เมนู

ฉขัตติยบรรพ


ฝ่ายพระชาลีราชกุมารให้ตั้งค่ายแทบฝั่งสระมุจลินท์ ให้กลับรถหมื่น
สี่พันคัน ตั้งให้มีหน้าเฉพาะทางที่มา แล้วให้จัดการรักษาสัตว์ร้ายมีราชสีห์
เสือโคร่งเสือเหลืองและแรดเป็นต้นในประเทศนั้น ๆ เสียงพาหนะทั้งหลาย
มีช้างเป็นต้นอื้ออึงสนั่น ครั้งนั้น พระเวสสันดรมหาสัตว์ได้ทรงสดับเสียงนั้น
ก็ทรงกลัวแต่มรณภัย ด้วยเข้าพระทัยว่า เหล่าปัจจามิตรของเราปลงพระชนม์
พระชนกของเราแล้วมาเพื่อต้องการตัวเรากระมังหนอ จึงพาพระนางมัทรีเสด็จ
ขึ้นภูผาทอดพระเนตรดูกองทัพ.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า
พระเวสสันดรราชฤาษีได้ทรงสดับเสียงกึกก้อง
แห่งกองทัพเหล่านั้น ก็ตกพระหฤทัย เสด็จขึ้นสู่
บรรพต ทอดพระเนตร ดูกองทัพด้วยความกลัว ตรัส
ว่า แน่ะพระน้องมัทรี เธอจงพิจารณาสำเนียงกึกก้องใน
ป่าฝูงม้าอาชาไนยร่าเริง ปลายธงปรากฏไสว พวกที่มา
เหล่านี้ ดุจพวกพรานล้อมฝูงมฤคชาติในป่าไว้ด้วยข่าย
ต้อนให้ตกในหลุมก่อน แล้วทิ่มแทงด้วยหอกสำหรับ
ฆ่ามฤคชาติอันคม เลือกฆ่าเอาแต่ที่มีเนื้อล่ำ ๆ เราทั้ง
หลายผู้หาความผิดมิได้ ต้องเนรเทศมาอยู่ป่า ถึงความ
ฉิบหายด้วยมือมิตร เธอจงดูคนฆ่าคนไม่มีกำลัง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิงฺฆ เป็นนิบาตลงในอรรถว่า ตักเตือน.
บทว่า นิสาเมหิ ความว่า เธอจงดู คือใคร่ครวญดูว่า กองทัพของเราหรือ

กองทัพปรปักษ์ การเชื่อมความของสองคาถากึ่งว่า อิเม นูน อรญฺญมฺหิ เป็นต้น
พึงทราบอย่างนี้ แน่ะพระน้องมัทรี พวกพรานล้อมฝูงมฤคในป่าไว้ด้วยข่าย
หรือต้อนลงหลุม พูดในขณะนั้นว่า จงฆ่าสัตว์ร้ายเสีย ทิ่มแทงด้วยหอกสำหรับ
ฆ่ามฤคอันคม เลือกฆ่ามฤคเหล่านั้นเอาแต่ตัวล่ำ ๆ ฉันใด สองเรานี้ถูกทิ่มแทง
ด้วยวาจาอสัตบุรุษว่า จักฆ่าเสียด้วยหอกอันคม และเราผู้ไม่มีผิด ถูกขับไล่คือ
เนรเทศออกจากแว่นแคว้นมาอยู่ในป่า ก็ฉันนั้นเหมือนกัน แม้เมื่อเป็นเช่น
นั้น . บทว่า อมิตฺตหตฺถฏฺฐคตา ได้แก่ ก็ยังถึงความฉิบหายด้วยมือของ
เหล่าอมิตร. บทว่า ปสฺส ทุพฺพลฆาตกํ ความว่า พระเวสสันดรทรง
คร่ำครวญเพราะมรณภัย ด้วยประการฉะนี้.
พระนางมัทรีได้ทรงสดับพระราชดำรัส จึงทอดพระเนตรกองทัพ ก็
ทรงทราบว่า เป็นกองทัพของตนเมื่อจะให้พระมหาสัตว์ทรงอุ่นพระหฤทัย จึง
ตรัสคาถานี้
เหล่าอมิตรไม่พึงข่มเหงพระองค์ได้ เหมือนเพลิง
ไม่พึงข่มเหงทะเลได้ฉะนั้น ขอพระองค์ทรงพิจารณา
ถึงพระพรที่ท้าวสักกเทวราชประทานนั้นนั่นแล ความ
สวัสดีจะพึงมีแก่เราทั้งหลายจากพลนิกายนี้เป็นแน่.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อคฺคิว อุทกณฺณเว ความว่า ไฟที่
ติดด้วยคบหญ้าเป็นต้น ย่อมไม่ข่มเหงน้ำทั้งกว้างทั้งลึกกล่าวคือทะเล คือไม่
อาจทำให้ร้อนได้ ฉันใด ปัจจามิตรทั้งหลายย่อมข่มเหงพระองค์ไม่ได้ คือ
ข่มขี่ไม่ได้ ฉันนั้น. บทว่า ตเทว ความว่า พระนางมัทรีให้พระมหาสัตว์
อุ่นพระหฤทัยว่า ก็พรอันใดที่ท้าวสักกเทวราชประทานแด่พระองค์ตรัสว่า
ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ไม่นานนักพระชนกของพระองค์จะเสด็จมา ขอพระองค์
จงพิจารณาพร้อมนั้นเถิด ความสวัสดีพึงมีแก่พวกเราจากพลนิกายนี้เป็นแน่แท้.

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ทรงบรรเทาความโศกให้เบาลงแล้ว พร้อม
ด้วยพระนางมัทรีเสด็จลงจากภูเขาประทับนั่งที่ทวารบรรณศาลา ฝ่ายพระนาง
มัทรีก็ประทับนั่งที่ทวารบรรณศาลาของพระองค์.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า
แต่นั้นพระเวสสันดรราชฤาษีเสด็จลงจากบรรพต
ประทับนั่ง ณ บรรณศาลา ทำพระหฤทัยให้มั่นคง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทฬฺหํ กตฺวาน มานสํ ความว่า
ประทับนั่งทำพระหฤทัยให้มั่นคงว่า เราเป็นบรรพชิต ใครจักทำอะไรแก่เรา.
ขณะนั้น พระเจ้าสญชัยตรัสเรียกพระนางผุสดีราชเทวีมารับสั่งว่า แน่ะ
ผุสดีผู้เจริญ เมื่อพวกเราทั้งหมดไปพร้อมกัน จักมีความเศร้าโศกใหญ่ ฉันจะ
ไปก่อน ต่อนั้น เธอจงกำหนดดูว่า เดี๋ยวนี้พวกเข้าไปก่อนจักบรรเทาความเศร้า
โศกนั่งอยู่แล้ว พึงไปด้วยบริวารใหญ่ ลำดับนั้น พ่อชาลีและแม่กัณหาชินา
รออยู่สักครู่หนึ่งแล้วจงไปภายหลัง ตรัสสั่งฉะนี้แล้วให้กลับรถให้มีหน้าเฉพาะ
ทางที่มา จัดการรักษาในที่นั้น ๆ เสด็จลงจากคอช้างตัวประเสริฐซึ่งประดับแล้ว
เสด็จไปสู่สำนักของพระราชโอรส.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า
พระเจ้าสญชัยผู้ชนกนาถให้กลับรถ ให้กองทัพ
ตั้งยับยั้งอยู่แล้ว เสด็จไปยังพระเวสสันดรผู้โอรสซึ่ง
เสด็จประทับอยู่ในป่าพระองค์เดียว เสด็จลงจากคอช้าง
พระที่นั่ง ทรงสะพักเฉวียงพระอังสาประนมพระหัตถ์
อันเหล่าอำมาตย์ห้อมล้อม เสด็จนาเพื่ออภิเษกพระ
โอรส พระเจ้าสญชัยได้ทอดพระเนตรเห็นพระเวส-

สันดรราชโอรส มีพระกายมิได้ลูบได้ตกแต่ง มีพระ-
มนัสแน่วแน่ นั่งเข้าฌานอยู่ในบรรณศาลานั้น ไม่มี
ภัยแต่ที่ไหน ๆ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วุฏฺฐาเปตฺวาน เสนิโย ความว่า
ให้พลนิกายตั้งยับยั้งอยู่เพื่อประโยชน์แก่การอารักขา. บทว่า เอกํโส ได้แก่
ทำผ้าห่มเฉวียงพระอังสาข้างหนึ่ง. บทว่า สิญฺจิตุมาคมิ ความว่า เสด็จเข้า
ไปเพื่ออภิเษกในราชสมบัติ. บทว่า รมฺมรูปํ ได้แก่ มิได้ลูบไล้และตกแต่ง.
พระเวสสันดรและพระนางมัทรีทอดพระเนตร
เห็นพระราชบิดาผู้มีความรักในพระโอรสนั้น เสด็จมา
เสด็จลุกต้อนรับถวายบังคม ฝ่ายพระนางมัทรีทรงซบ
พระเศียรอภิวาทแทบพระบาทพระสัสสุระ กราบทูลว่า
ข้าแต่สมมติเทพ หม่อมฉันมัทรีผู้สะใภ้ของพระองค์
ขอถวายบังคม พระยุคลบาทของพระองค์ พระเจ้า
สญชัยทรงสวมกอดสองกษัตริย์ประทับทรวง ฝ่าพระ-
หัตถ์ลูบพระปฤษฎางค์อยู่ไปมา ณ อาศรมนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาเท วนฺทามิ เต ทุสา ความว่า
พระนางมัทรีกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ หม่อมฉันผู้สะใภ้ของพระองค์ ขอ
ถวายบังคมแทบพระยุคลบาท กราบทูลฉะนั้นแล้วถวายบังคม. บทว่า เตสุ
ตตฺถ
ได้แก่ กษัตริย์ทั้งสองนั้น ณ อาศรมที่ท้าวสักกเทวราชประทานนั้น.
บทว่า ปลิสชฺช ความว่า ให้อิงแอบแนบพระทรวง ทรงจุมพิตพระเศียร
ทรงลูบพระปฤษฎางค์ของสองกษัตริย์ด้วยพระหัตถ์อันอ่อนนุ่ม.
ต่อนั้น พระเจ้าสญชัยทรงกันแสงคร่ำครวญ ครั้นสร่างโศกแล้ว เมื่อ
จะทรงทำปฏิสันถารกับสองกษัตริย์นั้น จึงตรัสว่า

ลูกรัก พ่อไม่มีโรคาพาธกระมัง สุขสำราญดี
กระมัง ยังอัตภาพให้เป็นรูปด้วยเสาะแสวงหาผลาหาร
สะดวกกระมัง มูลผลาหารมีมากกระมัง เหลือบ ยุง
และสัตว์เลื้อยคลานทีจะมีน้อยกระมัง ความเบียดเบียน
ให้ลำบากในวนประเทศที่เกลื่อนไปด้วยเนื้อร้าย ไม่
ค่อยมีกระมัง.

พระมหาสัตว์ได้ทรงสดับพระดำรัสของพระบิดา จึงกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ หม่อมฉันทั้งสองมี
ความเป็นอยู่อย่างฝืดเคือง เที่ยวเสาะแสวงหามูลผลา-
หารเลี้ยงชีพ ข้าแต่พระมหาราชเจ้า หม่อมฉันทั้งหลาย
เป็นผู้เข็ญใจ ฝึกแล้วคือหมดพยศ ความเข็ญใจฝึกหม่อม
ฉันทั้งหลาย ดุจนายสารถีฝึกม้าให้หมดพยศฉะนั้น ข้า
แต่มหาราช หม่อมฉันทั้งหลายลูกเนรเทศมีร่างกาย
เหี่ยวแห้ง ด้วยการหาเลี้ยงชีพในป่า จึงมีเนื้อหนังซูบ
ลงเพราะไม่ได้เห็นพระชนกและพระชนนี.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยาทิสิ กีทิสา ความว่า เป็นความ
เป็นอยู่ต่ำอย่างใดอย่างหนึ่ง. บทว่า กสิรา ชีวิกา โหม ความว่า ข้าแต่
พระบิดา ความเป็นอยู่ของหม่อมฉันทั้งหลายเป็นทุกข์ เพราะหม่อมฉันทั้งหลาย
มีชีวิตอยู่ด้วยการเที่ยวเสาะแสวงหามูลผลาหาร. บทว่า อนิทฺธินํ ความ
ว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ความเข็ญใจย่อมฝึกคนจนที่เข็ญใจและความเข็ญใจนั้น
ย่อมฝึก คือทำให้หมดพยศ เหมือนนายสารถีผู้ฉลาดฝึกม้าฉะนั้น หม่อมฉัน
ทั้งหลายอยู่ในที่นี้เป็นผู้เข็ญใจอันความเข็ญใจฝึกแล้ว คือทำให้หมดพยศแล้ว

ความเข็ญใจนั่นแหละฝึกหม่อมฉันทั้งหลาย. ปาฐะว่า ทเมถ โน ดังนี้ก็มี ความ
ว่า ฝึกหม่อมฉันทั้งหลายแล้ว. บทว่า ชีวิโสกินํ ความว่า พระเวสสันดรทูล
ว่าหม่อมฉันทั้งหลายมีความเศร้าโศกอยู่ในป่า จะมีความสุขอย่างไรได้.
ก็และครั้นกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระเวสสันดรเมื่อจะทูลถามถึงข่าว
คราวของพระโอรสและพระธิดาอีกจึงทูลว่า
ทายาทผู้มีมโนรถยังไม่สำเร็จ ของพระองค์ผู้
ประเสริฐของชาวสีพี คือพ่อชาลีและแม่กัณหาชินา
ทั้งสองตกอยู่ในอำนาจของพราหมณ์ร้ายกาจเหลือเกิน
แกตีพ่อชาลีและแม่กัณหาชินา ดุจคนตีฝูงโค ถ้า
พระองค์ทรงทราบ หรือได้สดับข่าวลูกทั้งสองของ
พระราชบุตรีมัทรีนั้น ขอได้โปรดตรัสบอกแก่หม่อม
ฉันทั้งสองทันที ดุจหมองูเยียวยามาณพที่ถูกงูกัด
ฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทายาทปฺปตฺตมานสา ความว่า พระ-
เวสสันดรกราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ทายาทของพระองค์ผู้ประเสริฐ
ของชาวสีพี มีมนัสยังไม่ถึงแล้ว คือมีมโนรถยังไม่สมบูรณ์ ตกอยู่ในอำนาจ
ของพราหมณ์ พราหมณ์นั้นแกตีสองกุมารนั้นราวกะว่าคนตีฝูงโค ถ้าพระองค์
ทรงทราบ หรือได้สดับข่าวลูกทั้งสองของพระราชบุตรีมัทรีนั้น ด้วยได้ทอด
พระเนตรเห็นหรือด้วยได้ทรงสดับข่าวก็ตาม. บทว่า สปฺปทฏฺฐํว มาณวํ
ความว่า ขอได้โปรดแจ้งให้ทราบคือตรัสบอกแก่หม่อมฉันทั้งสองทันที
เหมือนหมองูเยียวยามาณพที่ถูกงูกัด เพื่อสำรอกพิษเสียฉะนั้น.

พระเจ้าสญชัยตรัสว่า
หลานทั้งสองคือชาลีและกัณหาชินา พ่อได้ให้
ทรัพย์แก่พราหมณ์ชูชกไถ่ไว้แล้ว เจ้าอย่าวิตกเลย จง
โปร่งใจเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิกฺกีตา ได้แก่ ให้ทรัพย์ไถ่ไว้แล้ว.
พระมหาสัตว์ได้ทรงสดับดังนั้น ก็ทรงได้ความโปร่งพระหฤทัย เมื่อ
จะทรงทำปฏิสันถารกับพระบิดาจึงตรัสว่า
ข้าแต่พระบิดา พระองค์ไม่มีพระโรคาพาธ
กระมัง สุขสำราญดีกระมัง พระเนตรแห่งพระมารดา
ของหม่อมฉันยังไม่เสื่อมกระมัง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จกฺขุ ความว่า พระเวสสันดรทูลถามว่า
พระเนตรของพระมารดาผู้ทรงกันแสงเพราะความเศร้าโศกถึงพระโอรส ไม่
เสื่อมเสียหรือ.
พระเจ้าสญชัยตรัสว่า
ลูกรัก พ่อไม่ค่อยมีโรค และมีความสุขสำราญ
ดี อนึ่ง จักษุของมารดาเจ้าก็ไม่เสื่อม.

พระมหาสัตว์กราบทูลว่า
ยวดยานของพระองค์หาโรคภัยนี้ได้กระมัง พา-
หนะยังใช้ได้คล่องแคล่วดีกระมัง ชนบทมั่งคั่งกระมัง
ฝนตกต้องตามฤดูกาลกระมัง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วุฏฺฐิ ได้แก่ ฝน.
พระเจ้าสญชัยตรัสว่า

ยวดยานของพ่อไม่มีโรคภัย พาหนะยังใช้ได้
คล่องแคล่วดี ชนบทก็มั่งคั่ง ฝนก็ตกต้องตามฤดู
กาล.

เมื่อสามกษัตริย์ตรัสปราศรัยกันอยู่อย่างนี้ พระนางผุสดีเทวีทรง
กำหนดว่า บัดนี้กษัตริย์ทั้งสามจักทำความโศกให้เบาบาง ประทับนั่งอยู่ จึง
เสด็จไปสู่สำนักพระโอรสพร้อมด้วยบริวารใหญ่
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า
เมื่อสามกษัตริย์กำลังตรัสกันอยู่อย่างนี้ พระนาง
ผุสดีราชมารดา ผู้เป็นพระราชบุตรีพระเจ้ามัททราช
เสด็จด้วยพระบาทไม่ได้สวมฉลองพระบาท ได้ปรากฏ
และช่องภูผา พระเวสสันดรและพระนางมัทรีทอด
พระเนตรเห็นพระราชชนนีผู้มีความรักในพระโอรส
กำลังเสด็จมา ก็เสด็จลุกต้อนรับเสด็จ ถวายบังคม
พระนางมัทรีทรงอภิวาทแทบพระบาทแห่งพระสัสสุ
ด้วยพระเศียร ทูลว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า หม่อมฉัน
มัทรีผู้สะใภ้ขอถวายบังคมพระยุคคลบาทของพระแม่เจ้า.

ก็ในเวลาที่พระเวสสันดรและพระนางมัทรีถวายบังคมพระนางผุสดีเทวี
แล้วประทับยืนอยู่ พระชาลีและพระกัณหาชินาทั้งสอง อันกุมารกุมารีห้อมล้อม
เสด็จมาถึง พระนางมัทรีประทับยืนทอดพระเนตรทางมาแห่งพระโอรสพระธิดา
อยู่ พระนางเจ้าทอดพระเนตรเห็นพระโอรสพระธิดาเสด็จมาโดยสวัสดี ก็ไม่
สามารถจะทรงพระวรกายอยู่ด้วยภาวะของพระองค์ ทรงคร่ำครวญเสด็จไปแต่
ที่นั้น ดุจแม่โคมีลูกอ่อนฉะนั้น ฝ่ายพระชาลีและพระกัณหาทอดพระเนตรเห็น
พระมารดา ก็ทรงคร่ำครวญวิ่งตรงเข้าไปหาพระมารดาทีเดียว.

พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า
พระชาลีและพระกัณหาชินาผู้มาโดยสวัสดีแต่ที่
ไกลทอดพระเนตรเห็นพระนางมัทรี ก็ทรงกันแสงวิ่ง
เข้าไปหาดุจลูกโคอ่อนเห็นแม่ ก็ร้องวิ่งเข้าไปหาฉะนั้น
พระนางมัทรีเล่า พอทอดพระเนตรเห็นพระโอรสพระ
ธิดาผู้มาโดยสวัสดีแต่ที่ไกลก็สั่นระรัวไปทั่วพระวรกาย
คล้ายแม่มดที่ผีสิงตัวสั่นฉะนั้น น้ำมันก็ไหลออกจาก
พระถันทั้งคู่.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กนฺทนฺตา อภิธาวึสุ ความว่า ร้องไห้
วิ่งเข้าไปหา. บทว่า วารุณีวุ ปเวเธนฺติ ความว่า ตัวสั่นเหมือนแม่มดที่ถูก
ผีสิง. บทว่า ถนธาราภิสิญฺจถ ความว่า สายน้ำนมไหลออกจากพระถัน
ทั้งสอง.
ได้ยินว่า พระนางมัทรีทรงคร่ำครวญด้วยพระสุรเสียงอันดัง พระ-
กายสั่นถึงวิสัญญีภาพล้มลงเหยียดยาวเหนือปฐพี ฝ่ายพระชาลีและพระกัณหาก็
เสด็จมาโดยเร็ว ถึงพระชนนีก็ถึงวิสัญญีภาพล้มลงทับพระมารดา ในขณะนั้น
น้ำนมก็ไหลออกจากพระยุคลถันของพระนางมัทรี เข้าพระโอฐแห่งกุมารกุมารี
ทั้งสองนั้น ได้ยินว่า ถ้าจักไม่มีลมหายใจประมาณเท่านี้ พระกุมารกุมารีทั้งสอง
จักมีหทัยแห้งพินาศไป.
ฝ่ายพระเวสสันดรทอดพระเนตรเห็นพระปิยบุตรบุตรีก็ไม่อาจทรงกลั้น
โศกาดูรไว้ ถึงวิสัญญีภาพล้มลง ณ ที่นั้นเอง แม้พระชนกและพระชนนีแห่ง
พระเวสสันดรก็ถึงวิสัญญีภาพล้มลงในที่นั้นเหมือนกัน.
เหล่าอำมาตย์หกหมื่นผู้สหชาติของพระมหาสัตว์เห็นกิริยาของ 6
กษัตริย์ ดังนั้นก็ถึงวิสัญญีภาพล้มลง ณ ที่นั้นเหมือนกัน.

บรรดาราชบริพารทั้งหลายที่เห็นเหตุการณ์อันน่าสงสารนั้น แม้คน
หนึ่งก็ไม่อาจดำรงอยู่ได้โดยภาวะของตน อาศรมบททั้งสิ้นได้เป็นเหมือนป่ารัง
อันลมยุคันตวาตย่ำยี่แล้ว ขณะนั้นภูผาทั้งหลายก็บันลือลั่น มหาปฐพีก็หวั่นไหว
มหาสมุทรก็กำเริบ เขาสิเนรุราชก็โอนเอนไปมา เทวโลกทั่วกามาพจรก็เกิด
โกลาหลเป็นอันเดียวกัน.
ครั้งนั้น ท้าวสักกเทวราชทรงดำริว่า กษัตริย์ทั้ง 6 องค์ พร้อมด้วย
ราชบริษัทถึงวิสัญญีภาพ ไม่มีใครแม้คนหนึ่งที่สามารถจะลุกขึ้นรดน้ำลงบน
สรีระของใครได้ เอาเถอะ เราจักยังฝนโบกขรพรรษให้ตกลงเพื่อชนเหล่านั้น
ในบัดนี้ ดำริฉะนี้แล้วจึงยังฝนโบกขรพรรษให้ตกลง ณ สมาคมแห่งกษัตริย์
ทั้ง 6 พระองค์ ชนเหล่าใดใคร่ให้เปียกชนเหล่านั้นก็เปียก เหล่าชนที่ไม่ต้องการ
ให้เปียก แม้สักหยาดเดียวก็ไม่ตั้งอยู่ในเบื้องบนแห่งชนเหล่านั้น เพียงดังน้ำ
กลิ้งไปจากใบบัวฉะนั้น ฝนโบกขรพรรษนั้นเป็นเหมือนน้ำฝนที่ตกลงบนใบบัว
ด้วยประการฉะนี้ ในกาลนั้นกษัตริย์ทั้ง 6 พระองค์ก็กลับฟื้นพระองค์ มหา-
ชนทราบความมหัศจรรย์ว่า ฝนโบกขรพรรษตก ณ สมาคมพระญาติแห่ง
พระมหาสัตว์ และแผ่นดินไหว.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า
ความกึกก้องใหญ่ได้เกิดแก่สมาคมพระญาติ ภูเขา
ทั้งหลายก็บันลือลั่น แผ่นดินก็หวั่นไหว ฝนตกลงเป็น
ท่อธารในกาลนั้น ลำดับนั้น พระราชาเวสสันดรก็
ประชุมด้วยพระประยูรญาติทั้งหลาย พระชาลีและพระ
กัณหาชินาผู้พระราชนัดดา พระนางมัทรีผู้สะใภ้ พระ
เวสสันดรผู้พระราชโอรส พระเจ้าสญชัยผู้มหาราช

และพระนางเจ้าผุสดีผู้พระมเหสี ได้ประชุมโดยความ
เป็นอันเดียวกันในกาลใด ความมหัศจรรย์อันให้ขนพอง
สยองเกล้าได้มีในกาลนั้น ชาวแคว้นสีพีที่มาประชุม
กันทั้งหมด ร้องไห้อยู่ในป่าอันน่ากลัว ประนมมือแด่
พระเวสสันดร ทูลวิงวอนพระเวสสันดรและพระนาง
มัทรีว่า ขอพระองค์เป็นอิสรราชแห่งข้าพระองค์ทั้ง
หลาย ขอทั้งสองพระองค์จงครองราชสมบัติเป็นพระ-
ราชาแห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โฆโส ได้แก่ ความกึกก้องอันประกอบ
ด้วยความกรุณา. บทว่า ปญฺชลิกา ความว่า ชาวพระนคร ชาวนิคมและ
ชาวชนบท ทั้งหมดต่างประคองอัญชลี. บทว่า ตสฺส ยาจนฺติ ความว่า
หมอบลงแทบพระบาทแห่งพระเวสสันดร ร้องไห้คร่ำครวญวิงวอนว่า ข้าแต่
สมมติเทพ ขอพระองค์จงเป็นนาย เป็นใหญ่ เป็นบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย
มหาชนประสงค์จะอภิเษกทั้งสองพระองค์ในที่นี้นี่แหละแล้วนำเสด็จสู่พระนคร
ขอพระองค์จงรับเศวตฉัตรอันเป็นของมีอยู่แห่งราชสกุล.
จบฉขัตติยบรรพ

นครกัณฑ์


พระมหาสัตว์ได้ทรงสดับดังนั้นแล้ว เมื่อจะตรัสกับพระชนก จึงตรัส
คาถานี้ว่า
พระองค์และ ชาวชนบท ชาวนิคมประชุมกันให้
เนรเทศหม่อมฉันผู้ครองราชสมบัติโดยธรรมจากแว่น
แคว้น.

ต่อนั้น พระเจ้าสญชัยเมื่อจะยังพระโอรสให้อดโทษแก่พระองค์ จึง
ตรัสว่า
ลูกรัก จริงทีเดียว การที่พ่อให้ขับไล่ลูกผู้ไม่มี
โทษ เพราะถ้อยคำของชาวสีพีนั้น ชื่อว่าพ่อได้กระทำ
กรรมอันชั่วช้า ทำกรรมอันทำลายความเจริญแก่พวก
เรา.

ครั้นตรัสคาถานี้แล้ว เมื่อจะทรงวิงวอนพระโอรสเพื่อนำความทุกข์
ของพระองค์ไปเสีย จึงตรัสคาถานี้ว่า
ธรรมดาบุตรควรนำความทุกข์ของบิดามารดา
หรือพี่น้องหญิงออกเสีย ด้วยคุณที่ควรสรรเสริญอันใด
อันหนึ่ง แม้ด้วยชีวิตของตน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุทพฺพเห ได้แก่ พึงนำไป. บทว่า
อปิ ปาเณหิ อตฺตโน ความว่า ได้ยินว่า พระเจ้าสญชัยตรัสอย่างนี้กะ
พระเวสสันดร ด้วยพระประสงค์อันนี้ว่า แน่ะพ่อ ธรรมดาบุตรพึงนำความ