นและเงื่อนเบื้องปลาย ความสงสัยในธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้น คือ
ความที่สังขาราทิธรรมนี้เป็นปัจจัยแห่งกันและกัน ความสงสัย กิริยาที่
สงสัย ความเป็นผู้สงสัย ความเคลือบแคลง ความไม่ตกลง ความเป็น
สองแง่ ความเป็นสองทาง ความลังเล ความไม่ถือเอาโดยส่วนเดียว
ความระแวง ความระแวงโดยรอบ ความตัดสินใจไม่ลง ความที่จิต
ครั่นคร้าม ใจสนเท่ห์เรียกว่า กถังกถา.
คำว่า ข้าแต่พระสักกะ ขอพระองค์จงปลดเปลื้องข้าพระองค์
จากความสงสัยทั้งหลาย
ความว่า ขอพระองค์จงปลดเปลื้อง จงปล่อย
จงถอนขึ้น จงฉุดชัก จงให้ข้าพระองค์ออกไปจากลูกศร คือความสงสัย
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ข้าแต่พระสักกะ ขอพระองค์จงปลดปล่อยข้า-
พระองค์จากความสงสัยทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น พราหมณ์จึงทูลว่า
ข้าพระองค์ย่อมเห็นพระองค์ผู้เป็นเทพเจ้า ผู้ไม่มี
เครื่องกังวล เป็นพราหมณ์เที่ยวอยู่ในมนุษยโลก ข้าแต่
พระองค์ผู้มีสมันตจักษุ ข้าพระองค์ขอนมัสการพระองค์
นั้น ข้าแต่พระสักกะ ขอพระองค์จงปลดเปลื้องข้าพระ-
องค์ จากความสงสัยทั้งหลาย.

[218] ดูก่อนโธตกะ เราไม่อาจปลดเปลื้องใครๆ ที่มีความ
สงสัยในโลกนี้ได้ ก็แต่ท่านเมื่อมารู้ธรรมอันประเสริฐ
พึงข้ามโอฆะนี้ได้ด้วยความรู้อย่างนี้.

[219] คำว่า เราไม่อาจปลดเปลื้อง ความว่า เราไม่อาจปลด
เปลื้อง แก้ ปล่อย ถอนขึ้น ฉุดชักท่านให้ออกจากลูกศร คือความ
สงสัยได้ แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ ดังนี้ จึงชื่อว่า เราไม่อาจปลดเปลื้อง.
อีกอย่างหนึ่ง เราไม่อาจ ไม่สามารถ ไม่อุตสาหะ ไม่พยายาม
ไม่กระทำความหมั่น ไม่กระทำความเป็นผู้มีความหมั่น ไม่กระทำเรี่ยว
แรง ไม่ทำความทรงจำ ไม่ทำความเพียร ไม่ยังฉันทะให้เกิด ให้เกิด-
พร้อม ให้บังเกิด ให้บังเกิดเฉพาะ เพื่อจะแสดงธรรมกะบุคคลผู้ไม่มี
ศรัทธา ไม่มีฉันทะ ผู้เกียจคร้าน มีความเพียรเลว ไม่ปฏิบัติตาม แม้
ด้วยเหตุอย่างนี้ ดังนี้ จึงชื่อว่า เราไม่อาจปลดเปลื้อง.
อีกอย่างหนึ่ง ถ้าบุคคลนั้นพึงปลดเปลื้องได้ ก็ไม่ต้องมีใคร ๆ อื่น
ช่วยปลดเปลื้อง บุคคลทั้งหลายเป็นผู้ปฏิบัติปฏิปทาอันชอบ ปฏิปทา
สมควร ปฏิปทาอันเป็นไปตามประโยชน์ ปฏิบัติธรรมอันสมควรแก่ธรรม
ด้วยเรี่ยวแรง กำลัง ความเพียร ความบากบั่น ของตน ด้วยเรี่ยวแรง
ของบุรุษ ด้วยกำลังของบุรุษ ด้วยความเพียรของบุรุษ ด้วยความบากบั่น
ของบุรุษ อันเป็นส่วนของตนเอง พึงปลดเปลื้องได้ แม้ด้วยเหตุอย่างนี้
ดังนี้ จึงชื่อว่า เราไม่อาจปลดเปลื้อง.
สมจริงตามพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนจุนทะ
บุคคลนั้นหนอ เป็นผู้ติดหล่มอยู่ด้วยตน จักถอนขึ้นซึ่งบุคคลอื่นผู้ติด
หล่มได้ ข้อนี้ไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้ ดูก่อนจุนทะ บุคคลนั้นหนอ ไม่ได้

ฝึก ไม่ได้ถูกแนะนำ ไม่ดับรอบแล้วด้วยตนเอง จักฝึกจักแนะนำให้บุคคล
อื่นให้ดับรอบได้ ข้อนี้ไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้ แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ ดังนี้
จึงชื่อว่า เราไม่อาจปลดเปลื้องได้.
สมจริงตามพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
กรรมชั่วอันบุคคลทำด้วยตนเองแล้ว จักเศร้าหมอง
ด้วยตนเอง กรรมชั่วอันบุคคลไม่ทำด้วยตนเองแล้ว ย่อม
บริสุทธิ์ด้วยตนเอง ความบริสุทธิ์ ความไม่บริสุทธิ์เฉพาะ
ตน ผู้อื่นจะช่วยชำระผู้อื่นให้บริสุทธิ์หาได้ไม่.

แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ จึงชื่อว่า เราไม่อาจปลดเปลื้อง.
สมจริงตามพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนพราหมณ์
นิพพานก็ตั้งอยู่อย่างนั้นแหละ หนทางนิพพานก็ตั้งอยู่ เราผู้แนะนำก็ตั้ง
อยู่ ก็เมื่อเป็นอย่างนี้ สาวกทั้งหลายของเรา เราก็ตักเตือนอย่างนี้ พร่ำ
สอนอย่างนี้ บางพวกบรรลุนิพพานอันมีความสำเร็จส่วนเดียว บางพวก
ก็ไม่บรรลุ ดูก่อนพราหมณ์ ในเรื่องนี้ เราจะทำอย่างไรได้ ดูก่อน
พราหมณ์ ตถาคตเป็นแต่ผู้บอกทาง ใครถามทางแล้วก็บอกให้ บุคคล
ทั้งหลายปฏิบัติอยู่ด้วยตน พึงพ้นได้เอง แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ จึงชื่อว่า
เราไม่อาจปลดเปลื้อง.
[220] คำว่า ดูก่อนโธตกะ ... ใคร ๆ ผู้มีความสงสัยในโลก
ความว่า ซึ่งบุคคลผู้มีความสงสัย มีความเคลือบแคลง มีความระแวง
มีความเห็นเป็นสองทาง มีวิจิกิจฉา.
คำว่า กญฺจิ ความว่า ใคร ๆ คือกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร
คฤหัสถ์ บรรพชิต เทวดา หรือมนุษย์.

คำว่า โลเก ความว่า ในอบายโลก ฯ ล ฯ ในอายตนโลก
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ดูก่อนโธตกะ ... ใคร ๆ ผู้มีความสงสัยในโลก.
[221] คำว่า ก็แต่ ... เมื่อมารู้ธรรมอันประเสริฐ ความว่า
อมตนิพพาน ความระงับสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง ความ
สิ้นตัณหา ความสำรอกกิเลส ความดับ ความออกจากตัณหาเป็นเครื่อง
ร้อยรัด ตรัสว่าเป็นธรรมอันประเสริฐ.
คำว่า เสฏฺฐํ ความว่า อันเลิศ คือ ประเสริฐ วิเศษ เป็นประธาน
อุดม.
คำว่า อาชานมาโน ความว่า รู้ทั่ว คือ รู้แจ้ง รู้แจ้งเฉพาะ
แทงตลอด เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ก็แต่ ... รู้ทั่วธรรมอันประเสริฐ.
[222] คำว่า ท่านพึงข้ามโอฆะนี้ด้วยความรู้อย่างนี้ ความว่า
ท่านพึงข้าม คือ พึงก้าวล่วง พึงเป็นไปล่วง ซึ่งโอฆะคือกาม โอฆะ
คือภพ โอฆะคือทิฏฐิ โอฆะคืออวิชชา ด้วยความมารู้อย่างนี้ เพราะ-
ฉะนั้น จึงชื่อว่า พึงข้ามพ้นโอฆะนี้ด้วยความรู้อย่างนี้ เพราะเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
ดูก่อนโธตกะ เราไม่อาจปลดเปลื้องใครๆ ที่มีความ
สงสัยในโลกนี้ ก็แต่ท่านเมื่อมารู้ธรรมอันประเสริฐ พึง
ข้ามโอฆะนี้ได้ด้วยความมารู้อย่างนี้.


[223] ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ขอพระองค์โปรดทรงพระ-
กรุณา ตรัสสอนธรรมอันสงัดที่ข้าพระองค์พึงรู้ได้ ข้า-
พระองค์ไม่ขัดข้องเหมือนอากาศ เป็นผู้สงบอยู่ในที่นี้
นี่แหละ ไม่อาศัยแล้วพึงเที่ยวไป.

[224] คำว่า อนุสาส พฺรหฺเม ในอุเทศว่า " อนุสาส พฺรหฺเม
กรุณายมาโน "
ความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ขอพระองค์โปรด
ตรัสสอน คือ อนุเคราะห์ เอ็นดู เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้ประเสริฐ ขอพระองค์โปรดตรัสสอน.
คำว่า กรุณายมาโน ความว่า โปรดกรุณา ปรานี รักษา อนุเคราะห์
เอ็นดู เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ขอพระองค์
โปรดทรงพระกรุณาตรัสสอน.
[225] อมตนิพพาน ... ความออกจากตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด
ตรัสว่าเป็นธรรมอันสงัด ในอุเทศว่า " วิเวกธมฺมํ ยมหํ วิชญฺญํ. "
คำว่า ยมหํ วิชญฺญํ ความว่า ที่ข้าพระองค์พึงรู้ คือ พึงรู้แจ้ง
พึงรู้แจ้งเฉพาะ พึงแทงตลอด เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ธรรมอันสงัดที่
ข้าพระองค์พึงรู้แจ้ง.
[226] คำว่า ข้าพระองค์ไม่ขัดข้องเหมือนอากาศ ความว่า
ข้าพระองค์ไม่ขัดข้อง คือ ไม่ติด ไม่พัวพัน เหมือนอากาศอันไม่ขัดข้อง
คือ ไม่ติด ไม่พัวพัน ด้วยเหตุอย่างนี้ จึงชื่อว่า ข้าพระองค์ไม่ขัดข้อง
เหมือนอากาศ ข้าพระองค์ไม่รัก ไม่ชัง ไม่หลง ไม่มัวหมอง เหมือน
อากาศที่ใคร ๆ ย้อมด้วยน้ำครั่ง น้ำขมิ้น น้ำสีเขียว น้ำสีฝาด ไม่ได้
ฉะนั้น แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ จึงชื่อว่า ข้าพระองค์ไม่ขัดข้อง เหมือน
อากาศ ข้าพระองค์ไม่โกรธ ไม่ขัดเคือง ไม่หดหู่ ไม่กระทบกระทั่ง
เหมือนอากาศ ไม่โกรธ ไม่ขัดเคือง ไม่หดหู่ ไม่กระทบกระทั่ง แม้
ด้วยเหตุอย่างนี้ ดังนี้ จึงชื่อว่า ข้าพระองค์ไม่ขัดข้องเหมือนอากาศ.

[227] คำว่า อิเธว สนฺโต ในอุเทศว่า อิเธว สนฺโต อสิโต
จเรยฺย
ความว่า เป็นผู้สงบอยู่ในที่นี้นี่แหละ คือ เป็นผู้นั่งอยู่ในที่นี้
นี่แหละ เป็นผู้นั่งอยู่แล้ว ณ อาสนะนี้นี่แหละ เป็นผู้นั่งอยู่แล้วในบริษัท
นี้นี่แหละ แม้เพราะเหตุอย่างนี้ ดังนี้ จึงชื่อว่า เป็นผู้สงบอยู่ในที่นี้
นี่แหละ.
อีกอย่างหนึ่ง ข้าพระองค์สงบ เข้าไปสงบ เข้าไปสงบวิเศษ ดับ
ระงับแล้วในที่นี้นี่แหละ แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ ดังนี้ จึงชื่อว่า เป็นผู้สงบ
อยู่ในที่นี้นี่แหละ.
คำว่า อสิโต ความว่า นิสัยมี 2 อย่าง คือ ตัณหานิสัย 1 ทิฏฐิ
นิสัย 1 ฯ ล ฯ นี้ชื่อว่า ตัณหานิสัย ฯ ล ฯ นี้ชื่อว่า ทิฏฐินิสัย ข้าพระองค์
ละตัณหานิสัย สละคืนทิฏฐินิสัย ไม่อาศัย จักษุ โสตะ ฆานะ ชิวหา
กาย ใจ ไม่อาศัยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ไม่อาศัย
สกุล คณะ อาวาส ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ไม่อาศัยจีวร บิณฑบาต
เสนาสนะ คิลานเภสัชบริขาร ไม่อาศัยกามธาตุ รูปธาตุ อรูปธาตุ ไม่
อาศัยกามภพ รูปภพ อรูปภพ ไม่อาศัยสัญญาภพ อสัญญาภพ เนวสัญญา-
นาสัญญาภพ ไม่อาศัยเอกโวการภพ จตุโวการภพ ปัญจโวการภพ ไม่
อาศัยอดีต อนาคต ปัจจุบัน ไม่อาศัย ไม่แอบ ไม่เข้าถึง ไม่พัวพัน
ไม่น้อมใจ ออก สละ พ้นขาดแล้วซึ่งรูปที่ได้เห็น เสียงที่ได้ฟัง อารมณ์
ที่ได้ทราบและธรรมที่พึงรู้แจ้ง มีจิตอันทำให้ปราศจากเขตแดนอยู่ เพราะ-
ฉะนั้น จึงชื่อว่า ไม่อาศัย.
คำว่า จเรยฺยํ ความว่า พึงเที่ยวไป เที่ยวไปทั่ว ผลัดเปลี่ยนอิริยาบถ
ประพฤติไป เป็นไป เยียวยา เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ข้าพระองค์เป็น

ผู้สงบอยู่ในที่นี้นี่แหละ ไม่อาศัยแล้ว พึงเที่ยวไป เพราะเหตุนั้น พราหมณ์
นั้นจึงกล่าวว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ขอพระองค์โปรดทรง
พระกรุณาตรัสสอนธรรมอันสงัดที่ข้าพระองค์พึงรู้ได้ ข้า-
พระองค์ไม่ขัดข้องเหมือนอากาศ เป็นผู้สงบอยู่ในที่นี้
นี่แหละ ไม่อาศัยแล้ว พึงเที่ยวไป.


[228] (พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนโธตกะ)
เราจักบอกความสงบในธรรมที่เราเห็นแล้ว อันประ-
จักษ์แก่ตนแก่ท่าน ที่บุคคลได้ทราบแล้วเป็นผู้มีสติเที่ยวไป
พึงข้ามตัณหาอันซ่านไปในอารมณ์ต่าง ๆ ในโลกได้.

[229] คำว่า เราจักบอกความสงบ ... แก่ท่าน ความว่า เราจัก
บอก คือ จักเล่า ... จักประกาศซึ่งความสงบราคะ ความสงบโทสะ ความ
สงบโมหะ ความสงบ เข้าไปสงบ ความเข้าไปสงบวิเศษ ความดับ ความ
ระงับซึ่งความโกรธ ความผูกโกรธ ความลบหลู่ ความตีเสมอ ความ
ริษยา ความตระหนี่ ความลวง ความโอ้อวด ความหัวดื้อ ความแข่งดี
ความถือตัว ความดูหมิ่นท่าน ความเมา ความประมาท กิเลสทั้งปวง
ทุจริตทั้งปวง ความกระวนกระวายทั้งปวง ความเร่าร้อนทั้งปวง ความ
เดือนร้อนทั้งปวง อกุสลาภิสังขารทั้งปวง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เราจัก
บอกความสงบ ... แก่ท่าน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกพราหมณ์นั้นโดย
ชื่อว่า โธตกะ ในอุเทศว่า โธตกาติ ภควา ดังนี้.

คำว่า ภควา นี้ เป็นเครื่องกล่าวโดยเคารพ ฯ ล ฯ คำว่า ภควา
นี้ เป็นสัจฉิกาบัญญัติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ตอบว่า ดูก่อนโธตกะ.
[230] คำว่า ทิฏฺเฐ ธมฺเม ในอุเทศว่า ทิฏฺเฐ ธมฺเม อนีติหํ
ดังนี้ ความว่า ในธรรมที่เราเห็นแล้ว คือ ในธรรมที่เรารู้แล้ว เทียบ
เคียงแล้ว พิจารณาแล้ว ปรากฏแล้ว แจ่มแจ้งแล้ว คือ ในธรรมที่เรา
เห็นแล้ว ... แจ่มแจ้งแล้ว สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ฯ ล ฯ สิ่งใดสิ่งหนึ่ง
มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา
แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ ดังนี้ จึงชื่อว่า ในธรรมที่เราเห็นแล้ว.
อีกอย่างหนึ่ง เราจักบอกทุกข์ในทุกข์ที่เราเห็นแล้ว จักบอกสมุทัย
ในสมุทัยที่เราเห็นแล้ว จักบอกมรรคในมรรคที่เราเห็นแล้ว จักบอก
นิโรธในนิโรธที่เราเห็นแล้ว แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ ดังนี้ จึงชื่อว่า ในธรรม
ที่เราเห็นแล้ว.
อีกอย่างหนึ่ง เราจักบอกธรรมอันบุคคลผู้บรรลุพึงเห็นเอง ไม่
ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามาในตน อันวิญญูชน
พึงรู้เฉพาะตน ในธรรมที่เราเห็นแล้ว แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ ดังนี้ จึงชื่อว่า
ในธรรมที่เราเห็นแล้ว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ในธรรมที่เราเห็นแล้ว.
คำว่า ประจักษ์แก่ตน ความว่า เราจักบอกซึ่งธรรมอันประจักษ์
แก่ตน ที่เรารู้เฉพาะด้วยตนเอง โดยไม่บอกว่ากล่าวกันมาดังนี้ ไม่บอก
ตามที่ได้ยินกันมา ไม่บอกตามลำดับสืบ ๆ กันมา ไม่บอกด้วยอ้างตำรา
ไม่บอกตามที่นึกเดาเอาเอง ไม่บอกตามที่คาดคะเนเอาเอง ไม่บอกด้วย

ความตรึกตามอาการ ไม่บอกด้วยความชอบใจว่าต้องกับลัทธิของตน
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ในธรรมที่เราเห็นแล้ว อันประจักษ์แก่ตน.
[231] คำว่า ที่บุคคลรู้แจ้งแล้วเป็นผู้มีสติเที่ยวไป ความว่า
กระทำให้รู้แจ้ง คือ เทียบเคียง พิจารณา เจริญ ทำให้แจ่มแจ้งแล้ว
คือ ทำให้รู้แจ้ง ... แจ่มแจ้งแล้วว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ฯ ล ฯ สิ่งใด
สิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็น
ธรรมดา.
คำว่า เป็นผู้มีสติ ความว่า มีสติด้วยเหตุ 4 ประการ คือ มีสติ
เจริญสติปัฏฐานเครื่องพิจารณาเห็นกายในกาย ฯ ล ฯ บุคคลนั้นตรัสว่า
เป็นผู้มีสติ.
คำว่า เที่ยวไป ความว่า เที่ยวไป เที่ยวไปทั่ว ผลัดเปลี่ยนอิริยาบถ
ประพฤติ รักษา บำรุง เยียวยา เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ที่รู้แจ้งแล้ว
เป็นผู้มีสติเที่ยวไป.
[232] ตัณหา ราคะ สาราคะ ฯ ล ฯ อภิชฌา โลภะ อกุศลมูล
ตรัสว่า ตัณหาอันซ่านไปในอารมณ์ต่าง ๆ ในอุเทศว่า " ตเร โลเก
วิสตฺติกํ."

คำว่า วิสตฺติกา ความว่า ตัณหาชื่อวิสัตติกา เพราะอรรถว่า กระไร
ฯ ล ฯ เพราะอรรถว่า ซ่านไป กว้างขวาง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
วิสัตติกา.
คำว่า โลเก คือ ในอบายโลก ฯ ล ฯ ในอายตนโลก. คำว่า
พึงข้ามตัณหาอันซ่านไปในอารมณ์ต่าง ๆ ในโลก ความว่า พึงเป็นผู้มี
สติข้าม คือ ข้ามขึ้น ข้ามพ้น ก้าวล่วง เป็นไปล่วง ซึ่งตัณหาอันซ่าน

ไปในอารมณ์ต่าง ๆ ในโลกนั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พึงข้ามตัณหา
อันซ่านไปในอารมณ์ต่าง ๆ ในโลก เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสว่า
เราจักบอกความสงบในธรรมที่เราเห็นแล้วอันประจักษ์
แก่ตน แก่ท่าน ที่บุคคลได้ทราบแล้ว เป็นผู้มีสติเที่ยวไป
พึงข้ามตัณหาอันซ่านไปในอารมณ์ต่าง ๆ ในโลกได้.


[233] ข้าแต่พระองค์ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ข้าพระองค์
ชอบใจพระดำรัสของพระองค์นั้น และสันติอันสูงสุดที่
บุคคลทราบแล้ว เป็นผู้มีสติเที่ยวไป พึงข้ามตัณหาอัน
ซ่านไปในอารมณ์ต่าง ๆ ในโลกนี้.

[234] คำว่า ตํ ในอุเทศว่า ตญฺจาหํ อภินนฺทามิ ความว่า ซึ่ง
พระดำรัส คือ ทางแห่งถ้อยคำ เทศนา อนุสนธิของพระองค์.
คำว่า อภินนฺทามิ ความว่า ข้าพระองค์ย่อมยินดี ชอบใจ เบิกบาน
อนุโมทนา พอใจ ปรารถนา รักใคร่ ติดใจ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
ข้าพระองค์ย่อมชอบใจพระดำรัสของพระองค์นั้น.
คำว่า มเหสี ในอุเทศว่า มเหสี สนฺติมุตฺตมํ ดังนี้ ความว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสวงหา เสาะหา ค้นหาซึ่งศีลขันธ์ใหญ่ เพราะ-
ฉะนั้น จึงชื่อว่า มเหสี. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสวงหา เสาะหา ค้นหา
ซึ่งสมาธิขันธ์ใหญ่ ฯ ล ฯ พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นเทวดาล่วงเทวดา
ประทับอยู่ ณ ที่ไหน พระนราสภประทับอยู่ ณ ที่ไหน เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า มเหสี.

อมตนิพพาน ความสงบสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง
ความสิ้นตัณหา ความสำรอกกิเลส ความดับ ความออกจากตัณหาเป็น
เครื่องร้อยรัด เรียกว่า สันติ ในอุเทศว่า " สนฺติมุตฺตมํ. "
คำว่า อุตฺตมํ ความว่า เลิศ ประเสริฐ วิเศษ เป็นประธานสูงสุด
อย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า มเหสี สนฺติมุตฺตมํ.
[235] คำว่า ที่บุคคลรู้แจ้งแล้วเป็นผู้มีสติเที่ยวไป ความว่า
กระทำให้รู้แจ้ง คือ เทียบเคียง พิจารณา เจริญ ทำให้แจ่มแจ้งแล้ว
คือ ทำให้รู้แจ้ง ... แจ่มแจ้งแล้วว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ฯ ล ฯ สิ่งใด
สิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็น
ธรรมดา.
คำว่า เป็นผู้มีสติ ความว่า มีสติด้วยเหตุ 4 ประการ คือ มีสติ
เจริญสติปัฏฐานเครื่องพิจารณาเห็นกายในกาย ฯ ลฯ บุคคลนั้นเรียกว่า
เป็นผู้มีสติ.
คำว่า จรํ ความว่า เที่ยวไป เที่ยวไปทั่ว ผลัดเปลี่ยนอิริยาบถ
ประพฤติ รักษา บำรุง เยียวยา เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ที่รู้แจ้งแล้ว
เป็นผู้มีสติเที่ยวไป.
[236] ตัณหา ราคะ สาราคะ ฯ ล ฯ อภิชฌา โลภะ อกุศลมูล
เรียกว่า ตัณหาอันซ่านไปในอารมณ์ต่าง ๆ ในอุเทศว่า " ตเร โลเก
วิสตฺติกํ. "

คำว่า วิสตฺติกา ความว่า ตัณหาชื่อวิสัตติกา เพราะอรรถว่า กระไร
ฯ ล ฯ เพราะอรรถว่า ซ่านไป กว้างขวาง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
วิสัตติกา.

คำว่า โลเก คือ ในอบายโลก ฯ ล ฯ ในอายตนโลก. คำว่า พึง
ข้ามตัณหาอันซ่านไปในอารมณ์ต่าง ๆ ในโลก
ความว่า พึงเป็นผู้มีสติ
ข้าม คือ ข้ามขึ้น ข้ามพ้น ก้าวล่วง เป็นไปล่วงซึ่งตัณหาอันซ่านไปใน
อารมณ์ต่าง ๆ ในโลกนั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พึงข้ามตัณหาอันซ่าน
ไปในอารมณ์ต่าง ๆ ในโลก เพราะเหตุนั้น พราหมณ์นั้นจึงกล่าวว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ข้าพระองค์
ชอบใจพระดำรัสของพระองค์นั้น และสันติอันสูงสุดที่
บุคคลทราบแล้ว เป็นผู้มีสติเที่ยวไป พึงข้ามตัณหาอัน
ซ่านไปในอารมณ์ต่าง ๆ ในโลกได้.


[237] (พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนโธตกะ)
ท่านย่อมรู้ธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นธรรมชั้นสูง
ชั้นต่ำ และชั้นกลางส่วนกว้าง ท่านรู้ธรรมนี้ว่า เป็น
เครื่องข้องอยู่ในโลกแล้ว อย่าได้ทำตัณหาเพื่อภพน้อย
และภพใหญ่.

[238] คำว่า ท่านย่อมรู้ธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ความว่า ท่าน
ย่อมรู้ คือ ย่อมรู้แจ้ง รู้แจ้งเฉพาะ แทงตลอดธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ท่านย่อมรู้ธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสเรียกพราหมณ์นั้น โดยชื่อว่า โธตกะ ในอุเทศว่า " โธตกาติ
ภควา. "

คำว่า ภควา นี้ เป็นเครื่องกล่าวโดยเคารพ ฯ ล ฯ. คำว่า ภควา

นี้ เป็นสัจฉิกาบัญญัติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ตอบว่า ดูก่อนโธตกะ.
[239] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอนาคตว่า ชั้นสูง ในอุเทศว่า
" อุทฺธํ อโธ ติริยญฺจาปิ มชฺเฌ " ดังนี้ ตรัสอดีตว่า ชั้นต่ำ ตรัสปัจจุบันว่า
ชั้นกลางส่วนกว้าง. อีกอย่างหนึ่ง ตรัสสุขเวทนาว่า ชั้นสูง ตรัสทุกข-
เวทนาว่า ชั้นต่ำ ตรัสอทุกขมสุขเวทนาว่า ชั้นกลางส่วนกว้าง. ตรัสกุศล
ธรรมว่า ชั้นสูง ตรัสอกุศลธรรมว่า ชั้นต่ำ ตรัสอัพยากตธรรมว่า ชั้นกลาง
ส่วนกว้าง. ตรัสเทวโลกว่า ชั้นสูง ตรัสอบายโลกว่า ชั้นต่ำ ตรัสมนุษย-
โลกว่า ชั้นกลางส่วนกว้าง. ตรัสอรูปธาตุว่า ชั้นสูง ตรัสกามธาตุว่า ชั้นต่ำ
ตรัสรูปธาตุว่า ชั้นกลางส่วนกว้าง. ตรัสส่วนเบื้องบนตลอดถึงพื้นเท้าว่า
ชั้นสูง ตรัสส่วนเบื้องต่ำตลอดถึงปลายผมว่า ชั้นต่ำ ตรัสส่วนกลางว่า
ชั้นกลางส่วนกว้าง. เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ชั้นสูง ชั้นต่ำ และชั้นกลาง
ส่วนกว้าง.
[240] คำว่า ท่านรู้แล้ ซึ่งธรรมนั้นว่า เป็นเครื่องข้องในโลก
ความว่า รู้ คือ ทราบ เทียบเคียง พิจารณา ให้แจ่มแจ้ง ทำให้ปรากฏ
ว่า ธรรมนี้เป็นเครื่องข้อง ธรรมชาตินี้เป็นเครื่องขัดข้อง ธรรมชาตินี้
เป็นเครื่องผูกพัน ธรรมนี้เป็นเครื่องกังวล เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า รู้แล้ว
ซึ่งธรรมนั้นว่า เป็นเครื่องข้องในโลก.
[241] คำว่า อย่าได้ทำแล้วซึ่งตัณหาเพื่อภพน้อยและภพใหญ่
ความว่า รูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา
ธรรมตัณหา.
คำว่า เพื่อภพน้อยและภพใหญ่ ความว่า ท่านอย่าได้ทำ คือ

อย่าให้ตัณหาเกิด อย่าให้เกิดพร้อม อย่าให้บังเกิด อย่าให้บังเกิดเฉพาะ
จงละ บรรเทา ทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มีซึ่งตัณหา เพื่อภพน้อยและภพ
ใหญ่ คือ เพื่อกรรมภพ (กรรมวัฏ) เพื่อปุนัพภพ (วิปากวัฏ) เพื่อกามภพ
(กามธาตุ) เพื่อกรรมภพ (กรรมวัฏ) เพื่อกามภพ เพื่อปุนัพภพ
(วิปากวัฏ) เพื่อรูปภพ เพื่อกรรมภพ เพื่อวิปากวัฏอันให้เกิดใหม่ใน
รูปภพ เพื่ออรูปภพ เพื่อกรรมภพ เพื่อวิปากวัฏ อันให้เกิดใหม่ใน
อรูปภพ เพื่อภพบ่อย ๆ เพื่อคติบ่อย ๆ เพื่ออุบัติบ่อย ๆ เพื่อปฏิสนธิ
บ่อย ๆ เพื่อความเกิดแห่งอัตภาพบ่อย ๆ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อย่า
ได้ทำตัณหาเพื่อภพน้อยและภพใหญ่ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสว่า
ท่านย่อมรู้ธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นธรรมชั้นสูง
ชั้นต่ำ และชั้นกลางส่วนกว้าง ท่านรู้ธรรมนี้ว่า เป็น
เครื่องข้องในโลกแล้ว อย่าได้ทำตัณหาเพื่อภพน้อยและ
ภพใหญ่.

พร้อมด้วยเวลาจบพระคาถา ฯ ล ฯ นั่งประนมอัญชลีนมัสการพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า ประกาศว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้า
เป็นศาสดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เป็นสาวก ฉะนี้แล.
จบโธตมาณวกปัญหานิทเทสที่ 5

อรรถกถาโธตกมาณวกปัญหานิทเทสที่ 5


พึงทราบวินิจฉัยในโธตกสูตรที่ 5 ดังต่อไปนี้.
บทว่า วาจาภิกงฺขามิ คือ ข้าพระองค์ย่อมหวังพระวาจาของ
พระองค์. บทว่า สิกฺเข นิพฺพานมตฺตโน พึงศึกษานิพพานเพื่อตน
คือพึงศึกษาอธิศีลเป็นต้นเพื่อดับราคะเป็นต้นของตน. ในนิเทศไม่มีบท
ที่ไม่เคยกล่าว.
บทว่า อิโต คือ แต่ปากของเรา. พึงทราบความในนิเทศ
ต่อไป. บทว่า อาตปฺปํ ความเพียร คือความเพียรเผากิเลส. บทว่า
อุสฺสาหํ ทำความหมั่น คือไม่สยิ้วหน้า. บทว่า อุสฺโสฬฺหึ ทำความ
เป็นผู้มีความหมั่น. คือทำความเพียรมั่น. บทว่า ถามํ ทำความพยายาม
คือไม่ย่อหย่อน. บทว่า ธิตึ ทำความทรงจำ คือทรงไว้. บทว่า วิริยํ
กโรหิ
คือ จงทำความเป็นผู้ก้าว คือทำความก้าวไปข้างหน้า. บทว่า
ฉนฺท ชเนหิ ยังฉันทะให้เกิด คือให้เกิดความชอบใจ.
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว โธตกะพอใจ สรรเสริญ
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทูลวิงวอนขอความปลดเปลื้องจากความสงสัย
จึงกราบทูลคาถาว่า ปสฺสามหํ ดังนี้เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ปสฺสามหํ เทวมนุสฺสโลเก คือ ข้าพระ-
องค์เห็นพระองค์ผู้เป็นเทพเที่ยวอยู่ในมนุษยโลก. บทว่า ตนฺตํ นมสฺสามิ
คือ ข้าพระองค์ขอนมัสการพระองค์นั้น. บทว่า ปมุญฺจ คือ ขอพระองค์
จงทรงปลดเปลื้อง.