เมนู

อรรถกถามาคันทิยสุตตนิทเทส



ในมาคันทิยสุตตนิทเทสที่ 9 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ พึงทราบความใน
คาถาแรกก่อนว่า แม้เพียงความพอใจในเมถุนก็มิได้มี เพราะเห็นธิดามาร
คือนางตัณหา นางอรดี และนางราคา ผู้เนรมิตรูปต่าง ๆ มาอย่างใคร่จัด
ที่โคนไม้อชปาลนิโครธ แล้วเหตุไรความพอใจในเมถุนจักมีเพราะเห็นรูป-
นี้ที่เต็มไปด้วยมูตรและกรีสของทาริกานี้เล่า เราไม่ปรารถนาจะถูกต้องรูป
นั้นด้วยประการทั้งปวงแม้ด้วยเท้า การอยู่ร่วมกับรูปนั้นจักมีแต่ไหน.
บทว่า มุตฺตปุณฺณํ ความว่า เต็มด้วยมูตรที่ตั้งอยู่เต็มภายใน
กระเพาะปัสสาวะ ด้วยสามารถแห่งอาหารและฤดู.
บทว่า กรีสปุณฺณํ ความว่า เต็มด้วยวัจจะที่ตั้งอยู่ปลายไส้ใหญ่
สูงขึ้นไปประมา 8 องคุลี ระหว่างนาภีกับ กระดูกสันหลังส่วนล่าง กล่าว
คือกระเพาะอาหารเก่า.
บทว่า เสมฺหปุณฺณํ ความว่า เต็มด้วยเสมหะประมาณแล่งหนึ่ง
ซึ่งตั้งอยู่ที่พื้นห้อง.
บทว่า รุหิรปุณฺณํ ความว่า เต็มด้วยเลือด 2 อย่าง กล่าวคือ
เลือดที่สั่งสมไว้ประมาณเต็มบาตรใบ 1 เต็มส่วนล่างของตับแล้วค่อย ๆ
ไหลไปในหัวใจม้ามและปอด ทำม้ามหัวใจตับและปอดให้ชุ่มตั้งอยู่อย่าง
หนึ่งกล่าวคือเลือดเครื่องแล่นไป ซึ่งแผ่ไปทั่วร่างที่มีใจครอง โดยแล่น

ไปตามเส้นเลือด เว้นที่ผม ขน เล็บ ฟันพ้นจากเนื้อ และหนังด้าน
หนังแห้ง ตั้งอยู่อย่างหนึ่ง
บทว่า อฏฺฐิสงฺฆาตํ ความว่าเบื้องต่ำในสรีระทั้งสิ้นมีกระดูกกว่า
สามร้อยท่อนอยู่เบื้องบนกระดูกทั้งหลาย กระดูกเหล่านั้นติดต่อกัน.
บทว่า นหารุสมฺพนฺธํ ความว่า ในสรีระทั้งสิ้นมีเส้นเอ็น 900
ผูกพันกระดูกทั้งหลายไว้ ผูกพัน คือผูกรัดด้วยเส้นเอ็นเหล่านั้น.
บทว่า รุหิรมํสเลปนํ ความว่า สรีระที่ฉาบด้วยเลือดเครื่องแล่น
ไป และด้วยชิ้นเนื้อเก้าร้อยชิ้นซึ่งตั้งฉานทาบกระดูกกว่า 300 ท่อนไว้.
บทว่า จมฺมวินทฺธํ ความว่า หนึ่งซึ่งตั้งอยู่ใต้ผิว บนพังผืดที่
ป่า ปกปิดสรีระทั้งสิ้น อันหนังนั้นหุ้มห่อไว้คือปกปิดไว้ บาลี
จมฺมาวนทธํ ก็มี.
บทว่า ฉวิยา ปฏิจฺฉนฺนํ ความว่า อันผิวหนังที่ละเอียดยิ่งปิดบัง
คือปกปิดไว้.
บทว่า ฉิทฺทาวฉิทฺทํ ความว่า มีช่องไม่น้อย.
บทว่า อุคฺฆรึ ความว่า ไหลเข้าทางตาและปากเป็นต้น.
บทว่า ปคฺฆรึ ความว่า ไหลออกทางส่วนเบื้องต่ำ.
บทว่า กิมิสํฆนิเสวิตํ ความว่า อันหมู่สัตว์ที่มีชาติเดียวกันต่าง ๆ
มีพวกปากเข็มเป็นต้นอาศัยแล้ว.
บทว่า นานากลิมลปริปูรํ ความว่า เต็มไปด้วยส่วนที่ไม่สะอาด
หลายอย่าง.

ลำดับนั้น มาคันทิยพราหมณ์กล่าวคาถาที่ 2 เพื่อจะทูลถามว่า
ธรรมดาบรรพชิตทั้งหลายละกามที่เป็นของมนุษย์แล้ว ย่อมบวชเพื่อต้อง
การ กามอันเป็นทิพย์ ก็สมณะนี้ไม่ปรารถนากามแม้เป็นทิพย์ แม้นี้ก็เป็น
อิตถีรัตน์ สมณะนี้มีทิฏฐิอย่างไรหนอ ?
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอตาทิสญฺจ รตนํ พราหมณ์มาคันทิยะ
กล่าวหมายเอาอิตถีรัตน์ที่เป็นทิพย์.
บทว่า นารึ หมายเอาธิดาของตน.
บทว่า ทิฏฺฐิคตํ สีลพฺพตํ นุชีวิตํ ความว่าทิฏฐิ ศีล วัตร
และชีวิต.
บทว่า ภวูปปตฺติญฺจ วเทสิ กีทิสํ ความว่า หรือท่านกล่าว
อุบัติภพของตนว่าเป็นเช่นไร ?
คาถา 2 คาถาต่อจากนี้ มีความเกี่ยวเนื่องปรากฏแล้วทีเดียว เพราะ
เป็นไปโดยนัยแห่งการวิสัชนาและปุจฉา บรรดาคาถา 2 คาถาเหล่านั้น
คาถาแรกมีเนื้อความย่อว่า ดูก่อนมาคันทิยะการตกลงในธรรมคือทิฏฐิ
62 แล้วถือมั่นว่า เรากล่าวสิ่งนี้อย่างนี้ว่า สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า
ดังนี้ มีอยู่หามิได้ คือ ย่อมไม่มี ไม่ประสบแก่เรานั้น เพราะเหตุไร
เพราะเมื่อเราเห็นโทษในทิฏฐิทั้งหลาย ไม่ถือมั่นทิฏฐิอะไร ๆ เมื่อเลือก
เฟ้นสัจจะทั้งหลายอยู่ ได้เห็นนิพพานกล่าวคือความสงบภายใน เพราะ
ความที่กิเลสทั้งหลายมีราคะเป็นต้นในภายในสงบแล้ว.
บทว่า อาทีนวํ ได้แก่ อันตราย.
บทว่า สทุกฺขํ ความว่า มีทุกข์ ด้วยทุกข์ทางกาย.

บทว่า สิวฆาตํ ความว่า มีทุกข์ด้วยทุกข์ทางใจ.
บทว่า สอุปายสํ ความว่า ประกอบด้วยความคับแค้น.
บทว่า สปริฬาหํ ความว่า เป็นไปด้วยความกระวนกระวาย.
บทว่า น นิพฺพิทาย ความว่า ไม่เป็นไปเพื่อต้องการความเบื่อ
หน่ายในวัฏฏะ.
บทว่า น วิราคาย ความว่า ไม่เป็นไปเพื่อต้องการความคลาย
กำหนัดในวัฏฏะ.
บทว่า น นิโรธาย ความว่า ไม่เป็นไปเพื่อดับวัฏฏะ.
บทว่า น อุปสมาย ความว่า ไม่เป็นไปเพื่อเข้าไปสงบวัฏฏะ.
บทว่า น อภิญฺญาย ความว่า ไม่เป็นไปเพื่อรู้ยิ่งพระนิพพาน.
บทว่า น สมฺโพธาย ความว่า ไม่เป็นไปเพื่อรู้แจ้งวัฏฏะด้วย.
บรรลุถึงความดับกิเลส.
บทว่า น นิพฺพานาย ความว่า ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์คือ
อมตนิพพาน ก็บทว่า นิพฺพิทาย ในที่นี้ได้แก่ วิปัสสนา.
บทว่า วิราคาย ได้แก่มรรค.
บทว่า นิโรธาย อุปสมาย ได้แก่นิพพาน.
บทว่า อภิญฺญาย สมฺโพธาย ได้แก่ มรรค.
บทว่า นิพฺพานาย ได้แก่นิพพานนั่นเอง. วิปัสสนาท่านกล่าวใน
ฐานะเดียว มรรคท่านกล่าวในฐานะ 3 นิพพานท่านกล่าวในฐานะ 3
ด้วยประการอย่างนี้แล. พึงทราบกถาว่าด้วยการกำหนดด้วยประการฉะนี้.

ก็โดยปริยาย บทเหล่านี้แม้ทั้งหมด ย่อมเป็นไวพจน์ของมรรคบ้าง เป็น
ไวพจน์ของนิพพานบ้างนั่นแล.
บทว่า อชฺฌตฺตํ ราคสฺส สนฺตึ ความว่า ได้เห็นนิพพานกล่าว
คือความสงบภายในเพราะความที่ราคะภายในสงบแล้วดับแล้ว แม้ในบทว่า
โทสสฺส สนฺตึ เป็นต้น ก็นัยนี้แหละ.
บทว่า ปจินํ เป็นบทอุทเทสของบทที่จะต้องชี้แจง.
บทว่า วิจินนฺโต ความว่า ยังสัจจะทั้งหลายให้เจริญคือให้เป็น
แจ้ง.
บทว่า ปวิจินนฺโต ความว่ายังสัจจะเหล่านั้นนั่นแลให้เป็นแจ้ง
เฉพาะอย่าง อาจารย์บางพวกพรรณนาว่า แสวงหาอยู่.
บทว่า อทฺทสํ ความว่า แลดูแล้ว.
บทว่า อทฺทกฺขึ ความว่า แทงตลอดแล้ว.
บทว่า อผุสึ ความว่า ถูกต้องด้วยปัญญา.
บทว่า ปฏิวิชฺฌึ ความว่า ได้กระทำให้ประจักษ์ด้วยญาณ.
คาถาที่ 2 มีเนื้อความย่อว่า ทิฏฐิเหล่านั้นใดที่มาคันทิยพราหมณ์
กล่าวว่า วินิจฺฉยา เพราะเหล่าสัตว์นั้น ๆ ตกลงใจถือเอาแล้ว. และว่า
ปกปฺปิตานิ โดยนัยมีภาวะอันปัจจัยทั้งหลายของตนปรุงแต่งเป็นต้น ท่าน
เป็นมุนีไม่ถือธรรมคือทิฏฐิเหล่านั้นเลย กล่าวคือบอกอรรถนั้นใดว่า ความ
สงบภายใน มาคันทิยพราหมณ์กล่าวแก่เราว่า ธีรชนทั้งหลายประกาศไว้
อย่างไรหนอ คืออรรถนั้นธีรชนทั้งหลายประกาศไว้อย่างไร นิทเทสแห่ง

คาถานี้มีเนื้อความง่าย นอกจากบทที่เป็นปรมัตถ์. บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า ยํ ปรมตฺถํ ได้แก่ นิพพานอันสูงสุดใด.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงแสดงอุบายที่ธีรชนทั้งหลาย
ใช้เป็นเครื่องประกาศอรรถนั้นพร้อมทั้งธรรมที่เป็นฝ่ายตรงกันข้าม แก่
พราหมณ์นั้น จึงตรัสพระคาถาว่า น ทิฏฺฐิยา เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปฏิเสธศีลและพรตภาย
นอกจากญาณที่ได้แต่สมาบัติ ด้วยพระดำรัสว่า น ทิฏฺฐิยา เป็นต้น
บัณฑิตพึงนำ 3 บทแรกไปประกอบ อาห ศัพท์ ที่ตรัสไว้ในบทนี้ว่า
สุทฺธิมาห กับ อักษร ในที่ทุกแห่งแล้วพึงทราบเนื้อความอย่างนี้ว่า
ไม่กล่าว คือไม่บอกความหมดจดด้วยทิฏฐิ ก็ในบทนี้ฉันใด แม้ในบท
ต่อ ๆ ไปก็ฉันนั้น.
และในบทเหล่านั้น.
บทว่า อทิฏฺฐิยา นาห ความว่า ไม่กล่าวเว้นสัมมาทิฏฐิมีวัตถุ 10.
บทว่า อสฺสุติยา ก็เหมือนกัน ความว่า ไม่กล่าวเว้นการฟัง.
บทว่า อญาณา ความว่า เว้นกัมมัสสกตาญาณและสัจจานุโลมิกญาณ.
บทว่า อสีลตา ความว่า เว้นปาติโมกขสังวร.
บทว่า อพฺพตา ความว่า เว้นธุดงควัตร.
บทว่า โน ปิ เตน พึงทราบเนื้อความอย่างนี้ว่า เราไม่กล่าว
แม้ด้วยธรรมสักว่าทิฏฐิเป็นต้นแต่ละอย่างในบรรดาธรรมเหล่านั้น.
บทว่า เอเต จ นิสฺสชฺช อนุคฺคหาย ความว่า สละธรรมฝ่าย
ดำชนิดเป็นทิฏฐิเก่าเป็นต้นเหล่านั้น ด้วยกระทำการถอนขึ้น และไม่ถือมั่น

แม้ธรรมฝ่ายขาวชนิดทิฏฐิเป็นต้นที่มีภายหลัง ด้วยการถึงความไม่ต้องถอน
ขึ้น.
บทว่า สนฺโต อนิสฺสาย ภวํ น ชปฺเป ความว่า เป็นผู้สงบ
ด้วยความเข้าไปสงบราคะเป็นต้น ด้วยการปฏิบัตินี้ ไม่อาศัยธรรมอะไร ๆ
ในจักษุเป็นต้น ไม่พึงหวังแม้ภพเดียว คือพึงเป็นผู้ไม่เริ่มตั้งใกล้เหตุ
อธิบายว่า นี้เป็นความสงบภายในของเขา.
บทว่า สวนมฺปิ อิจฺฉิตพฺพํ ความว่า แม้การฟังด้วยสามารถแห่ง
สุตตะเป็นต้นก็พึงหวัง.
บทว่า สมฺภารา อิเม ธมฺมา ความว่า ธรรมเหล่านี้มีสัมมาทิฏฐิ
เป็นต้น เป็นสัมภาระ ด้วยอรรถว่าเป็นอุปการะ.
บทว่า กณฺหปกฺขิกานํ ความว่า ไปในฝ่ายอกุศล.
บทว่า สมุคฺฆาตโต ปหานํ อิจฺฉิตพฺพํ ความว่า พึงหวังการ
ละโดยการกำจัดคือการถอนขึ้นโดยชอบ.
บทว่า เตธาตุเกสุ กุสเลสุ ธมฺเมสุ ความว่า ที่เกิดแต่ความ
ฉลาด เป็นไปในภูมิ 3 กล่าวคือ กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ.
บทว่า อตมฺมยตา ได้แก่ ความปราศจากตัณหา.
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว มาคันทิยพราหมณ์มิได้
กำหนดเนื้อความของพระดำรัสจึงกล่าวคาถาว่า โน เจ กิร เป็นต้น
อนึ่งพึงประกอบ อาห ศัพท์ กับ โน เจ กิร ศัพท์.
เห็นเนื้อความอย่างนี้ว่า ได้ยินว่า ถ้าบัณฑิตไม่กล่าว คือ ได้ยินว่า
ถ้าบัณฑิตไม่พูด ดังนี้.

บทว่า โมมุหํ ได้แก่ ความหลงยิ่ง หรือความหลง.
บทว่า ปจฺเจนฺติ ความว่า ย่อมรู้. นิทเทสของคาถาแม้นี้ง่าย.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงอาศัยทิฏฐินั้น ปฏิเสธคำถาม
ของพราหมณ์นั้น จึงตรัสคาถาว่า ทิฏฺฐึ สุนิสฺสาย เป็นต้น คาถานั้น
มีเนื้อความว่า ดูก่อนมาคันทิยะ ท่านอาศัยทิฏฐิถามอยู่บ่อย ๆ ทิฏฐิเหล่าใด
ที่ท่านถอนขึ้นแล้ว ท่านมาสู่ความลุ่มหลงในทิฏฐิที่ท่านถอนขึ้นเหล่านั้น
นั่นแหละ ท่านไม่เห็นสัญญาที่ควรแม้น้อย แต่ธรรมนี้คือแต่ความสงบภาย
ในที่เรากล่าวแล้ว หรือแต่การปฏิบัติ หรือแต่ธรรมเทศนา เพราะเหตุนั้น
ท่านจึงเห็นธรรมนี้แต่ความหลง.
บทว่า ลคฺคนํ นิสฺสาย ลคฺคนํ ความว่า ติดแน่นความเกี่ยว
ข้องทิฏฐิ.
บทว่า พนฺธนํ ได้แก่ ความผูกพันทิฏฐิ.
บทว่า ปลิโพธํ ได้แก่ ความกังวลทิฏฐิ.
บทว่า อนุธการํ ปกฺขนฺโตสิ ความว่า ท่านเป็นผู้เข้าไปแล้วสู่
ความมืดตื้อ.
บทว่า ยุตฺตสญฺญํ ความว่า สัญญาอันควรในสมณธรรม.
บทว่า ปตฺตสญฺญํ ความว่า สัญญาที่ได้เฉพาะแล้วในสมณธรรม.
บทว่า ลกฺขณสญฺญํ ความว่า สัญญาที่ให้รู้จัก.
บทว่า การณสญฺญํ ความว่า สัญญาในเหตุ.
บทว่า ฐานสญฺญํ ความว่า สัญญาในการณ์.
บทว่า น ปฏิลภสิ ความว่า ย่อมไม่ประสบ.

บทว่า กุโต ญาณํ ความว่า ก็ท่านจักได้มรรคญาณด้วยเหตุอะไร.
บทว่า อนิจฺจํ วา ความว่า เบญจขันธ์ชื่อว่าไม่เที่ยง เพราะ
อรรถว่า มีแล้วไม่มี.
บทว่า อนิจฺจสญฺญานุโลมํ วา ความว่า สัญญาที่เกิดขึ้นว่า
เบญจขันธ์ทั้งหลายไม่เที่ยง ชื่อว่า อนิจจสัญญา ญาณที่อนุโลม คือไม่
ปฏิกูลแก่สัญญานั้น ชื่อว่า ญาณอันอนุโลมแก่อนิจจสัญญา ญาณนั้น คือ
อะไร ? คือ วิปัสสนาญาณ. แม้ญาณที่อนุโลมแก่ทุกขสัญญาและอนัตต-
สัญญา ก็นัยนี้เหมือนกัน.
ก็และครั้นทรงแสดงการถึงความวิวาทด้วยความหลงใหลในทิฏฐิที่
ยึดถือไว้ แก่มาคันทิยพราหมณ์อย่างนี้แล้ว บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า
เมื่อจะทรงแสดงความที่พระองค์ผู้ปราศจากความลุ่มหลงในธรรมเหล่านั้น
และเหล่าอื่น เป็นผู้ไม่มีความวิวาท จึงตรัสคาถาว่า สโม วิเสสี เป็นต้น
คาถานั้นมีเนื้อความว่า ผู้ใดย่อมสำคัญด้วยความถือตัวก็ตาม ด้วยทิฏฐิก็
ตามด้วยบุคคลก็ตาม โดยส่วน 3 อย่างนั้น ผู้นั้นพึงวิวาทด้วยความถือตัว
นั้นด้วยทิฏฐินั้น หรือด้วยบุคคลนั้น แต่ผู้ใด อย่างตถาคต ไม่หวั่นไหว
ในเพราะความถือตัว 3 อย่าง ความสำคัญว่า เราเสมอเขา เราดีกว่าเขา
หรือว่าเลวกว่าเขา ย่อมไม่มีแก่ผู้นั้น ปาฐะที่เหลือว่า น จ หีโน นิทเทส
ของคาถาแม้นี้ ก็ง่ายเหมือนกัน จะมีอะไรยิ่งขึ้นไป.
คาถาว่า สจฺจนฺติ โส เป็นต้นนั้น มีเนื้อความว่า บุคคลผู้เป็น
พราหมณ์โดยนัยมีความเป็นผู้ลอยบาปแล้วเป็นต้น นั้น คือ เห็นปานนั้น
คือ ละมานะและทิฏฐิได้แล้ว เช่น ตถาคต จะพึงกล่าวสิ่งอะไร คือ

จะพึงพูดเรื่องอะไร หรือจะพึงพูดด้วยเหตุอะไร ว่า สิ่งนี้เท่านั้นจริง
หรือจะพึงวิวาท ด้วยมานะ ด้วยทิฏฐิ หรือด้วยบุคคลอะไร ว่า ของเรา
จริง ของท่านเท็จ ความสำคัญว่าเสมอเขา โดยเป็นไปว่า เราเสมอเขา
หรือความสำคัญว่าไม่เสมอเขา โดยเป็นไปด้วยความเป็น 2 อย่างคือดีกว่า
เขาและเลวกว่าเขา นอกนี้ย่อมไม่มีในพระขีณาสพใด คือเช่นตถาคต
พระขีณาสพนั้นจะพึงโต้ตอบวาทะด้วยเหตุมีความเป็นผู้ถือตัวเป็นต้น
อะไรเล่า นิทเทสของคาถาแม้นี้ก็ง่าย.
บุคคลเห็นปานนี้ พึงทราบอย่างแน่ชัดทีเดียวมิใช่หรือ คาถาว่า
โอกมฺปหาย เป็นต้น พึงทราบดังต่อไปนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โอกมฺปหาย ความว่า รูปธาตุเป็นต้น
เป็นที่อยู่ของวิญญาณ ละทิ้งด้วยการละฉันทราคะในรูปธาตุเป็นต้นนั้น.
บทว่า อนิเกตสารี ความว่า ไม่ท่องเที่ยวไปสู่ที่อยู่คือรูปนิมิต
เป็นต้น ด้วยสามารถแห่งตัณหา.
บทว่า กาเม อกุพฺพํ มุนิ สนฺถวานี ความว่า ไม่กระทำความ
เชยชิดอย่างคฤหัสถ์ในกาม.
บทว่า กาเมหิ ริตฺโต ความว่า เป็นผู้ว่างจากกามทั้งปวง เพราะ
ไม่มีฉันทราคะในกามทั้งหลาย.
บทว่า อปุเรกฺขราโน ความว่า ไม่ยังอัตภาพให้บังเกิดยิ่งต่อไป.
บทว่า กถนฺนุ วิคฺคยฺห ชเนน กยิรา ความว่า พึงกล่าวคำ
แก่งแย่งกับด้วยชน.
บทว่า หลิทฺทกานิ ความว่า คหบดีผู้มีชื่ออย่างนี้.

บทว่า เยน ในประโยคว่า เยนายสฺมา มหากจฺจาโน เตนู-
ปสงฺกมิ
เป็นตติยาวิภัตติ ลงในอรรถแห่งสัตตมีวิภัตติ เพราะฉะนั้น
พึงเห็นเนื้อความในที่นี้อย่างนี้ว่า พระมหากัจจานะอยู่ในที่ใด คหบดีเข้าไป
หาในที่นั้น.
อีกอย่างหนึ่ง พึงเห็นเนื้อความในที่นี้อย่างนี้ว่า เทวดาและมนุษย์
ทั้งหลายเข้าไปหาพระมหากัจจานะด้วยเหตุใด คหบดีก็เข้าไปหาด้วยเหตุนั้น
อีกอย่างหนึ่ง คหบดีเข้าไปหาพระมหากิจจานะด้วยเหตุอะไร ด้วย
ความประสงค์บรรลุคุณวิเศษมีประการต่าง ๆ เหมือนต้นไม้ใหญ่ที่ผลิตดอก
ผลเป็นนิจ อันฝูงนกทั้งหลายเข้าไปหาด้วยความประสงค์กินผลที่ดี.
บทว่า อุปสงฺกมิ มีอธิบายว่า เข้าไปใกล้.
บทว่า อุปสงฺกมิตฺวา เป็นบทแสดงความสิ้นสุดแห่งการเข้าไปหา
อีกอย่างหนึ่ง ท่านอธิบายว่า ไปอย่างนั้น จากนั้นไปสู่ที่ระหว่างอาสนะ
กล่าวคือที่ใกล้พระมหากัจจานะ.
บทว่า อภิวาเทตฺวา ความว่า ไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ บัดนี้
คหบดีประสงค์จะถามถึงประโยชน์ที่เป็นเหตุให้ตนมาสู่ที่บำรุงพระมหา-
กัจจานะ จึงนั่งประคองอัญชลีที่รุ่งเรื่องด้วยประชุมสิบนิ้วไว้เหนือศีรษะ
อยู่ ณ ที่ควรแห่งหนึ่ง.
บทว่า เอกมนฺตํ เป็นภาวนปุงสกนิทเทส เหมือนในประโยคว่า
พระจันทร์พระอาทิตย์เวียนไปไม่พร้อมกัน เป็นต้น เพราะฉะนั้น พึงเห็น
เนื้อความในที่นี้อย่างนี้ว่า นั่งอย่างไร ? นั่งที่แห่งหนึ่ง คือนั่งอย่างนี้ อีก

อย่างหนึ่ง บทว่า เอกมนฺตํ นี้เป็นทุติยาวิภัตติ ลงในอรรถแห่งสัตตมี
วิภัตติ.
บทว่า นิสีทิ ความว่า สำเร็จการนั่ง จริงอยู่ เทวดาและมนุษย์
ทั้งหลายที่เป็นบัณฑิต เข้าไปหาผู้ที่เป็นที่ตั้งแห่งความเคารพ ย่อมนั่ง ณ
ที่ควรแห่งหนึ่ง ด้วยความเป็นผู้ฉลาดในอาสนะและคหบดีนี้ก็เป็นคนหนึ่ง
ในบรรดาผู้ที่เป็นบัณฑิตเหล่านั้น ฉะนั้นจึงนั่ง ณ ที่ควรแห่งหนึ่ง ก็นั่ง
อย่างไร ชื่อว่า นั่ง ณ ที่ควรแห่งหนึ่ง เว้นโทษแห่งการนั่ง 6 อย่าง คือ
ไกลเกินไป 1 ใกล้เกินไป 1 เหนือลม 1 ที่สูง 1 ตรงหน้าเกินไป 1
ข้างหลังเกินไป 1. นั่งไกลเกินไป ถ้าต้องการจะถาม จะต้องถามด้วยเสียง
ดัง, นั่งใกล้เกินไป จะทำการเสียดสี, นั่งเหนือลม จะเบียดเบียนหรือ
กลิ่นตัว, นั่งที่สูง ประกาศความไม่เคารพ นั่งตรงหน้าเกินไป ถ้าต้อง
การจะดู ก็จะต้องสวนตากัน, นั่งหลังเกินไป ถ้าต้องการจะดูก็จะต้องยื่น
คอดู, เพราะฉะนั้น คหบดีแม้นี้จึงนั่งเว้นโทษแห่งการนั่ง 6 อย่าง เพราะ
เหตุนั้น พระเถระจึงกล่าวว่า เอกมนฺตํ นิสีทิ นั่ง ณ ที่ควรแห่งหนึ่ง.
บทว่า เอตทโวจ ความว่า ได้กล่าวคำนี้ว่า วุตฺตมิทํ ภนฺเต
กจฺจาน ภควตา อฏฺฐกวคฺคิเย มาคนฺทิยปญฺเห
ดังนี้ มาคันทิยปัญหา
มีอยู่ในปัญหานั้น อันมีมาในอัฏฐกวรรค.
บทว่า รูปธาตุ ประสงค์เอารูปขันธ์.
บทว่า รูปธาตุราควินิพนฺธํ ความว่า ผูกพันไว้ด้วยราคะในรูป
ธาตุ.
บทว่า วิญฺญาณํ ได้แก่ กัมมวิญญาณ.

บทว่า โอกสารี ความว่า ท่องเที่ยวไปสู่ที่อยู่มีเรือนเป็นต้น. ถาม
ว่า ก็เหตุไรพระมหากัจจานะจึงไม่กล่าวในที่นี้ว่า วิญฺญาณธาตุ โข
คหปติ
ตอบว่า เพื่อกำจัดความหลงใหล.
ก็บทว่า โอโก โดยอรรถท่านกล่าวถึงปัจจัย กัมมวิญญาณที่เกิด
ก่อน ย่อมเป็นปัจจัยทั้งแก่กรรมวิญญาณ ทั้งแก่วิปากวิญญาณ ที่เกิดที่
หลัง และวิปากวิญญาณที่เกิดก่อน ย่อมเป็นปัจจัยทั้งแก่วิปากวิญญาณ
ทั้งแก่กัมมวิญญาณที่เกิดทีหลัง ฉะนั้น พึงมีความหลงใหลว่า วิญญาณใน
ที่นี้ ดวงไหนหนอ เพื่อกำจัดความหลงใหลนั้น พระมหากัจจานะจึงไม่
ถือเอาวิญญาณนั้นกระทำการแสดงไม่ให้ปนกัน. อีกอย่างหนึ่ง ท่านกล่าว
อภิสังขารและวิญญาณฐิติ 4 ด้วยสามารถเป็นอารมณ์ของวิบาก แม้เพื่อ
แสดงอภิสังขารและวิญญาณฐิติเหล่านั้น จึงไม่เอาวิญญาณในที่นี้.
บทว่า อุปายุปาทานา ความว่า อุบาย 2 ด้วยสามารถแห่งตัณหา
อุบายและทิฏฐิอุบาย อุปาทาน 4 มีกามุปาทานเป็นต้น.
บทว่า เจตโส อธิฏฐานาภินิเวสานุสยา ความว่า เป็นเหตุยึด
มั่น เป็นเหตุถือมั่น และเป็นเหตุนอนเนื่อง แห่งอกุศลจิต.
บทว่า ตถาคตสฺส ได้แก่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จริงอยู่ ความ
พอใจเป็นต้นเหล่านั้น อันพระขีณาสพทั้งหลายแม้ทั้งปวงละได้แล้วทีเดียว
แต่ความเป็นขีณาสพของพระศาสดาปรากฏยิ่งในโลก ฉะนั้น ท่านจึงกล่าว
คำว่า ตถาคต นี้โดยที่สุดเบื้องบน.
เพราะเหตุไร ? ท่านจึงถือเอาวิญญาณ ในบทว่า วิญฺญาณธาตุยา นี้

เพื่อแสดงการละกิเลส เพราะในขันธ์ หรือขันธ์ 5 ยังละกิเลสไม่ได้หมดที่
เดียว ฉะนั้น ท่านจึงถือเอาเพื่อแสดงการละกิเลส.
บทว่า เอวํ โข คหปติ อโนกสารี โหติ ความว่า พระตถาคต
ไม่ท่องเที่ยวไปสู่ที่อยู่ด้วยกัมมวิญญาณ จึงชื่อว่าเป็นผู้ไม่ท่องเที่ยวไปสู่ที่อยู่
ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า รูปนิมิตฺตนิเกตสารวินิพนฺธา ความว่า รูปนั้นแลชื่อว่า
นิมิต ด้วยอรรถว่า เป็นปัจจัยของกิเลสทั้งหลาย ชื่อว่าที่อยู่ ด้วยอรรถ
ว่า เป็นที่อยู่ กล่าวคือเป็นกิริยาแห่งอารมณ์ ฉะนั้นจึงชื่อว่า ที่อยู่คือรูป
นิมิต ความท่องเที่ยวไปด้วย ความผูกพันด้วย ชื่อว่าความท่องเที่ยวไป
และความผูกพัน ท่านกล่าวความที่กิเลสทั้งหลายแผ่ไป และความผูกพัน
ของกิเลสทั้งหลาย แม้ด้วยบททั้งหลาย ความท่องเที่ยวไปและความผูกพัน
ในที่อยู่คือรูปนิมิต ชื่อว่า ความท่องเที่ยวไปและความผูกพันในที่อยู่คือ
รูปนิมิต เพราะฉะนั้น จึงเป็นความท่องเที่ยวไปและความผูกพันในที่อยู่
คือรูปนิมิต อธิบายว่า ด้วยความท่องเที่ยวไปของกิเลส และด้วยความ
ผูกพันของกิเลสที่เกิดขึ้นในที่อยู่คือรูปนิมิต.
บทว่า นิเกตสารีติ วุจฺจติ ความว่า เรียกว่า ความท่องเที่ยวไป
ในที่อยู่ ด้วยอรรถว่า เป็นที่อยู่อาศัย ด้วยสามารถแห่งการการทำอารมณ์.
บทว่า ปหีนา ความว่า ความท่องเที่ยวไปและผูกพันของกิเลส
ในที่อยู่คือรูปนิมิตเหล่านั้น พระตถาคตละได้แล้ว.
ก็เหตุไรในที่นี้ ท่านจึงเรียก เบญจขันธ์ ว่า โอก เรียกอารมณ์
6 ว่า นิเกต.

ก็ในเพราะความวิเสสด้วยอรรถว่าอาลัย ของเบญจขันธ์และอารมณ์
เหล่านั้นแม้ที่มีอยู่เพราะฉันทราคะมีกำลังและมีกำลังน้อย ท่านจึงเรียกเรือน
ล้วน ๆ นั่นแหละว่า โอก โดยตรง.
บทว่า นิเกตํ ได้แก่ อุทยานเป็นที่อยู่อาศัยเป็นต้น ของผู้ที่
กำหนดหมายกันไว้ว่า วันนี้พวกเราจักเล่นในที่โน้น ในข้อนั้นฉันทราคะ
ในเรือนที่ประกอบ ด้วย บุตร ภรรยา และข้าวเปลือก ย่อมมีกำลัง
ฉันใด ในขันธ์ทั้งหลายที่เป็นไปในภายใน ก็ฉันนั้น เหมือนอย่างว่า
ฉันทราคะในที่อุทยานเป็นต้นมีกำลังน้อยกว่าฉันทราคะในเรือนนั้น ฉันใด
ในอารมณ์ 6 ภายนอก ก็ฉันนั้น เพราะเหตุนั้น พึงทราบว่า ท่านแสดง
เทศนาอย่างนี้เพราะความที่ฉันทราคะมีกำลังและมีกำลังน้อย.
บทว่า สุขิเตสุ สุขิโต ความว่า เมื่อพวกอุปัฏฐากมีความสุข
ด้วยสามารถแห่งทรัพย์ ข้าวเปลือก และลาภเป็นต้น ย่อมเป็นผู้มีความ
สุขด้วยความสุขอาศัยเรือนว่า บัดนี้ เราจักได้จีวรที่ชอบใจ โภชนะที่
ชอบใจเที่ยวเสวยสมบัติที่ถึงแล้วด้วยตนกับด้วยอุปัฏฐากเหล่านั้น.
บทว่า ทุกฺขิเตสุ ทุกฺขิโต ความว่า เมื่อความทุกข์เกิดขึ้นแก่
อุปัฏฐากเหล่านั้นด้วยเหตุอะไร ๆ ก็ตาม ตนเองย่อมมีความทุกข์ถึง 2 เท่า
บทว่า กิจฺจกรณีเยสุ ได้แก่ กรณียะกล่าวคือหน้าที่การงาน.
บทว่า โวโยคํ อาปชฺชติ ความว่า ตนเองย่อมถึงการบำเพ็ญ
ประโยชน์ คือความที่กิจเหล่านั้นอันตนพึงทำ,
บทว่า กาเมสุ ได้แก่ วัตถุกาม.

บทว่า เอวํ โข คหปติ กาเมหิ อริตฺโต โหติ ความว่า
เป็นผู้ไม่เปล่าจากกิเลสกามทั้งหลาย คือไม่ว่าง เพราะมีกิเลสภายใน
อย่างนี้. ในฝ่ายขาว พึงทราบว่า เป็นผู้เปล่า คือว่าง เพราะไม่มีกิเลส
เหล่านั้น.
บทว่า ปุเรกฺขราโน ความว่า กระทำวัฏฏะไว้เบื้องหน้า.
บทว่า เอวรูโป สยํ เป็นต้น ความว่า ย่อมปรารถนาในรูปทั้ง
หลายมีรูป สูง ต่ำ ดำ ขาว เป็นต้น ว่าขอเราพึงมีรูปอย่างนี้ ย่อม
ปรารถนาในเวทนาทั้งหลายมีสุขเวทนาเป็นต้น ว่า ขอเราพึงมีเวทนา
อย่างนี้ ย่อมปรารถนาในสัญญาทั้งหลาย มีนีลสัญญาเป็นต้น ว่า ขอเรา
พึงมีสัญญาอย่างนี้ ย่อมปรารถนาในสังขารทั้งหลายมีปุญญาภิสังขารเป็นต้น
ว่า ขอเราพึงมีสังขารอย่างนี้ ย่อมปรารถนาในวิญญาณทั้งหลายมีจักษุ
วิญญาณเป็นต้นว่า ขอเราพึงมีวิญญาณอย่างนี้.
บทว่า อปุเรกฺขราโน ความว่า ไม่การทำวัฏฏะไว้เบื้องหน้า.
บทว่า สหิตมฺเม อสหิตนฺเต ความว่า คำของท่านไม่มีประโยชน์
ไม่สละสลวย คำของข้าพเจ้ามีประโยชน์ สละสลวย หวานเหมือนน้ำผึ้ง.
บทว่า อธิจิณฺณนฺเต วิปราวตฺตํ ความว่า คำใดที่ท่านสะสม
ฝึกฝนเป็นเวลานานคล่องแคล่วดี คำนั้นทั้งหมดเปลี่ยนแปลงกลับไปชั่วขณะ
เพราะอาศัยวาทะของเรา.
บทว่า อาโรปิโต เต วาโท ความว่า เรายกโทษของท่านขึ้น
แล้ว.

บทว่า จร วาทปฺปโมกฺขาย ความว่า ท่านจงเข้าไปหาอาจารย์
นั้น ๆ แสวงหาที่เก่ง ๆ เดินทางเที่ยวไปเพื่อเปลื้องวาทะนี้.
บทว่า นิพฺเพเธหิ วา สเจ ปโหสิ ความว่า ถ้าท่านสามารถ
เองทีเดียว ก็จงแก้ไขเสียในที่นี้นั่นแหละ คนแบบนี้นั้นน่าศึกษา.
คาถาว่า เยหิ วิวิตฺโต เป็นต้น พึงทราบดังต่อไปนี้ บรรดาบท
เหล่านั้น.
บทว่า เยหิ ความว่า จากทิฏฐิเป็นต้นเหล่าใด.
บทว่า วิวิตฺโต วิจเรยฺย ความว่า ว่างแล้วพึงเที่ยวไป.
บทว่า น ตานิ อคฺคยฺห วเทยฺย นาโค ความว่า บุคคลชื่อ
ว่านาคไม่พึงยึดถือทิฏฐิเหล่านั้นกล่าวโดยนัยว่า ไม่กระทำความชั่ว เป็นต้น.
บทว่า เอลมฺพุชํ ความว่า เกิดในน้ำกล่าวคือเอละ.
บทว่า กณฺฏกวาริชํ ความว่า ดอกบัวมีก้านเป็นหนาม มีอธิบาย
ว่า ปทุม.
บทว่า ยถา ชเลน ปงฺเกน จ นูปลิตฺตํ ความว่า ดอกบัวนั้น
อันน้ำเปือกตมไม่เข้าไปติด ฉันใด.
บทว่า เอวํ มุนิ สนฺติวโท อคิทฺโธ ความว่า มุนีผู้กล่าวความ
สงบภายใน ไม่ติดพัน เพราะไม่มีความติดพัน.
บทว่า กาเม จ โลเก จ อนูปลิตฺโต ความว่า เป็นผู้ไม่เข้า
ไปติดในกามแม้ 2 อย่าง และในโลกมีอบายเป็นต้น ด้วยกิเลสทั้งหลาย 2.
บทว่า อาคุํ น กโรติ ความว่า ไม่การทำโทษมีอกุศลเป็นต้น.
บทว่า น คจฺฉติ ความว่า ย่อมไม่ถึงโทษด้วยอำนาจอคติ.
บทว่า นาคจฺฉติ ความว่า ไม่เข้าถึงกิเลสที่ละแล้ว.

บทว่า ปาปกา แปลด่า ลามก.
บทว่า อกุสลา ความว่า เกิดแต่ความเป็นผู้ไม่ฉลาด.
บทว่า เต กิเลเส น ปุเนติ ความว่า กิเลสเหล่าใด อันบุคคล
นั้นละได้แล้ว บุคคลนั้นย่อมไม่มาสู่กิเลสเหล่านั้นอีก.
บทว่า น ปจฺเจติ ความว่า ไม่กลับเข้าถึง.
บทว่า น ปจฺจาคจฺฉติ ความว่า ไม่กลับมาอีก.
บทว่า ขรทณฺโฑ ความว่า ก้านของใบขรุขระ คือก้านหยาบ.
บทว่า จตฺตเคโธ ความว่า สละความติดพัน.
บทว่า วนฺตเคโธ ความว่า คายความติดพัน.
บทว่า มุตฺตเคโธ ความว่า ตัดความติดพันที่เป็นเครื่องผูกพัน.
บทว่า ปหีนเคโธ ความว่า ละความติดพัน.
บทว่า ปฏินิสฺสฏฐเคโธ ความว่า สละคืนความติดพันด้วยประ-
การที่ไม่งอกขึ้นสู่จิตอีก แม้ในบทว่าเป็นผู้มีความกำหนัดอันสละคืนแล้ว
เป็นต้น ต่อไปก็นัยนี้เหมือนกัน บทเหล่านั้นทั้งหมดนั่นแล เป็นไวพจน์
แสดงภาวะที่คุ้นเคยแห่ง คหิต ศัพท์ จะมีอะไรยิ่งขึ้นไป.
คาถาว่า น เวทคู เป็นต้น พึงทราบดังต่อไปนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น เวทคู ทิฏฺฐิยา ความว่า มุนีผู้ถึง
เวทคือมรรค 4 เช่นเราย่อมเป็นผู้ไม่ไปด้วยทิฏฐิ คือย่อมไม่ไปด้วยทิฏฐิ
หรือไม่ย้อมมาสู่ทิฏฐินั้นโดยสาระ ในคำเหล่านั้นมีเนื้อความของคำ ดัง
ต่อไปนี้ :-
ชื่อว่า ทิฏฺฐิยายก เพราะอรรถว่า ด้วยทิฏฐิ เป็นตติยาวิภัตติ.

ชื่อว่า ทิฏฺฐิยายก เพราะอรรถว่า ไปสู่ทิฏฐิ เป็นทุติยาวิภัตติ.
แม้ที่เป็นฉัฏฐีวิภัตติ เป็น ทิฏฺฐิยา เพราะอรรถว่า การไปของ
ทิฏฐิ ก็มี.
บทว่า น มุติยา ส มานเมติ ความว่า มุนีนั้นย่อมไม่ถึงความ
ถือตัวแม้ด้วยอารมณ์ที่ทราบ ชนิดมีรูปที่เขาทราบเป็นต้น.
บทว่า น หิ ตมฺมโย โส ความว่า เป็นผู้ไม่มีตัณหา คือเป็นผู้
ไม่มีตัณหานั้นเป็นที่ไปในเบื้องหน้า ด้วยสามารถแห่งตัณหาและทิฏฐิ แต่
ผู้นี้ไม่เป็นเช่นนั้น.
บทว่า น กมฺมุนา นาปิ สุเตน เนยฺโย ความว่า มุนีนั้น
ย่อมไม่เป็นผู้อันกรรมมีปุญญาภิสังขารเป็นต้น หรือเสียงที่ได้ยินมีความ
หมดจดที่ได้ยินเป็นต้น นำไปได้.
บทว่า อนูปนีโต ส นิเวสเนสุ ความว่า มุนีนั้นเป็นผู้อัน
ตัณหาและทิฏฐิไม่นำเข้าไปแล้วในที่อาศัย คือตัณหาและทิฏฐิทั้งปวง เพราะ
ละความนำเข้าไปทั้งสองได้แล้ว.
กลิ่น รส และโผฏฐัพพะชื่อว่ารูปที่เขาทราบแล้ว ในบทว่า มุตรูเปน
วา
นี้.
บทว่า มานํ เนติ ความว่า ย่อมไม่ถึงอัสมิมานะการถือเราถือเขา.
บทว่า น อุเปติ ความว่า ย่อมไม่มาสู่ที่ใกล้.
บทว่า น อุปคจฺฉติ ความว่า ย่อมไม่เข้าไปตั้งอยู่.
บทว่า ตมฺมโย ได้แก่ การทำความอิ่มใจ และแก่มุนีนั้นผู้เป็น
อย่างนี้.

คาถาว่า สญฺญาวิรตฺตสฺส เป็นต้น พึงทราบดังต่อไปนี้ บรรดา
บทเหล่านั้น.
บทว่า สญฺญาวิรตฺตสฺส ความว่า แก่มุนีผู้ละกามสัญญาเป็นต้น
ด้วยภาวนาซึ่งมีเนกขัมมสัญญาเป็นสภาพถึงก่อน ด้วยบทนี้ ท่านประสงค์
เอาผู้มีสมถะเป็นยานซึ่งเป็นอุภโตภาควิมุต.
บทว่า ปญญฺาวิมุตฺตสฺส ความว่า แก่มุนีผู้หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง
ด้วยภาวนาซึ่งมีวิปัสสนาเป็นสภาพถึงก่อน ด้วยบทนี้ ท่านประสงค์เอา
ผู้เป็นสุกขวิปัสสก.
บทว่า สญฺญญฺจ ทิฏฺฐิญฺจ เย อคฺคเหสุํ เต ฆฏฺฏมานา
วิวทนฺติ โลเก
ความว่า ก็ชนเหล่าใดยังถือสัญญามีกามสัญญาเป็นต้น
ชนเหล่านั้น โดยเฉพาะพวกคฤหัสถ์ยังถือทิฏฐิซึ่งมีกามเป็นเหตุนั่นแหละ
ชนเหล่านั้นโดยเฉพาะพวกบรรพชิต ย่อมกระทบกระทั่งวิวาทกันและกัน
มีธรรมเป็นเหตุ.
บทว่า โย สมถปุพฺพงฺคมํ อริยมคฺคํ ภาเวติ ความว่า บุคคล
ใดกระทำสมถะให้เป็นสภาพถึงก่อน คือให้เป็นปุเรจาริก เจริญอริยมรรค
พร้อมวิปัสสนา ยังสมาธิให้เกิดขึ้นก่อน ยังอริยมรรคพร้อมวิปัสสนาให้เกิด
ขึ้นภายหลัง.
บทว่า ตสฺส อาทิโต ความว่า อันบุคคลนั้นข่มเสียแล้วแต่ปฐม-
ฌานเป็นต้น.
บทว่า อุปาทาย ความว่า อิงแล้ว อาศัยแล้ว.

บทว่า คนฺถา วิกฺขมฺภิตา โหนฺติ ความว่า กิเลสเป็นเครื่อง
ร้อยรัด ย่อมเป็นของอันบุคคลนั้นกระทำให้ไกลแล้ว.
บทว่า อรหตฺตปฺปตฺเต บรรลุอรหัตตผล.
บทว่า อรหโต ความว่า ผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตผล กิเลสทั้งปวงมี
กิเลสเป็นเครื่องร้อยรัดและโมหะเป็นต้น ย่อมเป็นสภาพอันพระอรหันต์
ละเสียแล้ว.
บทว่า โย วิปสฺสนาปุพพงฺคมํ อริยมคฺคํ ภาเวติ ความว่า
บุคคลใดกระทำวิปัสสนาให้เป็นสภาพถึงก่อน คือให้เป็นปุเรจาริก เจริญ
อริยมรรค ยังวิปัสสนาให้เกิดขึ้นก่อน เจริญสมาธิอันสัมปยุตด้วยอริยมรรค
ภายหลัง.
บทว่า ตสฺส อาทิโต อุปาทาย ความว่า อันบุคคลนั้นอาศัย
วิปัสสนาจำเดิมแต่เห็นแจ้ง.
บทว่า ภิกฺขมฺภิตา ในบทว่า โมหา วิกฺขมฺภิตา โหนฺติ นี้
ความว่า ให้ถึงที่ไกล.
บทว่า สญฺญาวเสน ฆฏฺเฏนฺติ ความว่า ชนเหล่าใดยังถือกาม
สัญญาเป็นต้น ชนเหล่านั้นย่อมเบียดเบียนกันด้วยสามารถแห่งสัญญา.
บทว่า สงฺฆฏฺเฏนฺติ ความว่า ย่อมเบียดเบียนกันกว่านั้น ๆ.
บัดนี้ เพื่อจะแสดงเหล่าชนที่เบียดเบียนกัน ท่านจึงกล่าวความ
พิสดาร โดยนัยว่า ราชาโนปิ ราชูหิ วิวทนฺติ เป็นต้น.
ในบทว่า อญฺญมญฺญํ ปาณีหิปิ อุปกฺกมนฺติ ความว่า ย่อม
ประหารกันและกันด้วยมือทั้งสอง.

บทว่า เลฑฺฑูหิ ได้แก่ ด้วยก้อนดิน.
บทว่า ทณฺเฑหิ ได้แก่ ด้วยไม้พอง.
บทว่า สตฺเถหิ ได้แก่ ด้วยศัสตราสองคม.
บทว่า อภิสงฺขารานํ อปฺปหีนตฺตา ความว่า เพราะความที่ยัง
ละปุญญาภิสังขารเป็นต้นไม่ได้.
บทว่า คติยา ฆฏฺเฏนฺติ ความว่า ย่อมเบียดเบียนกัน คือ ย่อม
ถึงความกระทบกระทั่งกัน ในคติอันเป็นที่พึ่งซึ่งจะต้องไป แม้ในนรก
เป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน คำที่เหลือในที่นี้ง่ายทั้งนั้น เพราะมีนัยดังกล่าว
แล้ว.

สัทธัมมปัชโชติกา อรรถกถามหานิทเทส
อรรถกถา มาคันทิยสุตตนิทเทส
จบ สูตรที่ 9