เมนู

10. เวสสันตรชาดก


พระเวสสันดรทรงบำเพ็ญทานบารมี


ท้าวสักกเทวราช ตรัสว่า
[1045] ดูก่อนผุสดีผู้มีรัศมีแห่งผิวพรรณอัน
ประเสริฐ ผู้มีอวัยวะส่วนเบื้องหน้างาม เธอจงเลือก
เอาพร 10 ประการในปฐพีซึ่งเป็นที่รักแห่งหฤทัยของ
เธอ.

พระผุสดีเทพกัญญากราบทูลว่า
[1046] ข้าแก่ท้าวเทวราช ข้าพระบาทนอบน้อม
แด่พระองค์ ข้าพระบาทได้ทำบาปกรรมอะไรไว้หรือ
ฝ่าพระบาทจึงให้ข้าพระบาท จุติจากทิพยสถานที่น่า
รื่นรมย์ ดุจลมพัดต้นไม้ใหญ่ให้หักไป ฉะนั้น.

ท้าวสักกเทวราชตรัสว่า
[1047] บาปกรรมเธอมิได้ทำไว้เลย และเธอ
ไม่เป็นที่รักของเราก็หาไม่ แต่บุญของเธอสิ้นแล้ว
เหตุนั้น เราจึงกล่าวกะเธออย่างนี้ ความตายใกล้เธอ
เธอจักต้องพลัดพรากจากไป จงเลือกรับเอาพร 10
ประการนี้จากเราผู้จะให้.

พระผุสดีเทพกัญญากราบทูลว่า
[1048] ข้าแต่ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่กว่าสัตว์ทั้ง
ปวง ถ้าฝ่าพระบาทจะประทานพรแก่ข้าพระบาทไซร้

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอให้ข้าพระบาทพึงเกิดใน
พระราชนิเวศน์ของพระเจ้าสีวิราช ข้าแต่ท้าวปุรินททะ
ขอให้ข้าพระบาท (1) พึงเป็นผู้มีจักษุดำเหมือนตา
ลูกมฤคี (มีอายุ 1 ขวบปี) ซึ่งมีดวงตาดำ (2) พึงมี
ขนคิ้วดำ (3) พึงเกิดในราชนิเวศน์นั้นมีนามว่า
ผุสดี (4) พึงได้พระราชโอรสผู้ให้สิ่งอันประเสริฐ ผู้
ประกอบเกื้อกูลในยาจก มิได้ตระหนี่ ผู้อันพระราชา
ทุกประเทศบูชามีเกียรติยศ (5) เมื่อข้าพระบาททรง
ครรภ์ขออย่าให้อุทรนูนขึ้น พึงมีอุทรไม่นูน เสมอดัง
คันศรที่นายช่างเหลาเกลี้ยงเกลา (6) ถันทั้งคู่ของข้า
พระบาทอย่าย้อยยาน ข้าแต่ท้าววาสวะ (3) ผม
หงอกก็อย่าได้มี (8) ธุลีก็อย่าได้ติดในกาย (9) ข้า
พระบาทพึงปล่อยนักโทษที่ถึงประหารได้ (10) ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ขอข้าพระบาทพึงได้เป็นอัครมเหสีที่
โปรดปรานของพระราชาในแว่นแคว้นสีพี ในพระ-
ราชนิเวศน์อันกึกก้องด้วยเสียงร้องของนกยูงและนก
กระเรียน พรั่งพร้อมด้วยหมู่วรนารี เกลื่อนกล่นไป
ด้วยคนเตี้ยและคนค่อม อันพ่อครัวชาวมคธเลี้ยงดู กึก
ก้องไปด้วยเสียงกลอน และเสียงบานประตูอันวิจิตร
มีคนเชิญให้ดื่มสุราและกินกับแกล้ม.

ท้าวสักกเทวราช ตรัสว่า
[1049] ดูก่อนนางผู้งามทั่วสรรพางค์กาย พร
10 ประการเหล่าใด ที่เราให้แต่เธอ เธอจักได้พร 10
ประการเหล่านั้น ในแว่นแคว้นของพระเจ้าสีวิราช.

[1050] ครั้นท้าววาสวะมฆวาสุชัมบดีเทวราช
ตรัสอย่างนี้แล้ว ก็โปรดประทานพรแก่พระนางผุสดี
เทพอัปสร.
(นี้) ชื่อว่าทศพรคาถา.
[1051] พระนางผุสดีเทพอัปสรจุติจากดาวดึงส์
เทวโลกนั้น มาบังเกิดในสกุลกษัตริย์ ได้ทรงอยู่ร่วม
กับพระเจ้าสญชัยในพระนครเชตุดร พระนางผุสดี
ทรงครรภ์ถ้วนทศมาส เมื่อทรงทำประทักษิณพระนคร
ประสูติเราที่ท่ามกลางถนนของพวกพ่อค้า ชื่อของเรา
มิได้เนื่องแต่พระมารดา และมิได้เกิดแต่พระบิดา
เราเกิดที่ถนนแห่งพ่อค้า เพราะฉะนั้น เราจึงชื่อว่า
เวสสันดร เมื่อใดเรายังเป็นทารก มีอายุ 4 ขวบแต่
เกิดมา เมื่อนั้นเรานั่งอยู่ในปราสาทคิดจะบริจาคทาน
ว่า เราจะพึงให้หทัย ดวงตา เนื้อ เลือด และร่างกาย
เมื่อใครมาขอเรา เราก็ยินดีให้ เมื่อเราคิดถึงการบริ-
จาคทานอันเป็นความจริง หทัยก็ไม่หวั่นไหวมุ่งมั่น
อยู่ในกาลนั้น ปฐพีมีสิเนรุบรรพตและหมู่ไม้เป็น
เครื่องประดับ ได้หวั่นไหว.
[1052] พราหมณ์ทั้งหลาย ผู้มีขนรักแร้ดก
และมีเล็บยาว ฟันเขลอะ มีธุลีบนศีรษะ เหยียดแขน
ข้างขวาจะขออะไรฉันหรือ.
พราหมณ์กราบทูลว่า
[1053] ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์ทั้งหลาย
ทูลขอรัตนะเครื่องให้แว่นแคว้นของชาวสีพีเจริญ ขอ

ได้โปรดพระราชทานช้างตัวประเสริฐ ซึ่งมีงาดุจงอน
ไถอันมีกำลังสามารถเถิด พระเจ้าข้า.
พระมหาสัตว์ตรัสว่า
[1054] เราจะให้ช้างพลายซับมันตัวประเสริฐ
ซึ่งเป็นช่างราชพาหนะอันสูงสุดที่พราหมณ์ทั้งหลาย
ขอเรา เรามิได้หวั่นไหว.
[1055] พระราชาผู้ผดุงรัฐสีพีให้เจริญรุ่งเรือง
มีพระหฤทัยน้อมไปในการบริจาค เสด็จลงจากคอช้าง
พระราชทานแก่พราหมณ์ทั้งหลาย.
พระศาสดาตรัสว่า
[1056] เมื่อบรมกษัตริย์พระราชทานช้างตัว
ประเสริฐ (แก่พราหมณ์ทั้ง 8) แล้วในกาลนั้น ความ
น่าสะพึงกลัวขนพองสยองเกล้าได้เกิดมี เมทนีดลก็
หวั่นไหว เมื่อบรมกษัตริย์พระราชทานช้างตัวประเสริฐ
ในกาลนั้น ได้เกิดมีความน่าสะพึงกลัวขนพองสยอง
เกล้า ชาวพระนครกำเริบ ในเมื่อพระเวสสันดรผู้ยัง
แว่นแคว้นของชาวสีพีให้เจริญพระราชทานช้างตัว
ประเสริฐ ชาวบุรีก็เกลื่อนกล่น เสียงอันกึกก้องก็แผ่
ไปมากมาย.
[1057] ครั้งนั้น เมื่อพระเวสสันดรพระราช-
ทานช้างตัวประเสริฐแล้วเสียอื้ออึงน่ากลัวเป็นอันมาก
ก็เป็นไปในนครนั้น ในกาลนั้นชาวนครก็กำเริบ ครั้ง
นั้น ในเมื่อพระเวสสันดรผู้ผดุงรัฐสีพีให้เจริญรุ่งเรือง

พระราชทานช้างตัวประเสริฐแล้ว เสียงอื้ออึงน่ากลัว
เป็นอันมากก็เป็นไปในนครนั้น.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
[1058] พวกคนที่มีชื่อเสียง พระราชบุตร พวก
พ่อค้าชาวนา พวกพราหมณ์ กองช้าง กองม้า กอง
รถ กองราบ ชาวนิคม ชาวสีพีทั้งสิ้นมาประชุม
พร้อมกัน พวกเหล่านั้นเห็นพวกพราหมณ์นำพระยา
ช้างไป ก็กราบทูลแด่พระเจ้ากรุงสัญชัยว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้สมมติเทพ แว่นแคว้นของพระองค์ถูกกำจัด
แล้ว เหตุไรพระเวสสันดรโอรสของพระองค์ จึง
พระราชทานช้างตัวประเสริฐของชาวเราทั้งหลาย อัน
ชาวแว่นแคว้นสักการะบูชา ไฉนพระเวสสันดรราช-
โอรสจึงพระราชทานพระยากุญชรของชาวเราทั้งหลาย
อันมีงางอนงามแกล้วกล้า สามารถรู้จักเขตแห่งยุทธวิธี
ทุกอย่าง เป็นช้างเผือกขาวผ่อง ประเสริฐสุด ปก
คลุมด้วยผ้ากัมพลเหลือง กำลังซับมัน สามารถย่ำยี
ศัตรูได้ ฝึกดีแล้ว พร้อมทั้งวาลวิชนีมีสีขาว เช่น
ดังเขาไกรลาศ ไฉนพระเวสสันดรราชโอรสจึงพระ-
ราชทานพระยาช้างราชพาหนะซึ่งเป็นยานชั้นเลิศ เป็น
ทรัพย์อย่างประเสริฐพร้อมทั้งฉัตรขาว เครื่องลาด
หมอช้าง และคนเลี้ยงช้างแก่พวกพราหมณ์.
[1059] พระเวสสันดรโอรสนั้นควรจะพระ-
ราชทาน ข้าว น้ำ ผ้านุ่งผ้าห่มและที่นั่งที่นอน สิ่ง

ของเช่นนี้แลสมควรจะพระราชทาน สมควรแก่พวก
พราหมณ์ ข้าแต่พระเจ้าสัญชัย ไฉนพระเวสสันดร
ราชโอรส ผู้เป็นพระราชาโดยสืบพระวงศ์ของพระองค์
ผู้ผดุงสีพีรัฐ จึงทรงพระราชทานพระยาคชสารไป ถ้า
พระองค์จักไม่ทรงทำตามถ้อยคำของชนชาวสีพี ชน
ชาวสีพีก็เห็นจักทำพระองค์พร้อมด้วยพระราชโอรสไว้
ในเงื้อมมือ.

พระเจ้าสัญชัยทรงมีพระดำรัสว่า
[1060] ถึงชนบทจะไม่มี และแม้แว่นแคว้นจะ
พินาศไปก็ตามเถิด เราไม่พึงขับไล่พระราชบุตรผู้ไม่
มีโทษจากแว่นแคว้นของตนตามคำของชาวสีพี เพราะ
พระราชบุตรเกิดจากอกของเรา ถึงชนบทจะไม่มี และ
แม้แว่นแคว้นจะพินาศไปก็ตามเถิด เราก็ไม่พึงขับไล่
พระราชบุตรผู้ไม่มีโทษจากแว่นแคว้นของตน ตาม
คำของชาวสีพี เพราะพระราชบุตรเกิดแต่ตัวเรา อนึ่ง
เราไม่พึงประทุษร้ายในพระราชบุตรนั้น เพราะเธอมี
ศีลและวัตรอันประเสริฐ แม้คำติเตียนจะพึงมีแก่เรา
และเราจะพึงประสบบาปเป็นอันมาก เราจะให้ฆ่า
พระเวสสันดรบุตรของเราด้วยศาสตราอย่างไรได้.

ชาวสีพีกราบทูลว่า
[1061] พระองค์อย่าได้รับสั่งให้ฆ่าพระเวส-
สันดรนั้นด้วยท่อนไม้หรือศาสตราเลย ทั้งพระเวส-
สันดรนั้นก็ไม่ควรแก่เครื่องพันธนาการ แต่จงทรง

ขับไล่พระเวสสันดรนั้นเสียจากแว่นแคว้น จงไปอยู่
ที่เขาวงกตเถิด.

พระเจ้าสัญชัยตรัสว่า
[1062] ถ้าความพอใจของชาวสีพีเช่นนี้ เราก็
ไม่ขัด ขอเธอจงได้อยู่และบริโภคกามทั้งหลาย ตลอด
คืนนี้ ต่อเมื่อสิ้นราตรีแล้วพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ชาว
สีพีจงพร้อมเพรียงกันขับไล่เธอเสียจากแว่นแคว้นเถิด.
[1063] ดูก่อนนายนักการ ท่านจงลุกขึ้น จง
รีบไปทูลพระเวสสันดรว่า ขอเดชะ ชาวสีพี ชาวนิคม
พวกคนที่มีชื่อเสียง พระราชบุตร พ่อค้า ชาวนา
พราหมณาจารย์ พากันโกรธเคืองมาประชุมกันอยู่
แล้ว กองช้าง กองม้า กองรถ กองเดินเท้า ทั้ง
ชาวนิคมและชาวสีพีทั้งสิ้นมาประชุมกันแล้ว เมื่อสิ้น
ราตรีนี้ พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ชาวสีพีจะพรักพร้อมกัน
ขับไล่พระองค์จากแว่นแคว้น.
[1064] นายนักการนั้น เมื่อได้รับพระราช
ดำรัสสั่ง จึงสวมสอดเครื่องประดับมือ นุ่งห่มเรียบ
ร้อย ประพรมด้วยจุรณจันทน์ ล้างศีรษะในน้ำ สวม
กุณฑลแก้วมณีแล้ว รีบเข้าไปยังบุรีอันน่ารื่นรมย์ เป็น
ที่ประทับอยู่ของพระเวสสันดร ได้เห็นพระเวสสันดร
ทรงพระสำราญอยู่ในพระราชวังของพระองค์ อัน

เกลื่อนกล่นไปด้วยหมู่อำมาตย์ ปานประหนึ่งท้าววาสวะ
แห่งไตรทศ.
[1065] นายนักการนั้น ครั้นรีบไปในพระราช
นิเวศน์นั้นแล้ว ได้กราบทูลพระเวสสันดรว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ ข้าพระบาทจะกราบทูลความ
ทุกข์แด่พระองค์ ขออย่าได้ทรงกริ้วข้าพระบาทเลย
นายนักการนั้น ถวายบังคมแล้วพลางคร่ำครวญกราบ
ทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระมหาราช พระองค์ทรงชุบ
เลี้ยงข้าพระบาท ทรงนำมาซึ่งรสที่น่าใคร่ทุกอย่าง
ข้าพระบาทจะกราบทูลความทุกข์แด่พระองค์ เมื่อ
ข้าพระบาทกราบทูล ข่าวสารเรื่องทุกข์ร้อนนั้นแล้ว
ขอพระยุคลบาทจงยังข้าพระบาทให้เบาใจ ขอเดชะ
ชาวสีพี ชาวนิคม คนที่มีชื่อเสียง พระราชบุตร
พ่อค้า ชาวนา พราหมณาจารย์พากันโกรธเคืองมา
ประชุมกันอยู่แล้ว กองช้าง กองม้า กองรถ กอง
เดินเท้า ทั้งชาวนิคมและชาวสีพีทั้งสิน มาประชุมกัน
อยู่แล้วเมื่อสิ้นราตรีนี้ พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ชาวสีพี
จะพรักพร้อมกันขับไล่พระองค์จากแว่นแคว้นพระ-
เจ้าข้า.

พระมหาสัตว์ตรัสว่า
[1066] ดูก่อนนายนักการ เพราะเหตุไรชาว
สีพีจึงโกรธเรา ขอท่านจงบอกความชั่วแก่เรา ผู้ไม่เห็น
ความเดือดร้อนให้แจ้งชัด ด้วยเหตุไรเขาจึงขับไล่เรา.

ราชบุรุษกราบทูลว่า
[1067] พวกคนที่มีชื่อเสียง พระราชบุตร
พ่อค้า ชาวนา พราหมณาจารย์ พวกกองช้าง กอง
ม้า กองรถ กองเดินเท้า พากันติเตียนเพราะพระ-
ราชทานพระยาช้างพระที่นั่งต้น เหตุนั้นเขาจึงขับไล่
พระองค์ พระเจ้าข้า.

พระมหาสัตว์ตรัสว่า
[1068] เราจะให้หทัย ให้จักษุ เงิน ทอง แก้ว
มุกดา แก้วไพฑูรย์ หรือแก้วมณี เป็นทรัพย์ภายนอก
ของเรา จะเป็นอะไรไปเมื่อยาจกมาถึง เราเห็นแล้ว
ก็จงให้แขนขวาแขนซ้าย ไม่หวั่นไหวเลย ใจของเรา
ยินดีในทาน ชาวสีพีทั้งปวงจงขับไล่ จงฆ่าเราเสีย
หรือจะตัดเราให้เป็นเจ็ดท่อนก็ตามเถิด เราจักไม่งด
การให้ทานเลย.

ราชบุรุษกราบทูลว่า
[1069] ชาวสีพีและชาวนิคมประชุมกันกล่าว
อย่างนี้ว่า พระเวสสันดรผู้มีวัตรงาม จงเสด็จไปสู่
อารัญชรคีรีทางฝั่งแม่น้ำโกนติมารา ตามทางที่พระ-
ราชาผู้ถูกขับไล่เสด็จไปนั้นเถิด.

พระมหาสัตว์ตรัสว่า
[1070] เราจักไปตามทางที่พระราชาผู้มีโทษ
เสด็จไป ขอให้ท่านทั้งหลายจงงดแก่เราคืนและวัน
หนึ่งพอให้เราได้ให้ทานก่อนเถิด.

พระศาสดาตรัสว่า
[1071] พระราชาตรัสตักเตือนพระมัทรีผู้มี
ความงาม ทั่วสรรพางค์ว่า ทรัพย์อย่างใดอย่างหนึ่ง
ที่พี่ให้แก่พระน้องนาง และสิ่งของที่ควรสงวนอัน
เป็นของพระน้องนาง คือ เงิน ทอง แก้วมุกดาหรือ
แก้วไพฑูรย์ มีอยู่เป็นอันมาก และทรัพย์ฝ่ายพระบิดา
ของพระน้องนาง ควรเก็บไว้ทั้งหมด.
[1072] พระนางมัทรีราชบุตรีผู้มีความงามทั่ว
สรรพางค์ได้ทูลถามพระเวสสันดรนั้นว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้ประเสริฐ หม่อมฉันจะเก็บไว้ที่ไหน หม่อม
ฉันทูลถามแล้ว ขอพระองค์ได้โปรดตรัสบอกเนื้อ
ความนั้นเถิด.

พระเวสสันดรตรัสว่า
[1073] ดูก่อนพระน้องมัทรี พึงให้ทานใน
ท่านผู้ศีลตามสมควร เพราะที่พึ่งของสัตว์ทั้งปวงยิ่ง
ไปกว่าทานไม่มี.
[1074] ก่อนพระน้องมัทรี เธอพึงเอาใจใส่ใน
ลูกทั้งสอง ในพระชนนีและพระชนกของพี่ อนึ่ง ผู้ใด
พึงตกลงปลงใจว่าจะเป็นพระสวามีพระน้องนาง เธอ
พึงบำรุงผู้นั้นโดยเคารพ ถ้าไม่มีใครมาตกลงปลงใจ
เป็นพระสวามีพระน้องนาง เพราะพระน้องนางกับพี่
จะต้องพลัดพรากจากกัน พระน้องนางจงแสวงหา
พระสวามีอื่นเถิด อย่าลำบากเพราะจากพี่เลย.

[1075] เพราะพี่จักต้องไปสู่ป่าที่น่ากลัว อัน
เกลื่อนกล่นไปด้วยสัตว์ร้าย เมื่อพี่คนเดียวอยู่ในป่า
ใหญ่ ชีวิตก็น่าสงสัย.
[1076] พระนางมัทรีราชบุตรีผู้มีความงามทั่ว
สรรพางค์ ได้กราบทูลพระเวสสันดรว่า ไฉนหนอ
พระองค์จึงตรัสเรื่องที่ไม่เคยมีไฉนจึงตรัสเรื่องลามก
ข้าแต่พระมหาราช ข้อที่พระองค์จะพึงเสด็จพระองค์
เดียวนั้น ไม่ใช่ธรรมเนียม ข้าแต่พระมหากษัตริย์แม้
หม่อมฉันก็จะตามเสด็จไป ตามทางที่พระองค์เสด็จ
ความตายกับพระองค์นั่นแลประเสริฐกว่า เป็นอยู่เว้น
จากพระองค์จะประเสริฐอะไร ก่อไฟให้ลุกโพลง มี
เปลวเป็นอันเดียวกันตั้งอยู่แล้ว ความตายในไฟที่ลูก
โพลง มีเปลวเป็นอันเดียวกันนั้นประเสริฐกว่า เป็น
อยู่เว้นจากพระองค์จะประเสริฐอะไร นางช้างติดตาม
พระยาช้างผู้อยู่ในป่า เที่ยวไป ณ ภูเขาและที่หล่ม ที่
เสมอและไม่เสมอ ฉันใด หม่อมฉันจะพาลูกทั้งสอง
ติดตามพระองค์ไปเบื้องหลัง ฉันนั้น หม่อมฉันจัก
เป็นผู้อันพระองค์เลี้ยงง่าย จักไม่เป็นผู้อันพระองค์
เลี้ยงยาก.

พระนางมัทรีกราบทูลว่า
[1077] เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นพระ-
กุมารทั้ง 2 นี้ ผู้มีเสียงอันไพเราะ พูดจาน่ารัก นั่ง

อยู่ที่พุ่มไม้ในป่า จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อ
พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นพระกุมารทั้ง 2 นี้ ผู้มี
เสียงอันไพเราะ พูดจาน่ารัก เล่นอยู่ที่พุ่มไม้ในป่า
จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อพระองค์ทอดพระ-
เนตรเห็นพระกุมารทั้ง 2 นี้ ผู้มีเสียงอันไพเราะ พูด
จาน่ารัก ณ อาศรมรัมณียสถาน จักไม่ทรงระลึกถึง
ราชสมบัติ เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นพระกุมาร
ทั้ง 2 นี้ ผู้มีเสียงอันไพเราะ พูดจาน่ารัก เล่นอยู่
ณ อาศรมอันเป็นที่รื่นรมย์ จักไม่ทรงระลึกถึงราช-
สมบัติ เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นพระกุมารทั้ง
2 นี้ เล่นอยู่ ณ อาศรมอันเป็นที่รื่นรมย์ ก็จักไม่ทรง
ระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อใด พระองค์ได้ทอดพระเนตร
เห็นพระกุมารทั้ง 2 พระองค์ ทรงมาลา ฟ้อนรำอยู่
ณ อาศรมรัมณียสถาน เมื่อนั้นจักไม่ทรงระลึกถึงราช-
สมบัติ เมื่อใด พระองค์ทอดพระเนตรเห็นพระกุมาร
ทั้ง 2 พระองค์ ทรงมาลา ฟ้อนรำอยู่ ณ อาศรมอัน
เป็นที่รื่นรมย์ เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ
เมื่อใด พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นกุญชรชาติมา-
ตังคะ มีวัยล่วง 60 ปี เที่ยวอยู่ในป่าตัวเดียว เมื่อนั้น
จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อใด พระองค์ได้ทอด
พระเนตรเห็นกุญชรชาติมาตังคะ มีวัยล่วง 60 ปี
เที่ยวไปในป่าเวลาเย็น ในเวลาเช้า เมื่อนั้น จักไม่
ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อใด กุญชรชาติมาตังคะ

มีวัยล่วง 60 ปี เดินนำหน้าโขลงหมู่ช่างพังไป ส่ง
เสียงร้องก้องโกญจนาท พระองค์ได้ทรงสดับเสียงร้อง
ของช้างที่บันลือก้องอยู่นั้น เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึก
ถึงราชสมบัติ เมื่อใด พระองค์ได้ทรงสดับเสียงร้อง
ของช้างที่บันลือก้องอยู่นั้น เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึก
ถึงราชสมบัติ เมื่อใด พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็น
ลำเนาป่าสองข้างทาง และสิ่งที่ให้ความนำใคร่ในป่า
อันเกลื่อนกล่นไปด้วยเนื้อร้าย เมื่อนั้น จักไม่ทรง
ระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อใด พระองค์ได้ทอดพระเนตร
เห็นเนื้ออันเดินมาเป็นหมู่ๆ หมู่ละ 5 ตัว และได้ทอด
พระเนตรเห็นพวกกินนรที่กำลังฟ้อนอยู่ เมื่อนั้น จัก
ไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อใด พระองค์ได้ทรง
สดับเสียงกึกก้องแห่งแม่น้ำอันมีน้ำไหลหลั่ง และเสียง
เพลงขับของพวกกินนร เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึง
ราชสมบัติ เมื่อใด พระองค์ได้ทรงสดับเสียงร้องของ
นกเค้าที่เที่ยวอยู่ตามซอกเขา เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึก
ถึงราชสมบัติ เมื่อใด พระองค์จักได้ทรงสดับเสียง
แห่งสัตว์ร้ายในป่า คือ ราชสีห์ เสือโคร่ง แรด และ
วัวลาน เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อใด
พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นนกยูง อันแวดล้อมไป
ด้วยนางนกยูง รำแพนหางจับอยู่เป็นกลุ่มบนยอดภูเขา
เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อใด พระ-
องค์ได้ทอดพระเนตรเห็นนกยูง มีขนปีกงามวิจิตร

ห้อมล้อมด้วยนางนกยูงทั้งหลายรำแพนหางอยู่ เมื่อ
นั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อใด พระองค์
ได้ทอดพระเนตรเห็นนกยูงมีคอเขียวมีหงอน แวดล้อม
ด้วยนางนกยูงฟ้อนอยู่ เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึง
ราชสมบัติ เมื่อใด พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็น
ต้นไม้อันมีดอกบาน มีกลิ่นหอมฟุ้งไปในฤดูเหมันต์
เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อใด พระ
องค์ได้ทอดพระเนตรเห็นแผ่นดินอันเขียวชะอุ่ม ดาร-
ดาษไปด้วยแมลงค่อมทองในเดือนฤดูเหมันต์ เมื่อนั้น
จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อใด พระองค์ได้
ทอดพระเนตรเห็นต้นไม้อันมีดอกบานสะพรั่ง คือ
อัญชันเขียวที่กำลังผลิยอดอ่อน ต้นโลท และ บัวบก
มีดอกบานสะพรั่ง มีกลิ่นหอมฟุ้งไปในฤดูเหมันต์
เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ เมื่อใด พระ
องค์ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นหมู่ไม้มีดอกบานสะพรั่ง
และปทุมชาติอันมีดอกร่วงหล่นในเดือนฤดูเหมันต์
เมื่อนั้น จักไม่ทรงระลึกถึงราชสมบัติ.

จบกัณฑ์หิมพานต์
พระศาสดาตรัสว่า
[1078] สมเด็จพระนางผุสดีราชบุตรีผู้เรืองยศ
ได้ทรงสดับคำที่พระราชโอรส และพระสุณิสาพร่ำ
สนทนากัน ทรงคร่ำครวญละห้อยไห้ว่า เรากินยาพิษ
เสียดีกว่า เราโดดเหวเสียดีกว่า เอาเชือกผูกคอตาย

เสียดีกว่า เหตุไฉน ชาวนครสีพีจึงจะให้ขับไล่เจ้า
เวสสันดรลูกรักผู้ไม่มีโทษผิด เหตุไฉน ชาวนครสีพี
จึงจะให้ขับไล่เจ้าเวสสันดรลูกรักผู้ไม่มีโทษผิด ผู้เป็น
ปราชญ์เปรื่อง เป็นทานบดี ควรแก่การขอ ไม่ตระหนี่
เหตุไฉนชาวนครสีพีจึงจะให้ขับไล่เจ้าเวสสันดรลูกรัก
ผู้ไม่มีโทษผิด อันท้าวพระยาบูชา ผู้มีเกียรติมียศ
เหตุไฉน ชาวนครสีพีจึงจะให้ขับไล่เจ้าเวสสันดรลูก
รักผู้ไม่มีโทษผิด ผู้เลี้ยงดูมารดาบิดา ประพฤติถ่อม
ตนต่อผู้ใหญ่ในราชสกุล เหตุไฉน ชาวนครสีพีจึงจะ
ให้ขับไล่เจ้าเวสสันดรลูกรักผู้ไม่มีโทษผิด ผู้เกื้อกูล
แก่พระเจ้าแผ่นดิน แก่เทพเจ้า แก่พระประยูรญาติ
และมิตรสหาย ผู้เกื้อกูลทั่วรัฐสีมามณฑล.

พระนางผุสดีกราบทูลว่า
[1079] ชาวนครสีพีจะให้ขับพระราชโอรสผู้
ไม่มีโทษผิดเสีย รัฐสีมามณฑลของพระองค์ก็จะเป็น
เหมือนรังผึ้งร้าง เหมือนผลมะม่วงหล่นลงบนดิน
ฉะนั้น พระองค์อันพวกอำมาตย์ละทิ้งแล้ว จักต้อง
ลำบากอยู่พระองค์เดียว เหมือนหงส์มีขนปีกหลุด
ลำบากอยู่ในหนองอันไม่มีน้ำ ฉะนั้น ข้าแต่มหาราช
เพราะฉะนั้น เกล้ากระหม่อมฉันขอกราบทูลพระองค์
ว่า ประโยชน์อย่าได้ล่วงพระองค์ไปเสียเลย ขอ
พระองค์อย่าทรงขับไล่พระราชโอรสผู้ไม่มีความผิด
เพราะถ้อยคำของชาวนครสีพีเลย.

พระเจ้าสญชัยตรัสว่า
[1080] เราทำความยำเกรงต่อพระราชประเพณี
จึงขับไล่พระราชโอรสผู้เป็นธงของชาวสีพี เราจำต้อง
ขับไล่ลูกของตน ถึงแม้จะเป็นที่รักยิ่งกว่าชีวิตของเรา.

พระนางผุสดีตรัสว่า
[1081] แต่ปางก่อนยอดธงเคยแห่ตามเสด็จ
พระเวสสันดร ดังดอกกรรณิการ์บาน วันนี้พระเวส-
สันดรจะเสด็จแต่พระองค์เดียว แต่ปางก่อนยอดธง
เคยแห่ตามเสด็จพระเวสสันดรดังป่ากรรณิการ์ วันนี้
พระเวสสันดรจะเสด็จแต่พระองค์เดียว แต่ปางก่อน
กองทหารรักษาพระองค์เคยตามเสด็จพระเวสสันดร
เหมือนดอกกรรณิการ์บาน วันนี้พระเวสสันดรจะ
เสด็จแต่พระองค์เดียว แต่ปางก่อนกองทหารรักษา
พระองค์เคยตามเสด็จพระเวสสันดร เหมือนป่ากรรณิ-
การ์ วันนี้พระเวสสันดรจะต้องเสด็จแต่พระองค์เดียว
แต่ปางก่อนทหารรักษาพระองค์ใช้ผ้ากัมพลเหลือง
เมืองคันธาระ มีสีเหลืองเรืองรองเหมือนหิ่งห้อย เคย
ตามเสด็จพระเวสสันดร วันนี้พระเวสสันดรจะเสด็จ
แต่พระองค์เดียว แต่ปางก่อนพระเวสสันดรเคยเสด็จ
ด้วยช้างพระที่นั่ง วอและรถทรง วันนี้จะเสด็จดำเนิน
ด้วยพระบาทอย่างไร แต่ปางก่อนพระเวสสันดรเคย
ลูบไล้องค์ด้วยจุรณแก่นจันทน์ ปลุกปลื้มด้วยการ
ฟ้อนรำขับร้อง วันนี้จักทรงแบกหนังเสืออันหยาบ

ขวานและหาบเครื่องบริขารไปได้อย่างไร พระเวส
สันดรเมื่อเข้าไปอยู่ในป่าใหญ่ไฉนจะไม่ต้องขนเอาผ้า
ย่อมน้ำฝาดและหนังเสือไปด้วย พระเวสสันดรเมื่อเข้า
ไปอยู่ป่าใหญ่ ไฉนจะไม่ต้องใช้ผ้าคากรอง พวกคน
ที่เป็นเจ้านายบวช จะทรงผ้าคากรองได้อย่างไรหนอ
เจ้ามัทรีจักนุ่งห่มผ้าคากรองได้อย่างไร แต่ปางก่อน
เจ้ามัทรีเคยทรงแต่ผ้ากาสิกพัสตร์ ผ้าโขมพัสตร์และ
ผ้าโกทุมพรพัสตร์ เมื่อต้องทรงผ้าคากรองจักกระทำ
อย่างไร เจ้ามัทรีผู้มีรูปร่างสวยงาม แต่ปางก่อนเคย
เสด็จด้วยคานหาม วอและรถทรง วันนี้จะเสด็จเดิน
ทางด้วยพระบาทได้อย่างไร เจ้ามัทรีผู้มีรูปร่างสวยงาม
มีฝ่าพระหัตถ์อันอ่อนนุ่ม ไม่เคยทำงานหนักเคยตั้งอยู่
ในความสุข วันนี้จะเสด็จเดินทางด้วยพระบาทได้
อย่างไร เจ้ามัทรีผู้มีรูปร่างสวยงาม มีฝ่าพระบาทอัน
อ่อนนุ่ม ไม่เคยเสด็จดำเนิน ด้วยพระบาทเปล่าตั้งอยู่
ในความสุข ทรงสวมรองเท้าทองเสด็จดำเนิน วันนี้
จะเสด็จเดินทางด้วยพระบาทได้อย่างไร เจ้ามัทรีผู้มีรูป
ร่างอันสวยงามทรงสิริ แต่ก่อนเคยเสด็จดำเนินข้าง
หน้านางข้าหลวงจำนวนพัน วันนี้จะเสด็จเดินป่าพระ-
องค์เดียวได้อย่างไร เจ้ามัทรีผู้มีรูปร่างอันสวยงาม
ขวัญอ่อน พอได้ยินเสียงสุนัขเห่าหอนก็สะดุ้ง วันนี้
จักเสด็จเดินป่าได้อย่างไร เจ้ามัทรีผู้มีรูปร่างอันสวยงาม
ขวัญอ่อน ได้สดับเสียงนกฮูกคำรามร้อง ก็กลัวตัวสั่น
เหมือนนางวารุณี วันนี้จะเสด็จเดินป่าได้อย่างไร เมื่อ

เกล้ากระหม่อมฉันมาสู่นิเวศน์อันว่างเปล่านี้ จักเศร้า
กำสรดระทมทุกข์สิ้นกาลนาน ดังแม่นกถูกพรากลูก
เห็นแต่รังอันว่างเปล่า ฉะนั้น เมื่อเกล้ากระหม่อมฉันไม่
เห็นลูกรักทั้งสองก็จักซูบผอมเหมือนแม่นกถูกพรากลูก
เห็นแต่รังอันว่างเปล่า ฉะนั้น เมื่อเกล้ากระหม่อมฉัน
ไม่เห็นลูกรักทั้งสอง ก็จักวิ่งพล่านไปตามที่นั้น ๆ ดัง
แม่นกถูกพรากลูกเห็นแต่รังอันว่างเปล่า ฉะนั้น เมื่อ
เกล้ากระหม่อมฉันมาสู่นิเวสน์อันว่างเปล่านี้ จักเศร้า
กำสรดระทมทุกข์สิ้นกาลนาน ดังนางนกออกถูกพราก
ลูกเห็นแต่รังอันว่างเปล่า ฉะนั้น เมื่อเกล้ากระหม่อม
ฉันไม่เห็นลูกรักทั้งสองก็จักซูบผอม ดังนางนกออก
ถูกพรากลูกเห็นแต่รังอันว่างเปล่า ฉะนั้น เมื่อเกล้า
กระหม่อมฉันไม่เห็นลูกรักทั้งสอง ก็จักวิ่งพล่านไป
ตามที่นั้นๆ ดังนางนกออกถูกพรากลูกเห็นแต่รังอัน
ว่างเปล่านี้ ฉะนั้นเมื่อเกล้ากระหม่อมฉันมาสู่นิเวศน์
อันว่างเปล่านี้ ก็จักเศร้ากำสรดระทมทุกข์สิ้นกาลนาน
เป็นแน่แท้เหมือนนางนกจากพรากซบเซาอยู่ในหนอง
อันไม่มีน้ำ ฉะนั้น เมื่อเกล้ากระหม่อมฉันไม่เห็นลูก
รักทั้งสอง ก็จักซูบผอมเป็นแน่แท้ เหมือนนางนก
จากพรากในหนองอันไม่มีน้ำ ฉะนั้น เมื่อเกล้ากระ-
หม่อมฉันไม่เห็นลูกรักทั้งสอง จักวิ่งพล่านไปตามที่
นั้น ๆ เป็นแน่แท้ เหมือนนางนกจากพรากในหนอง
อันไม่มีน้ำ ฉะนั้น ก็เมื่อเกล้ากระหม่อนฉันพร่ำเพ้อ
ทูลอ้อนวอนอยู่อย่างนี้ ถ้าพระองค์ยังจะทรงให้ขับไล่

พระเวสสันดรเสียจากแว่นแคว้น เกล้ากระหม่อมฉัน
เห็นจักต้องสละชีวิตเป็นแน่.

พระศาสดาตรัสว่า
[1082] นางสนมกำนัลในของพระเจ้าสีวิราช
ทุกถ้วนหน้า ได้ยินคำรำพันของพระนางผุสดีแล้ว
พากันมาประชุมประคองแขนทั้งสองขึ้นร่ำไห้ พระ-
โอรส พระธิดา และพระชายา ในนิเวศน์ของพระ-
เวสสันดร นอนกอดกันสะอื้นไห้ ดังหมู่ไม้รังอันถูก
พายุพัดล้มระเนระนาดแหลกรานฉะนั้น พวกชาววัง
พวกเด็ก ๆ พ่อค้าและพวกพราหมณ์ ในนิเวศน์ของ
พระเวสสันดรต่างก็ประคองแขนทั้งสองคร่ำครวญ
พวกกองช้าง กองม้า กองรถ และกองเดินเท้า ใน
นิเวศน์ของพระวเสสันดร ต่างก็ประคองแขนทั้งสอง
คร่ำครวญ ครั้นเมื่อสิ้นราตรีนั้น พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว
พระเวสสันดรเสด็จมาสู่โรงทาน เพื่อทรงทานโดยรับ
สั่งว่า ท่านทั้งหลายจงให้ผ้าแก่ผู้ต้องการ จงให้เหล้า
แก่พวกนักเลงเหล้า จงให้โภชนะแก่ผู้ต้องการโภชนะ
โดยทั่วถึง และอย่าเบียดเบียนพวกวณิพกผู้มาในที่นี้
อย่างไร จงเลี้ยงดูพวกวณิพกให้อิ่มหนำด้วยข้าวและ
น้ำ พวกเขาได้รับบูชาแล้วก็จงไป ครั้งนั้น เสียงดัง
กึกก้องโกลาทลน้ำหวาดเสียวเป็นไปในพระนครนั้นว่า
ชาวพระนครสีพีจะขับไล่พระเวสสันดร เพราะทรง
บริจาคทาน ขอให้พระองค์ได้ทรงบริจาคทานอีกเถิด.

[1083] เมื่อพระมหาราชาผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญ
จะเสด็จออก วณิพกเหล่านั้นเป็นดังคนเมา คนเหน็ด
เหนื่อย ลงนั่งปรับทุกข์กันว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย
ชาวนครสีพีพากันขับไล่พระเวสสันดรผู้ไม่มีผิดเสียจาก
แว่นแคว้น ก็เปรียบเหมือนช่วยกันตัดต้นไม้ที่ให้ผล
ต่าง ๆ เสีย ฉะนั้น ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ชาวนครสีพี
พากันขับไล่พระเวสสันดรผู้ไม่มีความผิดเสียจากแว่น-
แคว้น ก็เปรียบเหมือนช่วยกันตัดต้นไม้อันทรงผล
ต่างๆ ฉะนั้น ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ชาวนครสีพีพากัน
ขับไล่พระเวสสันดรผู้ไม่มีความผิดเสียจากแว่นแคว้น
ก็เปรียบเหมือนช่วยกันตัดต้นไม้อันให้สิ่งที่ต้องการทุก
อย่าง ฉะนั้น ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ชาวนครสีพีพากัน
ขับไล่พระเวสสันดรผู้ไม่มีความผิดเสียจากแว่นแคว้น
ก็เปรียบเหมือนช่วยกันตัดต้นไม้อันนำรสที่ต้องการทุก
อย่างมาให้ ฉะนั้น เมื่อพระมหาราชาผู้ผดุงสีพีรัฐจะ
เสด็จออก ทั้งคนแก่ เด็ก และคนปานกลางต่างพากัน
ประคองแขนทั้งสองร้องไห้คร่ำครวญ เมื่อพระมหา-
ราชาผู้ผดุงสีพีรัฐจะเสด็จออก พวกโหรหลวง พวก
ขันที มหาดเล็กและเด็กชาต่างก็ประคองแขนทั้งสอง
ร้องไห้คร่ำครวญ เมื่อพระมหาราชาผู้ผดุงสีพีรัฐจะ
เสด็จออก แม้หญิงทั้งหลายที่มีอยู่ในพระนครนั้นต่าง
ร้องไห้คร่ำครวญ สมณพราหมณ์และวณิพก ต่างก็
ประคองแขนร้องไห้คร่ำครวญว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย

ได้ยินว่าเป็นการไม่ยุติธรรมเลย เพราะเหตุพระเวส-
สันดรทรงบำเพ็ญทานอยู่ในพระราชวังของพระองค์
จำต้องเสด็จออกจากแว่นแคว้นของพระองค์ เพราะ
ถ้อยคำของชาวสีพี พระเวสสันดรทรงประทานช้าง
เจ็ดร้อยเชือก ประดับด้วยเครื่องอลังการทุกอย่าง อัน
มีสายรัด มีทั้งกูบและสัปคับทอง นายควาญถือหอก
ซัดและขอขึ้นคอประจำ แล้วเสด็จออกจากแว่นแคว้น
ของพระองค์ พระเวสสันดรพระราชทานม้าเจ็ดร้อยตัว
อันประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง เป็นม้าสินธพ
ชาติอาชาไนย เป็นม้าฝีเท้าเร็ว มีนายสารถีถือทวน
และธนูขึ้นขี่ประจำ แล้วเสด็จออกจากแว่นแคว้นของ
พระองค์ พระเวสสันดรพระราชทานรถเจ็ดร้อยคันอัน
ผูกสอดเครื่องรบปักธงไชยครบครัน หุ้มด้วยหนึ่งเสือ
เหลืองและเสือโคร่ง ประดับด้วยเครื่องอลังการทุก
อย่าง มีนายสารถีสวมเกราะถือธนูขึ้นขับขี่ แล้วเสด็จ
ออกจากแว่นแคว้นของพระองค์ พระเวสสันดรพระ-
ราชทานสตรีเจ็ดร้อยคน นั่งประจำอยู่ในรถคันละคน
สอดสวมสร้อยสังวาล ตบแต่งด้วยเครื่องทอง มีเครื่อง
ประดับ ผ้านุ่ง ผ้าห่ม และเครื่องอาภรณ์ล้วนแต่สี
เหลือง มีดวงตากว้าง ใบหน้ายิ้มแย้ม ตะโบกงาม
เอวบางร่างน้อย แล้วเสด็จออกจากแว่นแคว้นของ
พระองค์ พระเวสสันดรพระราชทานแม่โคนมเจ็ดร้อย
ตัว พร้อมด้วยภาชนะเงินสำหรับรองน้ำนมทุก ๆ ตัว

แล้วเสด็จออกจากแว่นแคว้นของพระองค์ พระเวส-
สันดรพระราชทานทาสีเจ็ดร้อยและทาสเจ็ดร้อย แล้ว
เสด็จออกจากแว่นแคว้นของพระองค์ พระเวสสันดร
พระราชทานช้าง ม้า และนารี อันประดับประดาอย่าง
สวยงาม แล้วเสด็จออกจากแว่นแคว้นของพระองค์
ในกาลนั้น ได้มีสิ่งที่น่ากลัวขนพองสยองเกล้า เมื่อ
พระเวสสันดรพระราชทานมหาทานแล้ว แผ่นดินก็
หวั่นไหว ครั้งนั้นได้มีสิ่งที่น่ากลัว ขนพองสยองเกล้า
พระเวสสันดรทรงประคองอัญชลีเสด็จออกจากแว่น-
แคว้นของพระองค์.
[1084] ครั้งนั้น เสียงดังกึกก้องโกลาหลน่า
หวาดเสียวเป็นไปในพระนครนั้นว่า ชาวนครสีพีขับไล่
พระเวสสันดรเพราะบริจาคทาน ขอให้พระองค์ทรง
บริจาคทานอีกเถิด.

พระศาสดาตรัสว่า
[1085] เมื่อพระมหาราชาผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญ
จะเสด็จออก วณิพกเหล่านั้นเป็นดังคนเมา คนเหน็ด
เหนื่อย นั่งลงปรับทุกข์กัน.
[1086] พระเวสสันดร กราบทูลพระเจ้าสัญชัย
ผู้ประเสริฐธรรมิกราชว่า ขอเดชะ ขอพระองค์ทรง
พระกรุณาโปรดเนรเทศข้าพระองค์เถิด ข้าพระองค์จะ
ไปยังภูเขาวงกต ข้าแต่พระมหาราช สัตว์เหล่าใด
เหล่าหนึ่งที่มีมาแล้ว ที่จะมีมา และที่มีอยู่ ยังไม่อิ่ม

ด้วยกามเลย ก็ต้องไปสู่สำนักของพระยายม ข้าพระองค์
บำเพ็ญทานอยู่ในปราสาทของตน ยังชื่อว่าเบียดเบียน
ชาวนครของตน จะต้องออกจากแว่นแคว้นของ
ตน เพราะถ้อยคำของชาวสีพี ข้าพระองค์จักต้องได้
เสวยความลำบากนั้น ๆ ในป่าอันเกลื่อนกล่นด้วยพาล
มฤค เป็นที่อยู่อาศัยของแรดและเสือเหลือง ข้าพระ-
องค์จะทำบุญทั้งหลาย เชิญพระองค์ประทับจมอยู่ใน
เปือกตมเถิดพระเจ้าข้า.

พระมหาสัตว์ตรัสว่า
[1087] ข้าแต่พระแม่เจ้า ขอได้ทรงโปรดอนุ-
ญาตข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขอบวช ข้าพระองค์
บำเพ็ญทานอยู่ในปราสาทของตน ยังชื่อว่าเบียดเบียน
ชาวนครของตน จะต้องออกจากแว่นแคว้นของตน
เพราะถ้อยคำของชาวสีพี จักต้องได้เสวยความลำบาก
นั้น ๆ ในป่าอันเกลื่อนกล่นด้วยพาลมฤค เป็นที่
อาศัยของแรดและเสือเหลือง ข้าพระองค์จะกระทำ
บุญทั้งหลาย จะไปสู่เขาวงกต.

พระนางผุสดีตรัสว่า
[1088] ลูกเอ๋ย แม่อนุญาตให้ลุก การบวช
ของลูกจงสำเร็จ ส่วนแม่มัทรีผู้มีความงาม ตะโพก
ผึ่งผาย เอวบางร่างน้อย จงอยู่กับลูก ๆ เถิด จักทำ
อะไรในป่าได้.

พระเวสสันดรตรัสว่า
[1089] ข้าพระองค์ไม่พยายามจะนำแม้ซึ่งนาง-
ทาสีไปสู่ป่า โดยเขาไม่ปรารถนา ถ้าเขาปรารถนาจะ
ตามไป (ก็ตามใจ) ถ้าเขาไม่ปรารถนาก็จงอยู่.

พระศาสดาตรัสว่า
[1090] ลำดับนั้น พระมหาราชาเสด็จดำเนินไป
ทรงวิงวอนพระสุณิสาว่า ดูก่อนแม่มัทรีผู้มีร่างกายอัน
ชะโลมจันทน์ เจ้าอย่าได้ทรงธุลีละอองเลย แม่มัทรี
เคยทรงผ้ากาสี อย่าได้ทรงผ้าคากรองเลย การอยู่ใน
ป่าเป็นความลำบาก ดูก่อนแม่มัทรีผู้มีลักขณาอันงาม
เจ้าอย่าไปเลยนะ.
[1091] พระนางมัทรีราชบุตรีผู้งามทั่วพระวรกาย
ได้กราบทูลพระสัสสุระนั้นว่า ความสุขอันใดจะพึงมี
แก่เกล้ากระหม่อมฉัน โดยว่างเว้นพระเวสสันดร
เกล้ากระหม่อมฉัน ไม่พึงปรารถนาความสุขอันนั้น.
[1092] พระมหาราชาผู้ผดุงสีพีรัฐ ได้ตรัสกะ
พระนางมัทรีนั้นว่า เชิญฟังก่อนแม่มัทรี สัตว์อันจะ
รบกวน ยากที่จะอดทนได้ มีอยู่ในป่าเป็นอันมาก คือ
เหลือบ ตั๊กแตน ยุง และผึ้งมันจะพึงเบียดเบียนเธอ
ในป่านั้น ความทุกข์อย่างยิ่งนั้นจะพึงมีแต่เธอ เธอจะ
ต้องได้พบสัตว์ที่น่ากลัวอื่น ๆ ซึ่งอาศัยอยู่ใกล้แม่น้ำ
เช่นงูเหลือมเป็นสัตว์ไม่มีพิษ แต่มันมีกำลังมาก มัน
รัดมนุษย์ หรือแม้เนื้อที่มาใกล้ ๆ ด้วยลำตัว เอามาไว้

ในขนดหางของมัน เนื้อร้ายอย่างอื่น ๆ เช่นหมีมีขนดำ
คนที่มันพบเห็นแล้ว หนีขึ้นต้นไม้ก็ไม่พ้น ควายเปลี่ยว
ขวิดเฝืออยู่ เขาทั้งคู่ปลายคมกริบ เที่ยวอยู่ในถิ่นนี้
ใกล้ฝั่งแม่น้ำโสตุมพะ ดูก่อนแม่มัทรี เธอเปรียบ
เหมือนแม่โครักลูก เห็นฝูงเนื้อและโคถึกอันท่องเที่ยว
อยู่ในป่า จักทำอย่างไร ดูก่อนแม่มัทรี เธอได้เห็น
ทะโมนไพรอันน่ากลัวที่ประจวบเข้าในหนทางที่เดินได้
ยาก ความพรั่นพรึงจักต้องมีแก่เธอ เพราะไม่รู้จักเขต
เมื่อเธออยู่ในพระนคร ได้ยินเสียงสุนัขเห่าหอน ย่อม
สะดุ้งตกใจ เธอไปถึงเขาวงกตจักทำอย่างไร เมื่อฝูง
นกพากันจับเจ้าในเวลาเที่ยง ป่าใหญ่เหมือนส่งเสียง
กระหึ่ม เธอปรารถนาจะไปในป่าใหญ่นั้นทำไม.
[1093] พระนางมัทรีราชบุตรี ผู้มีความสวยงาม
ทั่วพระวรกาย ได้กราบทูลพระเจ้าสัญชัยนั้นว่า พระ-
องค์ทรงพระกรุณาตรัสบอกสิ่งที่น่ากลัวอันมีอยู่ในป่า
แก่เกล้ากระหม่อมฉัน เกล้ากระหม่อมฉันจักยอมทน
ต่อสู้สิ่งน่ากลัวทั้งปวงนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ
เกล้ากระหม่อมฉันจักไปแน่นอน เกล้ากระหม่อมฉัน
จักแหวกต้นเป้ง คา หญ้าคมบาง แฝก หญ้าปล้อง
หญ้ามุงกระต่าย ไปด้วยอก เกล้ากระหม่อมฉันจักไม่
เป็นผู้อันพระเวสสันดรนำไปได้ยาก อันว่ากุมารีย่อม
ได้สามีด้วยวัตรจริยาเป็นอันมาก คือ ด้วยการอด
อาหาร ตรากตรำท้อง ด้วยการผูกคาดไม้คางโค ด้วย

การบำเรอไฟ และด้วยการดำน้ำ ความเป็นหม้าย
เป็นความเผ็ดร้อนในโลก ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ
เกล้ากระหม่อมฉันจักไปแน่นอน ชายใดจับมือหญิง
หม้ายผู้ไม่ปรารถนาฉุดคร่าไป ชายนั้นเป็นผู้ไม่ควร
บริโภคของที่เป็นเดนของหญิงหม้ายนั้นโดยแท้ ความ
เป็นหม้ายเป็นความเผ็ดร้อนในโลก ข้าแต่พระองค์ผู้
เป็นจอมทัพ เกล้ากระหม่อมฉันจักไปแน่นอน ชาย
อื่นให้ทุกข์มากมายมิใช่น้อย ด้วยการจับผมและเตะ
ถีบจนล้มลงที่พื้นดิน แล้วไม่ให้หลีกหนี ความเป็น
หม้ายเป็นควานเผ็ดร้อนในโลก ข้าแต่พระองค์ผู้เป็น
จอมทัพ เกล้ากระหม่อมฉันจักไปแน่นอน พวกเจ้าชู้
ผู้ต้องการหญิงหม้ายที่มีผิวพรรณผุดผ่อง ให้ของเล็ก
น้อยแล้ว สำคัญตัวว่าเป็นผู้มีโชคดีย่อมฉุดคร่าหญิง
หม้ายผู้ไม่ปรารถนาไป ดังฝูงกาผู้กลุ้มรุมนกเค้าแมว
ฉะนั้น ความเป็นหม้าย เป็นความเผ็ดร้อนในโลก
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ เกล้ากระหม่อมฉันจักไป
แน่นอน อันว่าหญิงหม้ายแม้จะอยู่ในตระกูลญาติอัน
เจริญรุ่งเรืองไปด้วยเครื่องทอง จะไม่ได้รับคำติเตียน
ล่วงเกินจากพี่น้องและเพื่อนฝูงก็หาไม่ ความเป็นหม้าย
เป็นความเผ็ดร้อนในโลก ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ
เกล้ากระหม่อมฉันจักไปแน่นอน แม่น้ำไม่มีน้ำก็เปล่า
ดาย แว่นแคว้นไม่มีพระราชาก็เปล่าดาย แม่หญิงเป็น
หม้ายก็เปล่าดาย ถึงแม้หญิงนั้นจะมีพี่น้องตั้งสิบคน

ความเป็นหม้ายเป็นความเผ็ดร้อนในโลก ข้าแต่พระ-
องค์ผู้เป็นจอมทัพ เกล้ากระหม่อมฉันจักไปแน่นอน
อันว่าธงเป็นเครื่องหมายแห่งรถ ควันเป็นเครื่องปรากฏ
แห่งไฟ พระราชาเป็นสง่าของแว่นแคว้น ภัสดาเป็น
สง่าของหญิง ความเป็นหม้ายเป็นความเผ็ดร้อนในโลก
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ เกล้ากระหม่อมฉันจักไป
แน่นอน หญิงจนผู้ทรงเกียรติย่อมร่วมสุขทุกข์ของสามี
ที่จน หญิงมั่งคั่งผู้ทรงเกียรติ ย่อมร่วมสุขทุกข์ของ
สามีที่มั่งคั่ง เทพเจ้าย่อมสรรเสริญหญิงนั้นแล เพราะ
เจ้าหล่อนทำกิจที่ทำได้ยาก เกล้ากระหม่อมฉันจักบวช
ติดตามพระสวามีไปทุกเมื่อ แม่เมื่อแผ่นดินยังไม่ทำ-
ลาย ความเป็นหม้ายเป็นความเผ็ดร้อนของหญิง เกล้า-
กระหม่อมฉันว่างเว้นพระเวสสันดรเสียแล้ว ไม่พึง
ปรารถนาแม้แผ่นดินอันมีสาครเป็นขอบเขต ทรงไว้
ซึ่งเครื่องปลื้มใจเป็นอันมาก บริบูรณ์ด้วยรัตนะต่างๆ
เมื่อสามีตกทุกข์แล้ว หญิงเหล่าใดย่อมหวังสุขเพื่อตน
หญิงเหล่านั้นเลวทรามหนอ หัวใจของหญิงเหล่านั้น
เป็นอย่างไรหนอ เมื่อพระมหาราชาผู้ผดุงสีพีรัฐ เสด็จ
ออกแล้วเกล้ากระหม่อมฉันจักขอติดตามพระองค์ไป
เพราะพระองค์ทรงประทานสิ่งที่น่าปรารถนาทั้งปวง
แก่เกล้ากระหม่อมฉัน.
[1094] พระมหาราชาได้ตรัสกะพระนางมัทรีผู้
มีความงามทั่วพระวรกายว่า ดูก่อนแม่มัทรีผู้มีศุภ-

ลักษณ์ พ่อชาลีและแม่กัณหาชินาลูกรักทั้งสองของ
เธอนี้ ยังเป็นเด็ก เจ้าจงละไว้ ไปเถิด พ่อจะรับเลี้ยงดู
เด็กทั้งสองนั้นไว้เอง.
[1095] พระนางมัทรีราชบุตรี ผู้มีความงามทั่ว
พระวรกาย ได้กราบทูลพระเจ้าสญชัยนั้นว่า เทวะ พ่อ
ชาลีและแม่กัณหาชินาทั้งสอง เป็นลูกสุดที่รักของ
เกล้ากระหม่อมฉัน ลูกทั้งสองนั้น จักยังหัวใจของ
เกล้ากระหม่อมฉันผู้มีชีวิตอันเศร้าโศกให้รื่นรมย์ใน
ป่านั้น.
[1096] พระมหาราชาผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญ ได้
ตรัสกะพระนางมัทรีนั้นว่า เด็กทั้งสองเคยเสวยข้าว
สาลีอันปรุงด้วยเนื้อสะอาด เมื่อต้องเสวยผลไม้ จัก
ทำอย่างไร เด็กทั้งสองเคยเสวยในถาดทองหนักร้อย
ปละ อันเป็นของประจำราชสกุล เมื่อต้องเสวยในใบ
ไม้ จักทำอย่างไร เด็กทั้งสองเคยทรงภูษาแคว้นกาสี
ภูษาโขมรัฐและภูษาโกทุมพรรัฐ เมื่อต้องทรงผ้า
คากรอง จักทำอย่างไร เด็กทั้งสองเคยไปด้วยคาน
หาม วอและรถ เมื่อต้องเดินด้วยเท้าเปล่า จักทำ
อย่างไร เด็กทั้งสองเคยบรรทมในเรือนยอดมีบาน
หน้าต่างปิดสนิท ไม่มีลม เมื่อต้องบรรทมที่โคนไม้
จักทำอย่างไร เด็กทั้งสองเคยบรรทมบนพรม อันปู
ลาดไว้อย่างวิจิตรบนบัลลังก์ เมื่อต้องบรรทมเครื่อง
ลาดหญ้า จักทำอย่างไร เด็กทั้งสองเคยลูกไล้ด้วย

กฤษณา และจันทน์หอม เมื่อต้องทรงละอองธุลี จัก
ทำอย่างไร เด็กทั้งสองเคยตั้งอยู่ในความสุข มีผู้พัดวี
ให้ด้วยแส้จามรีและหางนกยูง ต้องถูกเหลือบและยุง
กัด จักทำอย่างไร.
[1093] พระนางมัทรีราชบุตร ผู้มีความงาม
ทั่วพระวรกาย ได้กราบทูลพระเจ้าสญชัยนั้นว่า เทวะ
พระองค์อย่าได้ทรงปริเทวนาและอย่าได้ทรงเสียพระ-
ทัยเลย เกล้ากระหม่อมฉันทั้งสอง จักเป็นอย่างไร
เด็กทั้งสองก็จักเป็นอย่างนั้น พระนางมัทรีผู้มีความ
งามทั่วพระวรกาย ครั้นกราบทูลคำนี้แล้วเสด็จหลีก
ไป พระนางผู้ทรงศุภลักษณ์ ทรงพาพระโอรสและ
พระธิดาเสด็จไปตามทางที่พระเจ้าสีพีเคยเสด็จ.
[1098] ลำดับนั้น พระเวสสันดรขัตติยราช
ครั้นพระราชทานทานแล้ว ทรงถวายบังคมพระราชบิดา
พระราชมารดา และทรงกระทำประทักษิณแล้ว เสด็จ
ขึ้นทรงรถพระที่นั่งอันเทียมด้วยม้าสินธพ 4 ตัวทรงพา
พระโอรสพระธิดาและพระชายาเสด็จไปสู่ภูเขาวงกต.
[1099] ลำดับนั้น พระเวสสันดรราช เสด็จ
เข้าไปที่หมู่ชนเป็นอันมากตรัสบอกลาว่า เราขอลาไป
ละนะ ขอญาติทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่มีโรคเถิด.
[1100] เมื่อพระเวสสันดรเสด็จออกจากพระ-
นคร ทรงเหลียวมาทอดพระเนตร แม้ครั้งนั้น แผ่น

ดินอันมีขุนเขาสิเนรุและราวป่าเป็นเครื่องประดับ
หวั่นไหว.
พระมหาสัตว์ตรัสว่า
[1101] เชิญดูเถิดมัทรี ที่ประทับของพระเจ้า
สีพีราชปรากฏเป็นรูปอันน่ารื่นรมย์ ส่วนมณเฑียร
ของเราเป็นดังเรือนเปรต.
พระศาสดาตรัสว่า
[1102] พราหมณ์ทั้งหลายได้ตามพระเวสสันดร
นั้นไป เขาได้ขอม้ากะพระองค์ พระองค์อันพราหมณ์
ทั้งหลายทูลขอแล้ว ทรงมอบม้า 4 ตัวให้แก่พราหมณ์
4 คน.
พระมหาสัตว์ตรัสว่า
[1103] เชิญดูเถิดมัทรี ละมั่งทองร่างงดงาม
ใคร ๆ ไม่เห็น เป็นดังม้าที่ชำนาญนำเราไป.
พระศาสดาตรัสว่า
[1104] ต่อมา พราหมณ์คนที่ห้าในที่นั้นได้มา
ขอราชรถกะพระองค์ พระองค์ทรงมอบรถให้แก่เขา
และพระทัยของพระองค์มิได้ย่อท้อเลย.
[1105] ลำดับนั้น พระเวสสันดรราชให้คน
ของพระองค์ลงแล้ว ทรงปลอบให้ปลงพระทัยมอบ
รถม้าให้แก่พราหมณ์ผู้แสวงหาทรัพย์.

พระมหาสัตว์ตรัสว่า
[1106] ดูก่อนมัทรี เธอจงอุ้มกัณหานี้ผู้เป็น
น้องคงจะเบากว่า พี่จักอุ้มชาลี เพราะชาลีเป็นพี่คง
จะหนัก.

พระศาสดาตรัสว่า
[1107] พระราชาทรงอุ้มพระโอรส ส่วนพระ-
ราชบุตรีทรงอุ้มพระธิดา ทรงยินดีร่วมกันดำเนิน ตรัส
ปราศรัยด้วยคำอันน่ารักกะกันและกัน.

จบทานกัณฑ์
[1108] ถ้ามนุษย์บางพวกเดินมาตามทางหรือ
เดินสวนทางมา เราจะถามมรรคากะพวกเขาว่า ภูเขา
วงกตอยู่ที่ไหน พวกเขาเห็นเราในระหว่างบรรดานั้น
จะพากันคร่ำครวญด้วยความกรุณาระทมทุกข์ ตอบ
เราว่า เขาวงกตยังอยู่อีกไกล.
[1109] ครั้งนั้น พระกุมารทั้งสองทอดพระ-
เนตรเห็นต้นไม้อันมีผลในป่าใหญ่ ทรงพระกรรแสง
เหตุประสงค์ผลไม่เหล่านั้น หมู่ไม้สูงใหญ่ดังจะเห็น
พระกุมารทั้งสองทรงพระกรรแสง จึงน้อมกิ่งลงมา
เองจนใกล้จะถึงพระกุมารทั้งสอง พระนางมัทรีผู้งด
งามทั่วพระวรกาย ทอดพระเนตรเห็นเหตุอัศจรรย์ไม่
เคยมี น่าขนพองสยองเกล้านี้ จึงซ้องสาธุการว่า น่า
อัศจรรย์ขนลุกขนพองไม่เคยมีในโลกหนอ ด้วยเดช
แห่งพระเวสสันดร ต้นไม้น้อมกิ่งลงมาเองได้.

[1110] เทพเจ้าทั้งหลายมาช่วยย่นมรรคาให้
กษัตริย์ทั้ง 4 เสด็จถึงเจตรัฐ โดยวันที่เสด็จออกนั่น
เอง เพื่ออนุเคราะห์พระกุมารทั้งสอง.
[1111] กษัตริย์ทั้ง 4 พระองค์นั้น ทรงดำเนิน
สิ้นมรรคายืดยาว เสด็จถึงเจตรัฐอันเป็นชนบทเจริญ
มั่งคั่ง มีมังสะและข้าวดี ๆ เป็นอันมาก.

พระศาสดาตรัสว่า
[1112] สตรีชาวนครเจตรัฐ เห็นพระนางมัทรี
ผู้มีศุภลักษณ์เสด็จมาก็พากันห้อมล้อมกล่าวกันว่า
พระแม่เจ้านี้เป็นสุขุมาลชาติหนอ มาเสด็จดำเนิน
พระบาทเปล่า เคยทรงคานหามสีวิกามาศและราชรถ
แห่ห้อม วันนี้ พระนางเจ้ามัทรีต้องเสด็จดำเนินใน
ป่าด้วยพระบาท.
[1113] พระยาเจตราชทั้งหลายได้ทัศนาเห็น
พระเวสสันดร ต่างก็ทรงกรรแสงเข้าไปเฝ้า กราบทูล
ถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พระองค์ทรง
พระสำราญไม่มีโรคาพาธแลหรือ พระองค์ไม่มีความ
ทุกข์แลหรือ พระราชธิดาของพระองค์หาพระโรคา-
พาธมิได้แลหรือ ชาวนครสีพีก็ไม่มีทุกข์หรือ ข้าแต่
พระมหาราชา พลนิลายของพระองค์อยู่ ณ ที่ไหน
กระบวนรถของพระองค์อยู่ ณ ที่ไหน พระองค์ไม่มี
ม้าทรง ไม่มีรถทรง เสด็จดำเนินมาสิ้นทางไกล พวก
อมิตรมาย่ำยีหรือ จึงเสด็จมาถึงทิศนี้.

พระมหาสัตว์ตรัสว่า
[1114] สหายทั้งหลายเอ๋ย ข้าพเจ้ามีความสุข
ไม่มีโรคาพาธ ข้าพเจ้าไม่มีความทุกข์ อนึ่ง พระราช
บิดาของเราก็ทรงปราศจากพระโรคาพาธ และชาวสีพี
ก็สุขสำราญดี เพราะข้าพเจ้าได้ให้พระยาเศวตกุญชร-
คชาธารอันประเสริฐสุด มีงางอนงามดังงอนไถ มี
กำลังแกล้วกล้าสามารถ รู้เขตชัยภูมิแห่งสงครามทั้ง
ปวง อันลาดด้วยผ้ากัมพลเหลือง เป็นช้างซับมันอาจ
ย่ำยีศัตรูได้ มีงางาม พร้อมทั้งพัดวาลวิชนี เป็นช้าง
เผือกขาวผ่องดังเขาไกรลาส พร้อมทั้งเศวตฉัตรและ
เครื่องปูลาด ทั้งหมอช้างและควาญช้าง เป็นยานอัน
เลิศ เป็นราชพาหนะ เราได้ให้แก่พราหมณ์ เพราะ
เหตุนั้น ชาวนครสีพีพากันโกรธเคืองข้าพเจ้า ทั้ง
พระราชธิดาก็ทรงกริ้วขับไล่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไป
เขาวงกต สหายทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลายจงให้
ข้าพเจ้าทราบโอกาสอันเป็นที่อยู่ในป่าเถิด.

พระเจ้าเจตราชทูลว่า
[1115] ข้าแต่พระมหาราช พระองค์เสด็จมา
ดีแล้ว พระองค์มิได้เสด็จมาร้ายเลย พระองค์ผู้เป็น
อิสราธิบดีเสด็จมาถึงแล้วขอจงตรัสบอกพระประสงค์
สิ่งซึ่งมีอยู่ในพระนครนี้ ข้าแต่พระมหาราช ขอเชิญ
เสวยสุธาโภชนาหารข้าวสาลี ผักดอง เหง้านั้น น้ำผึ้ง

และเนื้อ พระองค์เสด็จมาถึง เป็นแขกที่ข้าพระองค์
ทั้งหลายสมควรจะต้อนรับ.

พระเวสสันดรตรัสว่า
[1116] สิ่งใดอันท่านทั้งหลายให้แล้ว สิ่งนั้น
ทั้งหมดเป็นอันข้าพเจ้ารับไว้แล้ว บรรณาการเป็นอัน
ท่านทั้งหลายกระทำแล้วทุกอย่าง พระราชาทรงพิโรธ
ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไปยังเขาวงกต ดูก่อนสหายทั้ง
หลาย ขอท่านทั้งหลายจงให้ข้าพเจ้าทราบโอกาสอัน
เป็นที่อยู่ในป่านั้นเถิด.

พระเจ้าเจตราชทูลว่า
[1117] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ เชิญเสด็จ
ประทับ ณ เจตรัฐนี้ก่อนเถิด จนกว่าชาวเจตรัฐจักไป
เฝ้าพระเจ้าสีพีราช เพื่อทูละขอให้พระองค์ทรงทราบ
ว่า พระมหาราชผู้ผดุงสีพีรัฐไม่มีโทษ ชาวเจตรัฐ
ทั้งหลายได้ที่พึ่งแล้ว มีความปรีดาจะพากันเห่ล้อม
แวดล้อมพระองค์ไป ข้าแต่บรมกษัตริย์ ขอพระองค์
ทรงทราบอย่างนี้เถิด.

พระมหาสัตว์ตรัสว่า
[1118] การไปเฝ้าพระเจ้าสีพีราช เพื่อทูลขอ
ให้พระองค์ทรงทราบว่าเราไม่มีโทษ ท่านทั้งหลายอย่า
ชอบใจเลย ในเรื่องนั้นแม่พระราชาก็ไม่ทรงเป็นอิสระ
เพราะถ้าชาวนครสีพีทั้งพลนิกาย และชาวนิคมโกรธ

เคืองแล้ว ก็ปรารถนาจะกำจัดพระราชาเสีย เพราะ
เหตุแห่งข้าพเจ้า.

พระเจ้าเจตราชทูลว่า
[1119] ข้าแต่พระองค์ผู้ผดุงรัฐ ถ้าพฤติการณ์
นั้นเป็นไปในรัฐนี้ ชาวเจตรัฐขอถวายตัวเป็นบริวาร
เชิญเสด็จครองราชสมบัติในเจตรัฐนี้ทีเดียว รัฐนี้ก็มั่ง
คั่งสมบูรณ์ ชนบทก็เพียบพูนกว้างใหญ่ ข้าแต่สมมติ-
เทพ ขอพระองค์ทรงปลงพระทัยปกครองราชสมบัติ
เถิด พระเจ้าข้า.

พระเวสสันดรตรัสว่า
[1120] ข้าพเจ้าไม่มีความพอใจ ไม่ตกลงใจ
เพื่อจะปกครองราชสมบัติ ท่านเจตบุตรทั้งหลาย ขอ
ท่านทั้งหลายจงพึงข้าพเจ้าผู้ถูกขับไล่จากแว่นแคว้น
ชาวพระนครสีพี ทั้งพลนิกายและชาวนิคม คงไม่
ยินดีว่า ชาวเจตรัฐราชาภิเษกข้าพเจ้าผู้ถูกขับไล่ไปจาก
แว่นแคว้น แม้ความไม่เบิกบานใจ พึงมีแก่ท่านทั้ง
หลาย เพราะเหตุแห่งข้าพเจ้าเป็นแน่ อนึ่ง ความ
บาดหมางและความทะเลาะกับชาวสีพี ข้าพเจ้าไม่ชอบ
ใจ ใช่แต่เท่านั้น ความบาดหมางพึงรุนแรงขึ้นสงคราม
อันร้ายกาจก็อาจมีได้ คนเป็นอันมากพึงฆ่าฟันกันเอง
เพราะเหตุแห่งข้าพเจ้าผู้เดียว สิ่งใดอันท่านทั้งหลาย
ให้แล้ว สิ่งนั้นทั้งหมดเป็นอันข้าพเจ้ารับไว้แล้ว
บรรณาการ เป็นอันท่านทั้งหลายกระทำแล้วทุกอย่าง

พระราชาทรงพิโรธข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไปยังเขาวงกต
ขอท่านทั้งหลายจงให้ข้าพเจ้าทราบโอกาสเป็นที่อยู่ใน
ป่านั้นเถิด.

พวกกษัตริย์ทูลว่า
[1021] เชิญเถิด ราชฤาษีทั้งหลายผู้ทรงบูชาไฟ
มีพระทัยตั้งมั่น ประทับอยู่ ณ ประเทศใด ข้าพระ-
พุทธเจ้าทั้งหลายจักกราบทูลประเทศนั้นให้ทรงทราบ
เหมือนอย่างผู้ฉลาดในหนทาง ฉะนั้น ข้าแต่พระมหา-
ราชา โน่นภูเขาศิลาชื่อว่าคันทมาทน์ อันเป็นสถานที่
ที่พระองค์พร้อมด้วยพระโอรส พระธิดาและพระชายา
สมควรจักประทับอยู่ พระเจ้าข้า.
[1122] พระยาเจตราชทั้งหลายก็ทรงกันแสง
พระเนตรนองด้วยอัสสุชล กราบทูลพระเวสสันดรให้
ทรงสดับว่า ข้าแต่พระมหาราชา จากนี้ไป ขอเชิญ
พระองค์ทรงบ่ายพระพักตร์ไปทางทิศอุดร เสด็จสัญจร
ตรงไปยังสถานที่ ที่มีภูเขานั้น ข้าแต่พระองค์ผู้ทรง
พระเจริญ ลำดับนั้นพระองค์จักทรงเห็นภูเขาเวปุล-
บรรพต อันดารดาษไปด้วยหมู่ไม้นานาพันธุ์ มีเงา
ร่มเย็น เป็นที่รื่นรมย์ใจ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระ-
เจริญ พระองค์เสด็จล่วงเลยเวปุลบรรพตนั้นแล้ว ถัด
นั้นไป จักได้ทรงเห็นแม่น้ำอันมีนามว่าเกตุมดีเป็น
แม่น้ำลึก ไหลมาจากซอกเขา เกลื่อนกล่นไปด้วยฝูง
ปลาหลากหลาย มีท่าน้ำราบเรียบดี มีน้ำมาก พระองค์

จะได้สรงสนานและเสวยในแม่น้ำนั้น ปลุกปลอบพระ
ราชโอรสและพระราชธิดาให้สำราญพระทัย ข้าแต่
พระองค์ผู้ทรงพระเจริญ ถัดนั้นไป พระองค์จะได้
ทรงเห็นต้นไทรอันมีผลหวานฉ่ำ อยู่บนยอดเขาอัน
เป็นที่รื่นรมย์ มีเงาร่มเย็น เป็นที่เบิกบานใจ ข้าแต่
พระองค์ผู้ทรงพระเจริญ ถัดนั้นไป พระองค์จะได้
ทรงเห็นภูเขาศิลาชื่อว่านาลิกบรรพต อันเกลื่อนกล่น
ไปด้วยฝูงนกนานาชนิด เป็นที่ชุมนุมแห่งหมู่กินนร
ทางทิศอิสานแห่งนาลิกบรรพตนั้น มีสระน้ำชื่อว่า
มุจลินท์ ดาดาษไปด้วยบุณฑริกบัวขาว และดอกไม้มี
กลิ่นหอมหวาน เชิญพระองค์ผู้เป็นดังพระยาราชสีห์มี
ความจำนงเหยื่อ เสด็จเข้าไปยังไพรสณฑ์วนสถาน
อันเป็นภูมิภาคเขียวชอุ่มดังเมฆอยู่เป็นนิตย์ สะพรั่งไป
ด้วยไม้มีดอกและไม้มีผลทั้งสองอย่างในไพรสณฑ์นั้น
มีฝูงวิหคมากมายต่าง ๆ สี มีเสียงเสนาะกลมกล่อม ต่าง
ส่งเสียงประสานกันอยู่บนต้นไม้อันเผล็ดดอกตามฤดู
กาล พระองค์เสด็จถึงซอกเขาอันเป็นทางเดินลำบาก
เป็นแดนเกิดแห่งแม่น้ำทั้งหลาย จะได้ทอดพระเนตร
เห็นสระโบกขรณี อันดาดาษไปด้วยสลอดและกุ่มน้ำ
มีหมู่ปลาหลากหลายเกลื่อนกล่น มีท่าราบเรียบ มีน้ำ
มากเปี่ยมอยู่เสมอเป็นสระสี่เหลี่ยม มีน้ำจืดดีปราศจาก
กลิ่นเหม็น พระองค์ควรทรงสร้างบรรณศาลาทางทิศ

อีสาน แห่งสระโบกขรณีนั้น ครั้นทรงสร้างบรรณ-
ศาลาสำเร็จแล้ว ควรทรงบำเพ็ญเพียรเลี้ยงพระชนม์-
ชีพด้วยการเที่ยวแสวงหามูลผลาหาร.

จบวนปเวสนกัณฑ์
พระศาสดาตรัสว่า
[1123] พราหมณ์ชื่อว่าชูชกอยู่ในเมืองกลิงครัฐ
ภรรยาของพราหมณ์นั้นเป็นสาว มีชื่อว่าอมิตตตาปนา
ถูกพวกหญิงในบ้านนั้น ซึ่งพากันไปตักน้ำที่ท่าน้ำมา
รุมกันด่าว่าอยู่อึงมิว่า มารดาของเจ้าคงเป็นศัตรูเป็น
แน่ และบิดาของเจ้าก็คงเป็นศัตรูแน่นอน จึงได้ยก
เจ้าซึ่งยังเป็นสาวรุ่นดรุณี ให้แก่พราหมณ์ชราเห็นปาน
นี้ไม่เกื้อกูลเลยหนอ ที่พวกญาติของเจ้าแอบปรึกษา
กันยกเจ้าผู้ยังเป็นสาวรุ่น ๆ ให้แก่พราหมณ์เฒ่าเห็นปาน
นี้เป็นความชั่วหนอ ที่พวกญาติของเจ้าแอบปรึกษากัน
ยกเจ้าผู้ยังเป็นสาวรุ่นๆ ให้แก่พราหมณ์เฒ่าเห็นปานนี้
เป็นความลามกมากหนอ ที่พวกญาติของเจ้าแอบปรึก-
ษากัน ยกเจ้าผู้ยังเป็นสาวรุ่น ๆ ให้แก่พราหมณ์เฒ่า
เห็นปานนี้หนอ ไม่น่าพอใจเลยหนอ ที่พวกญาติของ
เจ้าแอบปรึกษากัน ยกเจ้าซึ่งยังเป็นสาวรุ่น ๆ ให้แก่
พราหมณ์เฒ่าเห็นปานนี้ เจ้าคงไม่พอใจอยู่กับผัวแก่
การที่เจ้าอยู่ในเรือนของพราหมณ์เฒ่า เจ้าตายเสียดีกว่า
อยู่ ดูก่อนแม่คนงามคนสวย มารดาและบิดาของเจ้า

คงหาชายอื่นให้เป็นผัวไม่ได้แน่ จึงยกเจ้าซึ่งยังเป็น
สาวรุ่น ๆ ให้แก่พราหมณ์เฒ่าเห็นปานนี้ เจ้าคงจัก
บูชายัญไว้ไม่ดีในดิถีที่ 9 คงจักไม่ได้ทำการบูชาไฟไว้
เจ้าคงจักด่าสมณพราหมณ์ผู้มีพรหมจรรย์เป็นเบื้องหน้า
ผู้มีศีล เป็นพหูสูตในโลกเป็นแน่ เจ้าจึงได้มาอยู่ใน
เรือนของพราหมณ์แก่แต่ยังสาวรุ่น ๆ อย่างนี้ การที่
ถูกงูกัดก็ไม่เป็นทุกข์ การที่ถูกแทงด้วยหอกก็ไม่เป็น
ทุกข์ การที่ได้เห็นผัวแก่นั้นแลพึงเป็นทุกข์ด้วย เป็น
ความร้ายกาจด้วย การเล่นหัวย่อมไม่มีกับผัวแก่ การ
รื่นรมย์ย่อมไม่มีกับผัวแก่ การเจรจาปราศรัยย่อมไม่มี
กับผัวแก่ แม้การกระซิกกระซี้ก็ไม่งาม แต่เมื่อใด
ผัวหนุ่มเมียสาวเย้าหยอกกันอยู่ในที่ลับ เมื่อนั้น ความ
เศร้าทุกอย่างที่เสียดแทงหทัยอยู่ย่อมพินาศไปสิ้น เจ้า
ยังเป็นสาวรูปสวย พวกชายหนุ่มปรารถนายิ่งนัก เจ้า
จงไปอยู่เสียที่ตระกูลญาติเถิด พราหมณ์แก่จักให้เจ่า
รื่นรมย์ได้อย่างไร.

นางอมิตตตาปนากล่าวว่า
[1124] ดูก่อนท่านพราหมณ์ ฉันจักไม่ไปตัก
น้ำที่แม่น้ำเพื่อท่านอีกต่อไป เพราะพวกหญิงชาวบ้าน
มันรุมด่าฉัน เหตุที่ท่านเป็นคนแก่.

ชูชกกล่าวว่า
[1125] เธออย่าได้ทำการงานเพื่อฉันเลย ฉัน
จักตักน้ำเอง เธออย่าโกรธเลย

นางกล่าวว่า
[1126] ฉันไม่ได้เกิดในสกุลที่ใช้สามีให้ตักน้ำ
ท่านพราหมณ์ขอจงรู้อย่างนี้ว่า ฉันจักไม่อยู่ในเรือน
ของท่าน ถ้าท่านจักไม่นำทาสหรือทาสีมาให้ฉัน ท่าน
พราหมณ์จงทราบอย่างนี้ว่า ฉันจักไม่อยู่ในสำนักของ
ท่าน.

ชูชกกล่าวว่า
[1127] ดูก่อนพราหมณี ศิลปกรรมหรือทรัพย์
และข้าวเปลือกของฉันไม่มี ฉันจักนำทาสหรือทาสี
มาให้เธอแต่ที่ไหน ฉันจักบำรุงเธอ เธออย่าโกรธ
เลย.

นางกล่าวว่า
[1128] มานี่เถิด ฉันจักบอกแก่ท่านตามคำ
ที่ฉันได้ฟังมา พระเวสสันดรราชฤาษีประทับอยู่ ณ
เขาวงกต ท่านพราหมณ์จงไปทูลขอทาสและทาสีกะ
พระองค์เถิด เมื่อท่านทูลขอแล้ว พระองค์จัก
พระราชทานทาสและทาสแก่ท่าน.

ชูชกกล่าวว่า
[1129] ฉันเป็นคนชราทุพพลภาพ ทั้งหนทาง
ก็ไกลเดินไปได้ยาก เธออย่ารำพันไปเลย อย่าเสียใจ
เลย ฉันจักบำรุงเธอ เธออย่าโกรธเลย.

นางกล่าวว่า
[1130] คนขลาดยังไม่ทันถึงสนามรบ ไม่ทัน
ได้รบก็ยอมแพ้ ฉันใด ท่านพราหมณ์ยังไม่ทันได้ไป
ก็ยอมแพ้ ฉันนั้น ถ้าท่านพราหมณ์จักไม่นำทาสหรือ
ทาสีมาให้ฉัน ขอท่านจงทราบไว้อย่างนี้ว่า ฉันจักไม่
อยู่ในเรือนของท่าน ฉันจักกระทำอาการไม่พอใจให้
แก่ท่าน ข้อนั้นจักเป็นความทุกข์ของท่าน ในคราว
มหรสพซึ่งมีในต้นฤดูนักขัตฤกษ์ ท่านจักได้เห็นฉันผู้
แต่งตัวสวยงาม รื่นรมย์อยู่กับชายอื่น ๆ ข้อนั้นจักเป็น
ทุกข์ของท่าน ดูก่อนท่านพราหมณ์ เมื่อท่านซึ่งเป็น
คนแก่รำพันอยู่ เพราะไม่เห็นฉัน ร่างกายที่งอก็จักงอ
ยิ่งขึ้น ผมที่หงอกก็จักหงอกมากขึ้น.

พระศาสดาตรัสว่า
[1131] ลำดับนั้น พราหมณ์ตกใจกลัว ตกอยู่
ในอำนาจของนางพราหมณี ถูกกามราคะบีบคั้น ได้
กล่าวกะนางพราหมณีว่า ดูก่อนนางพราหมณี เธอจง
ทำเสบียงเดินทางให้ฉัน ทั้งขนมงา ขนมเทียน สตู
ก้อน สตูผง และข้าวผอก เธอจงจัดให้ดี ๆ ฉันจัก
นำพระพี่น้องสองกุมารมาให้เป็นทาส พระกุมารทั้ง
สองนั้นเป็นผู้ไม่เกียจคร้าน จักบำเรอเธอทั้งกลางคืน
กลางวัน.
[1132] พราหมณ์ชูชกผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่ง
พรหม สวมรองเท้าแล้วพร่ำสั่งเสียต่อไป กระทำ

ประทักษิณภรรยา สมาทานวัตรมีหน้านองด้วยน้ำตา
หลีกไปสู่นครอันเจริญรุ่งเรืองของชาวสีพี เที่ยวแสวง
หาทาสทาสี.
[1133] พราหมณ์ชูชกไปในนครนั้นแล้ว ได้
ถามประชาชนที่มาประชุมกันอยู่ในที่นั้น ๆ ว่า พระ-
เวสสันดรราชประทับอยู่ ณ ที่ไหน เราทั้งหลายจะไป
เฝ้าพระองค์ผู้บรมกษัตริย์ ณ ที่ไหน ชนทั้งหลายผู้มา
ประชุมกันอยู่ ณ ที่นั้นได้ตอบพราหมณ์นั้นว่า ดูก่อน
ท่านพราหมณ์พระเวสสันดรบรมกษัตริย์ ถูกพวกท่าน
เบียดเบียน เพราะทรงให้ทานมากไป ต้องทรงพา
พระราชโอรส พระราชธิดา และพระอัครมเหสีไป
ประทับอยู่ ณ เขาวงกต.
[1134] พราหมณีนั้นผู้มีความติดใจในกาม
ถูกนางพราหมณ์ตักเตือนได้เสวยทุกข์เป็นอันมากใน
ป่าอันเกลื่อนกล่นไปด้วยสัตว์ร้ายเป็นที่เสพอาศัยแห่ง
แรดและเสือเหลือง แกถือไม้เท้าสีเหมือนผลมะตูม
อีกทั้งเครื่องบูชาไฟและเต้าน้ำ เข้าไปสู่ป่าใหญ่ โดย
ทางที่ได้ทราบข่าวซึ่งพระหน่อกษัตริย์ผู้ประทานตาม
ประสงค์ เมื่อพราหมณ์นั้นเข้าไปสู่ป่าใหญ่ถูกสุนัข
ล้อมไล่ ตาแกร้องเสียงขรม เดินหลงทางห่างออกไป
ไกล ลำดับนั้น พราหมณ์ผู้โลภในโภคะ ไม่มีความ
สำรวม (ถูกสุนัขล้อมไล่) หลงทางที่จะไปสู่เขาวงกต
(และนั่งอยู่บนต้นไม้) ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า

ชูชกกล่าวว่า
[1135] ใครเล่าหนอจะพึงบอกราชบุตรพระ-
นามว่า เวสสันดรผู้ประเสริฐ ทรงชำนะความตระหนี่
อันใครให้แพ้ไม่ได้ ทรงให้ความปลอดภัยในเวลามี
ภัยแก่เราได้ พระองค์เป็นที่พึ่งของพวกยาจก ดังธรณี
เป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายฉะนั้น ใครจะพึงบอกซึ่ง
พระเวสสันดรมหาราชผู้เปรียบเหมือนแม่ธรณีแก่เรา
ได้ พระองค์เป็นที่ไปเฝ้าของพวกยาจก ดังสาครเป็น
ที่ไหลไปรวมแห่งแม่น้ำทั้งหลายฉะนั้น ใครจะพึงบอก
ซึ่งพระเวสสันดรมหาราชผู้เปรียบเหมือนสาครแก่เรา
ได้ พระองค์เป็นดังสระน้ำ มีท่าอันงามราบเรียบ ลง
ดื่มได้ง่าย มีน้ำเย็นเป็นที่รื่นรมย์ใจ ดาดาษไปด้วย
บุณฑริกบัวขาบ สะพรั่งด้วยเกสรบัว ใครจะพึงบอก
ซึ่งพระเวสสันดรมหาราชผู้เปรียบเหมือนสระน้ำแก่
เราได้ ใครจะพึงบอกซึ่งพระเวสสันดรมหาราช ผู้
เปรียบเหมือนต้นโพธิ์ใบที่เกิดอยู่ใกล้ทาง มีเงาร่มเย็น
น่ารื่นรมย์ใจ เป็นที่พักอาศัยของคนเดินทาง ผู้เมื่อย
ล้าเหน็ดเหนื่อยมาในเวลาร้อน แก่เราได้ ใครจะพึง
บอกซึ่งพระเวสสันดรมหาราช ผู้เปรียบเหมือนต้นไทร
ที่เกิดอยู่ใกล้ทาง มีเงาร่มเย็นน่ารื่นรมย์ใจ เป็นที่พัก
อาศัยของคนเดินทาง ผู้เมื่อยล้าเหน็ดเหนื่อยในเวลา
ร้อนแก่เราได้ ใครจะพึงบอกพระเวสสันดรมหาราช
ผู้เปรียบเหมือนต้นมะม่วงที่เกิดอยู่ใกล้ทาง มีเงาร่มเย็น

น่ารื่นรมย์ใจ เป็นที่พักอาศัยของคนเดินทาง ผู้เมื่อย
ล้าเหน็ดเหนื่อยมาในเวลาร้อนแก่เราได้ ใครจะพึง
บอกซึ่งพระเวสสันดรมหาราช ผู้เปรียบเหมือนต้นรัง
ที่เถิดอยู่ใกล้ทาง มีเงาร่มเย็นน่ารื่นรมย์ใจเป็นที่พัก
อาศัยของคนเดินทาง ผู้เมื่อยล้าเหน็ดเหนื่อยมาใน
เวลาร้อนแก่เราได้ ใครจะพึงบอกซึ่งพระเวสสันดร
มหาราช ผู้เปรียบเหมือนต้นไม้ใหญ่ที่เกิดอยู่ใกล้ทาง
มีเงาร่มเย็นน่ารื่นรมย์ใจ เป็นที่พักอาศัยของคนเดิน
ทาง ผู้เมื่อยล้าเหน็ดเหนื่อยมาในเวลาร้อน แก่เราได้
ก็เมื่อเราเข้าไปในป่าใหญ่ เพ้อรำพันอยู่อย่างนี้ ผู้ใด
จะพึงบอกว่า เรารู้ ผู้นั้นยังความยินดีให้เกิดแก่เรา
เมื่อเราเข้าไปในป่าใหญ่ เพ้อรำพันอยู่อย่างนี้ ผู้ใด
พึงบอกที่ประทับของพระเวสสันดรว่า เรารู้จัก ผู้นั้น
ประสบบุญเป็นอันมาก ด้วยวาจาคำเดียวนั้น.

พระศาสดาตรัสว่า
[1136] นายเจตบุตร เป็นพรานเที่ยวอยู่ในป่า
ได้ตอบแก่ชูชกนั้นว่า ดูก่อนพราหมณ์ พระหน่อ
กษัตริย์ ถูกพวกท่านรบกวน เพราะทรงบำเพ็ญทาน
อย่างยิ่ง จึงถูกเนรเทศจากแคว้นของพระองค์มาประ-
ทับอยู่ ณ เขาวงกต ดูก่อนพราหมณ์ พระหน่อกษัตริย์
ถูกพวกท่านรบกวน เพราะทรงบำเพ็ญทานอย่างยิ่ง
ต้องทรงพาพระโอรสพระธิดาและพระมเหสีมาประทับ

อยู่ ณ เขาวงกต ท่านผู้มีปัญญาทราม ทำแต่กิจที่ไม่
ควรทำ ยังออกจากแว่นแคว้นตามมาถึงป่าใหญ่ เที่ยว
แสวงหาพระราชบุตรดุจนกยางเที่ยวหาปลาอยู่ในน้ำ
ฉะนั้น แน่ะพราหมณ์ เราจักไม่ให้ชีวิตแก่เจ้าในที่นี้
ลูกศรที่เราจะยิงนี้แหละ จักดื่มเลือดเจ้า ดูก่อน
พราหมณ์ เราจักตัดหัวของเจ้า เชือดเอาหัวใจพร้อม
ทั้งไส้พุง แล้วจักบูชาปันถสกุณยัญพร้อมด้วยเนื้อของ
เจ้า ดูก่อนพราหมณ์ เราจักเชือดหัวใจของเจ้า ยกขึ้น
เป็นเครื่องเซ่นสรวง พร้อมด้วยเนื้อ มันขึ้น และมัน
ในสมองของเจ้า ดูก่อนพราหมณ์ มันข้น จักเป็นยัญ
ที่เราบูชาดีแล้ว เซ่นสรวงดีแล้ว ด้วยเนื้อของเจ้า
เจ้าจักนำพระมเหสี และพระโอรส พระธิดาของ
พระราชบุตรไปไม่ได้.

ชูชกกล่าวว่า
[1137] ดูก่อนเจตบุตร จงฟังเราก่อน พราหมณ์
ผู้เป็นทูต เป็นคนหาโทษมิได้ เพราะเหตุนั้นแล คน
ทั้งหลายย่อมไม่ฆ่าทูต นี้เป็นธรรมเนียมสืบเนื่องมา
แต่โบราณ ชาวสีพีทุกคนยินยอมแล้ว พระบิดาก็ทรง
ปรารถนาจะพบพระราชบุตร และพระมารดาของ
พระราชบุตรนั้นทรงทุพพลภาพ พระเนตรทั้งสองของ
พระมารดานั้นจักขุ่นมัวในไม่ช้า เราเป็นทูตที่ชาวสีพี
เหล่านั้นส่งมา ดูก่อนเจตบุตร จงฟังเราก่อน เราจัก

นำพระราชบุตรเสด็จกลับ ถ้าเจ้ารู้ จงบอกหนทาง
แก่เรา.

เจตบุตรกล่าวว่า
[1138] ดูก่อนพราหมณ์ ท่านเป็นทูตที่รักของ
พระเวสสันดรผู้เป็นที่รักของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะให้
เต้าน้ำผึ้ง และขาเนื้อย่างเป็นบรรณาการแก่ท่าน และ
จักบอกประเทศที่พระเวสสันดรหน่อกษัตริย์ผู้ให้สำเร็จ
ความประสงค์ประทับอยู่แก่ท่าน.

จบชูชกบรรพ
เจตบุตรกล่าวว่า
[1139] ดูก่อนมหาพราหมณ์ นั่นภูเขาคันท-
มาทน์อันล้วนแล้วด้วยหิน พระเวสสันดรเจ้า พร้อม
ด้วยพระโอรสพระธิดาและพระมเหสีทรงเพศนักบวช
อันประเสริฐ ทรงขอสำหรับสอยผลไม้ เครื่องบูชา
ไฟและชฎา ทรงนุ่งห่มหนังเสือ บรรทมเหนือแผ่น-
ดิน ทรงบูชาไฟ ประทับอยู่ ณ อาศรมใด เมื่อท่าน
บ่ายหน้าเดินทางไปทางทิศอุดร จะได้เห็นอาศรมนั้น
นั่นหมู่ไม้เขียวชะอุ่ม มียอดสูงตระหว่าน คือ ไม้
ตะแบก หูกวาง ไม้ตะเคียน ไม้รัง ไม้ตะคร้อ ไม้
ยางทราย ย่อมหวั่นไหวไปตามลม ดังมาณพดื่มสุรา
คราวเดียวก็ซวนเซไปมาอยู่ฉะนั้น ท่านได้ฟังเสียงฝูง
นกอันจับอยู่บนกิ่งไม้ปานดังเสียงเพลงขับทิพย์ คือ

นกโพระดก นกดุเหว่า นกกระจง พลางส่งเสียงร้อง
บินจากต้นไม้โน้นมาสู่ต้นไม้นี้ ทั้งหมู่ไม้ที่ต้องลมพัด
สะบัดกิ่งและใบเสียดสีกันคล้ายกับจะเรียกคนผู้กำลัง
เดินไปให้หยุด และเหมือนดังชักชวนคนผู้จะผ่านไป
ให้ยินดีชื่นชมพักผ่อน พระเวสสันดรเจ้า พร้อมด้วย
พระโอรสพระธิดาและพระมเหสี ทรงเพศเป็น
พราหมณ์ ทรงขอสำหรับสอยผลไม้ เครื่องบูชาไฟ
และชฎา ทรงนุ่งห่มหนึ่งเสือ บรรทมเหนือแผ่นดิน
ทรงบูชาไฟ ประทับอยู่ ณ อาศรมใด เมื่อท่านบ่าย
หน้าเดินไปทางทิศอุดรจะได้เห็นอาศรมนั้น.
[1140] ในบริเวณอาศรมนั้น มีหมู่ไม้มะม่วง
มะขวิด ขนุน ไม้รัง ไม้หว้า สมอพิเภก สมอไทย
มะขามป้อม ไม้โพธิ์ ไม้พุทรา มะพลับทอง ต้นไทร
และมะสัง มะซางหวานและมะเดื่อ มีผลสุกแดง
เรื่อ ๆ อยู่ในที่ต่ำ คล้ายงาช้าง กล้วยหอม ผลจันทน์
มีรสหวานเหมือนน้ำผึ้ง รวงผึ้งไม่มีตัวมีในที่นั้น คน
เอื้อมือปลิดมาบริโภคได้เอง ในบริเวณอาศรมนั้น
มีต้นมะม่วง บางต้นออกช่อแย้มบาน บางต้นมีดอก
และใบร่วงหล่น ผลิผลดาษดื่น บางอย่างยังดิบ บาง
อย่างสุกแล้ว ผลมะม่วงดิบและสุกทั้งสองอย่างนั้น มี
สีดังหลังกบ อนึ่ง ในบริเวณอาศรมนั้น บุรุษยืนอยู่
ในภายใต้ก็เก็บมะม่วงสุกกินได้ ผลมะม่วงดิบและสุก
ทั้งหลาย มีสีสวย กลิ่นหอมและรสอร่อยที่สุด เหตุ

การณ์เหล่านี้เป็นที่น่าอัศจรรย์แก่ข้าพเจ้าเหลือเกิน ถึง
กับข้าพเจ้าออกอุทานว่า อือ ๆ ที่ประทับอยู่ของพระ-
เวสสันดรนั้น เป็นดังที่ประทับอยู่ของทวยเทพ ย่อม
งดงามปานด้วยนันทนวัน ต้นตาล ต้นมะพร้าว และ
อินทผาลัม ที่มีอยู่ในป่าใหญ่มีดอกเรียงรายกันอยู่
เหมือนพวงมาลัยที่เขาร้อยไว้ หมู่ไม้เหล่านั้น ย่อม
ปรากฏดังยอดธงชัย ในบริเวณอาศรมนั้น มีหมู่ไม้
ต่างๆ พันธุ์ คือ ไม้มูกมัน โกฐ สะค้าน แคฝอย
ไม้บุนนาค บุนนาคเขา และไม้ทรึก มีดอกบานสะพรั่ง
สีต่าง ๆ กันเหมือนหมู่ดาว เรืองอยู่บนนภากาศฉะนั้น
อนึ่ง ในบริเวณอาศรมนั้น มีไม้ราชพฤกษ์ ไม้มะ-
เกลือ กฤษณา รักดำ ต้นไทรใหญ่ ไม้รังไก่ ไม้
ประดู่ มีดอกบานสะพรั่ง ในบริเวณอาศรมนั้นมีไม้
มูกหลวง ไม้สน ไม้กะทุ่ม ไม้ช่อ ไม้ตะแบก
นางรัง ล้วนมีดอกเป็นพุ่มพวงดังลอมฟาง บานในที่
ไม่ไกลจากอาศรมนั้น มีสระโบกขรณี ณ ภูมิภาคอัน
น่ารื่นรมย์ใจ ดาดาษไปด้วยดอกปทุมชาติและอุบล
สระโบกขรณีในสวนนันทนวันของทวยเทพฉะนั้น
อนึ่ง ณ ที่ใกล้สระโบกขรณีนั้น มีฝูงนกดุเหว่าเมารส
ดอกไม้ ส่งเสียงไพเราะจับใจ ทำป่านั้นให้ดังอึกทึก
กึกก้อง ในเมื่อคราวหมู่ไม้ผลิดอกแย้มบานตามฤดูกาล
รสหวานดังน้ำผึ้งร่วงหล่นจากเกสรดอกไม้ลงมาค้างอยู่
บนใบบัวย่อมชื่อว่าน้ำผึ้งใบบัว ( ขัณฑสกร) อนึ่ง ลม

ทางทิศทักษิณและทางทิศประจิมย่อมพัดมาที่อาศรม
นั้น อาศรมเป็นสถานที่เกลื่อนกล่นไปด้วยละออง
เกสรปทุมชาติในสระโบกขรณีนั้น มีกระจับขนาด
ใหญ่ ๆ ทั้งข้าวสาลีอ่อน บ้างแก่บ้างล้มดาษอยู่บนภาค
พื้น และในสระโบกขรณีนั้น น้ำใสสะอาดมองเห็น
ฝูงปลา เต่าและปูเป็นอันมาก สัญจรไปมาเป็นหมู่ ๆ
รสหวานปานน้ำผึ้งย่อมไหลออกจากเหง้าบัว รสมัน
ปานนมสดและเนยใสย่อมไหลออกจากสายบัว ป่านั้น
มีกลิ่นหอมต่างๆ ที่ลมรำเพยพัดมา ย่อมหอมฟุ้ง
ตระหลบไป ป่านั้นเหมือนดังจะชวนเชิญคนที่มาถึง
แล้วให้เบิกบาน ด้วยดอกไม้และกิ่งไม้ที่มีกลิ่นหอม
แมลงภู่ทั้งหลายต่างก็บินว่อนวู่บันลือเสียงอยู่โดยรอบ
ด้วยกลิ่นดอกไม้ อนึ่ง ที่ใกล้อาศรมนั้น ฝูงวิหคเป็น
อันมากมีสีต่าง ๆ กัน บันเทิงอยู่กับคู่ของตนๆ ร่ำร้อง
ขานขันแก่กันและกัน มีฝูงนกอีกสี่หมู่ทำรังอยู่ใกล้
สระโบกขรณี คือ หมู่ที่ 1 ชื่อว่านันทิกา ย่อมร้องทูล
เชิญพระเวสสันดรเจ้า ให้ชื่นชมยินดีอยู่ในป่านี้ หมู่
ที่ 2 ชื่อว่า ชีวปุตตา ย่อมร่ำร้องถวายพระพรให้พระ-
เวสสันดรพร้อมด้วยพระราชโอรส พระราชธิดาและ
พระอัครมเหสี จงมีพระชนม์ยืนนาน ด้วยความสุข
สำราญ หมู่ที่ 3 ชื่อว่า ชีวปุตตาปิยาจโน ย่อมร่ำร้อง
ถวายพระพรให้พระเวสสันดรพร้อมทั้งพระราชโอรส
พระราชธิดา และพระอัครมเหสีผู้เป็นที่รักของพระ-
องค์จงพระสำราญ มีพระชนมายุยืนนานไม่มีข้าศึก

ศัตรู หมู่ที่ 3 ชื่อว่า ปิยาปุตตา ปิยานันทา ย่อมร่ำ
ร้องถวายพระพรให้พระราชโอรส พระราชธิดาและ
พระอัครมเหสีจงเป็นที่รักของพระองค์ ขอพระองค์
จงเป็นที่รักของพระราชโอรสพระราชธิดาและพระ-
อัครมเหสี ทรงชื่นชมโสมนัสต่อกันและกัน ดอกไม้
ทั้งหลายย่อมตั้งเรียงรายกันอยู่ เหมือนพวงมาลัยที่เขา
ร้อยไว้ หมู่ไม้เหล่านั้น ย่อมปรากฏดังยอดธงชัยมีดอก
สีต่าง ๆ กัน ดังนายช่างผู้ฉลาดเก็บมาร้อยกรองไว้
พระเวสสันดรเจ้า พร้อมด้วยพระราชโอรสพระราชธิดา
และพระมเหสีทรงเพศเป็นพราหมณ์ ทรงขอสำหรับ
สอยผลไม้เครื่องบูชาไฟและชฎา ทรงนุ่งห่มหนัง
เสือ บรรทมเหนือแผ่นดิน ทรงบูชาไฟประทับอยู่ ณ
อาศรมใด เมื่อท่านบ่ายหน้าไปทางทิศอุดร จะได้เห็น
อาศรมนั้น.

ชูชกกล่าวว่า
[1141 ] เออก็ข้าวสตูผงอันระคนด้วยน้ำผึ้งและ
ข้าวสตูก้อนมีรสหวานอร่อยของลุงนี้ อันนางอมิตต-
ดาจัดแจงให้แล้ว ลุงจะแบ่งให้แก่เจ้า.

เจตบุตรกล่าวว่า
[1142] ข้าแต่ท่านพราหมณ์ จงเอาไว้เป็น
เสบียงทาง ขอเชิญท่านจงรับน้ำผึ้งกับขาเนื้อย่าง
จากสำนักของข้าพเจ้านี้ เอาไปเป็นเสบียงทางอีกด้วย
และขอท่านจงไปตามสบายเถิด หนทางนี้เป็นทาง
เดินได้คนเดียว ตรงลิ่วไปถึงอาศรมของอจุตฤาษี แม้

อจุตฤาษีอยู่ในอาศรมนั้นฟันเขลอะ มีผมเกลือกกลั้ว
ธุลี ทรงเพศเป็นพราหมณ์ มีขอสำหรับสอยผลไม้
เครื่องบูชาไฟและชฎา นุ่งห่มหนังเสือ นอนเหนือ
แผ่นดิน บูชาไฟ ลุงไปถึงแล้วเชิญถามท่านเถิดท่าน
จักบอกหนทางให้แก่ลุง.
[1143] ชูชกเป็นเผ่าพันธุ์แห่งพราหมณ์ ได้
ฟังคำของเจตบุตรดังนี้แล้ว มีจิตยินดีเป็นอย่างยิ่ง
กระทำประทักษิณเจตบุตรแล้วได้เดินทางตรงไป ณ
สถานที่อันอจุตฤาษีสถิตอยู่.

จบจุลวนวรรณนา
[1144] ชูชกพราหมณ์ภารทวาชโคตรนั้น เมื่อ
เดินไปตามทางที่เจตบุตรพรานป่าแนะให้ ก็ได้พบ
อจุตฤาษี ครั้นแล้วได้เจรจาปราศรัยกับอจุตฤาษี ไต่
ถามถึงทุกข์สุขว่า พระคุณเจ้าไม่มีโรคาพาธเบียดเบียน
หรือ เป็นสุขสบายดีหรือ เยียวยาอัตภาพด้วยการ
แสวงหาผลไม้สะดวกหรือ มูลมันผลไม้มีมากหรือ
เหลือบ ยุง และสัตว์เลื้อยคลานจะมีน้อยกระมัง ใน
ป่าอันเกลื่อนกล่นไปด้วยเนื้อร้ายไม่มีกล้ำกลายเข้ามา
รบกวนแหละหรือ.

อจุตฤาษีกล่าวว่า
[1145] ดูก่อนพราหมณ์ เราไม่มีโรคาพาธ
เบียดเบียน เราเป็นสุขสบายดี เยียวยาอัตภาพด้วยการ
แสวงหาผลไม้สะดวกดี มูลมันผลไม้ก็มีมาก อนึ่ง

เหลือบ ยุง และสัตว์เลื้อยคลานก็น้อยในป่าอันเกลื่อน
กลาดไปด้วยเนื้อร้าย ไม่มีกล้ำกรายมารบกวนเราเลย
เมื่อเรามาอยู่ในอาศรมสิ้นจำนวนปีเป็นอันมาก เราไม่
รู้สึกถึงความอาพาธอันไม่เป็นที่รื่นรมย์ใจเกิดขึ้นเลย
ดูก่อนมหาพราหมณี ท่านมาดีแล้ว อนึ่ง ท่านมิได้
มาร้าย ดูก่อน ท่านผู้เจริญ เชิญท่านเข้าไปภายใน
เชิญล้างเท้าทั้งสองของท่าน ผลมะพลับ ผลมะหาด
ผลมะซาง ผลหมากเม่า มีรสหวานคล้ายน้ำผึ้ง เชิญ
ท่านเลือกบริโภคแต่ผลที่ดี ๆ แม้น้ำฉันก็เย็นสนิทเรา
นำมาจากซอกเขา ดูก่อนมหาพราหมณ์ ถ้าท่านจำนง
หวัง ก็เชิญดื่มตามสบายเถิด.

ชูชกกล่าวว่า
[1146] สิ่งใดอันพระคุณเจ้าให้แล้ว สิ่งนั้น
ทั้งหมดข้าพเจ้ารับไว้แล้ว บรรณาการอันพระคุณเจ้า
กระทำแล้วทุกอย่าง ข้าพเจ้ามาแล้วเพื่อจะเยี่ยมเยียน
พระเวสสันดรราชฤาษี ราชโอรสของพระเจ้ากรุง-
สัญชัย ซึ่งพลัดพรากจากชาวสีพีมาช้านาน ถ้าพระ-
คุณเจ้าทราบสถานที่ประทับ โปรดแจ้งแก่ข้าพเจ้าด้วย
เถิด.

ดาบสกล่าวว่า
[1147] ท่านมานี่เพื่อเป็นศรีสวัสดิ์ เพื่อมา
เยี่ยมเยียนพระเวสสันดรเจ้าก็หาไม่ เราเข้าใจว่าท่าน
ปรารถนา (จะมาขอ) พระอัครมเหสีผู้เคารพนบนอบ
พระราชสวามีไปเป็นภรรยา หรือมิฉะนั้นท่านก็

ปรารถนา (จะมาขอ) พระกัณหาชินาราชกุมารีและ
พระชาลีราชกุมารไปเป็นทาสทาสี หรือไม่ก็มาเพื่อจะ
นำเอาพระมารดาและพระราชกุมารทั้งสามพระองค์ไป
จากป่า ดูก่อนพราหมณ์ โภคสมบัติทรัพย์และข้าว
เปลือกของพระองค์มิได้มี.
ชูชกกล่าวว่า
[1148] ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่ท่านยังไม่สมควรจะ
โกรธเคืองเพราะข้าพเจ้ามิได้มาเพื่อขอทาน การพบ
เห็นอริยชนเป็นความดี การอยู่ร่วมกับอริยชนเป็นสุข
ทุกเมื่อ พระเวสสันดรสีพีราชเสด็จพลัดพรากจาก
ชาวสีพีมา ข้าพเจ้ายังมิได้เห็นเลย ข้าพเจ้ามาเพื่อจะ
เยี่ยมเยียนพระองค์ ถ้าพระคุณเจ้าทราบสถานที่ประทับ
โปรดแจ้งแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด.
ดาบสกล่าวว่า
[1149] ดูก่อนมหาพราหมณ์ นั่นภูเขาคันธ-
มาทน์อันล้วนแล้วด้วยหิน พระเวสสันดรเจ้า พร้อม
ด้วยพระโอรสพระธิดาและพระมเหสี ทรงเพศนักบวช
อันประเสริฐ ทรงขอสำหรับสอยผลไม้ เครื่องบูชาไฟ
และชฎา ทรงนุ่งห่มหนังเสือ บรรทมเหนือแผ่นดิน
ทรงบูชาไฟ ประทับอยู่ ณ อาศรมใด เมื่อท่านบ่ายหน้า
เดินไปทางทิศอุดร จะได้เห็นอาศรมนั้น นั้นหมู่ไม้
เขียวชะอุ่ม ทรงผลต่างๆ ปรากฏดังภูเขาอัญชนบรรพต

เขียวชะอุ่ม มียอดสูงตระหง่าน คือ ไม้ตะแบก หูกวาง
ไม้ตะเคียน ไม้รัง ไม้ตะคร้อ ไม่ยางทรายย่อมหวั่น
ไหวไปตามลม ดังมาณพดื่มสุราคราวเดียวก็ซวนเซ
ไปมาอยู่ ฉะนั้น ท่านจะได้ฟังเสียงฝูงนกอันจักอยู่บน
กิ่งไม้ ปานดังเสียงเพลงทิพย์ คือ นกโพระดก นก
ดุเหว่า นกกระจงส่งเสียงร้องบินจากต้นไม้โน่นมาสู่
ต้นไม้นี้ ทั้งหมู่ไม้ที่ต้องลมพัดสะบัดกิ่งและใบเสียดสี
กัน คล้ายกับจะเรียกคนผู้กำลังเดินทางไปให้หยุด
และเหมือนดังชักชวนผู้จะผ่านให้ยินดีชื่นชมพักผ่อน
พระเวสสันดรเจ้า พร้อมด้วยพระโอรสพระธิดาและ
พระมเหสี ทรงเพศเป็นนักบวชอันประเสริฐ ทรงขอ
สำหรับสอยผลไม้ เครื่องบูชาไฟและใส่ชฎา ทรง
นุ่งห่มหนังสือ บรรทมเหนือแผ่นดิน ทรงบูชาไฟ
ประทับอยู่ ณ อาศรมใด เมื่อท่านบ่ายหน้าเดินทางไป
ทางทิศอุดรจะได้เห็นอาศรมนั้น ที่ภูมิภาคอันน่ารื่น-
รมย์ใจ มีดอกกุ่มตกอยู่เรี่ยราด พื้นแผ่นดินเขียวชะอุ่ม
ไปด้วยหญ้าแพรก ณ ที่นั้นไม่มีธุลีฟุ้งขึ้นเลย หญ้านั้น
มีสีเขียวคล้ายขนคอนกยูงเปรียบด้วยสัมผัสแห่งสำลี
หญ้าทั้งหลายโดยรอบ ยาวไม่เกิน 4 องคุลี ต้นมะม่วง
ต้นชมพู่ ต้นมะขวิดและมะเดื่อ มีผลสุก ๆ อยู่ในที่
ต่ำ ๆ ป่าไม้นั้นเป็นที่ให้เจริญความยินดี เพราะมีหมู่ไม้
ผลบริโภคได้เป็นอันมาก น้ำใสสะอาดกลิ่นหอมดี สี
ดังแก้วไพฑูรย์ เป็นที่อยู่อาศัยของฝูงปลา ไหลหลั่ง

มาในป่านั้น ภูมิภาคอันน่ารื่นรมย์ใจในที่ไม่ไกล
อาศรมนั้น มีสระโบกขรณีดารดาษไปด้วยปทุมชาติ
และอุบล เหมือนดังที่มีอยู่ในนันทวันของทวยเทพ
ดูก่อนพราหมณ์ ในสระนั้นมีอุบลชาติ 3 ชนิด คือ
เขียว ขาว และแดง งามวิจิตรมากมาย.

พระดาบสกล่าวว่า
[1150] ในสระนั้นมีปทุมชาติดาษดื่น สีขาว
ดังผ้าโขมพัสตร์ สระนั้นชื่อว่า มุจลินท์ ดารดาษไป
ด้วยอุบลขาว จงกลณี และผักทอดยอด อนึ่งเล่า
ปทุมชาติในสระนั้นมีดอกบานสะพรั่ง ปรากฏหา
กำหนดประมาณมิได้ บ้างก็บานในคิมหันตฤดู บ้าง
ก็บานในเหมันตฤดู ปรากฏเหมือนตั้งอยู่ในน้ำลึก
ประมาณเพียงเข้า ปทุมชาติอันงามวิจิตรชูดอกสะพรั่ง
ส่งกลิ่นหอมฟุ้งตระหลบไป หมู่ภมรโผผินบินว่อน
เสียงวู่ ๆ อยู่โดยรอบ เพราะกลิ่นหอมแห่งบุปผชาติ.
[1151] ดูก่อนพราหมณ์ อนึ่งเล่า ที่ใกล้ขอบ
สระนั้นมีต้นไม้หลากหลายขึ้นออกสะพรั่ง คือ ต้น
กระทุ่ม ต้นแคฝอย และต้นทองหลาง ผลิดอกออก
สะพรั่ง ไม้ปรู ไม่ทราก ต้นปาริชาตดอกบานสะพรั่ง
ต้นกากะทิง ต้นไม้เหล่านี้มีอยู่ที่สองฟากปากสระมุจ-
ลินท์ ต้นซึก ต้นแคขาว บัวบก ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไป
ต้นคนทิสอ ต้นคนทิเขมา และต้นประดู่มีอยู่ ณ ที่

ใกล้สระนั้น ดอกสะพรั่ง ต้นมะคำไก่ ไม้มะทราง
ต้นเก้า ต้นมะรุม การะเกด กรรณิการ์ และชะบา
ไม้รกฟ้า ไม้อินทนิล ไม้สะท้อน และทองกวาวมีดอก
แย้มบาน ผลิดอกออกยอดพร้อม ๆ กัน รุ่งเรืองงาม
ไม่มะรื่น ไม้ตีนเป็ด กล้วย ต้นคำฝอย นมแมว คนทา
ประดู่ลาย ต้นสลอด มีดอกบานสะพรั่ง ต้นมะไฟ
ต้นงิ้ว ไม้ช้างน้าว พุดขาว กฤษณา โกฐเขมา
โกฐสอ มีดอกบานสะพรั่ง ต้นไม้ในบริเวณสระนั้น
มีทั้งอ่อนและแก่ ต้นตรงไม่คองอ ดอกบานตั้งอยู่
สองข้างอาศรมโดยรอบเรือนไฟ.
[1152] อนึ่ง พันธุ์ไม้เป็นอันมาก เกิดขึ้น
ใกล้ขอบสระนั้น คือ ตะไคร้ ถั่วเขียว ถั่วราชมาส
สาหร่าย สันตะวา น้ำในสระนั้นถูกลมรำเพยพัด
เกิดเป็นระลอกกระทบฝั่ง มีหมู่แมลงบินวู่ว่อนเคล้า
เอาเกสรดอกไม่ที่แย้มบาน สีเสียดเทศ เต่าร้าง ผักบุ้ง
ร้วม มีมากในที่ต่างๆ ดูก่อนพราหมณ์ ต้นไม้ทั้งหลาย
ดารดาษไปด้วยกล้วยไม้ กลิ่นแห่งบุปผชาติดังกล่าว
แล้วนั้น หอมตระหลบอยู่ 7 วัน ไม่พลันหาย บุปผ-
ชาติเกิดอยู่เรียงรายสองฝั่งสระมุจลินท์ ป่านั้นดารดาษ
ไปด้วยต้นราชพฤกษ์ย่อมงดงาม กลีบดอกราชพฤกษ์
นั้นหอมตระหลบอยู่กึ่งเดือนไม่เลือนหาย อัญชันเขียว
อัญชันขาว กุ่มแดงดอกบานสะพรั่ง ป่านั้นดารดาษไป

ด้วยอบเชยและแมงลัก เหมือนดังจะให้คนเบิกบานใจ
ด้วยดอกไม้และกิ่งไม้อันมีกลิ่นหอม เหล่าภมรโผผิน
บินว่อนเสียงวู่ ๆ อยู่โดยรอบ เพราะกลิ่นหอมแห่ง
บุปผชาติ ดูก่อนพราหมณ์ ณ ที่ใกล้สระนั้น มีฟักแฟง
แตงน้ำเต้า 3 ชนิด ชนิดหนึ่งผลโตเท่าหม้อ อีกสอง
ชนิดผลโตเท่าตะโพน.
[1153] อนึ่ง ที่ใกล้สระนั้นมีผักกาด กระเทียม
หอม เป็นอันมาก ต้นเต่ารั้งตั้งอยู่สล้างดังต้นตาล
อุบลเขียวมีเป็นอันมาก ขึ้นอยู่ริมน้ำพอเอื้อมเด็ดได้
มะลิวัน นมตำเลีย หญ้านาง อบเชย อโศก เทียนป่า
ดอกเข็ม หางช้าง อังกาบ กากะทิง กระลำพัก
ทองเครือ ดอกแย้มบานสะพรั่งขึ้นขนาน ต้นชุมแสง
ขึ้นแซงแซกคัดเค้าและชะเอม มะลิซ้อน หงอนไก่
เทพทาโร แคฝอย ฝ้ายทะเล กรรณิการ์ดอกเบ่งบาน
งาม ปรากฏดังตาข่ายทองเปรียบด้วยเปลวไฟ บุปผ-
ชาติเกิดบนบกและที่เกิดในน้ำ ปรากฏมีในสระนั้น
ทุกอย่าง สระมุจลินท์มีน้ำมาก เป็นที่รื่นรมย์ ด้วย
ประการฉะนี้.
[1154] อนึ่ง ในสระนั้นมีปลาซึ่งว่ายอยู่ในน้ำ
มากมาย คือ ปลาตะเพียน ปลาซ่อน ปลาดุก จระเข้
ปลาฉลาม ณ ที่ใกล้สระนั้น มีชะเอมต้น ชะเอมเครือ
กำยาน ประยงค์ เนรภูสี แห้วหมู สัตตบุษย์ สมุล-

แว้ง พิมเสน สามสิบ และกฤษณา เถากะไดลิง มี
มากมาย บัวบก โกฐขาว กระทุ่มเลือด ต้นหนาด
ขมิ้น แก้วหอม หรดาล คำ คูน สมอพิเภก ไคร้-
เครือ พิมเสน และรางแดง.
[1155] อนึ่ง ในป่านั้นมีสัตว์หลายจำพวก คือ
ราชสีห์ เสือโคร่ง ยักษิณีหน้าฬา ช้างพัง ช้างพราย
เนื้อทราย เนื้อฟาน ละมั่ง นางเห็น หมาจิ้งจอก
หมาไน บ่าง กระรอก จามรี ชะนี ลิงลม ค่าง
ลิง ลิงจุ่น กวาง กระทิง หมี วัวเถื่อน มีมากมาย
แรด หมู พังพอน งูเห่า มีอยู่ที่ใกล้สระนั้นเป็นอัน
มาก กระบือ หมาไน หมาจิ้งจอก กิ้งก่า จะกวด
เหี้ย เสือดาว เสือเหลือง มีอยู่โดยรอบ กระต่าย
แร้ง ราชสีห์ และเสือปลา มีอยู่มากหลาย มีสกุณ-
ชาติมากมาย คือ นกกวัก นกยูง หงส์ขาว ไก่ฟ้า
ไก่ป่า ไก่เถื่อน นกหัสดีลิงค์ ร่ำร้องหากันและกัน
นกยางโทน นกยางกรอก นกโพระดก นกต้อยตีวิด
นกกะเรียน เหยี่ยวดำ เหยี่ยวแดง นกช้อนหอย นก
พริก นกคับแค นกแขวก นกกด นกกระเต็นใหญ่
นกนางแอ่น นกคุ่ม นกกะทา นกกระทุง นกกระจอก
นกกระจาบ นกกระเต็นน้อย นกกางเขน นกการ-
เวก นกแอ่นลม นกเงือก นกออก สระมุจลินท์
เกลื่อนกล่นไปด้วยฝูงนกนานาชนิด กึกก้องไปด้วย
เสียงสัตว์ต่างๆ.

[1156] อนึ่ง ที่ใกล้สระนั้น มีนกมากมาย มี
ขนปีกงามวิจิตร มีเสียงไพเราะเสนาะโสต ย่อมปรา-
โมทย์อยู่กับคู่เคียงส่งเสียงกู่ก้องร้องหากันและกันอนึ่ง
ที่ใกล้สระนั้น มีฝูงสกุณาทิชาชาติส่งเสียงร้องไพเราะ
ไม่ขาดสาย มีตางามประกอบด้วยเบ้าตาขาว มีขนปีก
ขนหางงามวิจิตร อนึ่ง ที่ใกล้สระนั้นมีฝูงนกยูง ส่ง
เสียงร้องไพเราะไม่ขาดสาย มีสร้อยคอเขียว ส่งเสียง
ร้องหากันและกัน ไก่เถื่อน ไก่ฟ้า นกเปล้า นก
นางนวล เหยี่ยวดำ เหยี่ยวนกเขา นกกาน้ำ นก
แขกเต้า นกสาลิกา อนึ่ง ที่ใกล้สระนั้น มีนกเป็น
อันมาก เป็นพวก ๆ คือ เหลือง แดง ขาว นกหัสดี-
ลิงค์ พระยาหงส์ทอง นกกาน้ำ นกแขกเต้า นก
ดุเหว่า นกออก หงส์ขาว นกช้อนหอย นกเค้าแมว
ห่าน นกยาง นกโพระดก นกต้อยตีวิด นกพิราบ
หงส์แดง นกจากพราก นกเป็ดน้ำ นกหัสดีลิงค์ ส่ง
เสียงร้องน่ารื่นรมย์ใจ เหล่าสกุณาทิชาชาติดังกล่าว
แล้ว ต่างก็ส่งเสียงกู่ร้องหากัน ทั้งเช้าและเย็นเป็น
นิรันดร์ อนึ่งที่ใกล้สระนั้นมีสกุณาทิชาชาติมากมายสี
ต่าง ๆ กัน ย่อมบันเทิงอยู่กับคู่เคียง ส่งเสียงกู่ก้อง
ร้องเข้าหากันและกัน อนึ่ง ที่ใกล้สระนั้น มีสกุณา
ทิชาชาติมากมายสีต่าง ๆ กัน ทุก ๆ ตัวต่างส่งเสียงอัน
ไพเราะระงมไพร ที่ใกล้สองฝั่งสระมุจลินท์ อนึ่ง ที่

ใกล้สระนั้นมีสกุณาทิชาชาติชื่อว่าการเวกมากมาย
ย่อมปราโมทย์อยู่ลับคู่เคียง ส่งเสียงกู่ก้องร้องหากัน
และกัน อนึ่ง ที่ใกล้สระนั้นมีสกุณาทิชาชาติชื่อว่า
การเวก ทุก ๆ ตัวต่างส่งเสียงอันไพเราะระงมไพร
อยู่ที่สองฝั่งสระมุจลินท์ ป่านั้นเกลื่อนกลาดไปด้วย
เนื้อทรายและเนื้อฟาน เป็นสถานที่เสพอาศัยของช้าง
พลายและช้างพัง ดาษดื่นไปด้วยเถาวัลย์นานาชนิด
และเป็นที่อาศัยของฝูงชะมด อนึ่ง ที่ป่านั้น มีธัญญ-
ชาติมากมาย คือ หญ้ากับแก้ ลูกเดือย ข้าวสาลี
อ้อย มิใช่น้อยเกิดเองในที่ไม่ได้ไถ ทางนี้เป็นทาง
เดินได้คนเดียว เป็นทางตรงไปจนถึงอาศรม คนผู้
ไปถึงอาศรมของพระเวสสันดรนั้นแล้ว ย่อมไม่มี
ความหิวกระหายหรือความไม่ยินดี พระเวสสันดรเจ้า
พร้อมด้วยพระโอรส พระธิดา และมเหสี ทรงเพศ
นักบวชอันประเสริฐ ทรงขอสำหรับสอยผลไม้ เครื่อง
บูชาไฟและชฎา ทรงนุ่งห่มหนังเสือ บรรทมเหนือ
แผ่นดิน ทรงบูชาไฟประทับอยู่ ณ อาศรมใด เมื่อ
ท่านบ่ายหน้าไปทางทิศอุดรจะได้เห็นอาศรมนั้น.
[1157] ชูชกผู้เป็นเผ่าพันธุ์ แห่งพราหมณ์ครั้น
สดับถ้อยคำของอจุตฤาษี กระทำประทักษิณ มีจิตชื่น
ชมโสมนัส อำลามุ่งหน้าไปยังสถานที่ประทับของ
พระเวสสันดร.

จบมหาวนวรรณนา

พระเวสสันดรตรัสว่า
[1158] ดูก่อนพ่อชาลี เจ้าจงลุกขึ้นยืนเถิด
การมาของพวกยาจกในวันนี้ปรากฏเหมือนการมาของ
พวกยาจกครั้งก่อน ๆ พ่อเห็นเหมือนดังพราหมณ์ ความ
ชื่นชมยินดีทำให้พ่อมีความเกษมศานติ์.

พระชาลีกุมารกราบทูลว่า
[1159] ข้าแต่พระชนกนาถ แม้เกล้ากระหม่อม
ฉันก็เห็นผู้นั้นปรากฏเหมือนพราหมณ์ ดูเหมือนเป็น
คนเดินทาง จักเป็นแขกของเราทั้งหลาย.

ชูชกทูลว่า
[1160] พระองค์ไม่มีโรคาพาธหรือหนอ พระ-
องค์ทรงพระสำราญดีหรือ ทรงเยียวยาอัตภาพด้วย
การแสวงหาผลาหารสะดวกหรือ ทั้งมูลมันผลไม้มี
มากหรือ เหลือบ ยุง และสัตว์เลื้อยคลานมีน้อยแล
หรือ ในป่าอันเกลื่อนกล่นไปด้วยพาลมฤค ไม่มีมา
เบียดเบียนแลหรือ.

พระโพธิสัตว์ตรัสว่า
[1161] ดูก่อนพราหมณ์ เราทั้งหลายไม่มีโรคา-
พาธเบียดเบียน อนึ่ง เราทั้งหลายเป็นสุขสำราญดี
เราเยียวยาอัตภาพด้วยการหาผลาหารสะดวกดี ทั้งมูล
มันผลไม้ก็มีมาก ทั้งเหลือบยุงและสัตว์เสือกคลานก็มี
น้อย อนึ่ง ในป่าอันเกลื่อนกล่นไปด้วยพาลมฤค ก็
ไม่มีมาเบียดเบียนแก่เรา เมื่อพวกเรามาอยู่ในป่ามี
ชีวิตอันตรมเกรียมมาตลอด 7 เดือน เราเพิ่งเห็นท่าน

ผู้เป็นพราหมณ์บูชาไฟ ทรงเพศอันประเสริฐ ถือไม้
เท้าสีดังผลมะตูมและลักจั่นน้ำนี้เป็นคนแรก ดูก่อน
พราหมณ์ ท่านมาดีแล้ว อนึ่ง ท่านมิได้มาร้าย
ดูก่อนท่านผู้เจริญ เชิญท่านเข้ามาภายในเถิด เชิญ
ท่านล้างเท้าของท่านเถิด ผลมะพลับ ผลมะหาด
ผลมะซาง ผลหมากเม่า มีรสหวานปานน้ำผึ้ง เชิญ
เลือกฉันแต่ผลที่ดี ๆ เถิดท่านพราหมณ์ แม่น้ำฉันนี้ก็
เย็นสนิท เรานำมาแต่ซอกเขา ดูก่อนพราหมณ์ ถ้า
ท่านจำนงหวัง ก็เชิญดื่มตามสบายเถิด ดังเราขอถาม
ท่านมาถึงป่าใหญ่เพราะเหตุการณ์อะไรหนอ เราถาม
แล้ว ขอท่านจงบอกความนั้นแก่เราเถิด.

ชูชกทูลว่า
[1162] ห่วงน้ำ (ในปัญจมหานที) เต็มเปี่ยม
ตลอดเวลาไม่เหือดแห้ง ฉันใด พระองค์มีพระหฤทัย
เต็มเปี่ยมไปด้วยศรัทธา ฉันนั้น เกล้ากระหม่อมฉัน
กราบทูลขอแล้ว ขอพระองค์ทรงพระกรุณาพระราช-
ทานสองปิโยรสแก่ข้าพระองค์เถิด.

พระมหาสัตว์ตรัสว่า
[1163] ดูก่อนพราหมณ์ เรายอมให้ มิได้หวั่น
ไหว ท่านจงเป็นใหญ่พาเอาลูกทั้งสองของเราไปเถิด
พระราชบุตรีมารดาของลูกทั้งสองนี้ เสด็จไปป่าแต่
เช้าเพื่อแสวงหาผลไม้ จักกลับจากการแสวงหาผลไม้
ในเวลาเย็น ดูก่อนพราหมณ์ เชิญท่านพักอยู่ราตรีหนึ่ง

แล้วจึงไปในเวลาเช้า ดูก่อนพราหมณ์ ท่านจงพาเอา
ลูกรักทั้งสอง อันประดับด้วยดอกไม้ต่าง ๆ ตกแต่ง
ด้วยของหอมนานา พร้อมด้วยมูลมันและผลไม้หลาย
ชนิดไปเถิด.

ชูชกทูลว่า
[1164] ข้าแต่พระองค์ผู้จอมทัพ ข้าพระองค์
ไม่ชอบใจการพักอยู่ ข้าพระองค์ยินดีจะไป แม้อันตราย
จะพึงมีแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขอทูลลาไปทีเดียว
เพราะว่าธรรมดาสตรีเหล่านี้เป็นผู้ไม่สมควรแก่การขอ
ย่อมทำอันตรายต่อบุญของทายกและลาภของยาจก
ย่อมรู้มารยา ย่อมรับสิ่งทั้งปวงโดยข้างซ้าย เมื่อฝ่า
พระบาทบำเพ็ญทานด้วยพระราชศรัทธา ฝ่าพระบาท
อย่าได้ทรงเห็นพระมารดาของพระปิโยรสทั้งสองเลย
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ พระมารดาของพระปิโย-
รสนั้นพึงกระทำแม้อันตรายได้ ข้าพระองค์ขอทูลลา
ไปทีเดียว ขอพระองค์จงตรัสเรียกพระลูกแก้วทั้งสอง
นั้นมาอย่าให้พระลูกแก้วทั้งสองได้ทันเห็นพระชนนีเลย
เมื่อพระองค์ทรงบำเพ็ญทานด้วยพระราชศรัทธา บุญ
ย่อมเจริญด้วยอาการอย่างนี้ ขอพระองค์ตรัสเรียก
พระลูกแก้วทั้งสองนั้นมา อย่าให้พระลูกแก้วทั้งสอง
ได้ทันเห็นพระชนนีเลย ข้าแต่พระราชา พระองค์ทรง
ประทานทรัพย์ คือพระโอรสพระธิดาแก่ยาจกเช่น
ข้าพระองค์แล้ว จักเสด็จไปสวรรค์.

พระเวสสันดรตรัสว่า
[1165] ถ้าท่านไม่ปรารถนาจะเห็นภริยาของ
เราผู้มีวัตรอันงามไซร้ ท่านก็จงทูลถวายชาลีกัณหาชินา
ทั้งสองนี้ แก่พระเจ้าสญชัยมหาราชผู้พระอัยยกา ท้าว
เธอทอดพระเนตรเห็นพระกุมารทั้งสองนี้ ผู้มีเสียง
ไพเราะ กล่าววาจาน่ารัก จะทรงปลื้มพระหฤทัยปรีดา
ปราโมทย์ จักพระราชทานทรัพย์แก่ท่านเป็นอันมาก.

ชูชกทูลว่า
[1166] ข้าแต่พระราชบุตร ขอพระองค์ทรง
ฟังข้าพระองค์ ข้าพระองค์กลัวต่อการที่จะถูกหาว่า
ฉกชิงเอาไป สมเด็จพระเจ้าสญชัยมหาราชจะลงพระ-
ราชอาชญาข้าพระองค์ คือ จะพึงทรงขายหรือให้
ประหารชีวิต ข้าพระองค์จะขาดทั้งทรัพย์ทั้งทาสและ
จะพึงถูกนางพราหมณี ผู้เป็นเผ่าพันธุ์พราหมณ์ติเตียน
ได้.

พระเวสสันดรตรัสว่า
[1167] พระมหาราชาทรงสถิตในธรรม ทรง
ผดุงสีพีรัฐให้เจริญได้ทอดพระเนตรเห็นสองพระกุมาร
นี้ผู้มีเสียงไพเราะกล่าววาจาน่ารัก ได้พระปีติโสมนัส
แล้วจักพระราชทานทรัพย์แก่ท่านเป็นอันมาก.

ชูชกทูลว่า
[1168] พระองค์ทรงพร่ำสอนข้าพระองค์สิ่ง
ใด ๆ ข้าพระองค์จักทำสิ่งนั้น ๆ ไม่ได้ ข้าพระองค์จัก

นำสองพระกุมารไปเป็นทาสรับใช้ของนางพราหมณี.
พระศาสดาตรัสว่า
[1169] ลำดับนั้น พระกุมารทั้งสอง คือ พระ
ชาลี และพระกัณหาชินาได้สดับคำของชูชก ผู้หยาบ
ช้า ตกพระทัยกลัว จึงพากันเสด็จวิ่งหนีไปในที่นั้น ๆ

พระมหาสัตว์ตรัสว่า
[1170] ดูก่อนพ่อชาลีลูกรัก มานี่เถิด ลูกทั้ง
สองจงยังบารมีของพ่อให้เต็ม จงช่วยโสรจสรงหทัย
ของพ่อให้เย็นฉ่ำ จงทำตามคำของพ่อ ขอเจ้าทั้งสอง
จงเป็นดังยานนาวาของพ่อ อันไม่หวั่นไหวในสาคร
คือภพ พ่อจักข้ามซึ่งฝั่งคือชาติ จักยังสัตว์โลกพร้อม
ทั้งทวยเทพให้ข้ามด้วย ดูก่อนลูกกัณหามานี่เถิด เจ้า
เป็นธิดาที่รัก ทานบารมีก็เป็นที่รักของพ่อ จงช่วย
โสรจสรงหทัยของพ่อให้เย็นฉ่ำ ขอจงทำตามคำของ
พ่อ ขอเจ้าทั้งสองจงเป็นยานนาวาของพ่อ อันไม่
หวั่นไหวในสาครคือภพ พ่อจักข้ามซึ่งฝั่ง คือชาติ
จักช่วยสัตวโลกพร้อมทั้งทวยเทพให้ข้ามด้วย.

พระศาสดาตรัสว่า
[1171] ลำดับนั้น พระเวสสันดรผู้ผดุงสีพีรัฐ
ให้เจริญ ทรงพาพระกุมารทั้งสอง คือ พระชาลีและ
พระกัณหาชินา มาพระราชทานให้เป็นปุตตกทานแก่
พราหมณ์ ลำดับนั้น พระเวสสันดรผู้ผดุงสีพีรัฐให้

เจริญ ทรงพาพระกุมารทั้งสอง คือ พระชาลีและ
พระกัณหาชินา มาพระราชทานให้แก่พราหมณ์ มี
พระหฤทัยชื่นบานในปุตตกทานอันอุดม ในครั้งนั้น
เมื่อพระเวสสันดรราชฤาษี พระราชทานพระกุมารทั้ง
สอง ก็บังเกิดมีความบันลือลั่นน่าสะพึงกลัว ขนพอง
สยองเกล้า เมทนีดลก็หวั่นไหว พระเวสสันดรเจ้าผู้
ผดุงสีพีรัฐให้เจริญ ทรงประคองอัญชลี พระราชทาน
สองพระกุมารผู้เจริญด้วยความสุขให้เป็นทานแก่
พราหมณ์ ก็บังเกิดมีความบันลือลั่น น่าสะพึงกลัวขน
พองสยองเกล้า.
[ 1172] ลำดับนั้น พราหมณ์ผู้หยาบช้านั้น เอา
ฟันกัดเถาวัลย์ให้ขาดแล้ว เอามาผูกพระหัตถ์ พระ-
กุมารทั้งสอง ฉุดกระชากลากมา แต่นั้นพราหมณ์นั้น
จับเถาวัลย์ถือไม้เท้าทุบตีพระกุมารทั้งสองนำไป เมื่อ
พระเวสสันดรสีพีราช กำลังทอดพระเนตรอยู่.
[1173] ลำดับนั้น สองพระกุมารพอหลุดพ้น
จากพราหมณ์ก็รีบวิ่งหนีไป พระเนตรทั้งสองนองไป
ด้วยน้ำอัสสุชล พระชาลีชะเง้อมองดูพระบิดา ทรง
ถวายบังคมพระยุคลบาทของพระบิดา พระวรกายสั่น
ระริกดังใบโพธิ์ ทรงถวายบังคมพระยุคลบาทพระบิดา
แล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระชนกนาถ ก็พระมารดา
เสด็จออกไปป่า และพระบิดาทอดพระเนตรเห็นแต่

กระหม่อมฉัน ข้าแต่พระชนกนาถ ขอพระองค์ทรง
ทอดพระเนตรเกล้ากระหม่อมฉันทั้งสองอยู่ก่อน จน
กว่าเกล้ากระหม่อมฉันทั้งสองได้เห็นพระมารดา ข้าแต่
พระชนกนาถ พระมารดาเสด็จออกไปป่า ขอพระ-
บิดาทอดพระเนตรกระหม่อมฉันทั้งสองอยู่ก่อน ข้าแต่
พระชนกนาถ ขอพระองค์อย่าเพิ่งพระราชทานเกล้า
กระหม่อมฉันทั้งสอง จนกว่าพระชนนีของเกล้ากระ-
หม่อมฉันจะเสด็จกลับมา เมื่อนั้น พราหมณ์นี้จักขาย
หรือจักฆ่าก็ตามปรารถนา พราหมณ์ผู้หยาบช้านี้
ประกอบด้วยบุรุษโทษ ประการ คือ มีเท้าคดทู่
ตะแคง 1 เล็บเน่า 1 ปลีน่องย่อยยาน 1 ริมฝีปาก
บนยาว 1 น้ำลายไหลยืด 1 เขี้ยวงอกออกเหมือน
เขี้ยวหมู 1 จมูกหักฟุบ 1 ท้องพลุ้ยดังหม้อ 1 หลัง
ค่อม 1 ตาข้างหนึ่งเล็กข้างหนึ่งใหญ่ 1 หนวดแดง 1
ผมบางเหลือง 1 หนังย่นเป็นเกลียวตัวตกกระ 1 ตา
เหลือง 1 คดสามแห่ง คือ ที่สะเอวหลังและคอ 1
ขากาง 1 เดินดังกฏะกฏะ 1 ขนตามตัวยาวและหยาบ
1 นุ่งห่มหนังเสือเป็นอมนุษย์น่ากลัวเหลือเกินเป็น
มนุษย์หรือยักษ์มีเนื้อและเลือดเป็นเครื่องบริโภค ออก
จากบ้านมาสู่ป่า มาขอทรัพย์คือบุตรกะพระองค์ ลูก
ทั้งสองกำลังถูกพราหมณ์ปีศาจนำไป ข้าแต่พระชนก-
นาถ กระไรหนอฝ่าพระบาททรงนิ่งเฉยอยู่ได้ พระ

หฤทัยของพระชนกนาถปานดังหนึ่งหิน หรือดังว่า
ยึดมั่นด้วยพืดเหล็ก พระองค์ช่างไม่ทรงรู้สึกถึงลูกทั้ง
สอง ซึ่งถูกพราหมณ์ผู้แสวงหาทรัพย์หยาบคาย ผูก
มัด แกเฆี่ยนตีลูกทั้งสอง เหมือนนายโคบาลตีโค
ฉะนั้น ขอให้น้องกัณหาจงอยู่ ณ ที่นี้แหละ เธอไม่รู้
จักความทุกข์อะไรๆ เมื่อเธอไม่เห็นพระมารดาก็จะ
คร่ำครวญหาเหมือนลูกเนื้อที่ยังดื่มนมพลัดจากฝูง ไม่
เห็นแม่ก็จะร่ำไห้คร่ำครวญ ฉะนั้น.
[1174] ทุกข์นี้ไม่ใช่ทุกข์ที่แท้จริงของลูก
เพราะทุกข์เช่นนี้อันลูกชายพึงได้รับ ส่วนทุกข์อันใด
ที่ลูกจักไม่ได้เห็นพระมารดา ทุกข์นั้นของลูกเป็นทุกข์
ยิ่งกว่าทุกข์ ที่ถูกตาพราหมณีเฆี่ยนตี ทุกข์นี้ไม่ใช่
ทุกข์ที่แท้จริงของลูก เพราะทุกข์เช่นนี้อันลูกชายพึง
ได้รับ ส่วนทุกข์อันใดที่ลูกจักไม่ได้เห็นพระบิดา
ทุกข์นั้นของลูกเป็นทุกข์ยิ่งกว่า ทุกข์ที่ถูกตาพราหมณ์
เฆี่ยนตี พระมารดาจักเป็นกำพร้าเสียแน่แท้ เมื่อไม่
ได้ทรงเห็นกัณหาชินากุมารีผู้มีดวงตางาม ก็จักทรง
กรรแสงไห้หาตลอดราตรีนาน พระบิดาจักเป็นกำพร้า
เสียเป็นแน่แท้เมื่อไม่ได้ทรงเห็นกัณหาชินากุนารีผู้มี
ดวงตางาม ก็จักทรงกรรแสงไห้หาตลอดราตรีนาน
พระมารดาจักเป็นกำพร้าเสียแน่แท้ เมื่อไม่ได้ทรงเห็น
กัณหาชินากุมารี ผู้มีดวงตางาม ก็จักทรงกรรแสงไห้

อยู่ในอาศรมช้านาน พระบิดาจักเป็นกำพร้าเสียแน่แท้
เมื่อไม่ได้เห็นกัณหาชินากุมาร ผู้มีดวงตางาม ก็จักทรง
กรรแสงไห้อยู่ในอาศรมช้านาน พระมารดาจักเป็น
กำพร้าเสียแน่แท้ จักทรงกรรแสงไห้อยู่ตลอดราตรี
นาน ทรงระลึกถึงเราทั้งสองตลอดครึ่งคืนหรือตลอด
คืน จักทรงซูบซีดเหี่ยวแห้งไป เหมือนแม่น้ำน้อยใน
ฤดูแล้งเหือดแห้งไป ฉะนั้น พระบิดาจักเป็นกำพร้า
เสียแน่แท้ ทรงกรรแสงไห้อยู่ตลอดราตรีนาน ทรง
ระลึกถึงเราทั้งสองตลอดครั้งคืนหรือตลอดคืนก็จัก
ทรงซูบซีดเหี่ยวแห้งไป เหมือนแม่น้ำน้อยในฤดูแล้ง
เหือดแห้งไป ฉะนั้น รุกขชาติเหล่านี้มีต่าง ๆ พันธุ์
คือ ต้นหว้า ต้นยางทราย กิ่งห้อยย้อย เราเคยเล่น
มาแต่กาลก่อน วันนี้เราทั้งสองจะต้องละรุกขชาติ
เหล่านั้น ซึ่งเราเคยเก็บดอกและผลเล่นมาช้านาน
รุกขชาติที่มีผลต่าง ๆ ชนิด คือ โพธิ์ใบ ขนุน ไทร
และมะขวิด ที่เราเคยเล่นมาในกาลก่อน วันนี้เราทั้ง
สองจะต้องละรุกขชาติที่เราเคยเก็บผลกินมาช้านาน นี้
สวน นี่สระน้ำเย็นใส เราเคยเที่ยวเป็นเคยลงสรง
สนานมาแต่กาลก่อน วันนี้เราทั้งสองจะต้องละสวน
และสระนั่นไป บุปผชาติต่าง ๆ ชนิดบนภูเขาโน้น เรา
เคยเก็บมาทัดทรงในกาลก่อน วันนี้เราจะต้องละบุปผ-
ชาติเหล่านั้นไป นี่ตุ๊กตาช้าง ตุ๊กตาม้า ตุ๊กตาวัว

พระบิดาทรงปั้นเพื่อให้เราทั้งสองเล่น เราเคยเล่นมา
ในกาลก่อน วันนี้เราทั้งสองจะต้องละตุ๊กตาเหล่านั้น.

พระศาสดาตรัสว่า
[1175] สองพระกุมารอันชูชกกำลังพาไป ได้
กราบทูลสั่งพระบิดาดังนี้ว่า ข้าแต่พระชนกนาถ ขอ
พระองค์ได้ทรงพระกรุณาตรัสบอกพระมารดาว่าลูกทั้ง
สองไม่มีโรค และขอพระองค์จงทรงพระสำราญ ตุ๊กตา
ช้าง ตุ๊กตาม้า ตุ๊กตาวัว เหล่านี้ของกระหม่อมฉันขอ
พระองค์โปรดประทานแก่พระเจ้าแม่ ความโศกเศร้า
จะพินาศเพราะตุ๊กตาเหล่านั้น และพระมารดาได้ทอด
พระเนตรเห็นตุ๊กตาช้าง ตุ๊กตาม้า และตุ๊กตาวัวของ
ลูกเหล่านั้น จักห้ำหั่นความโศกให้เสื่อมหาย.
[1176] ลำดับนั้น พระเวสสันดรขัตติยราช
ครั้นทรงบำเพ็ญทานแล้ว เสด็จเข้าบรรณศาลาทรง
กรรแสงพิลาปว่า วันนี้ลูกน้อยทั้งสองจะหิวข้าวอยาก
น้ำอย่างไรหนอ จะต้องเดินทางไกล ร้องไห้สะอึก
สะอื้น เวลาเย็นบริโภคอาหาร ใครจะให้อาหารแก่
ลูกทั้งสองนั้น วันนี้ลูกน้อยทั้งสองจะหิวข้าวอยากน้ำ
อย่างไรหนอ จะต้องเดินทางไกลร้องไห้สะอึกสะอื้น
เวลาเย็นเป็นเวลาบริโภคอาหาร ลูกทั้งสองเคยอ้อน
กะมัทรีผู้มารดาว่า ข้าแต่พระเจ้าแม่ ลูกทั้งสองหิว
แล้ว ขอพระเจ้าแม่จงประทานแก่ลูกทั้งสอง ลูกทั้ง
สองไม่มีรองเท้า จะเดินทางเท้าเปล่าอย่างไรได้ ลูก

ทั้งสองจะเมื่อยล้า มีบาทาฟกบวมใครจะจูงมือลูกทั้ง
สองเดินทาง อย่างไรหนอพราหมณ์นั้นช่างร้ายกาจไม่
ละอาย เฆี่ยนตีลูกทั้งสองผู้ไม่ประทุษร้ายต่อหน้าเรา
แม้ตกเป็นทาสีเป็นทาสของเรา หรือคนรับใช้ใครที่มี
ความละอายจักเฆี่ยนตีคนที่ต่ำทรามแม้เช่นนั้นได้
พราหมณ์ช่างด่าช่างตีลูกรักทั้งสองของเราผู้มองเห็น
อยู่ซึ่งเป็นเหมือนดังปลาติดอยู่ที่ปากลอบปากไซ
ฉะนั้น.

พระเวสสันดรทรงพระปริวิตกว่า
[1177] เราจักถือธนูด้วยมือขวา หรือจักเหน็บ
พระขรรค์ไว้ข้างซ้ายไปนำเอาลูกทั้งสองของเรามา
เพราะลูกทั้งสองถูกเฆี่ยนตีเป็นทุกข์หนัก การที่ลูกน้อย
ทั้งสองต้องเดือดร้อนเป็นทุกข์แสนสาหัสไม่ใช่ฐานะ
ก็ใคร่เล่ารู้ธรรมของสัตบุรุษแล้วให้ทานย่อมเดือดร้อน
ในภายหลัง.

พระชาลีกุมารทรงรำพันว่า
[1178] ได้ยินว่า นรชนบางพวกในโลกนี้ พูด
ความจริงไว้อย่างนี้ว่า ลูกคนใดไม่มีมารดาของตน
ลูกคนนั้นเป็นเหมือนไม่มีบิดา น้องกัณหามานี่เถิด เรา
ทั้งสองจัดตายด้วยกัน เราทั้งสองจะเป็นอยู่ทำไมไม่มี
ประโยชน์ พระบิดาผู้เป็นจอมประชานิกรประทาน

เราทั้งสองแก่พราหมณ์ ผู้แสวงหาทรัพย์ เป็นคนร้าย
กาจเหลือเกิน แกเฆี่ยนตีเราทั้งสอง เสมือนนายโคบาล
ประหารโค ฉะนั้น รุกขชาติเหล่านี้มีต่าง ๆ พันธุ์คือ
ต้นหว้า ต้นยางทราย กิ่งห้อยย้อย เราเคยเล่นมาแต่
กาลก่อน วันนี้เราทั้งสองจะต้องละรุกขชาติเหล่านั้น
ซึ่งเคยเก็บดอกและผลเล่นมาช้านาน รุกขชาติที่มีผล
ต่าง ๆ ชนิด คือ โพธิ์ใบ ขนุน ไทร และมะขวิด ที่เรา
เคยเล่นในกาลก่อน วันนี้เราทั้งสองจะต้องละรุกข-
ชาติที่เราเคยเก็บผลกันมาช้านาน นี่สวน นี่สระน้ำ
เย็นใส เราเคยเที่ยวเล่นเคยลงสรงสนานมาแต่กาลก่อน
วันนี้เราทั้งสองจะต้องละสวนและสระเหล่านั้นไป
บุปผชาติต่าง ๆ ชนิด บนภูเขาโน่น เราเคยเก็บมาทัด
ทรงในกาลก่อน วันนี้เราต้องละบุปผชาติเหล่านั้นไป
นี้ตุ๊กตาช้าง ตุ๊กตาม้า ตุ๊กตาวัว พระบิดาทรงปั้น
เพื่อให้เราทั้งสองเล่น เราเคยเล่นในกาลก่อน วันนี้
เราทั้งสองจะต้องละตุ๊กตาเหล่านั้นไป.

พระศาสดาตรัสว่า
[1179] พระกุมารทั้งสอง คือ พระชาลีและ
กัณหาชินา อันชูชกพราหมณ์นำไป พอหลุดพ้นจาก
มือพราหมณ์ ต่างก็วิ่งหนีไปในสถานที่นั้น ๆ.
[1180] ลำดับนั้น พราหมณ์นั้นจับเถาวัลย์ถือ
ไม้เท้า ทุบตีพระกุมารทั้งสองนำไป เมื่อพระเวสสันดร
สีพีราชกำลังทอดพระเนตรเห็นอยู่.

[1181] พระกัณหาชินาได้กราบทูลพระบิดาว่า
ข้าแต่พระบิดาพราหมณ์นี้ทุบตีลูกด้วยไม้เท้า ดังว่าทุบ
ตีทาสผู้เกิดในเรือนเบี้ย ข้าแต่พระบิดา ก็พราหมณ์
นี้คงไม่ใช่พราหมณ์ทั้งหลาย ผู้ตั้งอยู่ในธรรม คงเป็น
ยักษ์แปลงเพศเป็นพราหมณ์ นำเอาลูกทั้งสองไปเพื่อ
จะกินเป็นอาหาร ลูกทั้งสองถูกพราหมณ์ปีศาจกำลัง
นำไป ข้าแต่พระบิดา ช่างกระไรเลย
นิ่งเฉยอยู่ได้.

พระกัณหากุมารีทรงรำพันว่า
[1182] เท้าของเราทั้งสองนี้เล็กเป็นทุกข์ ทั้ง
หนทางก็ไกลยากที่จะเดินไปได้ เมื่อพระอาทิตย์คล้อย
ต่ำลง พราหมณ์เล่าก็เร่งเราทั้งสองให้รีบเดิน ข้าพเจ้า
ทั้งสอง ขอคร่ำครวญกราบไหว้เทพเจ้าทั้งหลายผู้สิง
สถิตอยู่ ณ ภูเขาลำเนาไพร ในสระน้ำและบ่อน้ำอันมี
ท่าราบเรียบด้วยเศียรเกล้า ขอเทพเจ้าผู้สถิตอยู่ ณ ป่า
หญ้าลดาวัลย์ และต้นไม้ที่เป็นโอสถ บนภูเขาที่ป่าไม้
จงช่วยกันกราบทูลพระชนนีว่า ข้าน้อยทั้งสองนี้ไม่มี
โรค พราหมณ์นี้นำเอาข้าทั้งสองไป อนึ่ง ขอท่านทั้ง
หลายจงกราบทูลพระเจ้าแม่มัทรีราชชนนีของข้าน้อย
ทั้งสองว่า ถ้าพระแม่เจ้าปรารถนาจะเสด็จติดตามมา
ก็พึงรีบเสด็จติดตามข้าน้อยทั้งสองมาเร็วพลัน ทางนี้
เป็นทางเดินคนเดียวตัดตรงไปยังอาศรม พระมารดา
พึงเสด็จไปตามทางนั้นก็จะทันได้เห็นลูกทั้งสอง โดย

เร็วพลัน โอ้หนอ พระเจ้าแม่ผู้ทรงเพศดาบสินี ทรง
นำมูลผลาหารมาจากป่า ได้ทรงเห็นอาศรมอันว่าง
เปล่า ก็จักทรงมีทุกข์ พระมารดาเที่ยวแสวงหามูล-
ผลาหารจนล่วงเวลา คงได้มาไม่น้อย คงไม่ทรงทราบ
ว่าลูกทั้งสองถูกพราหมณ์ ผู้แสวงหาทรัพย์หยาบช้า
ร้ายกาจผูกมัดเฆี่ยนตีดังหนึ่งนายโคบาลทุกตีโคฉะนั้น
เออก็วันนี้ ลูกทั้งสองพึงได้เห็นพระมารดาเสด็จกลับมา
จากการแสวงหามูลผลาหารในเวลาเย็น พระมารดาพึง
ประทานผลไม้อันเจือด้วยน้ำผึ้งแก่พราหมณ์ ในกาล-
นั้น พราหมณ์นี้หิวกระหายไม่พึงเร่งให้เราทั้งสองเดิน
นัก เท้าทั้งสองของเราฟกบวมหนอ พราหมณ์ก็เร่งให้
เรารีบเดิน พระกุมารทั้งสองทรงรักใคร่ ในพระ
มารดา ทรงกรรแสงพิลาปอยู่ ณ ที่นั้นด้วยประการ
ดังนี้.

จบกุมารบรรพ
พระศาสดาตรัสว่า
[1183] เทวดาเหล่านั้นได้ฟังสองพระกุมารทรง
พิลาปร่ำรำพันแล้ว จึงได้กล่าวกะเทพบุตรทั้ง 3 ว่า
ท่านทั้ง 3 จงแปลงเพศเป็นสัตว์ดุร้ายในป่า คือ เป็น
ราชสีห์ 1 เสือโคร่ง เสือเหลือง 1 อย่าให้พระราช
บุตรีเสด็จกลับจากการแสวงหามูลผลาหารในเวลาเย็น
ได้ ท่านทั้งหลายอย่าให้สัตว์ร้ายในป่าอันเป็นแว่น

แคว้นของพวกเรา เบียดเบียนพระราชบุตรีได้ ถ้า
ราชสีห์ เสือโคร่งและเสือเหลือง พึงเบียดเบียนพระ
นาง ผู้ทรงศุภลักษณ์ พระชาลีกุมารก็ไม่พึงมี พระ
กัณหาชินากุมารีจะพึงมีแต่ที่ไหน พระนางผู้สมบูรณ์
ด้วยลักขณาจะพึงเสื่อมเสียโดยส่วนทั้งสอง คือ พระ-
ภัศดาและพระลูกรัก เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจง
กระทำอารักขาให้ดี.

พระนางมัทรีตรัสว่า
[1184] เสียมของเราหล่นลงแล้ว และตาเบื้อง
ขวาของเราก็เขม่นอยู่ริก ๆ ต้นไม้ทั้งหลายที่เคยมีผล
ก็กลายเป็นไม่มีผล ทิศทั้งปวงก็ทำให้เราฟั่นเฟือนลุ่ม
หลง เมื่อเรากลับบ่ายหน้ามาสู่อาศรมในเวลาเย็น เมื่อ
พระอาทิตย์จะอัศดงคต 3 สัตว์ร้ายก็ปรากฏยืนขวาง
ทาง พระอาทิตย์ก็คล้อยลงต่ำ และอาศรมก็ยังอยู่ไกล
หนอ ก็มูลผลาผลอันใดที่เราจักนำไปแต่ป่านี้ พระ-
เวสสันดรและลูกน้อยทั้งสองพึงเสวยมูลผลาผลนั้น
โภชนะอื่นไม่มี พระจอมกษัตริย์นั้นจักประทับอยู่ใน
บรรณศาลาพระองค์เดียว คงทรงปลอบประโลมให้
ลูกน้อยทั้งสองผู้กระหายหิวให้ยินดี คอยทอดพระเนตร
ดูเราผู้ยังไม่มาถึง เป็นแน่แท้ ลูกน้อยทั้งสองของเรา
ผู้กำพร้ายากไร้ในเวลาเย็นอันเป็นเวลาดื่มน้ำมัน จัก
คอยดื่มน้ำนม ดังลูกเนื้อที่กำลังดื่มนม ฉะนั้น เป็น
แน่แท้ ลูกน้อยทั้งสองของเราผู้กำพร้ายากไร้ ใน

เวลาเย็นอันเป็นเวลาดื่มน้ำ ก็จักคอยดื่มน้ำ ดังลูกเนื้อ
ที่กำลังกระหายน้ำ ฉะนั้น เป็นแน่แท้ ลูกน้อยทั้ง
สองของเราผู้กำพร้ายากไร้ จะยืนคอยต้อนรับเรา
เหมือนหนึ่งลูกโคอ่อนคอยชะแง้หาแม่ ฉะนั้น เป็น
แน่แท้ลูกน้อยทั้งสองของเราผู้ยากไร้ คงจะยืนต้อนรับ
เราเสมือนหนึ่งหงส์ซึ่งตกอยู่ในเปือกตม ฉะนั้น เป็น
แน่ ลูกน้อยทั้งสองของเราผู้ยากไร้ คงจะยืนคอยต้อน
รับเราอยู่ในที่ใกล้ๆ อาศรม หนทางที่จะไปก็มีอยู่
ทางเดียว ทั้งเป็นทางเดินไปได้คนเดียว โดยข้างหนึ่ง
มีสระ อีกข้างหนึ่งมีบึง เราไม่เห็นทางอื่นซึ่งเป็นทาง
ไปยังอาศรมได้ ข้าแต่พระยามฤดูราชผู้มีกำลังมากใน
ป่าใหญ่ ดิฉันขอนอบน้อมต่อท่านทั้งหลาย ท่านทั้ง
หลายเป็นพี่น้องของดิฉันโดยธรรม ดิฉันขออ้อนวอน
ขอท่านทั้งหลายจงให้หนทางแก่ดิฉันเถิด ดิฉันเป็น
ภรรยาของพระราชบุตรผู้มีสิริ ผู้ถูกขับไล่จากสีพีรัฐ
ดิฉันมิได้ดูหมิ่นพระราชสวามีพระองค์นั้นเลย เหมือน
ดังนางสีดาคอยอนุวัตรตามพระรามราชสวามี ฉะนั้น
ขอท่านทั้งหลายจงหลีกทางให้ดิฉันแล้วกลับไปพบลูก
น้อยของท่านในเวลาออกหาอาหารในเวลาเย็น ส่วน
ดิฉันก็จะพึงได้กลับไปพบลูกน้อยทั้งสอง คือพ่อชาลี
และแม่กัณหาชินา อนึ่ง มูลมันผลไม้นี้ก็มีอยู่มากและที่
เป็นภักษาก็มีไม่น้อย ดิฉันขอแบ่งให้ท่านทั้งหลายกึ่งหนึ่ง
ดิฉันอ้อนวอนแล้ว ขอท่านทั้งหลายจงให้ทางแก่ดิฉัน

เถิด พระมารดาของเราทั้งหลายเป็นพระราชบุตรี และ
พระบิดาของเราทั้งหลายก็เป็นพระราชบุตร ท่านทั้ง
หลายจึงชื่อว่าเป็นพี่น้องของดิฉันโดยธรรม ดิฉันอ้อน
วอนแล้ว ขอท่านทั้งหลายจงหลีกทางให้ดิฉันเถิด.
[1185] เทพเจ้าทั้งหลายผู้แปลงกายเป็นพาล-
มฤค ได้ฟังพระวาจาอันไพเราะ น่ากรุณาเป็นอันมาก
ของพระนางผู้รำพันวิงวอนอยู่ ได้พากันหลีกจากทาง
ไป.

พระนางมัทรีตรัสว่า
[1186] พระลูกน้อยทั้งสองพระองค์จะขมุก-
ขมอมไปด้วยฝุ่น เคยยืนคอยต้อนรับแม่อยู่ที่ตรงนี้
ดังหนึ่งลูกโคอ่อนยืนคอยชะแง้หาแม่ ฉะนั้น พระลูก
น้อยทั้งสองขมุกขมอมไปด้วยฝุ่น เคยยืนต้อนรับแม่
อยู่ตรงนี้ เหมือนดังหงส์ติดอยู่ในเปือกตม ฉะนั้น
พระลูกน้อยทั้งสองขมุกขมอมไปด้วยฝุ่น เคยยืนคอย
ต้อนรับแม่อยู่ใกล้ๆ อาศรมที่ตรงนี้ พระลูกน้อยทั้ง
สองเคยร่าเริงหรรษาวิ่งมาต้อนรับแม่ ราวกับจะทำให้
หทัยของแม่หวั่นไหว เหมือนลูกเนื้อเห็นแม่แล้วยกหู
ชูคอวิ่งเข้าไปหาแม่ร่าเริงหรรษาวิ่งไปมารอบๆ ฉะนั้น
วันนี้แม่มิได้เห็นพระลูกน้อยทั้งสอง คือ พ่อชาลีแม่
กัณหาชินานั้นเหมือนอย่างเคย แม่ละลูกน้อยทั้งสอง
ไว้ออกไปหาผลไม้ ดังแม่แพะและแม่เนื้อละลูกน้อย ๆ

ไปหากิน ดังปักษีละทิ้งลูกน้อยไปจากรัง หรือดังนาง
ราชสีห์ผู้ต้องการอาหาร ละลูกน้อยไว้ออกไปหากิน
ฉะนั้น วันนี้แม่ไม่เห็นพระลูกน้อยทั้งสอง คือพ่อชาลี
และแม่กัณหาชินาเหมือนอย่างเคย นี้เป็นรอยเท้าวิ่ง
ไปมาของพระลูกน้อยทั้งสองดุจรอยเท้าของช้างทั้ง
หลายที่เชิงเขา นี่กองทรายที่ลูกน้อยทั้งสองมากองเล่น
เรี่ยรายอยู่ ณ ที่ใกล้ ๆ อาศรม วันนี้แม่ไม่เห็นลูกน้อย
ทั้งสอง คือ พ่อชาลีและแม่กัณหาชินาเหมือนอย่าง
เคย พระลูกน้อยทั้งสองเคยขมุกขมอมด้วยทรายและ
ฝุ่นวิ่งเข้ามาล้อมแม่อยู่รอบข้าง วันนี้แม่มิได้เห็นพระ-
ลูกน้อยทั้งสองนั้น เมื่อก่อนพระลูกน้อยทั้งสองเคย
ต้อนรับแม่ผู้กลับมาจากป่าแต่ไกล วันนี้แม่ไม่เห็นลูก
น้อยทั้งสอง คือ พ่อชาลีแม่กัณหาชินาเหมือนอย่าง
เคย วันก่อนๆ พระลูกน้อยทั้งสองคอยแลดูแม่อยู่แต่
ไกลเหมือนลูกแพะหรือลูกเนื้อทรายคอยชะแง้หาแม่
ฉะนั้น วันนี้แม่ไม่ได้เห็นพระลูกน้อยทั้งสองนั้นเลย
เออก็นี่ผลมะตูมสุกสีดังทอง เป็นเครื่องเล่นของลูก
น้อยทั้งสอง (ไฉน) จึงมาตกกลิ้งอยู่ที่นี้ วันนี้แม่มิได้
เห็นพระลูกน้อยทั้งสอง คือ พ่อชาลีแม่กัณหาชินา
เหมือนอย่างเคย ก็ถันทั้งสองของแม่นี้เต็มไปด้วยน้ำ
นม และอุรูประเทศของแม่ดังหนึ่งว่าจะแตกทำลาย
วันนี้แม่ไม่ได้เห็นพระลูกน้อยทั้งสอง คือพ่อชาลีแม่

กัณหาชินาเหมือนอย่างเคย ใครเล่าจะค้นชายพกแม่
ใครเล่าจะเหนี่ยวถันทั้งสองของแม่ วันนี้ไม่ได้เห็น
พระลูกน้อยทั้งสอง คือ พ่อชาลีแม่กัณหาชินาเหมือน
อย่างเคย เวลาเย็นพระลูกน้อยทั้งสองขมุกขมอมไป
ด้วยฝุ่น เคยวิ่งมาเกาะที่ชายพกแม่ วันนี้แม่ไม่ได้
เห็นพระลูกน้อยทั้งสอง เมื่อก่อนอาศรมนี้ปรากฏแก่
เราดังว่านี้มหรสพ วันนี้เมื่อแม่มิได้เห็นพระลูกน้อยทั้ง
สองนั้น อาศรมเหมือนดังจะหมุนเวียน นี่อย่างไร
อาศรมจึงปรากฏแก่เราดูเงียบสงัดจริงหนอ แม้ฝูงกา
ป่าก็มิได้ส่งเสียงร้อง พระลูกทั้งสองของแม่จักตาย
เสียแล้วเป็นแน่แท้ นี่อย่างไรอาศรมจึงปรากฏแก่เรา
ดูเงียบสงัดจริงหนอ แม้ฝูงนกก็มิได้ส่งเสียงร้อง พระ-
ลูกน้อยทั้งสองของแม่ จักตายเสียแล้วเป็นแน่แท้.
[1187] นี่อย่างไรฝ่าพระบาทจึงทรงนิ่งอยู่ เออ
ก็ใจของหม่อมฉันเหมือนดังฝันเหมือนสุบินในเวลาราตรี
แม่ฝูงกาป่าก็มิได้ส่งเสียงร้อง พระลูกน้อยทั้งสองของ
หม่อมฉันคงจักตายเสียแล้วเป็นแน่แท้ นี่อย่างไรฝ่า
พระบาทจึงทรงนิ่งอยู่แม้ฝูงนกก็มิได้ส่งเสียงร้อง พระ
ลูกน้อยของหม่อมฉันคงจักตายเป็นแน่แท้ ข้าแต่
พระลูกเจ้า เหล่าเนื้อร้ายในป่าหรือในทุ่งกว้าง มา
เคี้ยวกินพระลูกน้อยทั้งสองของหม่อมฉันเสียแล้วหรือ
ไฉน หรือว่าใครมานำเอาพระลูกน้อยทั้งสองของ
หม่อมฉันไป หรือฝ่าพระบาททรงส่งพระลูกน้อยทั้ง
สองซึ่งกำลังช่างพูดจาน่ารักใคร่ไปเป็นทูต หรือว่า

เข้าไปหลับอยู่ในบรรณศาลา หรือพระลูกน้อยทั้งสอง
ของเรานั้นเที่ยวเล่นคะนองออกไปในภายนอก เส้น
พระเกศา พระหัตถ์และพระบาทซึ่งมีลายตาข่าย ของ
พระลูกน้อยทั้งสองนั้น มิได้ปรากฏเลย หรือว่านกทั้ง
หลายมาโฉบเฉี่ยวเอาไป หรือว่าใครนำเอาพระลูกน้อย

ทั้งสองของหม่อมฉันไป.
[1188] ความทุกข์ที่หม่อมฉัน มิได้เห็นลูกน้อย
ทั้งสอง คือชาลีและกัณหาชินาในวันนั้น เป็นทุกข์ยิ่ง
กว่าการถูกขับไล่จากแว่นแคว้น เปรียบเหมือนผลที่
ถูกแทงด้วยลูกศร ฉะนั้น ก็การที่หม่อมฉันมิได้เห็น
พระลูกน้อยทั้งสอง ทั้งฝ่าพระบาทก็มิได้ตรัสกับหม่อม
ฉันนี้ เป็นลูกศรเสียบแทงหฤทัยของหม่อมฉันซ้ำสอง
หฤทัยของหม่อมฉันหวั่นไหว ข้าแต่พระราชบุตร ถ้า
คืนวันนี้ฝ่าพระบาทมิได้ตรัสกับหม่อมฉัน พรุ่งนี้เช้า
ฝ่าพระบาทก็น่าจะได้ทอดพระเนตรหม่อมฉัน ผู้ปราศ-
จากชีวิต ตายเสียเป็นแน่.

พระมหาสัตว์ตรัสว่า
[1189] เจ้ามัทรีมีรูปงามอุดม เป็นราชบุตรีผู้มี
ยศ ไปแสวงหามูลผลาหารตั้งแต่เช้า ไฉนหนอ จึง
กลับมาจนเวลาเย็น.

พระนางมัทรีทูลว่า
[1190] ฝ่าพระบาทได้ทรงสดับมิใช่หรือ ซึ่ง
เสียงบันลือแห่งราชสีห์ และเสือโคร่ง ทั้งเสียงสัตว์

จตุบาทและฝูงนก ส่งเสียงคำรามร้องสนั่นเป็นอัน
เดียวกัน ต่างก็มุ่งมาเพื่อจะดื่มน้ำยังสระนี้ บุพนิมิต
ได้เกิดมีแก่หม่อมฉันผู้กำลังเที่ยวอยู่ในป่าใหญ่ เสียม
พลัดตกจากมือของหม่อมฉัน และกระเช้าที่หาบอยู่ก็
พลัดตกจากบ่า ทีนั้นหม่อมฉันก็หวาดกลัวเป็นกำลัง
จึงกระทำอัญชลีนอบน้อมทิศทั่วทุกแห่ง ขอความ
สวัสดี พึงมีแต่ที่นี้ ขอพระลูกเจ้าของเราทั้งหลาย
อย่าได้ถูกราชสีห์หรือเสือเหลืองเบียดเบียนเลย หมี
สุนัขป่า หรือเสือดาว อย่ามากล้ำกรายพระลูกน้อยทั้ง
สองของข้าเลย 3 สัตว์ร้ายในป่า คือ ราชสีห์ เสือ
โคร่ง และเสือเหลืองยืนขวางทางหม่อมฉันเสีย เหตุ
นั้น หม่อมฉันจึงกลับมาพลบค่ำ.
[1191] ตัวเราเป็นผู้ไม่ประมาท หมั่นปฏิบัติ
พระสวามีบำรุงพระลูกน้อยทั้งสองทุกวันคืน ดังอัน
เตวาสิกปฏิบัติอาจารย์ ฉะนั้น ตัวเรามุ่นชฎาเป็น
พรหมจาริณี นุ่งห่มหนังอชินะ เที่ยวแสวงหามูลผลา-
หารในป่าทุกวันคืน เพราะความรักพระลูกทั้งสองเทียว
นะพระลูก นี่ขมิ้น สีดังทอง ที่แม่หามาบดไว้สำหรับ
ใช้เพื่อเจ้าทั้งสองอาบน้ำ นี่ผลมะตูมสุกสีเหลือง แม่
หามาให้เพื่อลูกทั้งสองเล่น อนึ่ง แม่ได้สรรหาผลไม้
สุกอื่น ๆ ที่น่าพอใจมาเพื่อให้ลูกทั้งสองเล่น นี้เป็น
ของเล่นของลูกรักทั้งสอง ข้าแต่พระจอมกษัตริย์ นี้
เหง้าบัวพร้อมทั้งฝักและหน่อแห่งอุบลและกระจับอัน

คลุกเคล้าด้วยน้ำผึ้ง เชิญพระองค์เสวยพร้อมพระโอรส
พระธิดาเถิด ขอพระองค์ทรงโปรดประทานดอกปทุม
แก่พ่อชาลี ส่วนดอกโกมุทขอได้โปรดประทานแก่
กัณหากุมารี พระองค์จะได้ทอดพระเนตรพระกุมาร
ประดับประดาด้วยดอกไม้ฟ้อนรำอยู่ ขอได้โปรด
ตรัสเรียกสองพระราชบุตรมาเถิด แม่กัณหาชินาจะได้
มานี่ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ ขอพระองค์จงสดับ
พระสุรเสียงอันไพเราะอ่อนหวานของแม่กัณหาชินา
ขณะเข้าสู่อาศรม เราทั้งสองถูกเนรเทศจากแว่นแคว้น
เป็นผู้มีสุขและทุกข์เสมอกัน เออก็พระองค์ได้ทรงเห็น
พระราชบุตรทั้งสอง คือ พ่อชาลีแม่กัณหาชินาบ้าง
หรือ ชะรอยว่าหม่อมฉัน ได้สาปแช่ง สมณพราหมณ์ผู้
ประพฤติพรหมจรรย์ มีศีล เป็นพหูสูต ในโลก
วันนี้หม่อมฉันจึงไม่ได้เห็นพระลูกน้อยทั้งสอง คือ
พ่อชาลีและแม่กัณหาชินา.
[1192] หมู่นี้นี่ก็ต้นหว้า นี่ต้นยางทรายที่ทอด
กิ่งค้อมลงมา เป็นรุกขชาติต่าง ๆ พันธุ์ ที่สองพระ
กุมารเคยวิ่งเล่น แม่มิได้เห็นสองพระกุมารนั้น หมู่นี้
นี่ก็โพธิ์ใบ ต้นขนุน ต้นไทร ต้นมะขวิด เป็นไม้มี
ผลนานาชนิด ที่พระกุมารทั้งสองเคยมาวิ่งเล่น แม่
มิได้เห็นสองพระกุมารนั้น หมู่ไม้เหล่านี้ตั้งอยู่ดุจ
อุทยาน นี่ก็เป็นแม่น้ำมีน้ำเย็นซึ่งสองพระกุมารเคยมา

เล่น แม่มิได้เห็นสองพระกุมารนั้น รุกขชาติที่ทรง
ดอกต่างๆ มีอยู่บนภูเขานี้ ที่สองพระกุมารเคยทัดทรง
เล่น แม่มิได้เห็นสองพระกุมารนั้น รุกขชาติที่ทรงผล
ต่างๆ มีอยู่บนภูเขานี้ ที่สองพระกุมารเคยมาเสวย แม่
มิได้เห็นสองพระกุมารนั้น เหล่านี้เป็นตุ๊กตาช้าง
ตุ๊กตาม้า ตุ๊กตาวัว ที่พระกุมารทั้งสองเคยมาเล่น
แม่มิได้เห็นสองพระกุมารนั้น.
[1193] เหล่านี้เป็นตุ๊กตาเนื้อทรายทองตัว
เล็ก ๆ ตุ๊กตากระต่าย ตุ๊กตานกเค้า ตุ๊กตาชะมด
เป็นอันมาก ที่พระกุมารทั้งสองเคยเล่น แม่มิได้เห็น
พระกุมารทั้งสองนั้น เหล่านี้ตุ๊กตาหงส์ เหล่านี้ตุ๊กตา
นกกะเรียน ตุ๊กตานกยูงมีแววหางงามวิจิตร ที่สอง
พระกุมารเคยมาเล่น แม่มิได้เห็นพระกุมารทั้งสอง
เลย.
[1194] พุ่มไม้เหล่านี้มีดอกบานทุกฤดูกาล ที่
สองพระกุมารเคยมาเล่น แม่มิได้เห็นพระกุมารทั้ง
ของนั้น สระโบกขรณีนี้น่ารื่นรมย์ เพรียกไปด้วย
เสียงนกจากพรากมาคูขัน ดาดาษไปด้วยมณฑาปทุม
และอุบล ที่สองพระกุมารเคยมาเล่น แม่มิได้เห็น
พระกุมารทั้งสองนั้น.
[1195] พ้นฝ่าพระบาทก็มิได้หัก น้ำก็มิได้ตัก
แม้ไฟก็มิได้ติด เพราะเหตุไรหนอพระองค์จึงทรง

หงอยเหงาซบเซาอยู่ ที่รักกับที่รักประชุมพร้อมกันอยู่
ย่อมหายความทุกข์ร้อน แต่วันนี้หม่อมฉันมิได้เห็น
พระกุมารทั้งสอง คือ พ่อชาลีและแม่กัณหาชินา.
[1196] ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ หม่อมฉัน
มิได้เห็นพระลูกรักทั้งสองของเรา ผู้ใดมานำเอาพระ
ลูกรักทั้งสองนั้นไป หรือว่าพระลูกรักทั้งสองนั้นตาย
เสียแล้ว แม้ฝูงกาป่าก็มิได้ขานขัน พระลูกน้อยทั้ง
สองของหม่อมฉันตายเสียแล้วเป็นแน่ ข้าแต่พระองค์
ผู้สมมติเทพ หม่อมฉันมิได้เห็นพระลูกรักทั้งสองของ
เรา ผู้ใดมานำเอาพระลูกรักทั้งสองนั้นไป หรือว่า
พระลูกรักทั้งสองนั้นตายเสียแล้ว แม่ฝูงนกก็มิได้ขาน
ขัน พระลูกน้อยทั้งสองของหม่อมฉันตายเสียแล้วเป็น
แน่.
[1197] พระนางมัทรี ทรงปริเทวนาพลางเที่ยว
วิ่งค้นหาตลอดซอกบรรพตและป่าชัฏ ในบริเวณเขา
วงกตนั้น แล้วเสด็จกลับมายังพระอาศรมทรงกันแสง
อยู่ในสำนักของพระราชสวามี ทูลคร่ำครวญว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้สมมติเทพ หม่อมฉันมิได้เห็นพระลูกรัก
ทั้งสองของเรา ผู้ใดมานำเอาพระลูกรักทั้งสองนั้นไป
หรือว่าพระลูกรักทั้งสองนั้นตายเสียแล้ว แม้ฝูงกาป่า
ก็มิได้ขานขัน พระลูกน้อยทั้งสองของหม่อมฉันตาย
เสียแล้วเป็นแน่ ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ หม่อมฉัน

มิได้เห็นพระลูกรักทั้งสองของเรา ผู้ใดมานำเอาพระ
ลูกทั้งสองนั้นไป หรือว่าพระลูกรักทั้งสองนั้นตาย
เสียแล้ว แม้ฝูงนกก็มิได้ขานขัน พระลูกน้อยทั้งสอง
ของหม่อมฉันตายเสียแล้วเป็นแน่ พระนางมัทรีผู้ทรง
พระรูปพระโฉมอันอุดม เป็นพระราชบุตรีผู้มียศเที่ยว
ไปที่โคนต้นไม้ ที่บริเวณภูเขา และในถ้ำมิได้ทรงพบ
เห็นสองพระกุมาร จึงทรงประคองพระพาหากันแสง
ไห้คร่ำครวญ ล้มสลบลงที่พื้นพสุธา ณ ที่ใกล้บาทมูล
ของพระเวสสันดรนั้นแล.
[1198] พระเวสสันดรราชฤาษี ทรงวักน้ำประ-
พรมพระนางมัทรีราชบุตรีผู้ล้มสลบขึ้น ณ ที่ใกล้บาท
มูลของพระองค์นั้น ครั้นทรงทราบว่า พระนางฟื้น
พระองค์ดีแล้ว จึงได้ตรัสบอกเนื้อความนี้กะพระนาง
ในภายหลังว่า ดูก่อนมัทรี ฉันไม่ปรารถนาจะแจ้ง
ความทุกข์แก่เธอแต่แรกก่อน พราหมณ์แก่เป็นยาจก
ผู้ยากจนมาสู่ที่อยู่ของฉัน ฉันได้ให้ลูกทั้งสองแก่
พราหมณีนั้นไป ดูก่อนมัทรี เธออย่ากลัวเลย จงดีใจ
เถิด ดูก่อนมัทรี เธอจงดูฉันเถิด จงอย่าดูลูกทั้งสองเลย
อย่ากันแสงไห้ไปนักเลย เราเป็นผู้ไม่มีโรค ยังมีชีวิต
อยู่ คงจักได้พบเห็นลูกทั้งสองที่พราหมณ์นำไปเป็น
แน่แท้ สัปบุรุษเห็นยาจกมาถึงแล้วพึงให้บุตร ปศุสัตว์
ธัญชาติ และทรัพย์อย่างอื่นในเรือนเป็นทานได้ ดูก่อน
มัทรี ขอเธอจงอนุโมทนาปุตตทานอันสูงสุดของเรา.

พระนางมัทรีทูลว่า
[1199] ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ หม่อมฉัน
นุโมทนาปุตตทานอันอุดมของฝ่าพระบาท ฝ่า-
พระบาททรงพระราชทานปุตตทานอันอุดมแล้ว จงยัง
พระหฤทัยให้เลื่อมใส ขอจงทรงบำเพ็ญทานยิ่ง ๆ ขึ้น
ไปเถิด ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่ของประชุมชนในหมู่
มนุษย์ซึ่งมักเป็นคนตระหนี่เหนียว ฝ่าพระบาทพระ-
องค์เดียวผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญ ได้ทรงบำเพ็ญปิยปุตต-
ทานแก่พราหมณ์แล้ว.
[1200] ปฐพีก็บันลือลั่นเสียงสนั่นบันลือไปถึง
ไตรทิพย์ สายฟ้าแลบอยู่แปลบปลาบโดยรอบ เสียง
สะท้านปรากฏ ดังหนึ่งว่าเสียงภูเขาถล่มทลาย.
[1201] เทพเจ้าสองหมู่ ผู้สิงสถิตอยู่ที่นารท-
บรรพต ถวายอนุโมทนาแก่พระหน่อทศพลเวสสันดร
นั้นว่า พระอินทร์ พระพรหม ทั้งท้าวเวสวัณมหา-
ราช และเทพเจ้าขาวดาวดึงส์สวรรค์พร้อมด้วยพระ
อินทร์ทุกถ้วนหน้า ย่อมถวายอนุโมทนาพระนางเจ้า
มัทรีผู้ทรงพระรูปพระโฉมอันอุดม เป็นพระราชบุตรี
ผู้มียศ ทรงถวายอนุโมทนาปุตตทานอันอุดมของ
พระเวสสันดรราชฤาษี ด้วยประการฉะนี้แล.

จบมัทรีบรรพ

พระศาสดาตรัสว่า
[1202] ลำดับนั้น เมื่อราตรีสิ้นไป พระอาทิตย์
อุทัยขึ้นมา เวลาเช้าท้าวสักกเทวราชทรงแปลงเพศ
เป็นอย่างพราหมณี ได้ปรากฏแก่สองกษัตริย์นั้น.

ท้าวสักกเทวราชตรัสว่า
[1203] พระคุณเจ้าไม่มีโรคาพาธหรือหนอ
พระคุณเจ้าทรงพระสำราญดีหรือ ทั้งมูลมันผลไม้มี
มากหรือ เหลือบยุงและสัตว์เสือกคลานมีน้อยแลหรือ
ในป่าอันเกลื่อนกล่นไปด้วยพาลมฤคไม่มีมาเบียดเบียน
แลหรือ.

พระมหาสัตว์ตรัสว่า
[1204] ดูก่อนพราหมณ์ เราทั้งหลายไม่มี
โรคาพาธเบียดเบียน อนึ่งเราทั้งหลายเป็นสุขสำราญดี
เราเยียวยาอัตภาพด้วยการหาผลาหารสะดวกดีทั้งมูล
มันผลไม้ก็มีมาก เหลือบ ยุง สัตว์เสือกคลานก็มีน้อย
อนึ่ง ในป่าอันเกลื่อนกล่นไปด้วยพาลมฤค ก็ไม่มีมา
เบียดเบียนแก่เรา เมื่อพวกเรามาอยู่ในป่า มีชีวิตอัน
ตรมเตรียมมาตลอด 7 เดือน เราพึงเห็นท่านผู้เป็น
พราหมณ์บูชาไฟ ทรงเพศอันประเสริฐ ถือไม้เท้าสี
ดังผลมะตูม และลักจั่นน้ำนี้เป็นคนที่สอง ดูก่อน
พราหมณ์ ท่านมาดีแล้ว อนึ่งท่านมิใช่มาร้าย ดูก่อน
ท่านผู้เจริญ เชิญท่านเข้าไปภายในเถิด เชิญล้างเท้า

ของท่านเถิด ผลมะพลับ ผลมะหาด ผลมะซาง
ผลหมากเม่า มีรสหวานปานน้ำผึ้ง เชิญเลือกฉันแต่
ผลที่ดี ๆ เถิด ท่านพราหมณ์ แม่น้ำฉันนี้ก็เย็นสนิท
เรานำมาแต่ซอกเขา ดูก่อนพราหมณ์ ถ้าท่านจำนง
หวัง ก็เชิญดื่มตามสบายเถิด ดังเราขอถาม ท่านมา
ถึงป่าใหญ่เพราะเหตุการณ์อะไรหนอ เราถามแล้วขอ
ท่านจงบอกความนั้นแก่เราเถิด.
[1205] ห้วงน้ำ (ในปัญจมหานที) เต็มเปี่ยม
ไม่มีเวลาเหือดแห้ง ฉันใด พระองค์มีพระหฤทัยเต็ม
ไปด้วยศรัทธา ฉันนั้น เกล้ากระหม่อมฉันกราบทูล
ขอแล้ว ขอพระองค์ทรงพระกรุณาพระราชทานพระ-
มเหสี แก่เกล้ากระหม่อมฉันเถิด.
[1206] ดูก่อนพราหมณ์ เราย่อมให้มิได้หวั่น
ไหว ท่านขอสิ่งใดเราก็จะให้สิ่งนั้น เราไม่ซ่อนเร้น
สิ่งที่มีอยู่ ใจของเรายินดีในทาน.
[1207] พระเวสสันดรผู้ผดุงสีพีรัฐ ทรงกุม
หัตถ์พระนางมัทรี จับเต้าน้ำหลั่งอุทกวารีพระราชทาน
พระนาง ให้เป็นทานแก่พราหมณ์ ขณะนั้น เมื่อ
พระมหาสัตว์ทรงบริจาคพระนางมัทรีให้เป็นทาน เกิด
ความอัศจรรย์น่าสยดสยองโลมชาติก็ชูชัน เมทนีดล
ก็กัมปนาทหวั่นไหว พระนางเจ้ามัทรีมิได้มีพระพักตร์
เง้างอด มิได้ทรงขวยเขิน และมิได้ทรงกันแสง ทรง

เพ่งดูพระราชสวามีโดยดุษณีภาพ โดยทรงเคารพเชื่อ
ถือว่า ท้าวเธอทรงทราบซึ่งสิ่งอันประเสริฐ.

พระศาสดาตรัสว่า
[1208] เมื่อตถาคตเป็นพระเวสสันดร บริจาค
ชาลีกัณหาชินาซึ่งเป็นบุตรธิดาและพระมัทรีเทวี ผู้
เคารพยำเกรงในพระราชสวามี มิได้คิดเสียดายเลย
เพราะเหตุแห่งพระโพธิญาณเท่านั้น บุตรทั้งสองเป็น
ที่เกลียดชังของเราก็หามิได้ พระมัทรีเทวีไม่เป็นที่รัก
ของเราก็หามิได้ แต่สัพพัญุตญาณเป็นที่รักของเรา
ฉะนั้นเราจึงได้ให้ของอันเป็นที่รัก.

พระนางมัทรีทรงพระดำริว่า
[1209] ข้าพระบาทเป็นพระมเหสีของพระองค์
ตั้งแต่ยังแรกรุ่นสาว พระองค์ก็เป็นเจ้าเป็นใหญ่ใน
ข้าพระบาท พระองค์ปรารถนาจะพระราชทานข้าพระ-
บาทแต่ผู้ใด ก็พึงพระราชทานได้ ทรงปรารถนาจะ
ขายหรือจะฆ่า พึงทรงขายทรงฆ่าได้.

พระศาสดาตรัสว่า
[1210] ท้าวสักกะจอมเทพ ทรงทราบชัดซึ่ง
ความทรงดำริของสองกษัตริย์แล้ว จึงตรัสชมดังนี้ว่า
อันว่าข้าศึกทั้งมวลล้วนเป็นของทิพย์ (อันห้ามเสียซึ่ง
ทิพยสมบัติ) และเป็นของมนุษย์ (อันห้ามเสียซึ่งมนุษย์
สมบัติ) พระองค์ทรงชนะได้แล้ว ปฐพีก็บันลือลั่น

เสียงสนั่นบันลือไปถึงไตรทิพย์ สายฟ้าแลบอยู่แปลบ
ปลายโดยรอบ เสียงสะท้านปรากฏดังหนึ่งว่าเสียงภูเขา
ถล่มทลาย เทพเจ้าสองหมู่ผู้สิงสถิตอยู่ที่นารทบรรพต
ถวายอนุโมทนาแก่พระหน่อทศพลเวสสันดรนั้นว่า
พระอินทร์ พระพรหม ท้าวประชาบดี จันทเทพบุตร
พระยม ทั้งท้าวเวสวัณมหาราช และเทพเจ้าทั้งปวง
ย่อมถวายอนุโมทนาว่า พระเวสสันดรบรมกษัตริย์
ทรงกระทำกรรมที่ทำได้ยาก เมื่อคนดีทั้งหลายให้สิ่งที่
ให้ได้ยาก กระทำกรรมที่ทำได้ยาก คนไม่ดีย่อมทำ
ได้ยาก คนไม่ดีย่อมทำตามไม่ได้ เพราะว่าธรรมของ
สัตบุรุษทั้งหลาย อันอสัตบุรุษตามได้โดยยาก เพราะ
ฉะนั้น ต่อจากนี้ คติของสัตบุรุษและของอสัตบุรุษ
ย่อมต่างกัน อสัตบุรุษย่อมไปนรก สัตบุรุษมีสวรรค์
เป็นที่ไป การที่พระองค์เสด็จมาอยู่ในป่า ได้พระ-
ราชทานสองพระราชกุมารและพระมเหสีให้เป็นทานนี้
ชื่อว่าเป็นยานอันประเสริฐ ไม่เป็นยานก้าวลงสู่อบาย-
ภูมิ ขอปุตตทานมหาทานของพระองค์นั้น จงเผล็ด
ผลในสรวงสวรรค์.

ท้าวสักกเทวราชตรัสว่า
[1211] ข้าพเจ้าขอถวายพระนางเจ้ามัทรีพระ-
มเหสี ผู้งามทั่วสรรพางค์คืนให้พระคุณเจ้า พระองค์
เท่านั้นเป็นผู้สมควรแก่พระมัทรี และพระมัทรีก็คู่ควร

กับพระราชสวามี น้ำนมและสังข์ ทั้งสองนี้มีสีเหมือน
กัน ฉันใด พระองค์และพระมัทรีก็มีพระหฤทัยเสมอ
กัน ฉันนั้น ทั้งสององค์เป็นกษัตริย์สมบูรณ์ด้วยพระ-
โคตร เป็นอุภโตสุชาตทั้งฝ่ายพระชนนีและพระชนก
ทรงถูกขับไล่จากแว่นแคว้นมาอยู่ในอาศรมราวป่า บุญ
ทั้งหลายที่พระองค์กระทำมาแล้วฉันใด ขอพระองค์
ทรงให้ทานกระทำบุญอยู่ร่ำไปฉันนั้น.
[1212] ข้าแต่พระราชฤาษี หม่อมฉันเป็นท้าว
สักกะจอมเทพ มาในสำนักของพระองค์ ขอพระองค์
จงทรงเลือกพร หม่อมฉันขออวยพร 8 ประการแก่
พระองค์.

พระโพธิสัตว์ตรัสว่า
[1213] ข้าแต่ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่แห่งสรรพ-
สัตว์ ถ้าพระองค์จะประสาทพระพรแก่หม่อมฉันไซร้
ขอให้พระบิดาจงมารับหม่อมฉัน ขอพระบิดาพึงทรง
ต้อนรับหม่อมฉันผู้ออกจากป่านี้ไปถึงเรือนของตนด้วย
ราชอาสน์ พรนี้เป็นที่ 1 เป็นพรที่หม่อมฉันปรารถนา
อนึ่ง ขอให้หม่อมฉันไม่พึงพอใจซึ่งการฆ่าคน แม้ผู้
นั้นจะเป็นนักโทษถึงประหารชีวิตกระทำผิดอย่างร้าย
กาจ ขอให้หม่อมฉันพึงปลดปล่อยให้พ้นจากการถูก
ประหารชีวิต พรนี้เป็นที่ 2 เป็นพรที่หม่อมฉัน
ปรารถนา อนึ่ง ขอให้ประชาชนทั้งปวง ทั้งแก่เฒ่าเด็ก

และปานกลาง พึงเข้ามาอาศัยหม่อมฉันเลี้ยงชีวิต พรนี้
เป็นที่ 3 เป็นพรที่หม่อมฉันปรารถนา อนึ่ง หม่อมฉัน
ไม่พึงคบหาภรรยาผู้อื่น พึงพอใจแต่ในภรรยาของตน
ไม่พึงลุอำนาจแห่งหญิงทั้งหลาย พรนี้เป็นที่ 4 เป็น
พรที่หม่อมฉันปรารถนา อนึ่ง ข้าแต่ท้าวสักกะ ขอให้
บุตรของหม่อมฉัน ผู้พลัดพรากไปนั้น พึงมีอายุยืน
นาน พึงครองซึ่งแผ่นดินโดยธรรมเถิด พรนี้เป็นที่ 5
เป็นพรที่หม่อมฉันปรารถนา อนึ่ง ตั้งแต่วันที่หม่อม
ฉันกลับคืนถึงพระนคร เมื่อราตรีสิ้นไป พระอาทิตย์
อุทัยขึ้นมาแล้ว ขอให้อาหารอันเป็นทิพย์พึงปรากฏ
พรนี้เป็นที่ 6 เป็นพรที่หม่อมฉันปรารถนา อนึ่ง เมื่อ
หม่อมฉันให้ทานอยู่ ขอไทยธรรมอย่าได้หมดสิ้นไป
เมื่อกำลังให้ ขอให้หม่อมฉันทำจิตให้ผ่องใส ครั้น
ให้แล้วขอให้หม่อมฉันไม่พึงเดือดร้อนใจในภายหลัง
พรนี้เป็นที่ 7 เป็นพรที่หม่อมฉันปรารถนา อนึ่ง
เมื่อล่วงพ้นจากอัตภาพนี้ไปขอให้หม่อมฉันครรไลยัง
โลกสวรรค์ ให้ได้ไปถึงชั้นดุสิตอันเป็นชั้นวิเศษ ครั้น
จุติจากชั้นดุสิตนั้นแล้ว พึงมาสู่ความเป็นมนุษย์ แล้ว
ไม่พึงเกิดต่อไป พรนี้เป็นที่ 8 เป็นพรที่หม่อมฉัน
ปรารถนา.

พระศาสดาตรัสว่า
[1214] ครั้นท้าวสักกะจอมเทพทรงสดับพระ-
ดำรัส ของพระมหาสัตว์เวสสันดรนั้นแล้ว ได้ตรัส

ดังนี้ว่า ไม่นานนักดอก สมเด็จพระบิดาบังเกิดเกล้า
ของพระองค์ จักเสด็จมาทรงเยี่ยมพระองค์ ครั้นตรัส
พระดำรัสเท่านี้แล้ว ท้าวสุชัมบดีมฆวาฬเทวราช ทรง
พระราชทานพรแก่พระเวสสันดรแล้ว ได้เสด็จกลับ
ไปยังหมู่สวรรค์.
จบสักกบรรพ
พระเจ้าสญชัยตรัสว่า
[1215] นั่นหน้าของใครหนองามยิ่งนัก ดัง
ทองคำอันนายช่างหลอมด้วยไฟสุกใส หรือดังแท่ง
ทองคำอันละลายคว้างที่ปากเบ้า ฉะนั้น เด็กทั้งสอง
คนนี้มีอวัยวะคล้ายคลึงกัน มีลักษณะคล้ายคลึงกัน คน
หนึ่งคล้ายคลึงพ่อชาลี คนหนึ่งเหมือนแม่กัณหาชินา
ทั้งสองคนมีรูปเสมอกัน ดังราชสีห์ออกจากถ้ำทอง
ฉะนั้น เด็กสองคนนี้ปรากฏเหมือนดังหล่อด้วยทองคำ
เทียว.
[1216] ดูก่อนภารทวาชพราหมณ์ ท่านนำเด็ก
ทั้งสองคนนี้มาจากไหนหนอ ท่านมาจากไหน ลุถึง
แว่นแคว้นของเราในวันนี้.
ชูชกทูลว่า
[1217] ข้าแต่พระเจ้าสญชัยสมมติเทพ กุมาร
ทั้งสองนี้มีผู้ให้แก่ข้าพระองค์ด้วยความพอใจ ตั้งแต่
วันที่ข้าพระองค์ได้สองกุมารนี้มา คืนวันนี้เป็นคืนที่ 15

พระเจ้าสญชัยตรัสว่า
[1218] ท่านมีถ้อยคำดูดดื่มเพียงไร จึงได้เด็ก
สองคนนี้มา ท่านควรทำให้เราเชื่อโดยเหตุที่ชอบ ใคร
ให้ลูกน้อยทั้งหลาย อันเป็นอุดมทาน ให้ทานนั้นแก่
ท่าน.

ชูชกทูลว่า
[1219] พระองค์ใดเป็นที่พึ่งของเหล่ายาจกผู้
มาขอ ดังธรณีเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย พระองค์นั้น
คือ พระเวสสันดรราชซึ่งเสด็จไปอยู่ป่า ได้พระราช-
ทานพระราชโอรส และพระราชธิดาแก่ข้าพระองค์
พระองค์ได้เป็นที่รับรองของเหล่ายาจกผู้มาขอ เหมือน
สาครเป็นที่รับรองแห่งแม่น้ำทั้งหลายซึ่งไหลลงไป
ฉะนั้น พระองค์นั้น คือ พระเวสสันดรราชซึ่งเสด็จ
ไปอยู่ป่า ได้พระราชทานพระราชโอรสและพระราช-
ธิดาแก่ข้าพระองค์.

พวกอำมาตย์ทูลว่า
[1220] ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย พระราชา
ยังทรงครองเรือนอยู่เป็นผู้มีศรัทธา ทรงกระทำ
ธรรมไม่สมควรหนอ พระเวสสันดรถูกขับไล่ออกไป
อยู่ป่า พึงพระราชทานพระราชโอรสและพระราชธิดา
อย่างไรหนอ ท่านผู้เจริญทั้งหลายมีประมาณเท่าใด
ซึ่งมาประชุมกันอยู่ในสมาคมนี้ จงพิจารณาเรื่องนี้

พระเวสสันดรราชประทับอยู่ในป่า อย่างไรจะพระ-
ราชทานพระราชโอรสและพระราชธิดาเล่า พระองค์
ควรจะพระราชทานทาส ทาสี ม้า แม่ม้าอัศดร รถ
ช้างกุญชร ทำไมจึงพระราชทานพระราชกุมารทั้งสอง
เล่า.
พระชาลีกุมารทูลว่า
[1221] ข้าแต่สมเด็จพระอัยกา ทาส ม้า แม่
น่าอัสดร รถ และช้างกุญชรตัวประเสริฐ ในเรือน
ของผู้ใดไม่มี ผู้นั้นจะพึงให้อะไรพระเจ้าข้า.
พระเจ้าสญชัยตรัสว่า.
[1222] ดูก่อนพระหลานน้อย ปู่สรรเสริญ
ทานแห่งบิดาของเจ้านั้น ปู่ไม่ได้ติเตียนเลย หฤทัย
แห่งบิดาของเจ้าเป็นอย่างไรหนอ เพราะให้เจ้าทั้ง
สองแก่พราหมณ์แล้ว.
พระชาลีกุมารทูลว่า
[1223] ข้าแต่พระอัยกามหาราช พระบิดา
ของเกล้ากระหม่อม. พระราชทานเกล้ากระหม่อมทั้ง
สองแก่พราหมณ์แล้ว ได้สดับถ้อยคำร่ำพิลาป ที่พระ
น้องกัณหาได้กล่าวแล้ว.
[1224] ทรงมีพระหฤทัยเป็นทุกข์และเร่าร้อน
มีดวงพระเนตรแดงดังหนึ่งดาวโรหิณี และมีพระอัส-
สุชลหลั่งไหล.

[1225] พระน้องกัณหาชินาได้กราบทูลสมเด็จ
พระบิดาดังนี้ว่า ข้าแต่พระบิดาเจ้าขา พราหมณ์นี้
เฆี่ยนตีเกล้ากระหม่อมฉันด้วยไม้เท้า ดังเฆี่ยนตีหญิง
ทาสีอันเกิดในเรือนเบี้ย พระบิดาเจ้าขา ผู้นี้ไม่ใช่
พราหมณ์เป็นแน่ พราหมณ์ทั้งหลายย่อมตั้งอยู่ในธรรม
ยักษ์แปลงเพศเป็นพราหมณ์มานำเอาเกล้ากระหม่อม
ฉันทั้งสองไปเพื่อจะกิน พระบิดาเจ้าขา เกล้ากระ-
หม่อมฉันทั้งสองถูกปีศาจนำไป ไฉนพระบิดาจึงทรง
นิ่งดูดายเสียเล่าหนอ เพคะ.

พระราชาตรัสว่า
[1226] มารดาของเจ้าทั้งสองเป็นพระราชบุตร
และบิดาของเจ้าทั้งสองเป็นพระราชบุตร แต่ก่อนเจ้า
ทั้งสองเคยขึ้นตักของปู่ บัดนี้เหตุไรจึงยืนอยู่ห่างไกล
เล่าหนอ.

พระกุมารทูลว่า
[1227] พระมารดาของเกล้ากระหม่อมทั้งสอง
เป็นพระราชบุตร และพระบิดาของเกล้ากระหม่อม
ทั้งสองเป็นพระราชบุตร แต่บัดนี้เกล้ากระหม่อมทั้ง
สองเป็นทาสของพราหมณ์ เพราะฉะนั้น เกล้ากระ-
หม่อมทั้งสองจึงยืนอยู่ห่างไกล พระเจ้าข้า.

พระราชาตรัสว่า
[1228] หลานทั้งสองอย่าได้ชอบกล่าวอย่าง
นั้นเลย หทัยของปู่กำลังเร่าร้อน ปู่กายของเหมือน

ดังถูกยกขึ้นไว้บนจิตกาธาร หลานรักทั้งสองยังความ
เศร้าโศกให้แก่ปู่ยิ่งนัก ปู่จักไถ่หลานทั้งสองด้วย
ทรัพย์ หลานทั้งสองจักไม่ต้องเป็นทาส ดูก่อนพ่อ
ชาลี บิดาของเจ้าทั้งสองได้ตีราคาเจ้าทั้งสองไว้เท่าไร
ให้แก่พราหมณ์หลานทั้งสองจงบอกแก่ปู่ตามจริงเถิด
พนักงานทั้งหลายจงให้พราหมณ์รับเอาทรัพย์ไปเถิด.

พระกุมารตรัสว่า
[1229] ข้าแต่สมเด็จพระอัยกา พระบิดาทรง
ตีราคาเกล้ากระหม่อมฉันมีค่าทองคำพันแท่ง ทรงตี
ราคาพระน้องกัณหาชินาผู้มีพระพักตร์อันผ่องใส ด้วย
สัตว์พาหนะมีช้างเป็นต้นอย่างละร้อย ๆ แล้วได้พระ-
ราชทานแก่พราหมณ์.

พระราชาตรัสว่า
[1230] เหวยพนักงาน เองจงลุกขึ้นไปนำทาส
ทาส ช้าง โค และ โคอุสภราช อย่างละร้อย ๆ กับ
ทองคำพันแท่ง เอามาให้แก่พราหมณ์เป็นค่าไถ่พระ-
หลานรักทั้งสอง.

พระศาสดาตรัสว่า
[1231] ลำดับนั้น พนักงานรีบไปนำทาส ทาสี
ช้าง โค และ โคอุสภราช อย่างละร้อย ๆ กับทองคำ
พนักแท่งเอามาให้แก่พราหมณ์ เป็นค่าไถ่สองพระ-
กุมาร.

[1232] พนักงานได้ให้ทาส ทาสี ช้าง โค
และโคอุสภราช แม่ม้าอัศดร รถ และเครื่องใช้สอย
ทุกอย่าง ๆ ละร้อย ๆ กับทองคำพันแท่ง แก่พราหมณ์
แสวงหาทรัพย์ ผู้ขอเกินประมาณ หยาบช้า เป็น
ค่าไถ่พระกุมารทั้งสอง.

[1233] กษัตริย์ทั้งสอง คือ พระเจ้าสญชัย
และพระราชเทวี ทรงไถ่พระกุมารทั้งสองแล้ว รับสั่ง
ให้พนักงานสรงสนานและให้พระกุมารทั้งสองเสวย
เสร็จแล้ว ทรงประดับประดาด้วยอาภรณ์ทั้งหลาย
แล้วทรงอุ้มขึ้นให้ประทับบนพระเพลา พระกุมารทั้ง
สองทรงสรงสนานพระเศียรแล้วทรงพระภูษาอัน
สะอาด ประดับด้วยสรรพาภรณ์ พระราชาภูษาพระอัน
ทรงอุ้มพระชาลีขึ้นประทับบนพระเพลา แล้วตรัสถาม
พระกุมารทั้งสอง ทรงประดับกุณฑลอันมีเสียงดังก้อง
น่าเพลินใจ ทรงประดับพวงมาลัยและสรรพาลังการ
แล้ว พระราชาครั้นทรงอุ้มพระชาลีขึ้นประทับบน
พระเพลา แล้วได้ตรัสถามว่า ดูก่อนพ่อชาลี พระ
ชนกชนนีทั้งสองของหลานรัก ไม่มีโรคดอกหรือ
แสวงหาผลาหารเลี้ยงพระชนมชีพสะดวกหรือ มูล
ผลาหารมีมากหรือ เหลือบ ยุงและสัตว์เสือกคลานมี
น้อยหรือ ในป่าอันเกลือนกล่นไปด้วยสัตว์ร้าย ไม่
มีมาเบียดเบียนหรือ.

พระชาลีกุมาร ทูลว่า
[1234] ขอเดชะ พระชนกชนนีของเกล้า
กระหม่อมทั้งสองพระองค์นั้นไม่มีโรค อนึ่ง ทรง
แสวงหามูลผลาหารเลี้ยงพระชนมชีพได้สะดวก มูล
ผลาหารมีมาก เหลือบ ยุง และสัตว์เสือกคลานก็มี
น้อย ในป่าอันเกลื่อนกล่นไปด้วยสัตว์ร้าย ไม่มีมา
เบียดเบียนพระชนกชนนีทั้งสอง พระชนนีของเกล้า
กระหม่อมฉัน ทรงขุดรากบัว เหง้าบัว มันอ่อน ทรง
สอยผลพุทรา ผลรกฟ้า มะตูม นำมาเลี้ยงพระชนก
และเกล้ากระหม่อมฉันทั้งสอง พระชนนีทรงนำเอา
เหง้าไม้และผลไม้ใด ๆ มาจากป่า พระชนกและเกล้า
กระหม่อมฉันทั้งสองมารวมพร้อมกันเสวยเหง้าไม้และ
ผลไม้นั้น ๆ ในเวลากลางคืน ไม่ได้เสวยในเวลากลาง
วันเลย พระชนนีของเกล้ากระหม่อมทั้งสองผู้เป็น
สุขุมาลชาติ ต้องเที่ยวแสวงหาผลไม้ มีพระฉวีวรรณ
ผอมเหลือง เพราะลมและแดด เหมือนดอกปทุมอัน
ถูกขยำด้วยมือ ฉะนั้น เมื่อพระชนนีเสด็จเที่ยวไปใน
ป่าใหญ่ ซึ่งเป็นป่าอันเกลื่อนกล่นไปด้วยสัตว์ร้าย เป็น
ที่อาศัยแห่งแรดและเสือเหลือง พระเกสาของพระองค์
อันมีสีดังปีกแมลงภู่ ถูกกิ่งไม้เป็นต้นเกี่ยวให้กระจุย
กระจาย พระชนนีทรงขมวดมุ่นพระเมาลี ทรงไว้ซึ่ง
เหงื่อไคลที่พระกัจฉะประเทศ (ทรงเพศเป็นดาบสินี

อันประเสริฐ ทรงถือไม้ขอทรงเครื่องบูชาไฟ และ
มุ่นพระเมาลี) ทรงพระภูษาหนึ่งสัตว์ บรรทมเหนือ
ปฐพี ทรงบูชาไฟ.
[1235] บุตรทั้งหลายเกิดขึ้นมาแล้ว ย่อมเป็น
ที่รักของมนุษย์ในโลก พระอัยกาของเราไม่ทรงเกิด
พระสิเนหาในพระโอรสเสียเลยเป็นแน่.

พระเจ้าสญชัยตรัสว่า
[1236] ดูก่อนพระหลานน้อย จริงทีเดียว
การที่ปู่ขับไล่พระบิดาของเจ้าผู้ไม่มีโทษ เพราะถ้อยคำ
ของชาวสีพีทั้งหลายนั้น ชื่อว่าปู่ได้กระทำกรรมอัน
ชั่วช้า และชื่อว่าทำกรรมเครื่องทำลายความเจริญ สิ่ง
ใด ๆ ของปู่มีอยู่ในนครนี้ก็ดี ทรัพย์และธัญชาติที่มี
อยู่ก็ดี ปู่ขอยกให้แก่พระธิดาของเจ้าทั้งสิ้น ขอให้
เวสสันดรจงมาเป็นพระราชาปกครองในสีพีรัฐเถิด.

พระชาลีกุมารทูลว่า
[1237] ขอเดชะ สมเด็จพระชนกของเกล้า
กระหม่อมฉัน คงจักไม่เสด็จมาเป็นพระราชาของชาว
สีพี เพราะถ้อยคำของเกล้ากระหม่อมฉัน ขอให้
สมเด็จพระอัยกาเสด็จไป ทรงอภิเษกพระบิดาของ
เกล้ากระหม่อมฉันด้วยราชูปโภคเองเถิดพระเจ้าข้า.

พระศาสดาตรัสว่า
[1238] ลำดับนั้น พระเจ้าสญชัยได้ดำรัสสั่ง
เสนาบดีว่า กองทัพ คือ พลช้าง พลม้า พลรถ

พลเดินเท้า จงผูกสอดอาวุธ (จงเตรียมให้พร้อมสรรพ)
ชาวนิคม พราหมณ์และปุโรหิตทั้งหลาย จงตามเราไป
ถัดจากนั้น พวกโยธีหกหมื่นผู้สง่างาม พร้อมสรรพ
ด้วยเครื่องอาวุธยุทธภัณฑ์ ประดับด้วยผ้าสีต่าง ๆ กัน
จงตามมาเร็วพลัน พวกโยธีผู้พร้อมสรรพด้วยเครื่อง
อาวุธยุทธภัณฑ์ ประดับด้วยผ้าสีต่าง ๆ กัน คือ พวก
หนึ่งแต่งผ้าสีเขียว พวกหนึ่งแต่งผ้าสีเหลือง พวก
หนึ่งแต่งผ้าสีแดง พวกหนึ่งแต่งผ้าสีขาว จงตามมา
เร็วพลัน ภูเขาคันธมาทน์อันมีในป่าหิมพานต์ สะพรั่ง
ไปด้วยคันธชาติดารดาษด้วยพฤกษานานาชนิด เป็น
ที่อาศัยอยู่แห่งหมู่สัตว์ใหญ่ ๆ และมีต้นไม้เป็นทิพย์
โอสถ ย่อมสว่างไสวและหอมไปทั่วทิศ ฉันใด เหล่า
โยธีทั้งหลาย ผู้พร้อมสรรพด้วยเครื่องอาวุธยุทธภัณฑ์
จงตามมาเร็วพลัน ก็จงรุ่งเรืองและมีเกียรติฟุ้งขจร
ไป ฉันนั้น ถัดจากนั้น จงจัดช้างที่สูงใหญ่หมื่นสี่
พัน มีสายรัดประคนทอง มีเครื่องประดับและเครื่อง
ปกคลุมศีรษะอันขจิตด้วยทอง มีนายควาญช้างถือ
โตมรและขอขึ้นขี่คอประจำเตรียมพร้อมสรรพประดับ
ประดาอย่างสวยงาม จงตามมาเร็วพลัน ถัดจากนั้น
จงจัดม้าสินธพชาติอาชาไนยอันมีเท้าจัดหมื่นสี่พัน
พร้อมด้วยนายควาญม้าประดับประดาด้วยอลังการ ถือ
แส้แลกเกาทัณฑ์ ผูกสอดเครื่องรบขึ้นประจำหลัง จง

ตามมาเร็วพลัน ถัดจากนั้น จงจัดกระบวนรถรบ
หมื่นสี่พัน มีกำกงอันหุ้มด้วยเหล็ก เรือนรถวิจิตรด้วย
ทอง และจงยกธงขึ้นปักบนรถนั้น ๆ พวกนายขมัง
ธนูผู้ยิงได้แม่นยำ เป็นคนคล่องแคล่วในรถทั้งหลาย
จงเตรียมโล่ห์ เกราะและเกาทัณฑ์ไว้ให้เสร็จ พลโยธี
เหล่านี้ จงตระเตรียมให้พร้อมรีบตามมา.

พระเจ้าสญชัยตรัสว่า
[1239] เวสสันดรโอรสของเรา จักเสด็จมา
โดยบรรดาใด ๆ ตามมรรคานั้น ๆ จงให้โปรยข้าวตอก
ดอกไม้ มาลัย ของหอมและเครื่องลูบไล้ และจงให้
ตั้งเครื่องบูชาอันมีค่ารับเสด็จมา ในบ้านหนึ่ง ๆ จงให้ตั้ง
หม้อสุราเมรัยรับไว้ บ้านละร้อย ๆ รายไปตามมรรคา
ที่เวสสันดรโอรสของเราจักเสด็จมา จงให้ตั้งมังสาหาร
และขนม เช่นขนมแดกงา ขนมกุมมาสอันปรุงด้วย
เนื้อปลา รายไปตามมรรคาที่เวสสันดรโอรสของเรา
จักเสด็จมา จงให้ตั้งเนยใส น้ำมัน นมส้ม นมสด
ขนมที่ทำด้วยข้าวฟ่าง และสุราเป็นอันมาก รายไป
ตามมรรคาที่เวสสันดรโอรสของเราจักเสด็จมา ให้มี
พนักงานวิเศษทั้งครัวหวานและครัวคาว จัดตั้งไว้เลี้ยง
ประชาชนทั่วไป ให้มีมหรสพฟ้อนรำขับร้องทุก ๆ อย่าง
เพลงปรบมือ กลองยาว ช่างขับเสภาอันบรรเทาความ
เศร้าโศก พวกโหรีจงเล่นดนตรีดีดพิณพร้อมทั้งกลอง

น้อยกลองใหญ่ เป่าสังข์ ตีกลองหน้าเดียว ตะโพน
บัณเฑาะว์ สังข์ จะเข้ กลองใหญ่ กลองเล็ก ราย
ไปตามมรรคาที่เวสสันดรโอรสของเราจักเสด็จมา.

พระศาสดาตรัสว่า
[1240] กองทัพของสีพีรัฐเป็นกองทัพใหญ่
อันจัดเป็นกระบวนตั้งไว้เสร็จแล้วนั้น มีพระชาลี
ราชกุมารเป็นผู้นำทาง ได้ยาตราไปยังเขาวงกต ช้าง
กุญชรตัวประเสริฐมีอายุ 60 ปี มีสายรัดประคนทอง
ผูกตกแต่งไว้ บันลือก้องโกญจนาทกระหึ่มอยู่ เหล่า
ม้าอาชาไนยย่อมแผดเสียงดังสนั่น เสียงกงรถดังกึก
ก้องธุลีละอองฟุ้งตระหลบนภากาศ กองทัพของสีพีรัฐ
อันจัดเป็นกระบวนยาตราไปเป็นกองทัพใหญ่ สามารถ
จะทำลายล้างราชดัสกรได้ มีพระชาลีราชกุมารเป็นผู้
นำทาง ได้ยาตราไปยังเขาวงกต พระเจ้าสญชัยพร้อม
ด้วยราชบริพารเหล่านั้นเสด็จเข้าป่าใหญ่ ซึ่งมีต้นไม้
มีกิ่งก้านมาก มีน้ำมาก ดารดาษไปด้วยไม้ดอก และ
ไม้ผลทั้งสองอย่างในป่าใหญ่นั้น ฝูงวิหคเป็นอันมาก
หลาก ๆ สี มีเสียงกลมกล่อมหวานไพเราะเกาะอยู่บน
ต้นไม้อันเผล็ดดอกตามฤดูกาล ร้องประสานเสียง
เสียงระเบงเป็นคู่ ๆ พระเจ้าสญชัยพร้อมทั้งราชบริพาร
เหล่านั้น เสด็จไปสิ้นระยะทางไกลล่วงหลายวันหลาย
คืน จึงบรรลุถึงประเทศที่พระเวสสันดรประทับอยู่.

จบมหาราชบรรพ

พระศาสดาตรัสว่า
[1241] พระเวสสันดรได้ทรงสดับเสียงกึกก้อง
แห่งกองพลเหล่านั้นก็ตกพระทัยกลัวเสด็จขึ้นภูเขา
ทรงหวาดกลัวทอดพระเนตรดูกองพลเสนา ตรัสว่า
ดูก่อนมัทรี เชิญมาดูซิ เสียงอันกึกก้องเช่นใดในป่า
ม้าอาชาไนยส่งเสียงร้องกึกก้อง เห็นปลายธงปลิวไสว
นายพรานไพรทั้งหลายขึงข่ายล้อมฝูงเนื้อในป่า ไล่
ต้อนให้ตกลงในหลุม แล้วไล่ทิ่มแทงด้วยหอก เลือก
เอาแต่ตัวพี ๆ ฉันใด เราทั้งสองก็ฉันนั้น เป็นผู้ไม่มี
โทษผิด ถูกขับไล่จากแว่นแคว้นมาอยู่ในป่า ย่อมเป็น
ผู้ต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกอมิตรเป็นแน่ ดูเอา
เถิดซึ่งบุคคลผู้ประหารคนไม่มีกำลัง.

พระนางมัทรีทูลว่า
[1242] พวกอมิตรไม่พึงย่ำยีพระองค์ เปรียบ
เหมือนไฟในห้วงน้ำ ฉะนั้น ขอพระองค์จงระลึกถึง
ข้อนั้นแหละ แต่นี้ไปจะพึงมีแต่ความสวัสดีโดยแท้.
[1243] ลำดับนั้น พระเวสสันดรราชเสด็จลง
จากภูเขาแล้วประทับนั่งในบรรณศาลา ทรงทำพระ-
มนัสให้มั่นคง.

พระศาสดาตรัสว่า
[1244] พระบิดาดำรัสสั่งให้กลับรถ ให้ประ-
เทียบกระบวนทัพไว้ แล้วเสด็จเข้าไปทาพระราชโอรส

ผู้ประทับอยู่ในป่าเดียวดายเสด็จลงจากคอช้างพระที่
นั่งต้น ทรงเฉวียงพระอังสาประนมพระหัตถ์ แวด
ล้อมด้วยหมู่อำมาตย์ เสด็จเข้าไป เพื่อทรงอภิเษก
พระราชโอรสทรงเพศบรรพชิต นั่งเข้าฌานอยู่ใน
บรรณศาลาไม่หวั่นไหวแน่วแน่ ไม่มีภัยแต่ไหน.
[1245] พระเวสสันดรและพระนางเจ้ามัทรี
ทอดพระเนตรเห็นพระบิดา ผู้มีความรักในบุตรกำลัง
เสด็จมา ทรงต้อนรับถวายอภิวาท ฝ่ายพระนางเจ้า
มัทรี ทรงซบพระเศียรอภิวาทแทบพระบาทพระสัส-
สุระกราบทูลว่า ข้าแต่พระสมมติเทพเกล้ากระหม่อม
ฉันมัทรีผู้สะใภ้ของพระองค์ พระเจ้าสญชัยทรงสวม
กอดสองกษัตริย์ประทับทรวง ฝ่าพระหัตถ์ลูบพระ-
ปฤษฏางค์อยู่ไปมา อาศรมนั้น.

พระเจ้าสญชัยตรัสว่า
[1246] ดูก่อนพระลูกรัก ลูกทั้งสองไม่มี
โรคาพาธหรือหนอ ลูกทั้งสองสำราญดีหรือ ทั้งมูลมัน
ผลไม้มีมากหรือ เหลือบ ยุงและสัตว์เสือกคลานมีน้อย
แลหรือ ในป่าอันเกลื่อนกล่นไปด้วยพาลมฤค ไม่มี
มาเบียดเบียนแลหรือ.

พระมหาสัตว์ตรัสว่า
[1247] ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ชีวิตของ
ข้าพระบาททั้งสองย่อมเป็นไปตามมีตามได้ ข้าพระบาท

ทั้งสองเป็นอยู่อย่างฝืดเคือง ชีวิตเป็นอยู่ได้ด้วยการ
เที่ยวแสวงหามูลผลาผล ข้าแต่มหาราช นายสารถี
ทรมานม้าให้หมดฤทธิ์ ฉันใด ข้าพระบาททั้งสองย่อม
เป็นผู้ถูกทรมานให้หมดฤทธิ์ ฉันนั้น ความสิ้นฤทธิ์
ย่อมทรมานข้าพระบาททั้งสอง ข้าแต่พระมหาราช
เมื่อข้าพระบาททั้งสองผู้ถูกเนรเทศโศกเศร้าอยู่ในป่า
เนืองนิตย์ เนื้อหนังก็ซูบซีด เพราะมิได้เห็นพระชนก
ชนนี.
[1248] ทายาทผู้มีมโนรถยังไม่สำเร็จของฝ่า
พระบาทผู้จอมสีพีรัฐ คือชาลีและกัณหาชินา ทั้งสอง
ตกอยู่ในอำนาจของพราหมณ์ผู้มุทะลุหยาบช้า มัน
ต้อนตีเอาชาลีกัณหาชินาทั้งสองนั้นเหมือนดังโค ถ้า
พระองค์ทรงทราบหรือทรงได้สดับข่าวลูกทั้งสองของ
พระราชบุตรีนั้น ขอได้ทรงพระกรุณาตรัสบอกแก่
ข้าพระบาทโดยเร็วพลัน ดังหมอรีบพยาบาลคนที่ถูก
งูกัดฉะนั้นเถิด.

พระเจ้าสญชัยตรัสว่า
[1249] กุมารทั้งสองนั้น คือ ชาลีและกัณหา
ชินา พ่อได้ให้ทรัพย์แก่พราหมณ์ไถ่มาแล้ว ดูก่อน
ลูกรัก อย่ากลัวไปเลย จงเบาใจเถิด.

พระมหาสัตว์ตรัสว่า
[1250] ข้าแต่สมเด็จพระบิดา ฝ่าพระบาทไม่
มีโรคาพาธหรือหนอ ทรงพระสำราญดีหรือ พระจักษุ

แห่งพระชนนีของข้าพระบาทยังไม่เสื่อมเสียแหละ
หรือ.

พระเจ้าสญชัยตรัสว่า
[1251] ดูก่อนลูกรัก พ่อไม่มีโรคาพาธ และ
สบายดี อนึ่ง จักษุแห่งมารดาของเจ้าก็ไม่เสื่อมเสีย.

พระมหาสัตว์ตรัสว่า
[1252] ยวดยานของฝ่าพระบาทไม่ทรุดโทรม
หรือ พลพาหนะยังใช้ได้คล่องแคล่วหรือ ชนบท
เจริญดีอยู่หรือ ฝนไม่แล้งหรือพระเจ้าข้า.

พระเจ้าสญชัยตรัสว่า
[1253] ยวดยานของเราไม่ทรุดโทรม พล-
พาหนะยังใช้ได้คล่องแคล่ว ชนบทเจริญดี และฝนก็
ไม่แล้ง.

พระศาสดาตรัสว่า
[1254] เมื่อสามกษัตริย์ทรงสนทนากันอยู่
อย่างนี้ พระมารดาผู้เป็นราชบุตรี ไม่ทรงฉลอง
พระบาท เสด็จดำเนินไปปรากฏที่ปากทวารเขา ก็
พระเวสสันดรและพระมัทรี ทอดพระเนตรเห็น
พระมารดาผู้มีความรักในบุตรกำลังเสด็จมา ทรงต้อน
รับถวายอภิวาท ฝ่ายพระนางเจ้ามัทรี ทรงซบเศียร
เกล้าอภิวาทแทบพระบาทพระสัสสุ กราบทูลว่า ข้าแต่
พระแม่เจ้า เกล้ากระหม่อมฉันมัทรีผู้สะใภ้ ขอถวาย
บังคมพระยุคลบาทของพระแม่เจ้า.

[1255] ก็พระโอรสทั้งสองผู้เสด็จมาโดยสวัสดี
แต่ที่ไกล ทอดพระเนตรเห็นพระนางเจ้ามัทรี ก็คร่ำ
ครวญวิ่งเข้าไปหา ดังหนึ่งลูกโคน้อยวิ่งเข้าไปหาแม่
ฉะนั้น ส่วนพระนางเจ้ามัทรีพอทอดพระเนตรเห็น
พระโอรสทั้งสองผู้เสด็จมาโดยสวัสดี แต่ที่ไกล ทรง
สั่นระรัวไปทั่วพระกาย เหมือนแม่มดผีสิง ฉะนั้น
น้ำมันก็ไหลออกจากพระถันทั้งคู่.
[1256] เมื่อพระญาติทั้งหลายมาพร้อมกันแล้ว
ขณะนั้นได้เกิดเสียงสนั่นกึกก้อง ภูเขาทั้งหลายสั่น
สะท้าน แผ่นดินไหวสะเทือน ฝนตกลงเป็นท่อธาร
ครั้งนั้น พระเวสสันดรราชได้สมาคมร่วมด้วยพระญาติ
คือ พระราชา พระเทวี พระโอรส พระสุณิสาและ
พระราชนัดดาทั้งสองพระองค์ พระญาติทั้งหลายมา
ประชุมพรักพร้อมกันแล้ว ณ กาลใด. ในกาลนั้นได้
เกิดความอัศจรรย์น่าขนพองสยองเกล้า ประชาราษฎร์
ทั้งปวงพร้อมใจกันประนมมืออัญชลี ถวายบังคมพระ-
มหาสัตว์คร่ำครวญวิงวอนพระเวสสันดรและพระนาง
เจ้ามัทรี ในป่าอันน่าหวาดกลัวว่า พระองค์เป็นพระ-
ราชาผู้เป็นใหญ่แห่งข้าพระบาททั้งหลาย ขอทั้งสอง
พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดรับเสวยราชสมบัติเป็น
พระราชาแห่งข้าพระบาททั้งหลายเทอญ.

จบฉขัตติยบรรพ

พระมหาสัตว์ตรัสว่า
[1257] ฝ่าพระบาท ชาวชนบทและชาวนิคม
พร้อมใจกันเนรเทศข้าพระบาทผู้ครองราชสมบัติโดย
ทศพิธราชธรรม จากแว่นแคว้น.

พระเจ้าสญชัยตรัสว่า
[1258] ดูก่อนพระลูกรัก จริงที่เดียว การที่
พ่อให้ขับไล่ลูกผู้ไม่มีโทษผิดออกไปจากแว่นแคว้น
เพราะถ้อยคำของชาวสีพีนั้น ชื่อว่าพ่อได้ทำกรรมอัน
ชั่วช้า และชื่อว่าพ่อได้ทำกรรมเครื่องทำลายความ
เจริญ.

พระศาสดาตรัสว่า
[1259] ขึ้นชื่อว่าบุตร ควรช่วยปลดเปลื้อง
ความทุกข์ของมารดาบิดา และ พี่น้องที่เกิดขึ้นเพราะ
เหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้ด้วยชีวิตของตน (ข้าแต่
พระมหาราช เวลานี้เป็นเวลาสมควรที่จะสรงสนาน
ขอเชิญทรงชำระพระสรีระมลทินเถิด พระเจ้าข้า).

[1260] ลำดับนั้น พระเวสสันดรบรมกษัตริย์
ทรงชำระพระสรีระมลทิน ครั้นแล้วไม่ทรงเพศดาบส.

[1261] พระเวสสันดรบรมกษัตริย์ สระพระ-
เกศาแล้ว ทรงเสวตพัสตร์อันสะอาด ทรงประดับด้วย
เครื่องราชปิลันธนาภรณ์ทุกอย่าง ทรงสอดพระแสง
ขรรค์อันทำให้ราชปัจจามิตรเกรงขามเสด็จขึ้นทรง

พระยาปัจจยนาคเป็นพระคชาธาร ครั้งนั้นเหล่าสหชาติ
โยธาหาญทั้งหกหมื่นสวมสอดสรรพาวุธและประดับ
สรรพาภรณ์ล้วนด้วยทอง เป็นสง่างามน่าดู ต่างชื่นชม
ยินดี แวดล้อมพระมหากษัตริย์ผู้เป็นจอมทัพ ลำดับ
นั้น เหล่าพระสนมกำนัลของพระเจ้าสีพีมาประชุม
พร้อมกัน เชิญพระมัทรีให้โสรจสรงด้วยสุคนธวารี
แล้วทูลถวายพระพรว่า ขอพระเวสสันดรจงทรงอภิ-
บาลรักษาพระแม่เจ้า ขอพระชาลีและพระกัณหาชินา
ทั้งสองพระองค์จงทรงบำรุงรักษาพระแม่เจ้าต่อไป
อนึ่ง ขอพระเจ้าสญชัยมหาราช จงทรงคุ้มครองรักษา
พระแม่เจ้ายิ่งขึ้นไป เทอญ.
[1262] ก็พระเวสสันดรบรมกษัตริย์และพระ-
มัทรี กลับมาได้ดำรงในสิริราชสมบัตินี้ตามเดิมแล้ว
ทรงระลึกถึงความลำบากขณะที่เสด็จไปประทับอยู่ใน
ป่าในกาลก่อน จึงรับสั่งให้นำกลองนันทภรีไปตีประ-
กาศที่เวิ้งว้างหว่างเขาวงกต อันเป็นรัมณียสถาน ก็
พระเวสสันดรบรมกษัตริย์และพระมัทรี กลับมาได้
ดำรงในสิริราชสมบัตินี้ตามเดิมแล้ว พระมัทรีผู้สม-
บูรณ์ด้วยลักขณา ทรงระลึกถึงความลำบากขณะที่
เสด็จไปประทับอยู่ในป่าในกาลล่อน ครั้นได้ทรง
ประสบพระโอรสพระธิดาก็มีพระทัยปราโมทย์ เกิด
โสมนัส ก็พระเวสสันดรบรมกษัตริย์และพระมัทรีผู้มี

ลักขณา กลับได้ดำรงในสิริราชสมบัติตามเดิมแล้ว
ทรงระลึกถึงความลำบากขณะที่เสด็จไปประทับอยู่ใน
ป่าในกาลก่อน และได้มาอยู่ร่วมกับพระโอรสและ
พระธิดา จึงมีพระหฤทัยชื่นชมยินดีปีติโสมนัส.

พระนางมัทรีตรัสว่า
[1263] ดูก่อนลูกรักทั้งสอง ในกาลก่อน คือ
เมื่อพราหมณ์นำลูกทั้งสองไป แม่มีความปรารถนาลูก
ทั้งสอง แม่จึงได้บำเพ็ญวัตรนี้ คือ แม่บริโภคอาหาร
วันละครั้ง นอนเหนือพื้นแผ่นดินเป็นนิตย์ วัตรของ
แม่นั้นสำเร็จแล้วในวันนี้ เพราะได้พบพระลูกทั้งสอง
แล้ว ดูก่อนลูกรักทั้งสอง ขอความโสมนัสอันเกิดจาก
แม่และแม้ที่เกิดจากพระบิดา จงคุ้มครองลูก อนึ่งเล่า
ขอพระเจ้าสญชัยมหาราช จงทรงอภิบาลรักษาลูก
บุญกุศลอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่แม่ก็ดี พระบิดาของลูก
ก็ดี กระทำแล้วมีอยู่ ด้วยบุญกุศลทั้งหมดนั้น ขอให้
ลูกจงเป็นผู้ไม่แก่ไม่ตาย.
[1264] พระนางมัทรีจะทรงงดงามด้วยพระ-
ภูษาอย่างใด สมเด็จพระผุสดีสัสสุราชเทวีก็ทรงจัด
พระภูษาอย่างนั้น คือ พระภูษากัปปาสิกพัสตร์ โกสัย
พัสตร์ โขมพัสตร์ และโกทุมพรพัสตร์ ส่งไปประทาน
แก่พระมัทรีราชสุณิสา พระนางมัทรีจะทรงงดงามด้วย
เครื่องประดับอย่างใด พระสัสสุผุสดีราชเทว ก็ทรง
จัดเครื่องประดับอย่างนั้น คือ พระธำมรงค์สุวรรณ

รัตน์สร้อยพระศอนพรัตน์ ส่งไปประทานแก่พระมัทรี
ราชสุณิสา พระนางมัทรีจะทรงงดงามด้วยเครื่องประ
ดับอย่างใด พระผุสดีสัสสุราชเทวีก็ทรงจัดเครื่อง
ประดับอย่างนั้น คือ พระวลัยสำหรับประดับต้นพระ
พาหา พระกุณฑลสำหรับประดับพระกรรณ สายรัด
พระองค์ฝังแก้วมณีตาบเพชร ไปประทานแก่พระมัทรี
ราชสุณิสา พระนางมัทรีจะทรงงดงามด้วยเครื่องประ
ดับอย่างใด พระผุสดีสัสสุราชเทวีก็ทรงจัดเครื่อง
ประดับอย่างนั้น คือ ดอกไม้กรองเครื่องประดับ
พระเมาฬี เครื่องประดับพระนลาตและเครื่องประดับ
ฝังแก้วมณีสีต่างๆ กัน ไปประทานแก่พระมัทรีราช-
สุณิสา พระนางมัทรีจะทรงงดงามด้วยเครื่องประดับ
อย่างใด พระผุสดีสัสสุราชเทวี ก็ทรงจัดเครื่องประดับ
อย่างนั้น คือ เครื่องประดับพระกัน เครื่องประดับ
พระอังสา สะอิ้งเพชร ฉลองพระบาทส่งไปประทาน
แก่พระมัทรีราชสุณิสา เครื่องประดับที่สมเด็จพระนาง
ผุสดีส่งไปประทานนั้นมีทั้งที่ต้องร้อยด้วยเชือก ทั้งที
ไม่ต้องร้อยด้วยเชือก สมเด็จพระผุสดีทรงตรวจดู
เครื่องประดับพระนางมัทรี ทรงเห็นที่ใดยังบกพร่อง
ก็รับสั่งให้นำมาประดับเพิ่มเติมจนเต็ม พระนางมัทรี
ราชบุตรีทรงงดงามยิ่งนัก ดังนางเทพกัญญาในนันทน-
วัน พระนางมัทรีราชบุตรีสระพระเกศาแล้วทรง

เศวตพัสตร์ ประดับด้วยอาภรณ์ทั้งปวง ทรงงดงาม
ยิ่งนัก ดังนางเทพอัปสรในดาวดึงส์ วันนั้น พระ-
นางมัทรีราชบุตรีทรงงดงามน่าพิศวง ดังต้นกล้วยอัน
เกิดในสวนจิตตลดา ถูกลมรำเพยพัดไหวไปมา ฉะนั้น
พระนางมัทรีราชบุตรี ทรงมีไรพระทนต์แดงดังผล
ตำลึงสุกงามยิ่งนัก มีพระโอษฐ์แดงดังผลไทรสุก งด
งามยิ่งนัก ปานดังกินรีมีขนปีกงามวิจิตร บินร่อนอยู่
ในอากาศ ฉะนั้น.
[1265] เหล่าพนักงานตกแต่งดรุณหัตถี มีวัย
ปานกลาง อันเป็นช้างพระที่นั่งต้นตัวประเสริฐอดทน
ต่อหอกซัดและลูกศร มีงางอนงามดังอนรถ มีกำลัง
กล้าหาญ เสร็จแล้วให้นำมาประเทียบเกยคอยรับเสด็จ
สมเด็จพระนางมัทรีเสด็จขึ้นประทับบนหลังดรุณหัตถี
อันมีวัยปานกลาง เป็นช่างพระที่นั่งต้นตัวประเสริฐ
อดทนต่อหอกซัดและลูกศร มีงางอนงามดังงอนรถมี
กำลังกล้าหาญ.
[1266] เนื้อประมาณเท่าใดที่มีอยู่ในป่าทั้งปวง
ณ เขาวงกตนั้น เนื้อประมาณเท่านั้น ไม่เบียดเบียน
กันและกันด้วยเดชของพระเวสสันดร นกประมาณ
เท่าใดที่มีอยู่ในป่าทั้งปวง ณ เขาวงกตนั้น นกประมาณ
เท่านั้นไม่เบียดเบียนกันและกันด้วยเดชของพระเวส-
สันดร เนื้อประมาณเท่าใดที่มีอยู่ในป่าทั้งปวง ณ เขา
วงกตนั้น มาประชุมในที่เดียวกัน ในเมื่อพระเวส-
สันดรผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญจะเสด็จกกลับ เนื้อประมาณ

เท่าใด ที่มีอยู่ในป่าทั้งปวง ณ เขาวงกตนั้น เนื้อประ
มาณเท่านั้นต่างพากันมีทุกข์ เพราะจะต้องพลัดพราก
จากพระเวสสันดรมิได้ส่งเสียงร้องอันไพเราะ เหมือน
กาลก่อนในเมื่อพระเวสสันดรผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญจะ
เสด็จกลับ นกประมาณเท่าใด ที่มีอยู่ในป่าทั้งปวง ณ
เขาวงกตนั้น นกประมาณเท่านั้น ต่างพากันมีทุกข์
เพราะจะต้อพลัดพรากจากพระเวสสันดรมิได้ส่งเสียง
ร้อง อันไพเราะเหมือนในกาลก่อน ในเมื่อพระเวส-
สันดรผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญจะเสด็จกลับ.
[1267] ราชวิถีที่จะเสด็จพระราชดำเนินนั้น
ประชาราษฎร์ช่วยกันตกแต่งราบรื่น งานวิจิตร ลาด
ด้วยดอกไม้ ตั้งแต่เขาวงกตที่พระเวสสันดรราชประทับ
อยู่ ตราบเท่าถึงพระนครเชตุดร ลำดับนั้น เหล่า
อำมาตย์สหชาติโยธาหาญทั้งหกหมื่น แต่งเครื่องพร้อม
สรรพงามสง่าน่าดู พากันตามเสด็จแวดล้อมโดยรอบ
ในเมื่อพระเวสสันดรผดุงสีพีรัฐให้เจริญเสด็จกลับ
พระนคร พระสนมกำนัลใน พระกุมารที่เป็นพระ-
ประยูรญาติและบุตรอำมาตย์ พวกพ่อค้าและพราหมณ์
ทั้งหลาย พากันตามเสด็จแวดล้อมโดยรอบ ในเมื่อ
พระเวสสันดรผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญเสด็จกลับพระนคร
กองพลช้าง ลงพลม้า กองพลรถ กองพลเดินเท้า
พากันตามเสด็จแวดล้อมโดยรอบ ในเมื่อพระเวสสัน-
ดรผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญ เสด็จกลับพระนครชาวชนบท
และชาวนิคม พร้อมใจกันมาประชุมแวดล้อมอยู่โดย

รอบ ในเมื่อพระเวสสันดรผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญเสด็จ
กลับพระนคร เหล่าโยธาสวมหมวกแดง สวมเกราะ
หนัง ถือธนู ถือโล่ห์ดั้ง เดินนำหน้า ในเมื่อพระ-
เวสสันดรผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญเสด็จกลับพระนคร.
[1268] กษัตริย์ทั้งหกพระองค์นั้น เสด็จเข้าสู่
พระนครอันน่ารื่นรมย์ มีป้อมปราการและทวารเป็น
อันมาก บริบูรณ์ด้วยข้าวน้ำบริบูรณ์ด้วยการฟ้อนรำ
ขับร้องทั้งสองอย่าง ชาวชนบทและชาวนิคมต่างชื่น
ชมยินดี มาประชุมพร้อมกัน ในเมื่อพระเวสสันดรผู้
ผดุงสีพีรัฐให้เจริญเสด็จมาถึง เมื่อพระมหาสัตว์ผู้
พระราชทานทรัพย์สมบัติมาถึงแล้ว ชาวชนบทและ
ชาวนิคมต่างเปลื้องผ้าโพกออกโบกสะบัดอยู่ไปมา
พระองค์รับสั่งให้นำกลองนันทเภรีไปตีประกาศใน
พระนคร รับสั่งให้ประกาศการปลดปล่อยสัตว์ทั้ง
หลายจากเครื่องจองจำ.
[1269] ขณะเมื่อพระเวสสันดรผู้ผดุงสีพีรัฐให้
เจริญ เสด็จเข้าพระนครแล้ว ท้าวสักกเทวราชทรง
บันดาลฝนเงินให้ตกลงในขณะนั้น ลำดับนั้นพระ-
เวสสันดรบรมกษัตริย์ผู้มีพระปัญญา ทรงบำเพ็ญทาน
แล้ว ครั้นสวรรคต พระองค์ก็ได้เสด็จเข้าถึงสวรรค์
ฉะนี้แล.

จบนครกัณฑ์
จบมหาเวสสันตรชาดกที่ 10
จบมหานิบาตชาดก

อรรถกถามหานิบาตชาดก


เวสสันตรชาดก


ทศพรคาถา


พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ นิโครธาราม อาศัยกรุงกบิลพัสดุ์
ราชธานี ทรงปรารภฝนโบกขรพรรษตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า ผุสฺสตี
วรวณฺณาเภ
ดังนี้เป็นต้น.
ความพิสดารว่า พระศาสดาทรงยังธรรมจักรอันบวรให้เป็นไปแล้ว
เสด็จสู่กรุงราชคฤห์โดยลำดับ ประทับอยู่ ณ กรุงราชคฤห์นั้นตลอดเหมันตฤดู
มีพระอุทายีเถระเป็นมัคคุเทศก์ พระขีณาสพ 20,000 แวดล้อม เสด็จจนถึง
กรุงกบิลพัสดุ์ เป็นการเสด็จครั้งแรก ศักยราชทั้งหลายประชุมกันด้วยคิดว่า
พวกเราจักได้เห็นสิทธัตถกุมารนี้ผู้เป็นพระญาติอันประเสริฐของพวกเรา เลือก
หาสถานที่เป็นที่ประทับของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็กำหนดกันว่า ราชอุทยาน
ของนิโครธศักยราชน่ารื่นรมย์ จึงทำวิธีปฏิบัติจัดแจงทุกอย่างในนิโครธาราม
นั้น ถือของหอมดอกไม้และจุรณเป็นต้นรับเสด็จ ส่งทารกทาริกาชาวเมืองที่
ยังหนุ่ม ๆ ประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวงไปก่อน แต่นั้นจึงส่งราชกุมารีไป
เสด็จไปเองในระหว่างราชกุมารราชกุมารีเหล่านั้น บูชาพระศาสดาด้วยดอกไม้
ของหอมและจุรณเป็นต้น พาเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าไปสู่นิโครธารามนั่นแล
พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระขีณาสพ 20,000 แวดล้อม ประทับนั่ง ณ บวรพุทธ-
อาสน์ที่ปูลาดไว้ในนิโครธารามนั้น กาลนั้นเจ้าศากยะทั้งหลายเป็นชาติถือตัว
กระด้างเพราะถือตัวคิดกันว่า สิทธัตถกุมารนี้เด็กกว่าพวกเรา เป็นน้องเป็น