เมนู

กาลไม่นานเลย เพราะทรงกันแสงเป็นนิตย์.
กาลนั้นพรานเจตบุตรก็มีความโสมนัส ด้วยคิดว่า ได้ยินว่า บัดนี้
พราหมณ์นี้จะมาเชิญเสด็จพระเวสสันดรกลับ จึงผูกสุนัขทั้งหลายไว้ให้อยู่ที่
ส่วนข้างหนึ่ง แล้วให้ชูชกลงจากต้นไม้ ให้นั่งบนที่ลาดกิ่งไม้ ให้โภชนาหาร
เมื่อจะทำปฏิสันถาร จึงกล่าวคาถานี้ว่า
ข้าแต่ตาพราหมณ์ ตาเป็นทูตที่รักของพระเวส-
สันดรผู้เป็นที่รักของข้า ข้าจะให้กระบอกน้ำผึ้งและ
ขาเนื้อย่างเป็นบรรณาการแก่ตา และจักบอกประเทศที่
พระเวสสันดรผู้ประทานความประสงค์ประทับอยู่แก่ตา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปิยสฺส เม ความว่า ตาเป็นทูตที่รักของ
พระเวสสันดรผู้เป็นที่รักของข้า ข้าจะให้บรรณาการแก่ตา เพื่อความเต็มแห่ง
อัธยาศัย
จบชูชกบรรพ

จุลวนวรรณนา


พรานเจตบุตรให้พราหมณ์ชูชกบริโภคแล้ว ให้กระบอกน้ำผึ้งและขา
เนื้อย่างแก่ชูชก เพื่อเป็นเสบียงเดินทางอย่างนี้แล้ว ยืนที่หนทางยกมือเบื้อง
ขวาขึ้นเมื่อจะแจ้งโอกาสเป็นที่ประทับอยู่แห่งพระเวสสันดรมหาสัตว์ จึงกล่าวว่า
ดูก่อนมหาพราหมณ์ นั่นภูเขาคันธมาทน์ล้วน
แล้วไปด้วยศิลา ซึ่งเป็นที่ประทับแห่งพระราชา
เวสสันดรพร้อมด้วยพระมัทรีราชเทวีทั้งพระชาลีและ
พระกัณหาชินา ทรงเพศบรรชิตอันประเสริฐ และ

ขอสำหรับสอยผลาผล ภาชนะสำหรับใช้ในการบูชา
เพลิง กับทั้งชฎา ทรงหนังสือเหลืองเป็นภูษาทรง
บรรทมเหนือแผ่นดิน ทรงนมัสการเพลิง ทิวไม่เขียว
นั้นทรงผลต่าง ๆ และภูผาสูงยอดเสียดเมฆเขียวชะอุ่ม
นั่นแลเป็นเหล่าอัญชนภูผาเห็นปรากฏอยู่ นั่นเหล่าไม้
ตะแบก ไม้หูกวาง ไม้ตะเคียน ไม้รัง ไม่สะคร้อและ
เถายางทราย อ่อนไหวไปตามลมดังมาณพดื่มสุราครั้ง
แรกก็โซเซฉะนั้น เหล่านกโพระดก นกดุเหว่า ส่ง
เสียงร้องบนกิ่งต้นไม้ พึงฟังดุจสังคีตโผผินบินจาก
ต้นนั้นสู่ต้นนี้ กิ่งไม้และใบไม้ทั้งหลาย อันลมให้
หวั่นไหวแล้วเสียดสีกัน ดังจะชวนบุคคลผู้ผ่านไป
ให้มายินดี และยังบุคคลผู้อยู่ในที่นั้นให้เพลิดเพลิน
ซึ่งเป็นที่ประทับแห่งพระราชาเวสสันดรพร้อมด้วย
พระมัทรีราชเทวี ทั้งพระชาลีและพระกัมหาชินาทรง
เพศบรรพชิตอันประเสริฐ และขอสำหรับสอยผลาผล
ภาชนะสำหรับใช้ในการบูชาเพลิง กับทั้งชฎา ทรง
หนังเสือเหลืองเป็นภูษาทรง บรรทมเหนือแผ่นดิน
ทรงนมัสการเพลิง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า คนฺธมาทโน ความว่า นั่นภูเขาคันธ-
มาทน์ ท่านบ่ายหน้าทางทิศอุดรเดินไปตามเชิงภูเขาคันธมาทน์ จักเห็นอาศรม
ที่ท้าวสักกะประทาน ซึ่งเป็นที่พระราชาเวสสันดรพร้อมด้วยพระโอรสพระธิดา
และพระมเหสีประทับอยู่. บทว่า พฺราหฺมณวณฺณํ ได้แก่ เพศบรรพชิต
ผู้ประเสริฐ. บทว่า อาสทญฺจ มสญฺชฏํ ความว่า ทรงขอสำหรับสอย

เก็บผลาผล ภาชนะสำหรับใช้ในการบูชาเพลิง และชฎา. บทว่า จมฺมวาสี
ได้แก่ ทรงหนังเสือเหลือง. บทว่า ฉมา เสติ ความว่า บรรทมเหนือ
เครื่องปูลาดใบไม้บนแผ่นดิน. บทว่า ธวสฺสกณฺณา ขทิรา ได้แก่ ไม้
ตะแบก ไม้หูกวาง และไม้ตะเคียน. บทว่า สกึ ปีตาว มาณวา ความ
ว่า เป็นราวกะนักเลงดื่มน้ำเมา ดื่มครั้งเดียวเท่านั้น. บทว่า อุปริ ทุม-
ปริยาเยสุ
ได้แก่ ที่กิ่งแห่งต้นไม้ทั้งหลาย. บทว่า สงฺคีติโยว สุยฺยเร
ความว่า จะได้ฟังเสียงของเหล่านกต่าง ๆ ที่อยู่กัน ดุจทิพยสังคีต. บทว่า
นชฺชุหา ได้แก่ นกโพระดก. บทว่า สมฺปตนฺติ ได้แก่ เที่ยวส่งเสียง
ร้องเจี๊ยวจ๊าว. บทว่า สาขาปตฺตสมีริตา ความว่า เหล่านกถูกใบแห่งกิ่งไม้
เสียดสีก็พากันส่งเสียงร้องเจี๊ยวจ๊าว หรือกิ่งไม้มีใบอันลมพัดแล้วนั่นแล. บทว่า
อาคนฺตุํ ได้แก่ คนที่จะจากไป. บทว่า ยตฺถ ความว่า ท่านไปในอาศรม
บทซึ่งเป็นที่ประทับอยู่แห่งพระเวสสันดรแล้ว จักเห็นสมบัติแห่งอาศรมบทนี้.
พรานเจตบุตร เมื่อจะพรรณนาถึงอาศรมบทให้ยิ่งขึ้นกว่าที่กล่าวมา
แล้วนั้น จึงกล่าวว่า
ที่บริเวณอาศรมนั้น มีหมู่ไม้มะม่วง มะขวิด
ขนุน ไม้รัง ไม้หว้า สมอพิเภก สมอไทย มะขาม-
ป้อม ไม้โพธิ์ พุทรา มะพลับทอง ไม้ไทร ไม่มะสัง
ไม่มะซางมีรสหวาน งามรุ่งเรือง และมะเดื่อผลสุก
อยู่ในที่ต่ำทั้งกล้วยงาช้าง กล้วยหอม ผลจันทน์มีรส
หวานเหมือนน้ำผึ้ง ในป่านั้นมีรวงผึ้งไม่มีตัว คนถือเอา
บริโภคได้เอง อนึ่งในบริเวณอาศรมนั้น มีดงมะม่วง
ตั้งอยู่ บางต้นกำลังออกช่อ บางต้นมีผลเป็นหัวแมลง-

วัน บางต้นมีผลห่ามเป็นปากตะกร้อ บางต้นมีผลสุก
ทั้งสองอย่างนั้นมีพรรณดังสีหลังกบ อนึ่งในบริเวณ
อาศรมนั้น บุรุษยืนอยู่ใต้ต้นก็เก็บมะม่วงสุกกินได้
ผลมะม่วงดิบและสุกทั้งหลาย มีสีสวยกลิ่นหอมรส
อร่อยที่สุด เหตุการณ์เหล่านี้เป็นที่น่าอัศจรรย์แก่
ข้าพเจ้าเหลือเกิน ถึงกับออกอุทานว่า อือ ๆ ที่ประทับ
ของพระเวสสันดรนั้น เป็นดังที่อยู่แห่งเทวดาทั้งหลาย
งดงามปานนันทนวัน มีหมู่ตาล มะพร้าว และ
อินทผลัมในป่าใหญ่ ราวกะระเบียบดอกไม้ที่ช่างร้อย
ครองตั้งไว้ ปรากฏดังยอดธง วิจิตรด้วยบุปผชาติมี
พรรณต่าง ๆ เหมือนดาวเรื่อเรืองอยู่ในนภากาศ แลมี
ไม่มูกมัน โกฐ สะค้าน และแคฝอย บุนนาค บุนนาค-
เขาและทองหลาง มีดอกบานสะพรั่ง อนึ่งในบริเวณ
อาศรมนั้น มีไม้ราชพฤกษ์ ไม้มะเกลือ กฤษณา
รักดำ ก็มีมาก ต้นไทรใหญ่ ไม้รกฟ้า ไม่ประดู่ มี
ดอกบานสะพรั่งในบริเวณอาศรมนั้น มีไม้อัญชันเขียว
ไม้สน ไม้กะทุ่ม ขนุนสำมะกอ ไม้ตะแบก ไม้รัง
ล้วนมีดอกเป็นพุ่มคล้ายลอมฟาง ในที่ไม่ไกลอาศรม
นั้น มีสระโบกขรณี ณ ภูมิภาคน่ารื่นรมย์ ดาดาษ
ไปด้วยปทุมและอุบล ดุจในนันทนอุทยานของเหล่า
ทวยเทพฉะนั้น อนึ่งในที่ใกล้สระโบกขรณีนั้น มีฝูง
นกดุเหว่าเมารสบุปผชาติ ส่งเสียงไพเราะจับใจ ทำป่า

นั้นอื้ออึงกึกก้อง ในเมื่อหมู่ไม้ผลิดอกแย้มบานตาม
ฤดูกาล รสหวานดังน้ำผึ้งร่วงหล่นจากเกสรดอกไม้ลง
มาค้างอยู่บนใบบัว เรียกว่า โบกขรมธุ น้ำผึ้งใบบัว
(ขันฑสกร) อนึ่งลมทางทิศทักษิณและทิศประจิมย่อม
พัดมาที่อาศรมนั้น อาศรมเป็นสถานที่เกลื่อนกล่นด้วย
ละอองเกสรปทุมชาติ ในสระโบกขรณีนั้นมีกระจับ
ใหญ่ ๆ ทั้งข้าวสาลีร่วงลง ณ ภูมิภาค เหล่าปูในสระ
นั้นก็มีมาก ทั้งมัจฉาชาติและเต่าว่ายไปตามกันเห็น
ปรากฏ ในเมื่อเหง้าบัวแตก น้ำหวานก็ไหลออก ดุจ
นมสด เนยใส ไหลออกจากเหง้าบัวฉะนั้น วนประเทศ
นั้นฟุ้งไปด้วยกลิ่นต่างๆ หอนตลบไป วนประเทศนั้น
เหมือนดังจะชวนเชิญชนผู้มาถึงแล้วให้ยินดีด้วยดอก
ไม้และกิ่งไม้ที่มีกลิ่นหอม แมลงผึ้งทั้งหลายก็ร้องตอม
อยู่โดยรอบ ด้วยกลิ่นดอกไม้ อนึ่งในที่ใกล้อาศรมนั้น
มีฝูงวิหคเป็นอันมากมีสีสันต่าง ๆ กัน บันเทิงอยู่กับคู่
ของตน ๆ ร่ำร้องขานกะกันและกัน มีฝูงนกอีก 4
หมู่ ทำรังอยู่ใกล้สระโบกรณี คือหมู่ที่ 1 ชื่อนันทิกา
ย่อมร้องทูลเชิญพระเวสสันดรให้ชื่นชมยินดีอยู่ในป่านี้
หมู่ที่ 2 ชื่อชีวปุตตา ย่อมร่ำร้องถวายพระพรให้พระ-
เวสสันดรพร้อมด้วยพระโอรสพระธิดาและพระมเหสี
จงมีพระชนม์ยืนนานด้วยความสุขสำราญ หมู่ที่ 3 ชื่อ
ชีวปุตตาปิยาจโน ย่อมร่ำร้องถวายพระพรให้พระเวส-
สันดรพร้อมทั้งพระโอรสพระธิดาและพระมเหสี ผู้

เป็นที่รักของพระองค์จงทรงสำราญ มีพระชนมายุยืน
นานไม่มีข้าศึกศัตรู หมู่ที่ 4 ชื่อปิยาปุตตาปิยานันทา
ย่อมร่ำร้องถวายพระพรให้พระโอรสพระธิดาและพระ-
มเหสี จงเป็นที่รักของพระองค์ พระองค์จงเป็นที่
รักของพระโอรสพระธิดาและมเหสี ทรงชื่นชมโสมนัส
ต่อกันและกัน ทิวไม้ราวกะระเบียบดอกไม้ที่ช่างร้อย
กรองตั้งไว้ ปรากฏดังยอดธง วิจิตรด้วยบุปผชาติมี
พรรณต่าง ๆ เหมือนคนฉลาดเก็บมาร้อยกรองไว้ ซึ่ง
เป็นที่ประทับแห่งพระราชาเวสสันดร พร้อมด้วยพระ-
มัทรีราชเทวีทัพระชาลีและพระกัณหาชินา ทรงเพศ
บรรพชิตอันประเสริฐ และขอสำหรับสอยผลาผล
ภาชนะสำหรับใช้ในการบูชาเพลิงกับทั้งชฎา ทรงหนัง
เสือเหลืองเป็นภูษาทรง บรรทมเหนือแผ่นดิน ทรง
นมัสการเพลิง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จารุติมฺพรุกฺขา ได้แก่ ต้นมะพลับ
ทอง. บทว่า มธุมธุกา ได้แก่ มะซางมีรสหวาน. บทว่า เถวนฺติ
แปลว่า ย่อมรุ่งเรือง. บทว่า มธุตฺถิกา ได้แก่ เหมือนน้ำผึ้ง หรือเช่นกับ
รวงผึ้งเพราะแม่น้ำหวานไหลเยิ้ม. บทว่า ปาเรวตา ได้แก่ ต้นกล้วยงาช้าง.
บทว่า ภเวยฺย ได้แก่ กล้วยมีผลยาว. สกมาทาย ความว่า ถือเอารวงผึ้ง
นั้นบริโภคได้เองทีเดียว. บทว่า โทวิลา ได้แก่ มีดอกและใบร่วงหล่น มี
ผลดาษดื่น. บทว่า เภงฺควณฺณา ตทูภยํ ความว่า มะม่วงทั้งสองอย่างนั้น
คือ ดิบบ้าง สุกบ้าง มีสีเหมือนสีของหลังกบทีเดียว. บทว่า อเถตฺถ
เหฏฺฐา ปุริโส
ความว่า อนึ่ง อาศรมนั้น บุรุษยืนอยู่ใต้ต้นมะม่วง

เหล่านั้น ย่อมเก็บผลมะม่วงได้ ไม่จำเป็นต้องขึ้นต้น. บทว่า วณฺณคนฺธ-
รสุตฺตมา
ได้แก่ อุดมด้วยสีเป็นต้นเหล่านั้น. บทว่า อเตว เม อจฺฉริยํ
ความว่า เป็นที่อัศจรรย์แก่ข้าพเจ้าเหลือเกิน. บทว่า หิงฺกาโร ได้แก่ ทำ
เสียงว่า หึ ๆ. บทว่า วิเภทิกา ได้แก่ ต้นตาล บทว่า มาลาว คนฺถิตา
ความว่า ดอกไม้ทั้งหลายตั้งอยู่บนต้นไม้ที่มีดอกบานสะพรั่ง เหมือนพวงมาลัย
ที่นายมาลาการร้อยกรองไว้. บทว่า ธชคฺคาเนว ทิสฺสเร ความว่า ต้นไม้
เหล่านั้น ปรากฏราวกะยอดธงที่ประดับแล้ว. บทว่า กุฏชี กุฏฺฐตครา
ได้แก่ รุกขชาติอย่างหนึ่งชื่อว่าไม้มูกมัน กอโกฐ และกอกฤษณา. บทว่า
คิริปุนฺนาคา ได้แก่ บุญนาคใหญ่. บทว่า โกวิฬารา ได้แก่ ต้นทอง
หลาง. บทว่า อุทฺธาลกา ได้แก่ ต้นราชพฤกษ์ดอกสีเหลือง. บทว่า
ภลฺลิยา ได้แก่ ต้นรักดำ. บทว่า ลพุชา ได้แก่ ต้นขนุนสำมะลอ.
บทว่า ปุตฺตชีวา ได้แก่ ต้นไทรใหญ่. บทว่า ปลาลขลสนฺนิภา ความ
ว่า พรานเจตบุตรกล่าวว่า ดอกไม้ที่ร่วงหล่นใต้ต้นไม้เหล่านั้นคล้ายลอมฟาง.
บทว่า โปกฺขรณี ได้แก่ สระโบกขรณีสี่เหลี่ยม. บทว่า นนฺทเน ได้แก่
เป็นราวกะสระนันทนโบกขรณี ในนันทนวนอุทยาน. บทว่า ปุปฺผรส-
มตฺตา
ได้แก่ เมาด้วยรสของบุปผชาติคือถูกรสของบุปผชาติรบกวน. บทว่า
มกรนฺเทหิ ได้แก่ เกสรดอกไม้. บทว่า โปกฺขเร โปกฺขเร ความว่า
เรณูร่วงจากเกสรดอกบัวเหล่านั้นลงบนใบบัว ชื่อโปกขรมธุน้ำผึ้งใบบัว (ซึ่ง
แพทย์ใช้เข้ายาเรียกว่า ขัณฑสกร). บทว่า ทกฺขิรณา อถ ปจฺฉิมา ความว่า
ลมจากทิศน้อยทิศใหญ่ทุกทิศ ท่านแสดงด้วยคำเพียงเท่านี้. บทว่า ถูลา
สึฆาฏกา
ได้แก่ กระจับขนาดใหญ่. บทว่า สสาทิยา ได้แก่ ข้าวสาลี
เล็กๆ ซึ่งเป็นข้าวสาลีที่เกิดเองตั้งอยู่ เรียกว่าข้าวสาลีบริสุทธิ์ ก็มี. บทว่า
ปสาทิยา ได้แก่ ข้าวสาลีเหล่านั้น แหละร่วงลงบนพื้นดิน. บทว่า พฺยาวิธา

ความว่า เหล่าสัตว์น้ำชนิดต่างๆ เที่ยวไปเป็นกลุ่ม ๆ ในน้ำใส ว่ายไปตาม
ลำดับปรากฏอยู่. บทว่า มูปยานกา ได้แก่ ปู. บทว่า มธุํ ภึเสหิ
ความว่า เมื่อเหง้าบัวแตก น้ำหวานไหลออกเช่นกับน้ำผึ้ง. บทว่า ขีรํ สปฺปิ
มูฬาลิภิ ความว่า น้ำหวานที่ไหลออกจากเหง้าบัวเป็นราวกะเนยข้นเนยใส
ผสมน้ำนม. บทว่า สมฺโมทิเตว ความว่า เป็นเหมือนจะยังชนที่ถึงแล้วให้
ยินดี. บทว่า สมนฺตามภินาทิตา ความว่า เที่ยวบินร่ำร้องอยู่โดยรอบ.
บทว่า นนฺทิกา เป็นต้นเป็นชื่อของนกเหล่านั้น ก็บรรดานกเหล่านั้น นก
หมู่ที่ 1 ร้องถวายพระพรว่า ข้าแต่พระเวสสันดรเจ้า ขอพระองค์จงชื่นชม
ยินดีประทับอยู่ในป่านี้เถิด นกหมู่ที่ 2 ร้องถวายพระพรว่า ขอพระองค์พร้อม
ทั้งพระโอรสพระธิดาและพระมเหสีจงมีพระชนม์ยืนนานด้วยความสุขสำราญเถิด
นกหมู่ที่ 3 ร้องถวายพระพรว่า ขอพระองค์พร้อมทั้งพระโอรสพระธิดาและ
พระมเหสีผู้เป็นที่รักของพระองค์ จงทรงสำราญมีพระชนม์ยืนนานไม่มีข้าศึก
ศัตรูเถิด นกหมู่ที่ 4 ร้องถวายพระพรว่า ขอพระโอรสพระธิดาและพระมเหสี
จงเป็นที่รักของพระองค์ ขอพระองค์จงเป็นที่รักของพระโอรสพระธิดาและ
พระมเหสี ทรงชื่นชมโสมนัสกันและกันเถิด เพราะเหตุนั้นนกเหล่านั้นจึงได้
มีชื่ออย่างนี้แล. บทว่า โปกฺขรณีฆรา ได้แก่ ทำรังอยู่ใกล้สระโบกขรณี.
พรานเจตบุตรแจ้งสถานที่ประทับของพระเวสสันดรอย่างนี้แล้ว ชูชก
ยินดี เมื่อจะทำปฏิสันถารจึงกล่าวคาถานี้ว่า
ก็สัตตูผงอันระคนด้วยน้ำผึ้งและสัตตูก้อนมีรส
หวานอร่อยของลุงนี้ อมิตตตาปนาจัดแจงให้แล้ว ลุง
จะแบ่งให้แก่เจ้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สตฺตุภตฺตํ ได้แก่ ภัตตาหารคือสัตตู
ที่คล้ายน้ำผึ้งเคี่ยว มีคำอธิบายว่าสัตตูของลุงที่มีอยู่นี้นั้น ลุงจะให้แก่เจ้า เจ้า
จงรับเอาเถิด.

พรานเจตบุตรได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวว่า
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ จงเอาไว้เป็นเสบียงทาง
ของลุงเถิด ข้าพเจ้าไม่ต้องการเสบียงทาง ขอเชิญลุง
รับน้ำผึ้งกับขาเนื้อย่างจากสำนักของข้านี้เอาไปเป็น
เสบียงทาง ขอให้ลุงไปตามสบายเถิด ทางนี้เป็นทาง
เดินได้คนเดียว มาตามทางนี้ ตรงไปสู่อาศรมอัจจุต-
ฤาษี พระอัจจุตฤาษีอยู่ในอาศรมนั้น มีฟันเขลอะ มี
ธุลีบนศีรษะ ทรงเพศเป็นพราหมณ์ มีขอสำหรับสอย
ผลาผล ภาชนะสำหรับใช้ในการบูชาเพลิง กับทั้งชฎา
ครองหนังเสือเหลือง นอนเหนือแผ่นดิน นมัสการ
เพลิง ลุงไปถึงแล้วถามท่านเถิด ท่านจักบอกหนทาง
ให้แก่ลุง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมฺพลํ ได้แก่ เสบียงทาง. บทว่า
เอติ ความว่า หนทางเดินได้เฉพาะคนเดียวมาตรงหน้าเราทั้งสองนี้ ตรงไป
อาศรมบท. บทว่า อจฺจุโต ความว่า ฤาษีองค์หนึ่งมีชื่ออย่างนี้ อยู่ใน
อาศรมนั้น.
ชูชกผู้เป็นเผ่าพันธุ์พราหมณ์ได้ฟังคำนี้แล้ว ทำ
ประทักษิณเจตบุตร มีจิตยินดีเดินทางไปยังสถานที่
อัจจุตฤาษีอยู่ ดังนี้แล.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เยนาสิ ความว่า อัจจุตฤาษีอยู่ในที่ใด
ชูชกไปแล้วในที่นั้น.
จบจุลวนวรรณนา

มหาวนวรรณนา


เมื่อชูชกพราหมณ์ภารทวาชโคตรไป ก็ได้พบ
พระอัจจุตฤาษี ครั้นได้พบท่านแล้วก็สนทนาปราศรัย
กับพระอัจจุตฤาษีว่า พระผู้เป็นเจ้าไม่มีโรคาพาธกระ-
มัง พระผู้เป็นเจ้ามีความผาสุกสำราญกระมัง พระผู้
เป็นเจ้ายังอัตภาพให้เป็นไปด้วยการเสาะแสวงหา
ผลาหารสะดวกกระมัง มูลผลาหารมีมากกระมัง
เหลือบ ยุง และสัตว์เลื้อยคลานที่จะมีน้อยกระมัง
ความเบียดเบียนให้ลำบากในวนประเทศที่เกลื่อนไป
ด้วยเนื้อร้ายไม่ค่อยมีกระมัง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภารทฺวาโช ได้แก่ ชูชก. บทว่า
อปฺปเมว ได้แก่ น้อยทีเดียว. บทว่า หึสา ได้แก่ ความเบียดเบียนให้
ท่านลำบากด้วยสามารถแห่งสัตว์เหล่านั้น.
ดาบสกล่าวว่า
ดูก่อนพราหมณ์ รูปไม่ค่อยมีอาพาธสุขสำราญดี
ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยเสาะหาผลไม้สะดวกดี และ
มูลผลาหารก็มีมาก อนึ่ง เหลือบ ยุง และสัตว์เลื้อย
คลานมีบ้างก็เล็กน้อย ความเบียดเบียนให้ลำบากใน
วนประเทศที่เกลื่อนไปด้วยเนื้อร้ายก็ไม่ค่อยมีแก่รูป
เมื่อรูปอยู่อาศรมหลายพรรษา รูปนี้ได้รู้จักอาพาธที่
ทำใจไม่ให้ยินดีเกิดขึ้นเลย ดูก่อนมหาพราหมณ์ ท่าน