เมนู

ว่าด้วยฉันทะ...มีอะไรเป็นเหตุ


[463] คำว่า ฉันทะในโลกมีอะไรเป็นนิทาน ความว่า พระ-
พุทธนิมิตตรัสถาม สอบถาม ขอให้ตรัสบอก อัญเชิญให้ทรงแสดง ขอ
ให้ประสาทซึ่งมูล ฯลฯ สมุทัยแห่งฉันทะว่า ฉันทะมีอะไรเป็นนิทาน คือ
เกิด เกิดพร้อม บังเกิด บังเกิดเฉพาะ ปรากฏมาแต่อะไร คือมีอะไร
เป็นนิทาน มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นชาติ มีอะไรเป็นแดนเกิด
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ฉันทะในโลกมีอะไรเป็นนิทาน.
[464] คำว่า และความตัดสินใจมีมาแต่อะไร ความว่า พระ-
พุทธนิมิตตรัสถาม สอบถาม ขอให้ตรัสบอก อัญเชิญให้ทรงแสดง ขอ
ให้ประสาทซึ่งมูล ฯลฯ สมุทัยแห่งความตัดสินใจว่า ความตัดสินใจมีมา
แต่อะไร คือเกิด เกิดพร้อม บังเกิดเฉพาะ ปรากฏมาแต่อะไร คือ
มีอะไรเป็นนิทาน มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นชาติ มีอะไรเป็นแดน
เกิด เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า และความตัดสินใจมีมาแต่อะไร.
[465] ชื่อว่า ความโกรธ ในคำว่า อนึ่ง ความโกรธ ความ
เป็นผู้พูดเท็จ และความสงสัย
คือความความปองร้าย ความมุ่งร้าย ความขัด-
เคือง ความขุ่นเคือง ความเคืองทั่ว ความเคืองเสมอ ความชัง ความ
ชั่งทั่ว ความชังเสมอ ความพยาบาทแห่งจิต ความประทุษร้ายในใจ
ความโกรธ กิริยาที่โกรธ ความเป็นผู้โกรธ ความชัง กิริยาที่ชัง ความ
เป็นผู้ชัง ความพยาบาท กิริยาที่พยาบาท ความเป็นผู้พยาบาท ความ
พิโรธ ความพิโรธตอบ ความเป็นผู้ดุร้าย ความเพาะวาจาชั่ว ความ
เป็นผู้ไม่แช่มชื่นแห่งจิต ความกล่าวเท็จ เรียกว่าความเป็นผู้พูดเท็จ

ความสงสัย เรียกว่า กถังกถา เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อนึ่ง ความโกรธ
ความเป็นผู้พูดเท็จและความสงสัย.
[466] คำว่า และธรรมเหล่าใด ในคำว่า และธรรมเหล่าใด
อันพระสมณะตรัสรู้แล้ว
ความว่า ธรรมทั้งหลายใด สหรคต เกิด
ร่วมกัน เกี่ยวข้องกัน ประกอบกัน มีความเกิดขึ้นคราวเดียวกัน มีความ
ดับคราวเดียวกัน มีวัตถุเดียวกัน มีอารมณ์เดียวกัน กับความโกรธ
ความเป็นผู้พูดเท็จ และความสงสัย ธรรมเหล่านี้ เรียกว่าธรรมเหล่าใด.
อีกอย่างหนึ่ง คำว่า ธรรมเหล่าใด คือกิเลสทั้งหลายมีชาติเป็นอย่างอื่น
ตั้งอยู่แล้วโดยอาการอื่น กิเลสเหล่านั้น เรียกว่าธรรมเหล่าใด. คำว่า อัน
พระสมณะตรัสแล้ว
ความว่า อันพระพุทธะผู้เป็นสมณะมีบาปธรรมอัน
ระงับแล้ว เป็นพราหมณ์มีบาปธรรมอันลอยเสียแล้ว เป็นภิกษุมีมูลแห่ง
กิเลสอันทำลายแล้ว ผู้พ้นขาดจากอกุศลมูลเป็นเครื่องผูกทั้งปวง ตรัสไว้
แล้ว คือตรัสโดยทั่ว บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก
ทำให้ตื้น ประกาศแล้ว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า และธรรมเหล่าใดอัน
พระสมณะตรัสไว้แล้ว เพราะฉะนั้น พระพุทธนิมิตนั้น จึงตรัสถามว่า
ฉันทะในโลกมีอะไรเป็นนิทาน และความตัดสินใจ
มีมาแต่อะไร อนึ่ง ความโกรธ ความเป็นผู้พูดเท็จ และ
ความสงสัยมีมาแต่อะไร และธรรมเหล่าใดอันพระสมณะ
ตรัสไว้แล้ว ธรรมเหล่านั้นมีมาแต่อะไร.

[467] (พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า) บัณฑิตทั้งหลาย
กล่าวธรรมใด คือความดีใจ ความเสียใจในโลก ฉันทะ

ย่อมมีมาเพราะอาศัยธรรมนั้น ชันตุชนเห็นความไม่มี
และความมีในรูปทั้งหลาย ย่อมทำความตัดสินใจในโลก.

[468] คำว่า ความดีใจ ในคำว่า บัณฑิตทั้งหลายกล่าวธรรม
ใด คือความดีใจ ความเสียใจ ในโลก
ได้แก่สุขเวทนาและวัตถุที่น่า
ปรารถนา. คำว่า ความเสียใจ ได้แก่ทุกขเวทนาและวัตถุที่ไม่น่า
ปรารถนา. คำว่า บัณฑิตทั้งหลายกล่าวธรรมใด ...ในโลก คือบัณฑิต
ทั้งหลายกล่าวบอก พูด แสดง แถลงธรรมใด เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
บัณฑิตทั้งหลายกล่าวธรรมใด คือความดีใจ ความเสียใจ ในโลก.
[469] คำว่า ฉันทะย่อมมีมาเพราะอาศัยธรรมนั้น ความว่า
ฉันทะย่อมมีมา คือมีทั่วไป เกิด เกิดพร้อม บังเกิด บังเกิดเฉพาะ เพราะ
อาศัย ความดีใจและความเสียใจ คืออาศัยสุขและทุกข์ โสมนัสและโทมนัส
วัตถุที่น่าปรารถนาและวัตถุที่ไม่น่าปรารถนา ความยินดีและความยินร้าย
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ฉันทะย่อมมีมาเพราะอาศัยธรรมนั้น.

ว่าด้วยความเกิดแห่งรูป


[470] คำว่า ในรูปทั้งหลาย ในคำว่า เห็นความไม่มีและมี
ในรูปทั้งหลาย
ได้แก่มหาภูตรูป 4 และอุปาทายรูปแห่งมหาภูตรูป 4.
ความมีแห่งรูปทั้งหลายเป็นไฉน. ความมี คือความเกิด ความเกิด-
พร้อม ความบังเกิด ความบังเกิดเฉพาะ ความปรากฏแห่งรูปทั้งหลาย
นี้ชื่อว่า ความมีแห่งรูปทั้งหลาย.
ความไม่มีแห่งรูปทั้งหลายเป็นไฉน ความสิ้น ความเสื่อม ความ