เมนู

[312] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า :-
พระอรหันตขีณาสพเหล่าใด กำจัดเสนาแล้ว ไม่
กระทบทิฏฐิด้วยทิฏฐิย่อมเที่ยวไป ดูก่อนปสูระ ท่านพึงได้
อะไรในพระอรหันตขีณาสพเหล่านั้น ผู้ไม่มีความถือว่าสิ่ง
นี้ประเสริฐ.


ว่าด้วยมารเสนา



[313] คำว่า ก็พระอรหันตขีณาสพเหล่าใด กำจัดเสนา
แล้ว....ย่อมเที่ยวไป
มีอธิบายดังต่อไปนี้ มารเสนา เรียกว่า เสนา กาย
ทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ราคะ โทสะ โมหะ ความโกรธ ความ
ผูกโกรธ ความลบหลู่ ความตีเสมอ ความริษยา ความตระหนี่ ความลวง
ความโอ้อวด ความกระด้าง ความแข็งดี ความถือตัว ความดูหมิ่น
ความเมา ความประมาท กิเลสทั้งปวง ทุจริตทั้งปวง ความกระวน
กระวายทั้งปวง ความเร่าร้อนทั้งปวง ความเดือนร้อนทั้งปวง อกุสลา-
ภิสังขารทั้งปวง เป็นมารเสนา สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
กิเลสกามเรากล่าวว่าเป็นกองทัพที่ 1 ของท่าน ความไม่ยินดีเป็นกองทัพ
ที่ 2 ฯลฯ ส่วนคนกล้าย่อมชนะได้ ครั้นชนะแล้ว ย่อมได้สุข ดังนี้.
เพราะมารเสนาทั้งหมด และกิเลสอันทำความเป็นปฏิปักษ์ทั้งหมด อันบุคคล
นั้นชนะแล้ว ไม่แพ้แล้ว ทำลายแล้ว กำจัดแล้ว ทำให้ไม่สู้หน้าแล้ว
ด้วยอริยมรรค 4 ฉะนั้นจึงเรียกบุคคลนั้นว่า เป็นผู้กำจัดเสนาแล้ว.

คำว่า เหล่าใด ได้แก่ พระอรหันตขีณาสพ. คำว่า ย่อมเที่ยวไป
ได้แก่ ย่อมเที่ยวไปอยู่ ผลัดเปลี่ยนกิริยาบถ ประพฤติ รักษา เป็นไป
ยังอัตภาพให้เป็นไป เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ก็พระอรหันตขีณาสพเหล่า
ใดกำจัดเสนาแล้วย่อมเที่ยวไป.

[314] คำว่า ไม่กระทบทิฏฐิด้วยทิฏฐิ มีความว่า ทิฏฐิ 62
อันพระอรหันตขีณาสพเหล่านั้นละแล้ว ตัดขาด สงบ ระงับแล้ว ทำให้
ไม่ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ พระอรหันตขีณาสพเหล่านั้น
ไม่กระทบ คือ ไม่กระทั่ง ไม่บั่นรอน ไม่ทำลายซึ่งทิฏฐิด้วยทิฏฐิ เพราะ
ฉะนั้นจึงชื่อว่า ไม่กระทบทิฏฐิด้วยทิฏฐิ.
[315] คำว่า ดูก่อนปสูระ ท่านพึงได้อะไรในพระอรหันต
ขีณาสพเหล่านั้น
มีความว่า ดูก่อนท่านผู้กล้าเป็นปฏิปักษ์ คือ เป็น
บุรุษปฏิปักษ์ เป็นศัตรูปฏิปักษ์ เป็นนักรบปฏิปักษ์ ท่านพึงได้อะไรใน
พระอรหัน ขีณาสพเหล่านั้น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ดูก่อน ปสูระ ท่าน
พึงได้อะไรในพระอรหันตขีณาสพเหล่านั้น
.
[316] คำว่า ผู้ไม่มีความถือว่าสิ่งนี้ประเสริฐ มีความว่า ความ
ถือ ความยึดมั่น ความติดใจ ความน้อมใจไปว่า สิ่งนี้ประเสริฐ คือ
เลิศ เป็นใหญ่ วิเศษ เป็นประธาน สูงสุด บวร ย่อมไม่มี คือย่อมไม่
ปรากฏ ไม่เข้าไปได้ แก่พระอรหันตขีณาสพเหล่าใด คือเป็นกิเลสอัน
พระอรหันตขีณาสพนั้นละตัดขาด สงบ ระงับแล้ว ทำให้ไม่ควรเกิดขึ้น
เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ผู้ไม่มีความถือว่าสิ่งนี้
ประเสริฐ
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า :-

ก็พระอรหันตขีณาสพเหล่าใด กำจัดเสนาแล้ว ไม่
กระทบทิฏฐิด้วยทิฏฐิ ย่อมเที่ยวไป ดูก่อนปสูระ ท่านพึง
ได้อะไรในพระอรหันตขีณาสพเหล่านั้น ผู้ไม่มีความถือว่า
สิ่งนี้ประเสริฐ.

[317] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า :-
ก็ท่านตรึกคิดถึงทิฏฐิทั้งหลายด้วยใจมาแล้ว
ท่านมาแข่งคู่ด้วยพระพุทธเจ้าผู้มีปัญญาชื่อว่าโธนา ท่าน
ไม่อาจเพื่อเทียมทันได้เลย.


ว่าด้วยพระปัญญาของพระพุทธเจ้า



[318] บทว่า อถ ในคำว่า ก็ท่านตรึก....มาแล้ว เป็นบทสนธิ
เชื่อมบท เป็นบทบริบูรณ์ เป็นศัพท์ประชุมอักษร เป็นศัพท์ทำพยัญชนะ
ให้สละสลวย.
บทว่า อถ นี้เป็นลำดับบท คำว่า ท่านตรึก....มาแล้ว มีความ
ว่า ท่านตรึกตรอง ดำริ คือ ตรึก ตรอง ดำริอย่างนี้ว่า เราจักมีชัย
หรือจักปราชัยหนอ เราจักข่มเขาอย่างไร จักทำลัทธิของเราให้เชิดชูอย่าง
ไร จักทำลัทธิของเราให้วิเศษอย่างไร จักทำลัทธิของเราให้วิเศษเฉพาะ
อย่างไร จักทำความผูกพันเขาอย่างไร จักทำความปลดเปลื้องอย่างไร จัก
ทำความตัดรอนวาทะเขาอย่างไร จักขนาบวาทะเขาไว้อย่างไร ดังนี้ เป็น
ผู้มาแล้ว คือ เข้ามา มาถึง มาประจวบแล้วกับเรา เพราะฉะนั้นจึงชื่อ
ว่า ก็ท่านตรึก....มาแล้ว.