เมนู

พระสุตตันตปิฎก



ขุททกนิกาย มหานิทเทส


เล่มที่ 5 ภาคที่ 1



ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



อัฏฐกวัคคิกะ

1

กามสุตตนิทเทสที่ 1



ว่าด้วยกาม 2 อย่าง



[1] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า :-
เมื่อสัตว์ปรารถนากามอยู่ ถ้ากามนั้นย่อมสำเร็จแก่
สัตว์นั้น สัตว์นั้นได้กามตามปรารถนาแล้ว ย่อมเป็นผู้อิ่มใจแน่
นอน.

[2] คำว่า กาม ในคำว่า เมื่อปรารถนากามอยู่ โดยหัวข้อได้
แก่กาม 2 อย่าง คือ วัตถุกาม 1 กิเลสกาม 1.
วัตถุกามเป็นไฉน ? รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันเป็นที่
ชอบใจ เครื่องลาด เครื่องนุ่งห่ม ทาสี ทาสา แพะ แกะ ไก่ สุกร
ช้าง โค ม้า ลา นา ที่ดิน เงิน ทอง บ้าน นิคม ราชธานี แว่นแคว้น
ชนบท กองพลรบ คลัง และวัตถุเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด อย่างใด

1. อัฏฐกถาว่า อัฏฐกวัคคะ, น่าจะปริวรรตเป็น อัฏฐกวรรค.

อย่างหนึ่ง ชื่อว่า วัตถุกาม. อีกอย่างหนึ่ง กามที่เป็นอดีต กามที่เป็น
อนาคต กามที่เป็นปัจจุบัน ที่เป็นภายใน ที่เป็นภายนอก ที่เป็นทั้งภาย-
ในและภายนอก ชนิดเลว ชนิดปานกลาง ชนิดประณีต เป็นของสัตว์ผู้
เกิดในอบาย เป็นของมนุษย์ เป็นของทิพย์ ที่ปรากฏเฉพาะหน้า ที่
เนรมิตเอง ที่ผู้อื่นเนรมิต ที่หวงแหน ที่ไม่ได้หวงแหน ที่ยึดถือว่าของเรา
ที่ไม่ยึดถือว่าของเรา ธรรมที่เป็นกามาวจรแม้ทั้งหมด ธรรมที่เป็นรูปา-
วจรแม้ทั้งหมด ธรรมที่เป็นอรูปาวจรแม้ทั้งหมด ธรรมที่เป็นที่ตั้งแห่ง
ตัณหา เป็นอารมณ์แห่งตัณหา ชื่อว่า กาม เพราะอรรถว่า อันบุคคลพึง
ใคร่ เพราะอรรถว่า เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เพราะอรรถว่า เป็นที่
ตั้งแห่งความมัวเมา กามเหล่านี้เรียกว่า วัตถุกาม.
กิเลสกามเป็นไฉน ? ความพอใจ ความกำหนัด ความพอใจและ
ความกำหนัด, ความดำริ ความกำหนัดมาก ความดำริและความกำหนัด
ความพอใจคือความใคร่ ความกำหนัดคือความใคร่ ความเพลิดเพลินคือ
ความใคร ในกามทั้งหลาย ความปรารถนาในกาม ความเสน่หาในกาม
ความเร่าร้อนในกาม ความหลงในกาม ความติดใจในกาม ห้วงคือกาม
ความประกอบในกาม ความยึดถือในกาม เครื่องกั้นคือกามฉันทะ ชื่อว่า
กาม.
สมจริงดังคำว่า :-
ดูก่อนกาม เราเห็นรากฐานของท่านแล้วว่า ท่าน
ย่อมเกิดเพราะความดำริ เราจักไม่ดำริถึงท่าน ท่านจัก
ไม่มีอย่างนี้.

กามเหล่านี้เรียกว่า กิเลสกาม คำว่า เมื่อปรารถนากามอยู่ มี
ความว่า เมื่อใคร่ อยากได้ ยินดี ปรารถนา มุ่งหมาย ชอบใจกามอยู่
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เมื่อปรารถนากามอยู่.
[3] คำว่า ถ้ากามนั้นย่อมสำเร็จแก่สัตว์นั้น มีความว่า คำว่า
สัตว์นั้น ได้แก่ สัตว์ผู้เป็นกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร คฤหัสถ์
บรรพชิต เทวดาหรือมนุษย์. คำว่า กามนั้น ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส
โผฏฐัพพะที่ชอบใจ ซึ่งเรียกว่า วัตถุกาม. คำว่า ย่อมสำเร็จ สำเร็จโดย
ชอบ ได้ ได้เฉพาะ. ประสบ พบ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ถ้ากามนั้น
ย่อมสำเร็จแก่สัตว์นั้น.

[4] คำว่า ย่อมเห็นผู้อิ่มใจแน่นอน มีความว่า คำว่า แน่นอน
เป็นคำกล่าวโดยส่วนเดียว เป็นคำกล่าวโดยไม่มีความสงสัย เป็นคำกล่าว
โดยไม่มีความเคลือบแคลง เป็นคำกล่าวไม่เป็นสองแง่ เป็นคำกล่าวไม่
เป็นสองง่าม เป็นคำกล่าวที่ไม่มีคำประกอบเป็นคำกล่าวไม่ผิด คำว่า แน่
นอน
นี้ เป็นคำกล่าวกำหนดแน่ คำว่า อิ่ม คือ ความอิ่ม ความ
ปราโมทย์ ความเบิกบาน ความบันเทิง ความร่าเริง ความรื่นเริง ความ
ปลื้มใจ ความยินดี ความชื่นใจ ความชอบใจ ความเต็มใจ ที่ประกอบ
พร้อมเฉพาะด้วยกามคุณ 5.
คำว่า ใจ คือ จิต มนะ มานัส หทัย บัณฑระ มนะ มนายตนะ
มนินทรีย์ วิญญาณ วิญญาณขันธ์ มโนวิญญาณธาตุ ที่เกิดแต่ผัสสะ
เป็นต้นนั้น นี้เรียกว่า ใจ.
ใจนี้ สหรคต คือ เกิดร่วม เกี่ยวข้อง ประกอบ เกิดพร้อมกัน

ดับพร้อมกัน มีวัตถุอย่างเดียวกัน มีอารมณ์อันเดียวกัน กับด้วยความ
อิ่มนี้.
คำว่า ย่อมเป็นผู้อิ่มใจ คือ เป็นผู้มีใจยินดี มีใจร่าเริง มีใจ
เบิกบาน มีใจดี มีใจสูง มีใจปลาบปลื้ม เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ย่อม
เป็นผู้อิ่มใจแน่นอน.

[5] คำว่า สัตว์นั้นได้กามตามปรารถนาแล้ว มีความว่า
คำว่า ได้ คือได้ ได้แล้ว ได้เฉพาะ ประสบ พบ. คำว่า สัตว์ คือ สัตว์ นระ
มาณพ บุรุษ บุคคล ผู้มีชีวิต ผู้เกิด สัตว์เกิด ผู้มีกรรม มนุษย์. คำว่า
ตามปรารถนา คือ รูป เสียง กลิ่น รส หรือโผฏฐัพพะ. ตามปรารถนา
ยินดี. ประสงค์ มุ่งหมาย ชอบใจ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า สัตว์นั้นได้
กามตามปรารถนาแล้ว.
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า :-
เมื่อสัตว์ปรารถนากามอยู่ ถ้ากามนั้นย่อมสำเร็จแก่
สัตว์นั้น สัตว์นั้นได้กามตามปรารถนาแล้ว ย่อมเป็นผู้
อิ่มใจแน่นอน.

[6] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า :-
เมื่อสัตว์นั้นปรารถนากามอยู่ เมื่อสัตว์นั้นมีฉันทะ
เกิดแล้ว ถ้ากามเหล่านั้นเสื่อมไป สัตว์นั้นย่อมกระสับ
กระส่าย เหมือนสัตว์ที่ถูกลูกศรแทงแล้ว.

[7] คำว่า เมื่อสัตว์นั้นปรารถนากามอยู่ มีความว่า คำว่า
เมื่อสัตว์นั้น ได้แก่ สัตว์ผู้เป็นกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร คฤหัสถ์
บรรพชิต เทวดาหรือมนุษย์ คำว่า ปรารถนากามอยู่ คือ เมื่อใคร่ อยาก

ได้ ยินดี ปรารถนา มุ่งหมาย ชอบใจ. อีกอย่างหนึ่ง สัตว์ย่อมไป
ออกไป ลอยไป แล่นไป เพราะกามตัณหา เปรียบเหมือนมนุษย์ ย่อม
ไป ออกไป ลอยไป แล่นไป ด้วยยานช้างบ้าง ยานม้าบ้าง ยานโคบ้าง
ยานแกะบ้าง ยานแพะบ้าง ยานอูฐบ้าง ยานลาบ้าง ฉันใด สัตว์ย่อม
ไป ออกไป ลอยไป แล่นไป เพราะกามตัณหา ฉันนั้น เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า เมื่อสัตว์นั้นปรารถนากามอยู่.
[8] คำว่า เมื่อสัตว์มีฉันทะเกิดแล้ว ความว่า คำว่า ฉันทะ
ได้แก่ความพอใจในกาม ความกำหนัดในกาม ความเพลินในกาม ความ
อยากในกาม ความเสน่หาในกาม ความเร่าร้อนในกาม ความหลงในกาม
ความคิดใจในกาม ห้วงคือกาม ความประกอบคือกาม ความยึดถือในกาม
เครื่องกั้นคือกามฉันทะ ความพอใจในกามนั้น เกิดแล้ว เกิดพร้อม เกิดขึ้น
เกิดเฉพาะ ปรากฏแล้วแก่สัตว์นั้น. คำว่า สัตว์ คือ สัตว์ นระ มาณพ
บุรุษ บุคคล ผู้มีชีวิต ผู้เกิด สัตว์เกิด ผู้มีกรรม มนุษย์ เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า เมื่อสัตว์มีฉันทะเกิดแล้ว.
[9] คำว่า กามเหล่านั้นเสื่อมไป มีความว่า กามเหล่านั้นเสื่อม
ไปบ้าง สัตว์นั้นเสื่อมจากกามทั้งหลายบ้าง.
กามเหล่านั้นเสื่อมไป อย่างไร ? เมื่อสัตว์นั้นดำรงอยู่นั่นแหละ โภคะ
เหล่านั้น ถูกพระราชาริบไปบ้าง ถูกโจรลักไปบ้าง ถูกไฟไหม้บ้าง ถูกน้ำ
พัดไปบ้าง ถูกพวกญาติผู้ไม่เป็นที่ชอบใจนำไปบ้าง สัตว์นั้นไม่พบโภค
ทรัพย์ที่เก็บฝังไว้บ้าง การงานที่ประกอบไม่ดีเสียไปบ้าง คนผลาญสกุล
ผู้แจกจ่ายกระจัดกระจายทำลายโภคะเหล่านั้นเกิดในสกุลบ้าง ความเป็นของ

ไม่เที่ยงแห่งโภคะเป็นที่แปด กามเหล่านั้นย่อมเสื่อม เสียหาย กระจัด
กระจาย รั่วไหล อันตรธาน สูญหายไปอย่างนี้.
สัตว์นั้นย่อมเสื่อมจากกามทั้งหลาย อย่างไร ? โภคะเหล่านั้นยังตั้งอยู่
นั่นแหละ สัตว์นั้นเคลื่อน ตาย อันตรธาน สูญหายไปจากโภคะเหล่านั้น
สัตว์นั้นย่อมเสื่อม เสียหาย กระจัดกระจา รั่วไหล อันตรธาน สูญหาย
ไปจากกามทั้งหลายอย่างนี้.
สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
โภคทรัพย์ทั้งหลาย ถูกโจรลักไป ถูกพระราชาริบ
ไป ถูกไฟไหม้ เสียหาย อนึ่ง บุคคลผู้เป็นเจ้าของย่อม
ละทิ้งสรีระ กับทั้งข้าวของ เพราะความตาย นักปราชญ์
ทราบเหตุนี้แล้ว พึงใช้สอยบ้าง พึงให้ทานบ้าง ครั้น
ให้ทานและใช้สอยตามสมควรแล้ว เป็นผู้ไม่ถูกติเตียน
ย่อมเข้าถึงสถาน คือ สวรรค์.

เพราะฉะนั้น จึงว่า กามเหล่านั้นย่อมเสื่อมไป.
[10] คำว่า สัตว์นั้นย่อมกระสับกระส่าย เหมือนสัตว์ที่ถูก
ลูกศรแทงแล้ว
มีความว่า สัตว์ผู้ถูกลูกศรที่ทำด้วย เหล็กแทงแล้วบ้าง
ผู้ถูกลูกศรที่ทำด้วยกระดูกแทงแล้วบ้าง ผู้ถูกลูกศรที่ทำด้วยงาแทงแล้วบ้าง
ผู้ถูกลูกศรที่ทำด้วยเขาแทงแล้วบ้าง ผู้ถูกลูกศรที่ทำด้วยไม้แทงแล้วบ้าง
ย่อมกระสับกระส่ายหวั่นไหว ดิ้นรน จุกเสียด เจ็บตัว เจ็บใจ ฉันใด
ความโศก คร่ำครวญ เจ็บกาย เจ็บใจ และคับแค้นใจ ย่อมเกิดขึ้นเพราะ
วัตถุกามทั้งหลายแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป สัตว์นั้นถูกลูกศรคือกามแทง