พระสุตตันตปิฎก
ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส1
เล่มที่ 6
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ปารายนวรรค
วัตถุคาถา
ว่าด้วยศีรษะและธรรมอันให้ศีรษะตกไป
[1] พาวรีพราหมณ์ เป็นผู้เรียนจบมนต์ ปรารถนาความ
เป็นผู้ไม่มีกังวล ออกจากพระนครโกศลอันน่ารื่นรมย์
ไปสู่ทักขิณาปถชนบท.
[2] พราหมณ์นั้นอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวารี อันเป็นพรมแดน
แว่นแคว้นอัสสกะและแว่นแคว้นมุฬกะต่อกัน เลี้ยงชีวิต
อยู่ด้วยการเที่ยวภิกขาและผลไม้.
[3] เมื่อพราหมณ์นั้นเข้าไปอาศัย (อยู่) บ้านได้เป็นหมู่
ใหญ่ ด้วยความเจริญอันเกิดแต่บ้านนั้น พราหมณ์นั้น
ได้บูชามหายัญ.
[4] พราหมณ์นั้นบูชามหายัญแล้วก็กลับเข้าไปสู่อาศรม
เมื่อพราหมณ์นั้นกลับเข้าไปแล้ว พราหมณ์อื่นก็มา.
1. บาลีเล่มที่ 30.
[5] พราหมณ์อื่นมีเท้าพิการ เดินงกงัน ฟันเขลอะ มี
ธุลีบนศีรษะ เข้าไปหาพาวรีพราหมณ์แล้ว ขอทรัพย์
ห้าร้อย.
[6] พาวรีพราหมณ์เห็นพราหมณ์นั้นเข้าแล้ว ก็เชิญให้
นั่ง แล้วก็ถามถึงความสุขสำราญและความไม่มีโรค และ
ได้กล่าวคำนี้ว่า
[7] ทรัพย์ของเรามีอันจะพึงให้ เราสละหมดแล้ว ดูก่อน
พราหมณ์ ท่านเชื่อเราเถิด ทรัพย์ห้าร้อยของเราไม่มี.
[8] ถ้าเมื่อเราขอ ท่านจักไม่ให้ ในวันที่เจ็ด ศีรษะของ
ท่านจงแตกเจ็ดเสี่ยง.
[9] พราหมณ์นั้นเป็นคนโกหก ปรุงแต่งแสดงเหตุให้
กลัว พาวรีพราหมณ์ได้ฟังคำของพราหมณ์นั้นแล้ว ก็เป็น
ทุกข์.
[10] มีลูกศรคือความโศกเสียบแทงแล้ว ไม่บริโภคอาหาร
ก็ซูบผอม ใช่แต่เท่านั้น ใจของพาวรีพราหมณ์ผู้มีจิต
เป็นอย่างนั้นย่อมไม่ยินดีในการบูชา.
[11] เทวดา (ที่สิงอยู่ใกล้อาศรมของพาวรีพราหมณ์) ผู้
ปรารถนาประโยชน์ เห็นพาวรีพราหมณ์หวาดกลัวเป็น
ทุกข์อยู่ จึงเข้าไปหาพาวรีพราหมณ์แล้วได้กล่าวว่า
[12] พราหมณ์ผู้มีความต้องการทรัพย์นั้น เป็นคนโกหก
ย่อมไม่รู้จักศีรษะ ความรู้จักศีรษะหรือธรรมอันให้ศีรษะ
ตกไป ย่อมไม่มีแก่พราหมณ์นั้น.
[13] พาวรีพราหมณ์ดำริว่า เทวดานี้อาจรู้ได้ในบัดนี้ (กล่าว
ว่า) ข้าพเจ้าถามแล้ว ขอท่านจงบอกศีรษะและธรรมอัน
ให้ศีรษะตกไปแก่ข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าจะขอฟังคำของ
ท่าน.
[14] แม้ข้าพเจ้าก็ไม่รู้จักศีรษะและธรรมอันให้ศีรษะตกไป
ข้าพเจ้าไม่มีความรู้ในเรื่องนี้ ความเห็นซึ่งศีรษะและ
ธรรมอันให้ศีรษะตกไป ย่อมมีแก่พระชินเจ้าทั้งหลาย
เท่านั้น.
[15] พา. ก็ในบัดนี้ ใครในปฐพีมณฑลนี้ย่อมรู้จักศีรษะ
และธรรมอันให้ศีรษะตกไป ดูก่อนเทวดา ขอท่านจงบอก
ท่านผู้นั้นแก่ข้าพเจ้าเถิด.
[16] เท พระสักยบุตร เป็นวงศ์ของพระเจ้าโอกกากราช
เสด็จออกจากเมืองกบิลพัสดุ์บุรี เป็นพระพุทธเจ้าผู้นำ
สัตวโลก เป็นผู้กระทำ (แสดง) ธรรมให้สว่าง.
[17] ดูก่อนพราหมณ์ พระสักยบุตรนั่นแหละ เป็น
พระสัมพุทธเจ้า ทรงถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง บรรลุ
กำลังแห่งอภิญญาทั้งปวง มีพระจักษุในธรรมทั้งปวง ทรง
ถึงธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งธรรมทั้งปวง ทรงน้อมพระทัย
ไปในธรรมเป็นที่สิ้นอุปธิ.
[18] พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระพุทธเจ้าใน
โลก มีพระจักษุ ย่อมทรงแสดงธรรม ท่านจงไปทูลถาม
พระองค์เถิด พระองค์จักทรงพยากรณ์ปัญหานั้นแก่ท่าน.
[19] พาวรีพราหมณ์ได้ฟังคำว่า พระสัมพุทธเจ้า แล้วมี
ความเบิกบานใจ มีความโศกเบาบาง และได้ปีติอัน
ไพบูลย์.
[20] พาวรีพราหมณ์นั้น มีใจยินดี มีความเบิกบาน
โสมนัส ถามถึง (พระผู้มีพระภาคเจ้า) กะเทวดานั้น (และ
ประกาศว่า) พระสัมพุทธเจ้าผู้เป็นที่พึ่งของสัตว์โลก
ประทับอยู่ ณ ที่ใด คือบ้าน นิคม หรือชนบทไหน
เราทั้งหลายพึงไปนมัสการพระสัมพุทธเจ้าผู้สูงสุดกว่า
ณ ที่ใด.
[20] เท. พระสักยบุตรนั้น เป็นพระชินะ มีพระปัญญา
สามารถ มีพระปัญญากว้างขวางเช่นแผ่นดินอันประเสริฐ
เป็นนักปราชญ์ ไม่มีอาสวะ ทรงรู้แจ้งศีรษะและธรรมอัน
ให้ศีรษะตกไป ทรงองอาจกว่านรชน ประทับอยู่ ณ พระ
ราชมณเฑียรแห่งพระเจ้าโกศลในพระนครสาวัตถีนั้น.
[22] ลำดับนั้น พาวรีพราหมณ์ได้เรียกพราหมณ์ทั้งหลาย
ผู้เป็นศิษย์ ผู้ถึงฝั่งแห่งมนต์มา (บอกว่า) ดูก่อนมาณพ
ทั้งหลาย มานี่เถิด เราจักบอก ขอท่านทั้งหลายจง
ฟังคำของเรา.
[23] ความปรากฏเนืองๆ แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระ-
องค์ใดนั้น ยากที่จะหาได้ในโลก วันนี้ พระผู้มีพระภาค-
เจ้าพระองค์นั้น เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก มีพระนาม
ปรากฏว่า พระสัมพุทธเจ้า ท่านทั้งหลายจงรีบไปเมือง
สาวัตถี ดูพระสัมพุทธเจ้าผู้สูงสุดกว่าสรรพสัตว์.
[24] ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ก็ข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นแล้วจะ
รู้จักว่าเป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร ข้าพเจ้าทั้งหลายจะ
รู้จักพระสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยอุบายอย่างไร ขอท่าน
จงบอกอุบายนั้นแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายผู้ไม่รู้เถิด.
[25] พา. ก็มหาบุรุษลักษณะ 32 ประการ มาแล้วใน
มนต์ทั้งหลาย ท่านกล่าวไว้แจ่มแจ้ง บริบูรณ์แล้วโดย
ลำดับ.
[26] ท่านผู้ใดมีมหาบุรุษลักษณะเหล่านั้นในกายตัว ท่านผู้
นั้นมีคติเป็นสองอย่างเท่านั้น มิได้มีคติเป็นที่สาม.
[27] คือ ถ้าอยู่ครองเรือน พึงครอบครองแผ่นดินนี้ ย่อม
ปกครองโดยธรรม โดยไม่ต้องใช้อาชญา ไม่ต้องใช้
ศัสตรา.
[28] และถ้าท่านผู้นั้นออกบวชเป็นบรรพชิต จะได้เป็น
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีกิเลสดังหลังคาอันเปิด
แล้ว ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า.
[29] พาวรีพราหมณ์ (บอกแล้ว) ซึ่งชาติ โคตร ลักษณะ
และมนต์อย่างอื่นอีก กะพวกศิษย์ (ได้สั่งว่า) ท่าน
ทั้งหลายจงถามถึงศีรษะและธรรมอันให้ศีรษะตกไปด้วย
ใจเท่านั้น.
[30] ถ้าท่านผู้นั้นจักเป็นพระพุทธเจ้า ผู้เห็นธรรมไม่มี
เครื่องกั้น เมื่อท่านทั้งหลายถามปัญหาด้วยใจแล้ว ก็จัก
แก้ด้วยวาจา.
[31] พราหมณ์ 16 คนผู้เป็นศิษย์ คือ อชิตพราหมณ์
ติสสเมตเตยยพราหมณ์ ปุณณกพราหมณ์ เมตตคู-
พราหมณ์.
[32] โธตกพราหมณ์ อุปสีวพราหมณ์ นัททพราหมณ์
เหมกพราหมณ์ โตเทยยพราหมณ์. กัปปพราหมณ์
ชตุกัณณีพราหมณ์ ผู้เป็นบัณฑิต.
[33] ภัทราวุธพราหมณ์ อุทยพรามณ์ โปสาลพราหมณ์
โมฆราชพราหมณ์ผู้เป็นนักปราชญ์ ปิงคิยพราหมณ์ผู้
แสวงหาคุณใหญ่ ได้ฟังวาจาของพาวรีพราหมณ์แล้ว.
[34] ทั้งหมดนั้น เฉพาะคนหนึ่ง ๆ เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ
ปรากฏแก่โลกทั้งปวง เป็นผู้เจริญฌาน ยินดีในฌาน
เป็นธีรชนผู้มีจิตอบรมด้วยวาสนาในกาลก่อน.
[35] พราหมณ์ผู้เป็นศิษย์ทุกคน ทรงชฎาและหนังเสือ
อภิวาทพาวรีพราหมณ์และกระทำประทักษิณแล้ว มุ่งหน้า
เดินไปทางทิศอุดร.
[36] สู่สถานเป็นที่ตั้งแห่งแว่นแคว้นมุฬกะ เมืองมาหิสสติ
ในกาลนั้น เมืองอุชเชนี เมืองโคนัทธะ เมืองเวทิสะ
เมืองวนสวหยะ.
[37] เมืองโกสัมพี เมืองสาเกต เมืองสาวัตถี เป็นเมือง
อุดม เมืองเสตัพยะ เมืองกบิลพัสดุ์ เมืองกุสินารา.