เมนู

กุมารบรรพ


ฝ่าย ชูชก ไปจนถึงฝั่งโบกขรณีสี่เหลี่ยมตามทางที่ พระอัจจุตดาบส
บอก คิดว่า วันนี้เย็นเกินไปเสียแล้ว บัดนี้พระนางมัทรีจักเสด็จกลับจากไป
ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงย่อมกระทำอันตรายแก่ทาน พรุ่งนี้เวลาพระนางเสด็จไปป่า เรา
จึงไปสู่อาศรมบทเฝ้าพระเวสสันดรราชฤาษี ทูลขอกุมารกุมารีทั้งสอง เมื่อพระ
นางยังไม่เสด็จกลับ ก็จักพาสองกุมารกุมารีนั้นหลีกไป จึงขึ้นสู่เนินภูผาแห่ง
หนึ่งในที่ไม่ไกลสระนั้นนอน ณ ที่มีความสำราญ.
ก็ราตรีนั้นเวลาใกล้รุ่ง พระนางมัทรีได้ทรงพระสุบิน ความในพระ-
สุบินนั้นว่า มีชายคนหนึ่งผิวดำนุ่งห่มผ้ากาสายะสองผืน ทัดดอกไม้สีแดงทั้ง
สองหู ถืออาวุธตะดอกขู่มาเข้าสู่บรรณศาลาจับพระชฎาของพระนางคร่ามา ให้
พระนางล้มหงาย ณ พื้น ควักดวงพระเนตรทั้งสองและตัดพระพาหาทั้งสองของ
พระนางผู้ร้องไห้อยู่ ทำลายพระอุระถือเอาเนื้อพระหทัย ซึ่งมีหยาดพระโลหิต
ไหลอยู่แล้วหลีกไป พระนางมัทรีตื่นบรรทมทั้งตกพระหทัยทั้งสะดุ้ง ทรง
รำพึงว่า เราฝันร้าย บุคคลผู้จะทำนายฝันเช่นกับพระเวสันดรไม่มี เราจัก
ทูลถามพระองค์ ทรงคิดฉะนี้แล้วเสด็จไปเคาะพระทวารบรรณศาลาแห่งพระ
มหาสัตว์.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ทรงสดับเสียงเคาะพระทวารนั้น จึงตรัสทัก
ถามว่า นั่นใคร พระนางทูลสนองว่า หม่อมฉันมัทรี พระเจ้าค่ะ พระเวส-
สันดรตรัสว่า แน่ะนางผู้เจริญ เธอทำลายกติกาวัตรของเราทั้งสองเสียแล้ว
เพราะเหตุไรจึงมาในเวลาอันไม่สมควร พระนางมัทรีกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติ
เทพ หม่อมฉันมิได้มาเฝ้าด้วยอำนาจกิเลส ก็แต่ว่าหม่อมฉันฝันร้าย พระเวส-

สันดรตรัสว่า ถ้าอย่างนั้นเธอจงเล่าไป พระนางมัทรีก็เล่าถวายโดยทำนองที่
ทรงสุบินทีเดียว พระมหาสัตว์ทรงกำหนดพระสุบินนั้นแล้วทรงดำริว่า ทาน
บารมีของเราจักเต็มรอบ พรุ่งนี้จักมียาจกมาขอบุตรี เราจักยังนางมัทรีให้อุ่น
ใจแล้วจึงกลับไป ทรงดำริฉะนั้นแล้วตรัสว่า แน่ะมัทรี จิตของเธอขุ่นมัว
เพราะบรรทมไม่ดี เสวยอาหารไม่ดี เธออย่ากลัวเลย แล้วตรัสโลมเล้าเอา
พระทัย ให้อุ่นพระหทัยแล้วตรัสส่งให้เสด็จกลับไป.
ในเมื่อราตรีสว่าง พระนางมัทรีทรงทำกิจที่ควรทำทั้งปวงแล้วสวม
กอดพระโอรสพระธิดา จุมพิต ณ พระเศียรแล้วประทานโอวาทว่า แน่. แม่
และพ่อ วันนี้มารดาฝันร้าย แม่และพ่ออย่าประมาทแล้วเสด็จไปเฝ้าพระมหา-
สัตว์ ทูลขอให้พระมหาสัตว์ทรงรับพระโอรสและพระธิดาด้วยคำว่า ขอพระองค์
อย่าทรงประมาทในทารกทั้งสอง แล้วทรงถือกระเช้าและเสียมเป็นต้น เช็ดน้ำ
พระเนตรเข้าสู่ป่าเพื่อต้องการมูลผลาผล
ฝ่ายชูชกคิดว่า บัดนี้พระนางมัทรีจักเสด็จไปป่าแล้ว จึงลงจากเนิน
ผามุ่งหน้ายังอาศรม เดินไปตามทางที่เดินได้เฉพาะคนเดียว ลำดับนั้นพระมหา
สัตว์เสด็จออกหน้าพระบรรณศาลาประทับนั่ง ดุจสุวรรณปฏิมาตั้งอยู่ ณ แผ่น
ศิลา ทรงคิดว่า บัดนี้ยาจกจักมา ก็ประทับทอดพระเนตรทางมาแห่งยาจกนั้น
ดุจนักเลงสุราอยากดื่มฉะนั้น พระราชโอรสและพระราชธิดาทรงเล่นอยู่ใกล้
พระบาทมูลแห่งพระราชบิดา พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรทางมา ก็ทอดพระ-
เนตรเห็นชูชกพราหมณ์มาอยู่ ทรงเป็นเหมือนยกทานธุระซึ่งทอดทิ้งมา 7
เดือน จึงตรัสว่า แน่ะพราหมณ์ผู้เจริญ แกจงมาเถิด ทรงโสมนัสเมื่อตรัส
เรียกพระชาลีราชกุมาร จึงตรัสพระคาถานี้ว่า

แน่ะพ่อชาลี พ่อจงลุกขึ้นยืน การมาของพวก
ยาจกในวันนี้ปรากฏเหมือนการมาของพวกยาจกครั้ง
ก่อน ๆ พ่อเห็นเหมือนดังพราหมณ์ ความชื่นชมยินดี
ทำให้พ่อเกษมศานติ์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โปราณํ วิย ทิสฺสติ ความว่า การมา
ของยาจกในวันนี้ ปรากฏเหมือนการมาของยาจกทั้งหลายแต่ทิศต่าง ๆ ในนคร
เชตุดรในกาลก่อน. บทว่า นนฺทิโย มาภิกีรเร ความว่า จำเดิมแต่กาลที่
เราเห็นพราหมณ์นั้นความโสมนัสก็แผ่คลุมเรา เป็นเหมือนเวลารดน้ำเย็น
1,000 หม้อ ลงบนศีรษะของผู้ที่ถูกแดดเผาในฤดูร้อน
พระชาลีราชกุมารได้ทรงฟังพระราชบิดาตรัสดังนั้น จึงกราบทูลว่า
ข้าแต่เสด็จพ่อ แม้เกล้ากระหม่อมก็เห็น ผู้นั้น
ปรากฏเหมือนพราหมณ์ที่เราจะต้องการอะไรมาอยู่
เขาเป็นแขกของเราทั้งหลาย.

ก็และครั้นกราบทูลฉะนี้แล้ว ได้ทรงทำความเคารพพระมหาสัตว์
เสด็จลุกไปต้อนรับพราหมณ์ชูชก ตรัสถามถึงการจะช่วยรับเครื่องบริขาร
พราหมณ์ชูชกเห็นพระชาลีราชกุมาร คิดว่า เด็กคนนี้จักเป็นพระชาลีราชกุมาร
พระราชโอรสของพระเวสสันดร เราจักกล่าวผรุสวาจาแก่เธอเสียตั้งแต่ต้นที
เดียว คิดฉะนี้แล้วจึงชี้นิ้วมือหมายให้รู้ว่า ถอยไป ถอยไป ดังนี้ พระชาลี
กุมารเสด็จหลีกไป ทรงคิดว่า ตาพราหมณ์นี้หยาบเหลือเกิน เป็นอย่างไร
หนอ ทอดพระเนตรสรีระของชูชกก็เห็นบุรุษโทษ 18 ประการ ฝ่ายพราหมณ์
ชูชกเข้าไปเฝ้าพระโพธิสัตว์ เมื่อจะทำปฏิสันถารจึงกล่าวว่า

พระองค์ไม่มีพระโรคาพาธกระมัง พระองค์มี
ความผาสุกสำราญกระมัง พระองค์ทรงยังอัตภาพให้
เป็นไปด้วยเสาะแสวงหาผลาหารสะดวกกระมัง มูล
ผลาหารมีมากกระมัง เหลือบ ยุง และสัตว์เลื้อยคลาน
ทีจะมีน้อยกระมัง ความเบียดเบียนให้ลำบากในวน-
ประเทศที่เกลื่อนไปด้วยเนื้อร้ายไม่ค่อยมีกระมัง.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์เมื่อจะทรงทำปฏิสันถารกับชูชกนั้น จึงตรัสว่า
ดูก่อนพราหมณ์ เราทั้งหลายไม่ค่อยมีอาพาธ
สุขสำราญดี ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยเสาะแสวงหา
ผลไม้สะดวกดี และมูลผลาหารก็มีมาก อนึ่ง เหลือบ
ยุง และสัตว์เลื้อยคลานมีบ้างก็เล็กน้อย ความเบียด
เบียนให้ลำบากในวนประเทศที่เกลื่อนไปด้วยเนื้อร้าย
ก็ไม่ค่อยมีแก่เรา.
เมื่อพวกเรามาอยู่ในป่า มีชีวิตเตรียมตรมตลอด 7
เดือน เราเพิ่งเห็นพราหมณ์ผู้มีเพศอันประเสริฐ ถือ
ไม้เท้ามีสีดังผลมะตูม ภาชนะสำหรับบูชาเพลิงและ
หม้อน้ำ แม่นี้เป็นครั้งแรก ดูก่อนพราหมณ์ ท่านมา
ดีแล้วและมาไกลก็เหมือนใกล้ เชิญเข้าข้างใน ขอให้
ท่านเจริญเถิด ชำระล้างเท้าของท่านเสีย ดูก่อน
พราหมณ์ ผลมะพลับ ผลมะหวด ผลมะซาง และ
ผลหมากเม่า เป็นผลไม่มีรสหวาน เล็ก ๆ น้อย ๆ เชิญ
ท่านเลือกบริโภคแต่ที่ดี ๆ เถิด ดูก่อนพราหมณ์ น้ำดื่ม
นี้เย็น นำมาแต่ซอกเขา ขอเชิญดื่มเถิด ถ้าปรารถนา
จะดื่ม.

ก็และครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว พระมหาสัตว์ทรงดำริว่า พราหมณ์นี้จัก
ไม่มาสู่ป่าใหญ่นี้โดยไม่มีเหตุการณ์ เราจักถามแกถึงเหตุที่มาไม่ให้เนิ่นช้า จึง
ตรัสคาถานี้ว่า
ก็ท่านมาถึงป่าใหญ่ ด้วยเหตุการณ์เป็นไฉน เรา
ถามท่านแล้ว ขอท่านจงบอกความนั้นแก่เราเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วณฺเณน ได้แก่ ด้วยเหตุ. บทว่า
เหตุนา ได้แก่ ด้วยปัจจัย.
ชูชกทูลตอบว่า
ห้วงน้ำซึ่งเต็มเปี่ยมตลอดเวลาย่อมไม่เหือดแห้ง
ฉันใด พระองค์มีพระหฤทัยเต็มเปี่ยมด้วยศรัทธา
ฉันนั้น ข้าพระองค์มาเพื่อทูลขอพระโอรสพระธิดา
กะพระองค์ ขอพระองค์โปรดพระราชทานพระโอรส
พระธิดาแก่ข้าพระองค์ผู้ทูลขอเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วาริวโห ได้แก่ ห้องน้ำในปัญจมหานที.
บทว่า น ขียติ ความว่า คนผู้ระหายมาสู่แม่น้ำ ใช้มือทั้งสองบ้าง ภาชนะ
ทั้งหลายบ้างตักขึ้นดื่ม ก็ไม่หมดสิ้นไป. บทว่า เอวนฺตํ ยาจิตาคญฺฉึ
ความว่า ข้าพระองค์เข้าใจว่า พระองค์เป็นผู้มีอย่างนี้เป็นรูปทีเดียว เพราะ
เต็มเปี่ยมด้วยศรัทธา จึงได้มาทูลขอกะพระองค์. บทว่า ปุตฺเต เม เทหิ
ยาจิโต ความว่า พระองค์อันข้าพระองค์ทูลขอแล้ว โปรดพระราชทานพระ
โอรสพระธิดาทั้งสองของพระองค์ เพื่อประโยชน์เป็นทาสของข้าพระองค์.
พระเวสสันดรมหาสัตว์ได้ทรงสดับคำของชูชกดังนั้นก็ทรงโสมนัส
ทรงยังเชิงบรรพตให้บันลือลั่น ดุจบุคคลวางถุงเต็มด้วยกหาปณะหนึ่งพันในมือ
ของบุคคลที่เหยียดออกรับฉะนั้น ตรัสว่า

ดูก่อนพราหมณ์ เรายกให้ ไม่หวั่นไหว ท่านจง
เป็นใหญ่นำไปเถิด พระนางมัทรีราชบุตรีเสด็จไปป่า
เพื่อแสวงหาผลาผลแต่เช้า จักกลับมาเวลาเย็น ดูก่อน
พราหมณ์ ท่านจงอยู่ค้างเสียคืนหนึ่งก่อน รุ่งขึ้นเช้า
จึงไป พากุมารกุมารีซึ่งพระมารดาของเธอให้สรงแล้ว
สูดดมที่เศียรแล้ว ประดับระเบียบดอกไม้ ไปใน
มรรคาที่ปกคลุมด้วยนานาบุปผชาติประดับด้วยนานา
คันธชาติ เกลื่อนไปด้วยมูลผลาหาร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิสฺสโร ความว่า ท่านจงเป็นใหญ่
คือเป็นเจ้าของพระโอรสพระธิดาทั้งสองของเรา นำเขาไป แต่ยังมีเหตุการณ์
นี้อีกอย่างหนึ่งคือ พระราชบุตรีมัทรีผู้เป็นพระมารดาของกุมารกุมารีเหล่านั้นไป
หาผลาผลแต่เช้า จักกลับมาจากป่าเวลาเย็น ท่านบริโภคผลาผลอร่อยๆ ที่
พระนางมัทรีนั้นนำมา วันนี้พักอยู่คืนหนึ่งในป่านี้แหละ แล้วค่อยพาเด็กทั้ง
สองไปแต่เช้าทีเดียว. บทว่า ตสฺสา นหาเต ได้แก่ พระนางมัทรีสรงให้
แล้ว. บทว่า อุปสึฆาเต ได้แก่ สูดดมเศียรแล้ว. บทว่า อถ เน มาล-
ธาริเน
ได้แก่ ตกแต่งด้วยระเบียบดอกไม้อันวิจิตร นำระเบียบดอกไม้นั้น
ไปด้วย. ก็บทว่า อถ เน ท่านเขียนไว้ในคัมภีร์บาลี เนื้อความของบทนั้น
ท่านมิได้วิจารณ์ไว้. บทว่า มูลผลากิณฺเณ ความว่า เกลื่อนไปด้วยมูล
ผลาผลต่าง ๆ ที่ให้ไว้เพื่อประโยชน์แก่เสบียงในมรรคา.
ชูชกกล่าวว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้จอมทัพ ข้าพระองค์ไม่ชอบใจ
อยู่แรม ข้าพระองค์ชอบใจกลับไป แม้อันตรายจะพึง

มีแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็ต้องไปทีเดียว เพราะว่า
สตรีทั้งหลายเหล่านี้เป็นผู้ไม่สมควรแก่การขอ เป็นผู้
ทำอันตราย รู้มนต์ ถือเอาสิ่งทั้งปวงโดยเบื้องซ้าย เมื่อ
พระองค์ทรงบำเพ็ญทานด้วยพระศรัทธา พระองค์อย่า
ได้ทรงเห็นพระมารดาของพระปิโยรสทั้งสองเลย พระ
มารดาจะทำอันตราย ข้าพระองค์จะต้องไปทีเดียว ขอ
พระองค์ตรัสเรียกพระโอรสพระธิดาทั้งสองมา พระ
โอรสพระธิดาทั้งสองอย่าต้องพบพระมารดาเลย เมื่อ
พระองค์ทรงบริจาคทานด้วยพระศรัทธา บุญก็ย่อม
เจริญทั่ว ด้วยประการฉะนี้.
ข้าแต่พระราชฤาษี ขอพระองค์ตรัสเรียกพระ-
ราชบุตรพระราชบุตรีมา พระราชบุตรพระราชบุตรีทั้ง
สองอย่าต้องพบพระมารดาเลย พระองค์พระราชทาน
ทรัพย์แก่ยาจกเช่นข้าพระองค์แล้วจักเสด็จไปสู่สวรรค์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นํ ในบาทคาถาว่า น เหตา ยาจ-
โยคี นํ
นี้ เป็นเพียงนิบาต มีคำอธิบายว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ธรรมดา
สตรีเหล่านั้นเป็นผู้ไม่ควรจะขอเลย คือย่อมเป็นผู้ไม่สมควรแก่การขอโดยแท้.
บทว่า อนฺตรายสฺส การิยา ความว่า ย่อมกระทำอันตรายแก่บุญของ
ทายก กระทำอันตรายแก่ลาภของยาจก. บทว่า มนฺตํ ความว่า สตรีทั้งหลาย
ย่อมรู้มายา. บทว่า วามโต ความว่า ถือเอาสิ่งทั้งปวงโดยเบื้องซ้าย ไม่
ถือเอาโดยเบื้องขวา. สทฺธาย ทานํ ททโต ความว่า เมื่อพระองค์ทรง

เชื่อกรรมและผลแห่งกรรมบริจาคทาน. บทว่า มาสํ ความว่า อย่าต้องพบ
พระมารดาของพระกุมารกุมารีเหล่านั้นเลย. บทว่า กยิรา แปลว่า พึงกระทำ.
บทว่า อามนฺตยสฺสุ ความว่า ชูชกทูลว่า ขอพระองค์โปรดให้ทราบว่าจะ
ส่งไปกับข้าพระองค์. บทว่า ททโต ได้แก่ เมื่อทรงบริจาค.
พระเวสสันดรตรัสว่า
ถ้าท่านไม่ปรารถนาจะพบพระมเหสีผู้ผู้มีวัตรอัน
งามของข้าไซร้ ท่านจงถวายชาลีกุมารและกัณหาชินา
กุมารีทั้งสองนี้ แด่พระเจ้าสญชัยผู้เป็นพระอัยกา
พระอัยกาทอดพระเนตรเห็นพระกุมารกุมารีทั้งสองนี้ผู้
มีเสียงไพเราะ เจรจาน่ารัก จักทรงปีติดีพระทัย
พระราชทานทรัพย์แก่ท่านเป็นอันมาก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อยฺยกสฺส ได้แก่ แด่พระเจ้าสญชัย
มหาราชผู้เป็นพระชนกนาถของเรา. บทว่า ทสฺสติ เต ความว่า พระเจ้า
สญชัยมหาราชพระองค์นั้นจักพระราชทานทรัพย์เป็นอันมากแก่ท่าน.
ชูชกทูลว่า
ข้าแต่พระราชบุตร ข้าพระองค์กลัวต่อข้อหาชิง
พระกุมารกุมารีแล้วจับข้าพระองค์ไว้ ขอพระองค์
โปรดฟังข้าพระองค์ พระเจ้าสญชัยมหาราชพึงพระ-
ราชทานตัวข้าพระองค์แก่อำมาตย์ทั้งหลายเพื่อลงราช-
ทัณฑ์ หรือพึงให้ข้าพระองค์ขายพระโอรสพระธิดา
หรือพึงประหารชีวิตเสีย ข้าพระองค์ขาดจากทรัพย์
และทาสทาสี นางอมิตตตาปนาพราหมณีจะพึงติเตียน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อจฺเฉทนสฺส ได้แก่ ต่อข้อหาชิงกุมาร
กุมารีแล้วจับ. บทว่า ราชทณฺฑาย มํ ทชฺชา ความว่า พระเจ้ากรุงสญ-
ชัยพึงพระราชทานข้าพระองค์แก่อำมาตย์ทั้งหลายเพื่อลงราชทัณฑ์ ด้วยข้อหา
อย่างนี้ว่า พราหมณ์คนนี้เป็นโจรลักเด็ก จงลงราชทัณฑ์แก่มัน. บทว่า
คาเรยฺหสฺส พฺรหฺมพนฺธุยา ความว่า และข้าพระองค์จักพึงถูกนางอมิตต-
ตาปนาพราหมณีติเตียน
พระเวสสันดรตรัสว่า
พระมหาราชเจ้าผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญ สถิตอยู่ใน
ธรรม ทอดพระเนตรเห็น พระกุมารกุมารีผู้มีเสียง
ไพเราะ เจรจาน่ารักนี้ ทรงได้ปีติโสมนัส จัก
พระราชทานทรัพย์แก่ท่านเป็นอันมาก.

ชูชกทูลว่า
ข้าพระองค์จักทำตามรับสั่งไม่ได้ ข้าพระองค์จัก
นำทารกทั้งสองไปให้บำเรอนางอมิตตตาปนาพราหมณี.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทารเกว ความว่า ข้าพระองค์ไม่ต้อง
การทรัพย์อย่างอื่น ข้าพระองค์จักนำสองทารกเหล่านี้ไปให้บำเรอพราหมณีของ
ข้าพระองค์.
พระชาลีราชกุมารและพระกัณหาชินาราชกุมารีได้สดับผรุสวาจานั้น
ของชูชกก็เกรงกลัว พากันเสด็จไปหลังบรรณศาลา แล้วหนีไปจากที่แม้นั้น
ซ่อนองค์ที่ชัฏพุ่มไม้ องค์สั่นทอดพระเนตรเห็นพระองค์เหมือนถูกชูชกมาจับ
ไปแม้ในที่นั้น เมื่อไม่สามารถจะดำรงอยู่ ณ ที่ไร ๆ ก็วิ่งไปแต่ที่นี้บ้าง ๆ เลย

เสด็จไปถึงสระโบกขรณีสี่เหลี่ยม ทรงนุ่งผ้าเปลือกไม้มั่น ตกพระทัยกลัว
ลงสู่น้ำ เอาใบบัววางไว้บนพระเศียร เอาน้ำบังองค์ประทับยืนอยู่.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า
แต่นั้นพระกุมารกุมารีได้ฟังคำที่ชูชกผู้ร้ายกาจ
กล่าวก็สะทกสะท้านทั้งพระชาลีและพระกัณหาชินา
สององค์พากันวิ่งไปแต่ที่นั้น ๆ.

ฝ่ายชูชกไม่เห็นสองกุมาร จึงพูดรุกรานพระโพธิสัตว์ว่า ข้าแต่พระ-
เวสสันดรผู้เจริญ พระองค์ประทานกุมารกุมารีแก่ข้าพระองค์บัดนี้ ครั้น
ข้าพระองค์ทูลว่า ข้าพระองค์จักไม่ไปเชตุดรราชธานี จักนำกุมารกุมารีไปให้
บำเรออมิตตตาปนาพราหมณีของข้าพระองค์ พระองค์ก็ให้สัญญาโบกไม้โบกมือ
ให้พระโอรสพระธิดาหนีไปเสีย แล้วนั่งทำเป็นไม่รู้ คนพูดมุสาเช่นพระองค์
เห็นจะไม่มีในโลก.
ฝ่ายพระมหาสัตว์ได้ทรงสดับดังนั้นก็ตกพระทัย ทรงดำริว่า เด็กทั้ง
สองจักหนีไป จึงรับสั่งว่า ดูก่อนพราหมณ์ ท่านอย่าคิดเลย เราจักนำตัวมา
ทั้งสองคน ตรัสฉะนั้นแล้วเสด็จลุกขึ้นไปหลังบรรณศาลา ก็ทรงทราบว่าพระ
โอรสพระธิดาเข้าไปสู่ป่าชัฏ จึงเสด็จไปสู่ฝั่งสระโบกขรณี ตามรอยพระบาท
ของสองกุมารกุมารีนั้น ทอดพระเนตรเห็นรอยพระบาทลงสู่น้ำ ก็ทรงทราบ
ว่า พระโอรสและพระธิดาจักลงไปยืนอยู่ในน้ำ จึงตรัสเรียกว่า พ่อชาลี แล้ว
ตรัสคาถาว่า
ดูก่อนพ่อชาลีพระลูกรัก พ่อจงมา จงเพิ่มพูน
บารมีของพ่อให้เต็ม จงช่วยโสรจสรงหทัยของพ่อให้
เย็นฉ่ำ จงทำตามคำของพ่อ ขอเจ้าทั้งสองจงเป็น

ดังยานนาวาของพ่อ ไม่หวั่นไหวต่อสาครคือภพ พ่อ
จักข้ามฝั่งคือชาติ จักยังมนุษย์ทั้งเทวดาให้ข้ามด้วย

พระชาลีราชกุมารได้ทรงสดับพระดำรัสของพระราชบิดา จึงทรงคิดว่า
ตาพราหมณ์จงทำเราตามใจชอบเถิด เราจักไม่กล่าวคำสองกับพระราชบิดา
จึงโผล่พระเศียรแหวกใบบัวออกเสด็จขึ้นจากน้ำ หมอบแทบพระบาทเบื้องขวา
แห่งพระมหาสัตว์ กอดข้อพระบาทไว้มั่นทรงกันแสง ลำดับนั้น พระมหาสัตว์จึง
ตรัสถามพระชาลีว่า แน่ะพ่อ น้องหญิงของพ่อไปไหน พระชาลีทูลสนองว่า
ข้าแต่พระราชบิดา ธรรมดาว่าสัตว์ทั้งหลาย เมื่อภัยเกิดขึ้น ก็ย่อมรักษาตัว
ทีเดียว ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ก็ทรงทราบว่า ลูกทั้งสองของเราจักนัดหมาย
กัน จึงตรัสเรียกว่า แม่กัณหา แม่จงมา แล้วตรัสคาถาว่า
ดูก่อนแม่กัณหาธิดารัก แม่จง มาจงเพิ่มพูนทาน
บารมีที่รักของพ่อ จงช่วยโสรจสรงหทัยของพ่อให้เย็น
ฉ่ำ จงทำตามคำของพ่อ ขอเจ้าทั้งสองจงเป็นดังยาน
นาวาของพ่อ ไม่หวั่นไหวต่อสาครคือภพ พ่อจักข้าม
ฝั่งคือชาติ จักยกขึ้นซึ่งมนุษย์ทั้งเทวดาด้วย.

พระนางกัณหาชินาราชกุมารีได้ทรงสดับพระดำรัสของพระราชบิดา
จึงทรงคิดว่า เราจักไม่กล่าวคำสองกับพระราชบิดา จึงเสด็จขึ้นจากน้ำ
เหมือนกัน หมอบแทบพระบาทเบื้องซ้ายแห่งพระมหาสัตว์ กอดข้อพระบาท
ไว้มั่นทรงกันแสง พระอัสสุชลของสองพระกุมารกุมารีตกลงหลังหลังพระบาท
แห่งพระมหาสัตว์ ซึ่งมีพรรณดุจดอกปทุมบาน พระอัสสุชลของพระมหาสัตว์ก็
ตกลงบนพระปฤษฏางค์แห่งสองพระกุมารกุมารีซึ่งเช่นกับแผ่นทองคำ.
ครั้งนั้น พระมหาสัตว์ถึงความกวัดแกว่ง ราวกะว่ามีพระทัยหดหู่
ทรงลูบพระปฤษฏางค์แห่งราชกุมารกุมารีด้วยฝ่าพระหัตถ์อันอ่อนนุ่ม ยังพระ-

ราชกุมารกุมารีให้ลุกขึ้นปลอบโยนแล้วตรัสว่า แน่ะพ่อชาลี เจ้าไม่รู้ว่าพ่อวิตกถึง
ทานบารมีของพ่อดอกหรือ เจ้าจงยังอัธยาศัยของพ่อให้ถึงที่สุด ตรัสฉะนี้แล้ว
ประทับยืนกำหนดราคาราชบุตรราชบุตรีในที่นั้นดุจนายโคบาลตีราคาโคฉะนั้น.
ได้ยินว่า พระมหาสัตว์ตรัสเรียกพระโอรสมาตรัสว่า แน่ะพ่อชาลี
ถ้าพ่อใคร่เพื่อจะเป็นไท พ่อควรให้ทองคำพันลิ่มแก่พราหมณ์ชูชก จึงควร
เป็นไท ก็กนิษฐภคินีของพ่อเป็นผู้ทรงอุดมรูป ใคร ๆ ชาติต่ำพึงให้ทรัพย์เล็ก
น้อยแก่พราหมณ์ ทำกนิษฐภคินีของพ่อให้เป็นไท ทำให้แตกชาติ ยกเสียแต่
พระราชาใครจะให้สิ่งทั้งปวงอย่างละ 100 ย่อมไม่มี เพราะเหตุนั้น กนิษฐภคินี
ของพ่ออยากจะเป็นไท พึงให้สิ่งทั้งปวงอย่างละ 100 อย่างนี้ คือ ทาสี ทาส
ช้าง ม้า โค อย่างละ 100 และทองคำ 100 ลิ่ม แก่ชูชก แล้วจงเป็นไทเถิด.
พระเวสสันดรโพธิสัตว์ทรงกำหนดราคาพระราชกุมารกุมารีอย่างนี้แล้ว ทรง
ปลอบโยนแล้วเสด็จไปสู่อาศรม จับพระเต้าน้ำ เรียกชูชกมาตรัสว่า ดูก่อน
พราหมณ์ผู้เจริญ จงมานี่ แล้วทรงหลั่งน้ำลงในมือชูชก ทำให้เนื่องด้วยพระ-
สัพพัญญุตญาณ ตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ผู้เจริญ พระสัพพัญญุตญาณย่อม
เป็นที่รักยิ่งกว่าบุตรและบุตรีผู้เป็นที่รักกว่าร้อยเท่าพันเท่าแสนเท่าเมื่อจะทรง
ยังปฐพีให้บันลือลั่นได้พระราชทานปิยบุตรทานแก่พราหมณ์ชูชก.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า
แต่นั้น พระเวสสันดรราชฤาษีผู้ยังแคว้นของชาว
สีพีให้เจริญ ทรงพาพระชาลีราชโอรสและพระกัณหา-
ชินาราชธิดา ทั้งสององค์มาพระราชทานให้เป็น
ปุตตกทานแก่พราหมณ์ชูชก แต่นั้น พระเวสสันดร
ราชฤาษีทรงพาพระชาลีราชโอรสและพระกัญหาชินา

ราชธิดาทั้งสององค์มา ทรงปลื้มพระมนัสพระราชทาน
พระราชโอรสและพระราชธิดาให้เป็นทานอันอุดม
แก่พราหมณ์ชูชก อัศจรรย์อันให้สยดสยองและยัง
โลมชาติให้ชูชัน ในเมื่อพระกุมารกุมารีทั้งสอง อัน
พระเวสสันดรพระราชทานแก่พราหมณ์ชูชก เมทนีดล
ก็กัมปนาทหวาดหวั่นไหว ได้เกิดมีแล้วในกาลนั้น
อัศจรรย์อันให้สยดสยอง และยังโลมชาติให้ชูชัน
พระเวสสันดรราชฤาษีผู้ยังแคว้นแห่งชาวสีพีให้เจริญ
อันผู้ประชุมชนกระทำอัญชลี ได้พระราชทานพระราช
กุมารกุมารีผู้กำลังเจริญในความสุข ให้เป็นทานแก่
พราหมณ์ชูชก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จิตฺโต ได้แก่ ทรงเกิดพระปีติโสมนัส.
บทว่า ตทาสิ ยํ ภึสนกํ ความว่า ในกาลนั้น แผ่นดินใหญ่หนาแน่น
สองแสนสี่หมื่นโยชน์ อึกทึกกึกก้องคำรามลั่นสั่นสะเทือนเสมือนช้างพลายตกมัน
ด้วยเดชแห่งทานบารมี ในกาลนั้นสาครก็กระเพื่อม สิเนรุราชบรรพตก็น้อม
ยอดลงไปทางเขาวงกตตั้งอยู่ คล้ายหน่อหวายที่ต้มให้สุกดีแล้ว ท้าวสักกเทวราช
ทรงปรบพระหัตถ์ มหาพรหมได้ประทานสาธุการ เทวดาทั้งหมดก็ได้ให้
สาธุการ ได้เกิดโกลาหลเป็นอันเดียวกันจนถึงพรหมโลก ฟ้าคำรามพร้อมกับ
เสียงปฐพีให้ฝนตกลงชั่วขณะ สายฟ้าแลบในสมัยมิใช่กาล สัตว์จตุบาทมีราชสีห์
เป็นต้น ที่อยู่ในหิมวันตประเทศ ได้บันลือเสียงเป็นอันเดียวกัน ทั่ว
หิมวันต์อัศจรรย์อันน่าสยดสยองได้มีเห็นปานฉะนี้ แต่ในบาลีท่านกล่าวเพียงว่า
เมทนีสะเทือน เท่านั้นเอง. บทว่า ยํ แปลว่า ในกาลใด. บทว่า กุมาเร
สุขวจฺฉิเต
ความว่า ได้พระราชทานพระกุมารกุมารีที่เจริญอยู่ในความสุข

คืออยู่ในความสุขบริจาคอย่างเป็นสุข. บทว่า อทา ทานํ ความว่า ดูก่อน
พราหมณ์ผู้เจริญ พระสัพพัญญุตญาณย่อมเป็นที่รักยิ่งกว่าบุตรบุตรีของเรา โดย
ร้อยเท่าพันเท่าแสนเท่า ดังนั้นจึงได้พระราชทานเพื่อประโยชน์พระสัพพัญญุต-
ญาณนั้น.
พระมหาสัตว์ ทรงบำเพ็ญบุตรทานแล้ว ยังพระปีติให้เกิดขึ้นว่า โอ
ทานของเรา เราได้ให้ดีแล้วหนอ แล้วทอดพระเนตรดูพระกุมารกุมารีประทับ
ยืนอยู่.
ฝ่ายชูชกเข้าไปสู่ชัฏป่า เอาฟันกัดเถาวัลย์ถือมา ผูกพระหัตถ์เบื้องขวา
แห่งพระชาลีกุมารรวมกันกับพระหัตถ์เบื้องซ้ายแห่งพระกัณหาชินากุมารี ถือ
ปลายเถาวัลย์นั้นไว้ โบยตีพาไป.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า
แต่นั้น พราหมณ์ผู้ร้ายกาจนั้น ก็เอาฟันกัด
เถาวัลย์ ผูกพระกรแห่งพระกุมารกุมารีด้วยเถาวัลย์อีก
ข้างหนึ่งไว้ แต่นั้น พราหมณ์ถือเถาวัลย์ถือไม่เฆี่ยนตี
นำพระกุมารกุมารีไปต่อหน้าที่นั่ง แห่งพระเวสสันดร
สีวีราช.

พระฉวีของพระชาลีพระกัณหาชินาแตกตรงที่ที่ถูกตีแล้ว ๆ นั้น ๆ
พระโลหิตไหล พระชาลีและพระกัณหาชินาต่างเอาพระปฤษฎางค์เข้ารับไม้
แทนกันและกันในเมื่อถูกตี. ลำดับนั้น ชูชกพลาดล้มลงในสถานที่ไม่เสมอแห่ง
หนึ่ง เถาวัลย์อันแข็งเคลื่อนหลุดจากพระหัตถ์อันอ่อนแห่งพระกุมารกุมารี
พระกุมารกุมารีทรงกันแสงหนีไปหาพระมหาสัตว์.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า
พระชาลีและพระหัตตาหลีกไปจากที่นั้น พ้น
พราหมณ์ชูชก มีพระเนตรทั้งสองนองไปด้วยพระอัส-

สุชล พระชาลีชะเง้อดูพระบิดา องค์สั่นดุจใบอัสสัตถ-
พฤกษ์ อภิวาทพระบาทพระบิดา ครั้นถวายบังคม
พระบาทพระบิดาแล้วได้กราบทูลคำนี้ว่า ข้าแต่พระ
บิดา พระมารดาเสด็จออกไปป่าแล้ว พระบิดา
ประทานหม่อมฉันทั้งสอง ขอพระบิดาจงประทาน
หม่อมฉันทั้งสอง ต่อเมื่อหม่อมฉันทั้งสองได้พบพระ-
มารดาก่อนเถิด.
ข้าแต่พระบิดา พระมารดาเสด็จออกไปป่าแล้ว
พระบิดาประทานหม่อมฉันทั้งสอง ขอพระบิดาอย่า
เพิ่งประทานหม่อมฉันทั้งสอง จนกว่าพระมารดาของ
หม่อมฉันทั้งสองจะเสด็จ กลับมา พราหมณ์ชูชกนี้จง
ขายหรือจงฆ่าในกาลนั้นแน่แท้ ชูชกนี้ประกอบด้วย
บุรุษโทษ 18 ประการ คือ ตีนแบ 1 เล็บเน่า 1
มีปลีน่องย้อยยาน 1 มีริมฝีปากบนยาว 1 น้ำลาย
ไหล 1 มีเขี้ยวยาวออกจากริมฝีปากดังเขี้ยวหมู 1 จมูก
หัก 1 ท้องโตดังหม้อ 1 หลังค่อม 1 ตาเหล่ 1
หนวดสีเหมือนทองแดง 1 ผมสีเหลือง 1 เส้นเอ็น
ขึ้นสะพรั่ง เกลื่อนไปด้วยกระดำ 1 ตาเหลือกเหลือง
1 เอวคด หลังโกง คอเอียง 1 ขากาง 1 เดินตีน
ลั่นดังเผาะ ๆ 1 ขนตามตัวดกและหยาบ 1 นุ่งห่ม
หนังเสือเหลือง เป็นดังอมนุษย์น่ากลัว แกเป็นอมนุษย์
หรือยักษ์กินเนื้อและเลือด มาแต่บ้านสู่ป่าทูลขอทรัพย์
พระบิดา ข้าแต่พระบิดาพระองค์ทอดพระเนตรเห็น

หม่อมฉันทั้งสองอันผู้แกผู้ดุจปีศาจนำไปหรือหนอพระ
หฤทัยของพระองค์ราวกะผู้มั่นด้วยเหล็กแน่ทีเดียว
พราหมณ์ชูชกผู้แสวงหาทรัพย์ ผู้ร้ายกาจเกินเปรียบ
ผูกหม่อมฉันทั้งสอง และตีหม่อมฉันทั้งสองเหมือนตี
ฝูงโค พระองค์ไม่ทรงทราบหรือ น้องกัณหาจงอยู่ ณ
ที่นี้ เพราะเธอยังไม่รู้จักทุกข์สักนิดเดียว ลูกมฤคีที่
ยังกินนม พรากไปจากฝูงก็ร้องไห้หาแม่เพื่อจะกินนม
ฉันใด น้องกัณหาชินาเมื่อไม่เห็นพระมารดาก็จะ
กันแสงเหี่ยวแห้งสินชนมชีพ ฉันนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุทกฺขสิ ความว่า ไปสำนักพระมหา-
สัตว์ หวาดหวั่นไหวแลดูอยู่. บทว่า เวธํ ได้แก่ ตัวสั่น. บทว่า ตฺวญฺจ
โน ตาต ทสฺสสิ
ความว่า ข้าแต่เสด็จพ่อ พระองค์ได้ประทานหม่อมฉัน
ทั้งสองให้แก่พราหมณ์ ในเมื่อเสด็จแม่ยังมิได้กลับมาเลย ขอเสด็จพ่ออย่าได้
ทรงการทำอย่างนี้เลย โปรดยับยั้งไว้ก่อน พระเจ้าค่ะ จนกว่าหม่อมฉันทั้ง
สองจะได้เห็นเสด็จแม่ ต่อนั้นพระองค์จึงค่อยประทานในกาลที่หม่อมฉันทั้งสอง
ได้เห็นเสด็จแม่แล้ว พระเจ้าค่ะ. บทว่า วิกฺกีณาตุ หนาตุ วา ความว่า
ข้าแต่เสด็จพ่อ ในเวลาที่เสด็จแม่เสด็จมา พราหมณ์ชูชกนี้จงขายหรือจงฆ่า
หม่อมฉันทั้งสองก็ตาม หรือจงทำตามที่ปรารถนาเถิด อนึ่งพระชาลีราชกุมาร
ได้กราบทูลบุรุษโทษ 18 ประการว่า พราหมณ์กักขละหยาบช้านี้ประกอบด้วย
บุรุษโทษ 18 ประการ. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พลงฺกปาโท ได้แก่
ตีนแป. บทว่า อทฺธนโข ได้แก่ เล็บเน่า. บทว่า โอพทฺธปิณฺฑิโก
ได้แก่ มีเนื้อปลีแข้งหย่อนลงข้างล่าง. บทว่า ทีโฆตฺตโรฏฺโฐ ได้แก่

ประกอบด้วยริมฝีปากบนยาวยื่นปิดปาก. บทว่า จปโล ได้แก่ มีน้ำลายไหล.
บทว่า กฬาโร ได้แก่ ประกอบด้วยเขี้ยวยื่นออกเหมือนเขี้ยวหมู. บทว่า
ภคฺคนาสโก ได้แก่ ประกอบด้วยจมูกหักคือไม่เสมอกัน. บทว่า โลหมสฺสุ
ได้แก่ มีหนวดมีสีเหมือนทองแดง. บทว่า หริตเกโส ได้แก่ มีผมสีเหมือน
ทองงอกหยิก บทว่า วลีนํ ได้แก่ หนังย่นเป็นเกลียวทั่วตัว. บทว่า
ติลาหโก ได้แก่ เกลื่อนไปด้วยกระดำ. บทว่า ปิงฺคโล ได้แก่ มีตา
เหลือกเหลือง คือประกอบด้วยตาทั้งสองคล้ายตาแมว. บทว่า วินโต ได้แก่
มีคดในที่ 3 แห่ง คือ เอว หลัง คอ. บทว่า วิกโฏ ได้แก่ มีเท้าลั่น
ท่านกล่าวว่า มีที่ต่อกระดูกมีเสียง ก็มี คือประกอบด้วยที่ต่อกระดูกมีเสียงดัง
เผาะๆ. บทว่า พฺรหา ได้แก่ยาว.
บทว่า อมนุสฺโส ความว่า พราหมณ์นี้มิใช่มนุษย์ เป็นยักษ์ที่
เที่ยวไปในป่าด้วยเพศของมนุษย์เป็นแน่นะเสด็จพ่อ. บทว่า ภยานโก ได้แก่
น่ากลัวเหลือเกิน. บทว่า มนุสฺโส อุทาหุ ยกฺโข ความว่า ข้าแต่เสด็จพ่อ
ถ้าใคร ๆ เห็นพราหมณ์นี้แล้วถาม ก็ควรจะตอบว่า กินเนื้อและเลือดเป็นอาหาร.
บทว่า ธนํ ตํ ตาต ยาจติ ความว่า ข้าแต่เสด็จพ่อ พราหมณ์นี้ประสงค์
จะกินเนื้อของหม่อมฉันทั้งสอง จึงทูลขอทรัพย์คือบุตรต่อพระองค์. บทว่า
อุทิกฺขสิ ได้แก่ เพ่งดู. บทว่า อสฺมา นูน เต หทยํ ความว่า ข้าแต่
เสด็จพ่อ ธรรมดาบิดามารดาทั้งหลายย่อมมีหทัยอ่อนในบุตรทั้งหลายไม่ทนดู
ความทุกข์ของบุตรทั้งหลายอยู่ได้ แต่พระหฤทัยของพระองค์เห็นจะเหมือน
แผ่นหิน อีกอย่างหนึ่ง หฤทัยของพระองค์คงจะใช้เหล็กผูกไว้มั่น ฉะนั้นเมื่อ
หม่อมฉันทั้งสองมีความทุกข์เกิดขึ้นเห็นปานฉะนี้ เสด็จพ่อจึงไม่เดือดร้อน.
บทว่า น ชานาสิ ความว่า พระองค์ประทับนั่งอยู่เหมือนไม่รู้สึก.

บทว่า อจฺจายิเกน ลุทฺเทน ได้แก่ ร้ายกาจเหลือเกิน คือเกิน
ประมาณ. บทว่า โน โย ความว่า พระองค์ไม่ทรงทราบหรือว่าหม่อมฉัน
สองพี่น้องถูกพราหมณ์ผูกมัดไว้. บทว่า สุมฺภติ ได้แก่ เฆี่ยนตี. บทว่า
อิเธว อจฺฉตํ ความว่า ข้าแต่เสด็จพ่อ น้องกัณหาชินานี้ยังไม่รู้จักความทุกข์
ยากอะไร ๆ เลย เมื่อไม่เห็นเสด็จแม่ก็จะกันแสง จักเหี่ยวแห้งสิ้นชนมชีพไป
เหมือนลูกมฤคีน้อยที่ยังกินนม พรากจากฝูง เมื่อไม่เห็นแม่ ย่อมร้องคร่ำครวญ
อยากกินนมฉะนั้น เพราะฉะนั้น ขอพระองค์จงทรงประทานหม่อมฉันเท่านั้น
แก่พราหมณ์ หม่อมฉันจักไป ขอให้น้องกัณหาชินานี้อยู่ในที่นี้แหละ.
เมื่อพระชาลีราชกุมารกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระมหาสัตว์ก็มิได้ตรัส
อะไร ๆ แต่นั้นพระชาลีราชกุมารเมื่อทรงคร่ำครวญปรารภถึงพระชนกชนนี
จึงตรัสว่า
ทุกข์เห็นปานดังนี้ของลูกนี้ ไม่สู้กระไร เพราะ
ทุกข์นี้ลูกผู้ชายพึงได้รับ แต่การที่ลูกไม่ได้พบพระ-
มารดา เป็นทุกข์ยิ่งหว่าทุกข์เห็นปานดังนี้, พระมารดา
พระบิดาเมื่อไม่ทอดพระเนตรเห็นกัณหาชินากุมารี
ผู้งามน่าดู ก็จะเป็นผู้กำพร้าทรงกันแสงสิ้นราตรีนาน
พระมารดาพระบิดาเมื่อไม่ทอดพระเนตรเห็นกัณหา-
ชินากุมารีผู้งามน่าดู ก็จะเป็นผู้กำพร้าทรงกันแสงอยู่
นานในพระอาศรม.
พระมารดาพระบิดาจะเป็นผู้กำพร้าทรงกันแสง
ตลอดราตรีนาน จักเหี่ยวแห้งในกึ่งราตรีหรือตลอด
ราตรี ดุจแม่น้ำเหือดแห้งไปฉะนั้น.

วันนี้เราทั้งสองจะละรุกขชาติต่าง ๆ เช่นไม้หว้า
ไม้ยางทรายซึ่งมีกิ่งห้อยย้อย และรุกขชาติที่มีผลต่าง ๆ
เช่นไม้โพบาย ขนุน ไทร มะขวิด วันนี้เราทั้งสอง
จะละสวนและแม่น้ำซึ่งมีน้ำเย็น ที่เราเคยเล่นในกาล
ก่อน วันนี้เราทั้งสองจะละบุปผชาติต่าง ๆ บนภูผา
ซึ่งเคยทัดทรงในกาลก่อน และผลไม้ต่าง ๆ บนภูผา
ซึ่งเคยบริโภคในกาลก่อน วันนี้เราทั้งสองจะละตุ๊กตา
ช้าง ตุ๊กตาม้า ตุ๊กตาวัว ซึ่งพระบิดาทรงปั้นประทาน
ที่เราเคยเล่นในกาลก่อน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุมุนา ความว่า ทุกข์นี้อันบุรุษผู้ท่อง
เที่ยวอยู่ในภพพึงได้. บทว่า ตํ เม ทุกฺขตรํ อิโต ความว่า ทุกข์ของเรา
เมื่อไม่ได้เห็นพระมารดานั้น เป็นทุกข์ยิ่งกว่าทุกข์ที่เกิดแต่ถูกเฆี่ยนตีนี้ร้อยเท่า
พันเท่า แสนเท่า. บทว่า รุจฺฉติ ได้แก่ จักทรงกันแสง. บทว่า อฑฺฒ-
รตฺเต ว รตฺเต วา
ความว่า ทรงนึกถึงเราทั้งสอง จักทรงกันแสงนาน
ตลอดกึ่งราตรี หรือตลอดราตรี. บทว่า อวสุสฺสติ ความว่า จักเหี่ยวแห้ง
เหมือนแม่น้ำเล็ก ๆ ซึ่งมีน้ำน้อย คือ จักเหี่ยวแห้งสิ้นพระชนม์ เหมือนแม่น้ำ
นั้นจักเหือดแห้งทันทีในเมื่ออรุณขึ้น ฉะนั้น พระชาลีราชกุมารกล่าวอย่างนี้
ด้วยความประสงค์ด้วยประการฉะนี้. บทว่า เวทิสา ได้แก่ มีกิ่งห้อย.
บทว่า ตานิ ความว่า รากไม้ดอกไม้ผลของต้นไม้เหล่าใด ที่เราจับเล่นเป็น
เวลานาน เราทั้งสองจะต้องละต้นไม้เหล่านั้นไปในวันนี้. บทว่า หตฺถิกา
ได้แก่ ตุ๊กตาช้างที่พระบิดาปั้นให้เราทั้งสองเล่น.

เมื่อพระชาลีราชกุมารทรงคร่ำครวญอยู่อย่างนี้กับพระภคินีกัณหาชินา
ชูชกก็มาโบยตีกุมารกุมารีพาตัวหลีกไป.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า
พระราชกุมารกุมารี ทั้งสองเมื่อถูกชูชกนำไปได้
กราบทูลคำนี้แด่พระราชบิดาว่า ขอเสด็จพ่อโปรดรับ
สั่งแก่เสด็จแม่ว่าหม่อมฉันทั้งสองสบายดี และขอให้
เสด็จพ่อจงทรงมีความสุขสำราญเถิด.
ขอเสด็จพ่อจงทรงประทานตุ๊กตาช้าง ตุ๊กตาม้า
ตุ๊กตาวัวเหล่านี้ของหม่อมฉันทั้งสองแด่เสด็จแม่ เสด็จ
แม่จักนำความโศกออกได้ด้วยตุ๊กตาเหล่านี้ เสด็จแม่
ทอดพระเนตรเห็นเครื่องเล่น คือ ตุ๊กตาช้าง ตุ๊กตาม้า
ตุ๊กตาวัว ของหม่อมฉันทั้งสองเหล่านี้นั้น จักทรง
บรรเทาความเศร้าโศกเสียได้.

กาลนั้น ความเศร้าโศกมีกำลังเพราะปรารภพระโอรสพระธิดา ได้เกิด
ขึ้นแก่พระมหาสัตว์ พระหทัยมังสะของพระมหาสัตว์ได้เป็นของร้อน พระองค์
ทรงหวั่นไหวด้วยความเศร้าโศก ดุจช้างพลายตกมันถูกไกรสรราชสีห์จับและ
ดุจดวงจันทร์เข้าไปในปากแห่งราหู ไม่สามารถจะดำรงอยู่ได้ด้วยภาวะของ
พระองค์ มีพระเนตรนองไปด้วยพระอัสสุชล เสด็จเข้าบรรณศาลาทรงปริ-
เทวนาการอย่างน่าสงสาร.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า
แต่นั้นพระเวสสันดรราชขัตติยดาบสทรงบริจาค
ปิยบุตรทานแล้วเสด็จเข้าสู่บรรณศาลา ทรงคร่ำครวญ
อย่างน่าสงสาร.

คาถาแสดงการพร่ำรำพันของพระมหาสัตว์มีดังต่อไปนี้
วันนี้เด็กทั้งสองจะเป็นอย่างไรหนอ หิว กลัว
เดินทางร้องไห้ เวลาเย็นบริโภคอาหาร ใครจะให้
โภชนาหารแก่เด็กทั้งสองนั้น เด็กทั้งสองจะร้องขอ
อาหารว่า แม่จ๋า หม่อมฉันทั้งสองหิว ขอเสด็จแม่จง
ประทานอาหารแก่หม่อมฉันทั้งสอง เด็กทั้งสองดำเนิน
ด้วยพระบาทเปล่าไม่มีรองพระบาท จะดำเนินไปตาม
หนทางอย่างไรหนอ เมื่อเด็กทั้งสองมีพระบาทพอง
บวมทั้งสองข้าง ใครจักจูงหัตถ์เธอทั้งสองไป ชูชกตี
ลูก ๆ ผู้ไม่ประทุษร้ายต่อหน้าเรา แกช่างไม่อดสูแก่
ใจบ้างเลยหนอ แกเป็นอลัชชีแท้ ใครที่มีความอดสู
แก่ใจ จักกล้าตีทาสีทาสหรือคนใช้อื่นของเราที่สละ
ให้แล้วได้ ชูชกแกด่าตีลูก ๆ ที่รักของเราทั้งเห็นต่อ
ตาดุจคนหาปลาตีปลาที่ติดอยู่ในปากแห.

บรรดาบทเหล่านี้ บทว่า กนฺวชฺช ตัดบทเป็น กํ นุ อชฺช. บทว่า
อุปรุจฺเฉนฺติ ความว่า จักเดินร้องไห้ไปตลอดทาง 60 โยชน์. บทว่า
สํเวสนากาเล ได้แก่ เวลามหาชนเข้าเมือง. บทว่า โส เน ทสฺสติ ความว่า
ใครจักให้โภชนาหารแก่ลูก ๆ เหล่านั้น. บทว่า กถนฺนุ ปถํ คจฺฉนฺติ
ความว่า จักเดินทาง 60 โยชน์ได้อย่างไรหนอ. บทว่า ปตฺติกา ได้แก่
เว้นจากยานคือช้างเป็นต้น. บทว่า อุปาหนา ได้แก่ มีเท้าละเอียดอ่อนเว้น
แม้เพียงรองเท้าก็ไม่มี. บทว่า คเหสฺสติ ความว่า ใครจักช่วยประคอง
เพื่อบรรเทาความลำบาก. บทว่า ทาสีทาสสฺส ความว่า เป็นทาสีเป็นทาส.

บทว่า อญฺโญ วา ปน เปสิโย ความว่า ซึ่งเป็นคนใช้ คือผู้ทำการรับ
ใช้คนที่ 4 ของเราโดยสืบต่อ ๆ กันมาของทาสและนายทาสอย่างนี้ว่า เป็นทาส
ของผู้นั้นบ้าง เป็นทาสของผู้นั้นบ้าง รู้ว่า คนนี้เป็นทาสและนายทาสของพระ
เวสสันดรพระองค์นั้น ซึ่งทรงสละให้แล้วอย่างนี้. บทว่า โก ลชฺชี ความว่า
ใครที่มีความอดสูแก่ใจจะกล้าดีด้วยคิดว่า การตีลูก ๆ ของเราผู้ไม่มีความอดสู
แก่ใจนั้น ไม่สมควรเลยหนอ. บทว่า วาริชสฺเสว ความว่า ของเรา เหมือน
ตีปลาที่คิดอยู่ในปากแห. อักษร ในบทว่า อปสฺสโต เป็นเพียงนิบาต
ชูชกทั้งด่าทั้งตีลูก ๆ ที่รักของเราทั้งเห็นต่อตาทีเดียว โอ ตานี่ทารุณเหลือเกิน.
ครั้งนั้นความปริวิตกได้เกิดขึ้นแก่พระเวสสันดรมหาสัตว์ ด้วยทรง
สิเนหาในพระโอรสและพระธิดาอย่างนี้ว่า พราหมณ์นี้เบียดเบียนลูกทั้งสองของ
เราเหลือเกิน เมื่อไม่อาจกลั้นความโศกไว้ได้ดังนี้ เราจักติดตามไปฆ่าพราหมณ์
เสียแล้วนำลูกทั้งสองกลับมา แต่นั้นกลับทรงหวนคิดได้ว่า การที่ลูกเราทั้งสอง
ถูกเบียดเบียนเป็นความลำบากยิ่ง นั่นไม่ใช่ฐานะ การบริจาคปิยบุตรทานแล้ว
จะเดือดร้อนภายหลัง หาใช่ธรรมของสัตบุรุษไม่ คาถาแสดงความปริวิตก 2
คาถาที่ส่องเนื้อความนั้น มีดังนี้ว่า
เราจะถือคันพระแสงศร เหน็บพระแสงขรรค์ไว้
เบื้องซ้าย นำลูกทั้งสองของเรากลับมา เพราะการที่
ลูกทั้งสองลูกเฆี่ยนตีนำมาซึ่งความทุกข์ แต่ลูกทั้งสอง
พึงลำบากยากเข็ญนั้น ไม่ใช่ฐานะ ก็ใครเล่ารู้ธรรม
ของสัตบุรุษ บำเพ็ญทานแล้วจะเดือดร้อนภายหลัง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สตํ ได้แก่ ธรรมคือประเพณีของพระ-
โพธิสัตว์ในกาลก่อน. ได้ยินว่า พระโพธิสัตว์นั้นทรงอนุสรณ์ถึงประเพณีแห่ง

พระโพธิสัตว์ทั้งหลายในขณะนั้น แต่นั้นพระองค์ทรงดำริว่า พระโพธิ์สัตว์
ทั้งปวงไม่ทรงบริจาคมหาบริจาค 5 ประการ คือ บริจาคทรัพย์ บริจาคอวัยวะ
บริจาคชีวิตบริจาคบุตร บริจาคภรรยา หาเคยเป็นพระพุทธเจ้าได้ไม่ ก็ตัวเราก็
เข้าอยู่ในจำพวกพระโพธิสัตว์เหล่านั้น แม้เราไม่บริจาคบุตรและชายา ก็ไม่
อาจจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ ทรงดำริฉะนี้แล้ว ยังสัญญาให้เกิดขึ้นว่า แน่ะ
เวสสันดรเป็นอย่างไร ท่านไม่รู้ความที่บุตรและบุตรีที่ให้เพื่อเป็นทาสทาสีแก่ชน
เหล่าอื่น จะนำมาซึ่งความทุกข์ดอกหรือ เราจักตามไปฆ่าชูชกด้วยเหตุไรเล่า
แล้วทรงดำริต่อไปว่า ขึ้นชื่อว่าบริจาคทานแล้วตามเดือดร้อนภายหลัง หา
สมควรแก่เราไม่ ทรงตัดพ้อพระองค์เองอย่างนี้แล้ว ทรงอธิษฐานสมาทาน
ศีลมั่นโดยมนสิการว่า ถ้าชูชกฆ่าลูกทั้งสองของเรา จำเดิมแต่เวลาที่เราบริจาค
แล้วเราจะไม่กังวลอะไร ๆ ทรงอธิษฐานมั่นฉะนี้แล้ว เสด็จออกจากบรรณศาลา
ประทับนั่ง ณ แผ่นศิลา แทบทวารบรรณศาลา ดุจปฏิมาทองคำฉะนั้น.
ฝ่ายชูชกตีพระชาลีและพระกัณหาชินาต่อหน้าพระที่นั่งแห่งพระมหา-
สัตว์ นำไป.
ลำดับนั้น พระชาลีราชกุมารตรัสรำพันว่า
ได้ยินว่า นรชนบางพวกในโลกนี้ กล่าวความ
จริงได้อย่างนี้ว่า ผู้ใดไม่มีมารดาของตน ผู้นั้นเหมือน
ไม่มีทั้งบิดามารดา แน่ะน้องกัณหา มาเถิด เราจัก
ตายด้วยกัน อยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์ พระบิดาผู้จอมชน
ได้ประทานเราทั้งสองแก่พราหมณ์ผู้แสวงหาทรัพย์แก
ร้ายกาจเหลือเกิน แกตีเราทั้งสองเห็นนายโคบาลตี
ฝูงใด แน่ะน้องตัณหา เราทั้งสองจะละรุกขชาติต่าง ๆ

เช่นไม้หว้า ไม้ยางทราย ซึ่งมีกิ่งห้อยย้อย และรุกข-
ชาติที่มีผลต่าง ๆ เช่นไม้โพบาย ขนุน ไทร มะขวิด
ละสวนและแม่น้ำซึ่งมีน้ำเย็นที่เราเคยเล่นในกาลก่อน
ละบุปผชาติต่าง ๆ บนภูผา ซึ่งเคยทัดทรงในกาลก่อน
และผลไม้ต่าง ๆ บนภูผา ซึ่งเคยบริโภคในกาลก่อน
และละตุ๊กตาช้าง ตุ๊กตาวัว ที่พระบิดาวัว ที่พระบิดาทรง
ปั้นประทาน ที่เราเคยเล่นในกาลก่อน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยสฺส ความว่า มารดาของตนไม่มีใน
สำนักของผู้ใด.
ชูชกพราหมณ์พลาดล้มในสถานที่ไม่เสมอแห่งหนึ่งอีก เถาวัลย์ที่ผูกก็
เคลื่อนหลุดจากพระหัตถ์พระราชกุมารกุมารี ทั้งสององค์มีพระกายสั่นดุจไก่ถูก
ตี หนีมาหาพระราชบิดาโดยเร็วพร้อมกัน.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า
ชาลีราชกุมารและกัณหาชินาราชกุมาร ทั้งสอง
องค์ที่ถูกชูชกพราหมณ์นำไป พอหลุดพ้นจากแกมาได้
ก็วิ่งไปสู่สำนักพระเวสสันดรราชบิดา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เตน เตน ความว่า ได้วิ่งไปหาพระ-
ราชบิดาของเธอทั้งสอง ของที่หลุดพ้นจากพราหมณ์ชูชกนั้น อธิบายว่า วิ่ง
มาสู่สำนักของพระราชบิดาทีเดียว.
ฝ่ายชูชกลุกขึ้นโดยเร็วถือเถาวัลย์และไม้ ท่วมไปด้วยความโกรธ
เหมือนไฟตั้งขึ้นแต่กัลป์ฉะนั้น มาแล้วกล่าวว่า หนูทั้งสองฉลาดหนีเหลือเกิน
ผูกพระหัตถ์ทั้งสองแล้วนำพระกุมารกุมารีไปอีก.

พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า
แต่นั้น พราหมณ์ถือเถาวัลย์ ถือไม้เฆี่ยนตีนำ.
กุมารกุมารีไปต่อหน้าที่นั่งแห่งพระเวสสันดรสีวีราช.

เมื่อพระชาลีและพระกัณหาชินาอันชูชกนำไปอยู่อย่างนี้ พระกัณหา-
ชินาเหลียวกลับมาทอดพระเนตรทูลพระราชบิดา.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า
พระกัณหาชินาราชกุมารีได้ทูลพระราชบิดาว่า
ข้าแต่เสด็จพ่อ พราหมณ์นี้ตีหม่อมฉันด้วยไม้ เหมือน
นายตีทาสีที่เกิดในเรือน ข้าแต่เสด็จพ่อ ธรรมดาว่า
พราหมณ์ทั้งหลายย่อมเป็นผู้ประกอบด้วยธรรม แต่ตา
พราหมณ์นี้หาเป็นดังนั้นไม่ ยักษ์มาด้วยเพศพราหมณ์
เพื่อจะนำหม่อมฉันสองพี่น้องไปเคี้ยวกิน หม่อมฉัน
สองพี่น้องอันปีศาจนำไปอยู่ พระองค์ทอดพระเนตร
เห็นหรือหนอ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตํ ได้แก่ พระเจ้าสีวีราชผู้พระชนก
ซึ่งประทับนั่งทอดพระเนตรดูอยู่นั้น. บทว่า ทาสิยํ ได้แก่ ทาสี. บทว่า
ขาทิตุํ ได้แก่ เพื่อต้องการจะเคี้ยวกิน พระกัณหาชินาราชกุมารีทรงคร่ำ
ครวญว่า ข้าแต่เสด็จพ่อ ก็ตาพราหมณ์นี้นำหม่อมฉันสองพี่น้องไปยังไม่ทัน
ถึงประตูป่าเลย แกมีตาทั้งคู่แดงเป็นเหมือนมีโลหิตไหล เพื่อจะเคี้ยวกิน คือ
นำไปด้วยหวังว่าจักเคี้ยวกินเสียทั้งหมด พระองค์ก็ทรงเห็นหม่อมฉันสองพี่น้อง
ถูกนำไปเพื่อเคี้ยวกินหรือเพื่อต้มเสีย ขอพระองค์จงมีความสุขทุกเมื่อเถิด.
เมื่อพระกัณหาชินากุมารีน้อยทรงพิลาปรำพันองค์สั่นเสด็จไปอยู่ พระ-
เวสสันดรมหาสัตว์ทรงเศร้าโศกเป็นกำลัง พระหทัยวัตถุร้อน เมื่อพระนาสิก

ไม่พอจะระบายพระอัสสาสะปัสสาสะ ก็ต้องทรงปล่อยให้พระอัสสาสะปัสสาสะ
อันร้อนออกทางพระโอษฐ์ พระอัสสุเป็นดังหยาดพระโลหิตไหลออกจากพระ
เนตรทั้งสอง พระเวสสันดรมหาสัตว์ทรงดำริว่า ทุกข์เห็นปานนี้เกิดเพราะโทษ
แห่งความเสน่หา หาใช่เพราะเหตุการณ์อื่นไม่ เพราะฉะนั้น ควรเราเป็นผู้มี
จิตมัธยัสถ์วางอารมณ์เป็นกลาง อย่าทำความเสน่หา ทรงดำริฉะนี้แล้ว ทรง
บรรเทาความโศกเห็นปานนั้นเสียด้วยกำลังพระญาณของพระองค์ ประทับนั่ง
ด้วยพระอาการเป็นปกติ.
พระกัณหากุมารียังเสด็จไม่ถึงประตูป่า ก็ทรงพิลาปรำพันพลางเสด็จไป
ว่า
เท้าน้อย ๆ ของเราสองพี่น้องนี้นำมาซึ่งความ
ทุกข์ ทั้งหนทางก็ยาวไกลไปได้ยาก เมื่อดวงอาทิตย์
อัสดงลงต่ำ พราหมณ์ก็ให้เราสองพี่น้องเดินไป
ข้าพเจ้าสองพี่น้องขอน้อมนบไหว้ด้วยเศียรเกล้า ต่อ
เทพเจ้าเหล่าที่สิงสถิตอยู่ ณ ภูผาพนาลัยและที่สระปทุม
ชาติ และแม่น้ำซึ่งมีท่าอันดี ทั้งที่ติณชาติลดาวัลย์
สรรพพฤกษาที่เป็นโอสถ อันเกิด ณ บรรพตและแนว
ไพร ขอเทพเจ้าเหล่านั้นจงทูลแด่พระมารดาว่า หม่อม
ฉันสองพี่น้องมีความสำราญ พราหมณ์นี้กำลังนำ
หม่อมฉันสองพี่น้องไป ข้าแต่เทพเจ้าผู้เจริญทั้งหลาย
ขอเหล่าท่านจงทูลแด่พระมารดาของข้าพเจ้าสองพี่-
น้อง ผู้มีพระนามว่า พระแม่มัทรีว่า ถ้าพระมารดา
ทรงใคร่จะติดตามลูกทั้งสอง จงเสด็จติดตามมาโดย
พลัน ทางนี้เป็นทางเดินได้เฉพาะคนเดียว มาตรงไป

สู่อาศรม พระแม่เจ้าจงเสด็จตามมาทางนั้น จะได้
ทอดพระเนตรเห็นลูกทั้งสองทันท่วงที โอ ข้าแต่
พระแม่ชฏินีผู้ทรงนำมูลผลาผลมาแต่ไพร ความระทม
ทุกข์ จักมีแด่พระแม่เจ้า เพราะทอดพระเนตรเห็น
อาศรมนั้นว่างเปล่า มูลผลาผลที่พระแม่เจ้าได้มาด้วย
ทรงเสาะหาจนล่วงเวลา คงไม่น้อย พระแม่เจ้าคงไม่
ทรงทราบว่า ลูกทั้งสองถูกพราหมณ์ผู้แสวงทรัพย์ ผู้
ร้ายกาจเหลือเกิน ผูกไว้ แกตีลูกทั้งสอง เหมือนเขา
ตีฝูงโค เออก็ลูกทั้งสองได้ประสบพระแม่เจ้าผู้เสด็จมา
แต่ที่ทรงเสาะหามูลผลาผล ณ เย็นวันนี้ พระแม่เจ้าคง
ประทานผลไม้กับทั้งรวงผึ้งแก่พราหมณ์ พราหมณ์นี้
ได้กินอิ่มแล้ว คงไม่ยังลูกทั้งสองให้รีบเดินไป เท้า
ของลูกทั้งสองบวมพองแล้ว พราหมณ์ก็ยังรีบเดินไป
พระบาลีและพระกัณหาปรารถนาจะพบพระมัทรีผู้พระ
มารดา ก็ทรงพิลาปรำพันในสถานที่นั้น ด้วยประการ
ฉะนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาทุกา ได้แก่ เท้าน้อย ๆ. บทว่า
โอกนฺทามฺหเส ได้แก่ คร่ำครวญ. ข้าพเจ้าสองพี่น้องขอแสดงความนับถือ
คือความประพฤตินอบน้อมให้ทราบ. บทว่า สรสฺส ความว่า ขอกราบ
ไหว้เหล่าเทวดาผู้รักษาสระปทุมนี้ด้วยเศียรเกล้า. บทว่า สุปติตฺเถ จ อาปเก
ความว่า ขอกราบไหว้แม้เทวดาที่สิงสถิตอยู่ในแม่น้ำซึ่งมีท่าอันดี. บทว่า
ติณา ลตา ได้แก่ ติณชาติและลดาชาติที่ห้อยย้อยลง. บทว่า โอสโธฺย

ได้แก่ พฤกษชาติที่เป็นโอสถ พระกัณหาชินากุมารีตรัสอย่างนี้ทรงหมายถึง
เหล่าเทวดาที่สิงสถิตอยู่ในที่ทั้งปวง. บทว่า อนุปติตุกามา ความว่า แม้ถ้า
พระแม่เจ้านั้นมีพระประสงค์จะเสด็จมาตามรอยเท้าของลูกทั้งสอง. บทว่า อปิ
ปสฺเสสิ โน ลหุํ
ความว่า ถ้าพระแม่เจ้าเสด็จตามมาทางที่เดินได้เฉพาะคน
เดียวนั้น ก็จะได้พบลูกน้อยทั้งสองของพระองค์ทันท่วงที ฉะนั้นพระกัณหา-
กุมารีจึงตรัสอย่างนี้ พระกัณหากุมารีตรัสเรียกพระแม่เจ้า ด้วยการเรียกลับ
หลังว่า ชฏินี. บทว่า อติเวลํ ได้แก่ ทำให้เกินประมาณ. บทว่า อุญฺฉา
ได้แก่ มูลผลในป่า ที่ได้มาด้วยการเที่ยวเสาะหา. บทว่า ขุทฺเทน มิสฺสกํ
ได้แก่ ผสมน้ำผึ้งเล็กน้อย. บทว่า อาสิโต ได้แก่ ได้กินคือบริโภคผลไม้
แล้ว. บทว่า ฉาโต ได้แก่ มีความพอใจแล้ว. บทว่า น พาฬฺหํ ตรเยยฺย
ความว่า ไม่พึงนำไปด้วยความเร็วจัด. บทว่า มาตุคิทฺธิโน ความว่า
พระชาลีและพระกัณหาชินาประกอบด้วยความรักในพระมารดา มีความเสน่หา
เป็นกำลัง จึงได้พร่ำรำพันอย่างนี้
จบกุมารบรรพ

มัทรีบรรพ


ก็ในเมื่อ พระเวสสันดรราชฤาษี ทรงบริจาคปิยบุตรมหาทาน เกิด
มหัศจรรย์มหาปฐพีบันลือลั่นโกลาหลเป็นอันเดียวกันตลอดถึงพรหมโลก หมู่
เทวดาที่อยู่ ณ หิมวันตประเทศ เป็นประหนึ่งมีหทัยจะภินทนาการด้วยเหตุอัน
ได้ยินเสียงพิลาปรำพันนั้นแห่งพระชาลีราชกุมารและพระกัณหาชินาราชกุมารีที่
ชูชกพราหมณ์นำไป ต่างปรึกษากันว่า ถ้าพระนางมัทรีเสด็จมาสู่อาศรมสถาน