เมนู

อรรถกถามหานิบาตชาดก


ภูริทัตชาดก


พระศาสดา เมื่อทรงอาศัยกรุงสาวัตถี ประทับอยู่ในพระเชตวันมหา-
วิหาร ทรงปรารภอุบาสกทั้งหลาย แล้วตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้น
ว่า ยํกิญฺจิ รตนมตฺถิ ดังนี้.
ได้ยินว่า ในวันอุโบสถ อุบาสกเหล่านั้นอธิษฐานอุโบสถแต่เช้าตรู่
ถวายทาน. ภายหลังภัตต่างถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น ไปยังพระเชตวัน
นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เพื่อฟังธรรม ก็ในกาลนั้น พระศาสดาเสด็จมายัง
ธรรมสภา ประทับนั่งบนพุทธอาสน์ที่เขาตบแต่งไว้ ตรวจดูภิกษุสงฆ์ ทรง
ทราบว่า ก็บรรดาภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ธรรมกถาตั้งขึ้นปรารภภิกษุ
เหล่าใด พระตถาคตทั้งหลายทรงเจรจาปราศรัยกับภิกษุเหล่านั้น เพราะเหตุนั้น
วันนี้ธรรมกถาที่เกี่ยวกับบุพจริยา ตั้งขึ้นปรารภอุบาสกทั้งหลายดังนี้แล้ว จึง
ทรงเจรจาปราศรัยกับอุบาสกเหล่านั้นแล้วตรัสถามว่า พวกเธอเป็นผู้รักษาอุโบสถ
หรืออุบาสกทั้งหลาย. เมื่ออุบาสกกราบทูลให้ทรงทราบจึงตรัสว่า ดีละ อุบาสก
ทั้งหลาย ก็ข้อที่พวกเธอ เมื่อได้พระพุทธเจ้าผู้เช่นเราเป็นผู้ให้โอวาท พึงกระทำ
อุโบสถ จัดว่าเธอกระทำกรรมอันงามไม่น่าอัศจรรย์เลย. แม้โปราณกบัณฑิต
ผู้ไม่เอื้อเฟื้อละยศใหญ่ กระทำอุโบสถได้เหมือนกัน ดังนี้แล้ว ได้ทรงเป็นผู้นิ่ง
อันภิกษุเหล่านั้นทูลอาราธนาแล้ว จึงทรงนำอดีตนิทานมาว่า
ภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาล ยังมีพระราชาพระองค์หนึ่งทรงพระนาม
ว่า พรหมทัตครองราชสมบัติในกรุงพาราณสี ทรงประทานตำแหน่งอุปราช

แก่พระราชโอรส ทอดพระเนตรเห็นยศใหญ่ของพระราชโอรสนั้น จึงทรงเกิด
ความระแวงขึ้นว่า พระราชโอรสจะพึงยึดแม้ราชสมบัติของเรา จึงรับสั่งให้
เรียกพระราชโอรสนั้นมาแล้วตรัสว่า ดูก่อนพ่อ เธอไม่อาจจะอยู่ในที่นี้ เธอ
จงออกไปจากที่นี้ แล้วไปอยู่ในที่ ๆ เธอชอบใจ โดยล่วงไปแห่งเรา เธอจง
ยึดเอารัชสมบัติอันเป็นของแห่งตระกูล. พระราชโอรสทรงรับพระดำรัสแล้ว
ถวายบังคมพระราชบิดาแล้ว เสด็จออกจากพระนคร เสด็จไปยังแม่น้ำยมุนา
โดยลำดับทีเดียว แล้วให้สร้างบรรณศาลาในระหว่างแม่น้ำยมุนา สมุทรและ
ภูเขา มีรากไม้และผลไม้เป็นอาหารอาศัยอยู่ในที่นั้น. ครั้งนั้น นางนาคมาณวิกา
ผู้ที่สามีตายตนหนึ่งในภพนาค ผู้สถิตย์อยู่ฝั่งสมุทรตรวจดูยศของคนเหล่าอื่นผู้มี
สามี อาศัยกิเลสกระสันขึ้น จึงออกจากภพนาค เที่ยวไปที่ฝั่งสมุทร เห็นรอย
เท้าของพระราชโอรส จึงเดินไปตามรอยเท้า ได้เห็นบรรณศาลานั้น. ครั้งนั้น
พระราชโอรส ได้เสด็จไปสู่ป่าเพื่อต้องการผลไม้. นางเข้าไปยังบรรณศาลา
เห็นเครื่องลาดทำด้วยไม้และบริขารที่เหลือ จึงคิดว่า นี้ชรอยว่าจักเป็นที่อยู่ของ
บรรพชิตรูปหนึ่ง เราจักทดลอง เขาบวชด้วยศรัทธาหรือไม่หนอ ก็ถ้าเขา
จักบวชด้วยศรัทธา จักน้อมไปในเนกขัมมะ เขาจักไม่ยินดีการนอนที่เราตก
แต่งไว้ ถ้าเขาจักยินดียิ่งในกาม จักไม่บวชด้วยศรัทธา ก็จักนอนเฉพาะในที่
นอนที่เราจัดแจงไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจักจับเขากระทำให้เป็นสามีของตน
แล้วจักอยู่ในที่นี้เอง. นางไปสู่ภพนาค นำดอกไม้ทิพย์ และของหอมทิพย์มา
จัดแจงที่นอนอันสำเร็จด้วยดอกไม้ได้นำดอกไม้ไว้ที่บรรณศาลา เกลี่ยจุณของ
หอมประดับบรรณศาลา แล้วไปยังภพนาคตามเดิม. พระราชโอรส เสด็จมา
ในเวลาเย็นเข้าไปยังบรรณศาลา ทรงเห็นความเป็นไปนั้น จึงคิดว่า ใครหนอ
จัดแจงที่นอนนี้ ดังนี้แล้วจึงเสวยผลไม้น้อยใหญ่ คิดว่า น่าอัศจรรย์ ดอกไม้

มีกลิ่นหอม น่าอัศจรรย์ ดอกไม้มีกลิ่นหอม ใครตบแต่งที่นอนให้เป็นที่ชอบใจ
ของเรา เกิดโสมนัสขึ้นด้วยมิได้บวชด้วยศรัทธา จึงนอนพลิกกลับไปกลับมา
บนที่นอนดอกไม้ ก้าวลงสู่ความหลับ. วันรุ่งขึ้นเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นไป ลุกขึ้น
แต่ไม่ได้กวาดบรรณศาลาได้ไปเพื่อต้องการแก่รากไม้และผลไม้น้อยใหญ่ในป่า.
ในขณะนั้น นางนาคมาณวิกามาเห็นดอกไม้เหี่ยวแห้งรู้ว่า ท่านผู้นี้ น้อมใจ
ไปในกาม ไม่ได้บวชด้วยศรัทธา เราอาจจะจับเขาได้ ดังนี้แล้วนำดอกไม้
เก่า ๆ ออกไป นำดอกไม้อื่น ๆ มา จัดแจงที่นอนดอกไม้เหมือนอย่างนั้นนั่น
แล ประดับบรรณศาลาและเกลี่ยดอกไม้ในที่จงกรมแล้วไปยังภพนาคตามเดิม.
แม้ในวันนั้น พระราชโอรสนั้น ก็นอนบนที่นอนดอกไม้ วันรุ่งขึ้นจึงคิดว่า
ใครหนอประดับบรรณศาลานี้. พระองค์ไม่ไปเพื่อต้องการผลไม้น้อยใหญ่ ได้
ยืนอยู่ในที่กำบังไม่ไกลจากบรรณศาลา. ฝ่ายนางนาคมาณวิกา ถือของหอม
และดอกไม้เป็นอันมากมายังอาศรมบท. พระราชโอรส พอเห็นนางนาคมาณวิกา
ผู้ทรงรูปอันเลอโฉม มีจิตปฏิพัทธ์ ไม่แสดงตน เข้าไปยังบรรณศาลาของ
นาง เข้าไปในเวลาจัดแจงดอกไม้แล้วถามว่า เจ้าเป็นใคร ? นางตอบว่า ข้า
แต่นายฉันชื่อว่า นางนาคมาณวิกา. พระราชโอรสตรัสถามว่า เธอมีสามีแล้ว
หรือยัง. นางตอบว่า ข้าแต่นาย เมื่อก่อนฉันมีสามี แต่เดี๋ยวนี้ฉันยังไม่มีสามี
เป็นหม้ายอยู่ ท่านเล่าอยู่ที่ไหน ? พระราชโอรสตอบว่า ฉันชื่อว่าพรหมทัต-
กุมารโอรสของพระเจ้ากรุงพาราณสี ก็ท่านเล่าเพราะเหตุไร จึงละภพนาคเที่ยว
อยู่ในที่นี้. นางตอบว่า ข้าแต่นาย ดิฉันตรวจดูยศของพวกนางนาคมาณวิกาผู้มี.
สามีในที่นั้น อาศัยกิเลสจึงกระสันขึ้น ออกจากภพนาคนั้นเที่ยวแสวงหาสามี.
พระราชโอรสตรัสว่า เพราะเหตุนั้นแล นางผู้เจริญ แม้เราก็ไม่ได้บวชด้วย
ศรัทธา เพราะถูกพระบิดาขับไล่ จึงมาอยู่ในที่นี้ เจ้าอย่าคิดไปเลย เราจักเป็น

สามีของเจ้า แม้คนทั้งสองก็ได้อยู่สมัครสังวาสกันในที่นั้นนั่นเอง. นางสร้าง
ตำหนักมีค่ามากด้วยอานุภาพของตนแล้ว นำบัลลังก์อันควรแก่ค่ามากแล้วตบ
แต่งที่นอน. จำเดิมแต่นั้นมา พระราชโอรสนั้น ไม่ได้เสวยรากไม้และผลไม้
น้อยใหญ่ เสวยแต่ข้าวและน้ำอันเป็นทิพย์เหล่านั้นเลี้ยงชีวิต. ครั้นต่อมาภาย
หลัง นางนาคมาณวิกาตั้งครรภ์ตลอดบุตรเป็นชาย พวกญาติได้ขนานนามท่าน
ว่า สาครพรหมทัต เพราะท่านประสูติที่ฝั่งแม่น้ำสาคร. ในเวลาที่เดินได้
นางนาคมาณวิกาก็คลอดบุตรเป็นหญิง. พวกญาติขนานนามนางว่า สมุททชา
เพราะนางเกิดที่ริมฝั่งสมุทร. ก็แลเมื่อระยะกาลล่วงเลยไป ครั้งนั้นพรานไพร
ชาวกรุงพารา สีคนหนึ่ง ถึงที่นั้นแล้ว ได้กระทำปฏิสันถาร จำพระราชโอรส
ได้อยู่ในที่นั้น 2-3 วันแล้วกล่าวว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์จักบอกความ
ที่พระองค์อยู่ในที่นี้แก่ราชตระกูล ไหว้ท่านแล้วออกจากที่นั้น ได้ไปสู่พระนคร.
ในกาลนั้นพระราชาก็สวรรคต. พวกอำมาตย์ได้ทำพระสรีรกิจแก่ท้าวเธอ แล้ว
ประชุมกันในวันที่ 7 ปรึกษากันว่า ชื่อว่า รัชสมบัติอันไม่มีพระราชา ย่อม
ดำรงอยู่ไม่ได้ พวกเราไม่อยู่ของพระราชโอรส ยังมีชีวิตอยู่ หรือว่าไม่มี
จึงปล่อยผุสสรถยึดเอาพระราชา. ขณะนั้นพรานไพรเข้าไปสู่พระนคร ทราบ
เรื่องนั้นของอำมาตย์เหล่านั้น จึงไปยังสำนักของพวกอำมาตย์แล้วคิดว่า เรา
อยู่ในสำนักของพระราชโอรส 3-4 วันแล้วจึงมา จึงได้บอกเรื่องนั้น. ลำดับนั้น
อำมาตย์ทั้งหลายได้ฟังดังนั้นแล้ว ได้ทำสักการะแก่เขา มีเขาเป็นผู้นำทางไป
ในที่นั้น ได้กระทำปฏิสันถารแล้ว บอกความที่พระราชาสวรรคตแล้ว ทูลว่า
ขอพระองค์จงครองราชสมบัติเถิด พระเจ้าข้า. พระราชโอรสทรงดำริว่า
เราจักรู้จิตของนางนาคมาณวิกา ดังนี้แล้วเข้าไปหาเธอแล้วตรัสว่า ดูก่อนนาง
ผู้เจริญ พระบิดาของเราสวรรคตแล้ว อำมาตย์ทั้งหลายมาในที่นี้ เพื่อยกฉัตรให้

เรา ไปกันเถิดนางผู้เจริญ เราทั้งสองจักครองรัชสมบัติในกรุงพาราณสี
ประมาณ 12 โยชน์ เธอจักเป็นใหญ่กว่าหญิง 16,000 คน. นางกล่าวว่า
ข้าแต่นาย ดิฉันไม่อาจไปกับท่านได้. พระราชโอรสถามว่า เพราะเหตุอะไร ?
นางกล่าวว่า พวกเราเป็นอสรพิษร้าย โกรธเร็ว ย่อมโกรธแม้ด้วยเหตุเพียง
เล็กน้อย และชื่อว่าการอยู่ร่วมผัวเป็นภาระหนัก ถ้าดิฉันเห็นหรือได้ยินสิ่ง
อะไรก็โกรธ แลดูอะไร จักกระจัดกระจายไปเหมือนกำธุลี เพราะเหตุนี้ ดิฉัน
จึงไม่อาจไปกับท่านได้ แม้วันรุ่งขึ้นพระราชโอรสก็อ้อนวอนเธออยู่นั่นเอง.
ลำดับนั้นนางจึงกล่าวกะท่านอย่างนี้ว่า ดิฉันจักไม่ไปด้วยปริยายไร ๆ ส่วนนาค-
กุมารบุตรของเราเหล่านี้ เป็นชาติมนุษย์ เพราะเกิดโดยสมภพกับท่าน ถ้าบุตร
เหล่านั้นยังมีความรักในเรา ท่านจงอย่าประมาทในบุตรเหล่านั้น แต่บุตร
เหล่านี้แล เป็นพืชน้ำละเอียดอ่อน เมื่อเดินทางต้องลำบากด้วยลมแดดจะพึง
ตาย ท่านพึงให้ขุดเรือลำหนึ่ง ให้เต็มด้วยน้ำแล้วให้บุตรเหล่านั้นเล่นน้ำนำ
ไป พึงกระทำสระโบกขรณีในพื้นที่ในภายในพระนครแก่บุตรเหล่านั้น. ก็แล
นางครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ไหว้พระราชโอรสทำประทักษิณกอดพวกบุตร ให้นั่ง
ระหว่างถันจูบที่ศีรษะ มอบให้แก่พระราชโอรส ร้องไห้คร่ำครวญแล้วหายไปใน
ที่นั้นนั่นเอง ได้ไปยังภพนาคตามเดิม. ฝ่ายพระราชโอรสถึงความโทมนัส มี
พระเนตรนองด้วยน้ำตา ออกจากนิเวศน์ เช็ดนัยนาแล้วเข้าไปหาพวกอำมาตย์.
พวกอำมาตย์เหล่านั้น อภิเษกพระราชโอรสนั้นในที่นั้นนั่นเอง แล้วทูลว่า
ข้าแต่สมมติเทพ พวกข้าพระองค์จะไปยังนครของพระองค์ พระเจ้าข้า.
พระราชาตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงจึงรีบขุดเรือยกขึ้นสู่เกวียนให้
เต็มด้วยน้ำ ขอท่านจงเกลี่ยดอกไม้ต่าง ๆ อันสมบูรณ์ด้วยสีและกลิ่น
บนหลังน้ำ บุตรทั้งหลายของเราผู้มีพืชแต่น้ำ บุตรเหล่านั้นเล่นน้ำ ใน
ที่นั้น จักไปสบาย. พวกอำมาตย์ได้กระทำเหมือนอย่างนั้น. พระราชา
เสด็จถึงกรุงพาราณสี เสด็จเข้าไปยังนครที่ตบแต่งไว้ แวดล้อมไปด้วย

หญิงนักฟ้อน และอำมาตย์เป็นต้นประมาณ 16,000 คน ประทับนั่งบนพื้น
ใหญ่ เสวยน้ำมหาปานะ 7 วัน แล้วให้สร้างสระโบกขรณี เพื่อประโยชน์แก่
พวกบุตร. พวกบุตรได้เล่นในที่นั้นเนืองนิตย์ ภายหลังวันหนึ่งเมื่อพวกบุตรพา
กันเล่นน้ำในสระโบกขรณี เต่าตัวหนึ่งเข้าไป ไม่เห็นที่ออก จึงดำลงในพื้น
สระโบกขรณี ในเวลาเด็กเล่นน้ำ ผุดขึ้นจากน้ำโผล่ศีรษะขึ้นมา เห็นพวก
เด็กเหล่านั้น จึงดำลงไปในน้ำอีก. พวกเด็กเหล่านั้นเห็นเต่านั้นจึงสะดุ้งกลัว
ไปยังสำนักของพระบิดากราบทูลว่า ข้าแต่พ่อ ในสระโบกขรณียังมียักษ์ตน
หนึ่ง ทำพวกข้าพระองค์ให้สะดุ้ง. พระราชาทรงสั่งบังคับพวกราชบุรุษว่า พวก
ท่านจงไปจับยักษ์นั้นมา. ราชบุรุษเหล่านั้นทอดแหนำเต่าไปถวายแด่พระราชา
พระกุมารทั้งหลายเห็นเต่านั้นแล้วร้องว่า นี้ปีศาจพ่อ นี้ปีศาจพ่อ. พระราชา
ทรงกริ้วเต่าด้วยความรักในบุตร จึงสั่งบังคับว่า พวกท่านจงไปทำกรรม-
กรณ์แก่เต่านั้นเถิด. ในบรรดาราชบุรุษเหล่านั้น ราชบุรุษคนหนึ่งกล่าวว่า
เต่านี้เป็นผู้ก่อเวรแก่พระราชา ควรจะเอามันใส่ในครกแล้วเอาสากตำทำให้เป็น
จุณ. อำมาตย์บางพวกกล่าวว่า ควรจะปิ้งให้สุกในไฟถึง 3 ครั้งแล้วจึงกิน.
อำมาตย์บางพวกกล่าวว่า ควรจะต้มมันในกะทะนั่นแล. แต่อำมาตย์คนหนึ่งผู้
กลัวน้ำกล่าวว่าควรจะโยนเต่านี้ลงในน้ำวนแห่งแม่น้ำยมุนา มันจะถึงความพินาศ
ใหญ่ในที่นั้น เพราะกรรมกรณ์ของเต่านั้นเห็นปานนี้ย่อมไม่มี. เต่าได้ฟังถ้อยคำ
ของเขาจึงโผล่ศีรษะขึ้นพูดอย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เหตุอะไรของท่าน เราทำ
ผิดอะไร ที่ท่านวิจารถึงกรรมกรณ์เห็นปานนี้กะเรา ก็เราสามารถอดกลั้นกรรม-
กรณ์นอกนี้ได้ ก็แลผู้นี้เป็นผู้หยาบช้าเหลือเกิน ท่านอย่ากล่าวคำเห็นปานนี้
เลย. พระราชาทรงสดับดังนั้น ควรจะสร้างทุกข์กะเต่านี้แหละดังนี้แล้วจึงให้ทิ้ง
ลงไปในน้ำวนแห่งแม่น้ำยมุนา. เต่านั้นถึงห้วงน้ำอันเป็นที่ไปสู่ภพนาคแห่งหนึ่ง

ได้ไปสู่ภพนาคแล้ว. ลำดับนั้นพวกนาคมาณพบุตรของพญานาคชื่อว่า
ธตรฐ กำลังเล่นอยู่ในห้วงน้ำนั้น เห็นเต่านั้น จึงกล่าวว่า พวกท่านจง
จับมันเป็นทาส. เต่านั้นคิดว่า เราพ้นจากพระหัตถ์ของพระเจ้าพาราณสีแล้ว
บัดนี้ถึงมือของพวกนาคผู้หยาบช้าเห็นปานนี้ เราจะพึงพ้นด้วยอุบายอะไรหนอ
เต่านั้นคิดว่า อุบายนี้ใช้ได้ เราจะพึงพูดมุสาวาทจึงจะพ้น แล้วกล่าวว่า
พวกท่านมาจากสำนักของพระยานาคชื่อว่าธตรฐ เพราะเหตุไร ท่านจึงกล่าว
กะเราอย่างนี้ เราเป็นเต่าชื่อว่า จิตตจูฬ เป็นทูตแห่งพระเจ้าพาราณสีมายัง
สำนักของพระยานาคชื่อว่าธตรฐ พระราชาของเรา ประสงค์จะให้ธิดาแก่พระยา
นาคชื่อว่า ธตรฐ จึงส่งเรามา ขอท่านจงแสดงเราแก่พระยานาคนั้นเถิด.
นาคมาณพเหล่านั้นเธอแล้วเกิดโสมนัส พาเต่านั้นไปยังสำนักพระราชากราบ
ทูลความนั้นแล้ว. พระราชารับสั่งให้เรียกเต่านั้นมาด้วยคำว่า จงนำมันมาเถิด
พอเห็นเต่านั้น จึงพอพระทัยตรัสว่า ผู้มีร่างลามกเห็นปานนี้ ไม่สามารถจะ
ทำทูตกรรม. เต่าได้ฟังดังนั้นจึงกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ก็ชื่อว่าผู้เป็น
ทูตจะพึงมีร่างกายประมาณเท่าลำตาลหรือ ความจริงร่างกายเล็กหรือน้อยไม่
เป็นประมาณ การทำกรรมในที่ที่ไปแล้ว ๆ ให้สำเร็จนั่นแล เป็นประมาณ
ดังนั้น ข้าแต่มหาราชเจ้า ทูตเป็นอันมากของพระราชาของเราเป็นมนุษย์ ย่อม
ทำกรรมบนบก นกย่อมทำกรรมบนอากาศ ข้าพระองค์ชื่อว่า จิตตจูฬ ถึง
ฐานันดรเป็นที่โปรดปรานของพระราชา เป็นผู้ปกครองหมู่บ้าน ย่อมทำ
กรรมในน้ำ ขอพระองค์อย่าข่มขู่ ดูหมิ่นข้าพระองค์เลย ดังนี้แล้วจึงสรร-
เสริญคุณของตน. ลำดับนั้น พระยานาคธตรฐ จึงถามเต่านั้นว่า ก็ท่าน
เป็นผู้อันพระราชาส่งมาเพื่อต้องการอะไร ? เต่ากล่าวว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า พระ-

ราชาของข้า ตรัสกะข้า อย่างนี้ว่า เราจะทำมิตรธรรมกับพระราชา ชาวชมพู
ทวีปทั้งสิ้น บัดนี้ เราควรจะทำมิตรธรรมกับพระยานาคธตรฐ เราจะให้นาง
สาวสมุททชาผู้เป็นธิดาของเราแก่พระยานาคธตรฐ จึงส่งข้า มาด้วยพระดำรัส
ว่า ขอท่านอย่ากระทำการเนิ่นช้า จงส่งบุรุษทั้งหลายไปกับข้า และกำหนด
วันรับนางทาริกาเถิด. พระยานาคนั้นยินดีให้กระทำสักการะแล้ว ส่งนาค-
มาณพ 4 นายไปกับเต่านั้นด้วยคำว่า พวกท่านไปเถิด จงฟังคำของพระราชา
กำหนดวันแล้วจงมา. นาคมาณพเหล่านั้น รับคำแล้วจึงพาเต่าออกจากภพนาค.
เต่าเห็นสระปทุมสระหนึ่งในระหว่างแม่น้ำยมุนากับกรุงพาราณสีมีความประสงค์
จะหนีไปด้วยอุบายอย่างหนึ่งจึงกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนนาคมาณพทั้งหลาย ผู้
เจริญ พระราชาของเรา และบุตรภรรยาของพระราชา เห็นเราเที่ยวไปในน้ำ
ไปสู่พระราชนิเวศน์อ้อนวอนว่า ท่านจงให้ดอกปทุมแก่เราทั้งหลาย จงให้ราก
เง่าบัว เราจักถือเอารากเง่าบัวเหล่านั้น เพื่อประโยชน์แก้เขาเหล่านั้น พวก
ท่านจงปล่อยข้า ในที่นี้ แม้เมื่อพวกท่านไม่เห็นข้า จงล่วงหน้าไปยังสำนัก
ของพระราชา เราจักเห็นพวกท่านในที่นั้นนั่นแล. นาคมาณพเหล่านั้นเชื่อ
ถ้อยคำของเต่านั้นจึงได้ปล่อยเต่านั้นไป เต่าได้แอบอยู่ในที่ส่วนข้างหนึ่งในที่
นั้น. ฝ่ายนาคมาณพไม่เห็นเต่า จึงเข้าไปเฝ้าพระราชาด้วยเพศแห่งมาณพตาม
สัญญาว่า เราจักไปสำนักพระราชา.
จบกัจฉปกัณฑ์

พระราชาทรงกระทำปฏิสันถารแล้วตรัสถามว่า พวกท่านมาแต่ที่ไหน ?
นาคมาณพทั้งหลายทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า พวกข้าพระองค์มาจากสำนัก
ของพระยานาคธตรฐ. พระราชาตรัสถามว่า เพราะเหตุไร พวกท่านจึงมาใน
ที่นี้. นาคมาณพทั้งหลายทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า พวกข้าพระองค์เป็นทูต
ของพระยานาคธตรฐนั้น พระยานาคธตรฐถามถึงความไม่มีโรคของพระองค์
และพระองค์ปรารถนาสิ่งใด ท่านจะให้สิ่งนั้นแก่พระองค์ ข่าวว่าพระองค์จะ
ประทานนางสมุททชา ผู้เป็นพระธิดาของพระองค์ให้เป็นบาทปริจาริกาของ
พระราชาของพวกข้าพระองค์ ดังนี้แล้ว เมื่อจะประกาศความนั้นจึงกล่าวคาถา
ที่หนึ่งว่า
รัตนะอย่างใดอย่างหนึ่ง มีอยู่ในนิเวศน์ของท้าว
ธตรฐ รัตนะทั้งหมดนั้นจงมาสู่พระราชนิเวศน์ของ
พระองค์ ขอพระองค์จงทรงพระกรุณาโปรดประทาน
พระราชธิดาแก่พระราชาของข้าพระองค์เถิด พระเจ้า
ข้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สพฺพานิ เต อุปยนฺตุ ความว่า ขอ
รัตนะทั้งหมดของท้าวธตรฐนั้นจงนำเข้ามา คือจงเข้ามาสู่พระนิเวศน์ของพระ-
องค์
พระราชาครั้นได้สดับดังนั้นจึงตรัสคาถาที่ 2 ว่า
พวกเราไม่เคยทำการวิวาห์กับนาคทั้งหลาย ใน
กาลไหน ๆ เลย พวกเราจะทำวิวาห์อันไม่สมควรนั้น
ได้อย่างไรเล่า.

บรรดาบทเหล่านั้น บ ว่า อสํยุตฺตํ ความว่า ไม่สมควรคือไม่
เหมาะสมกับสัตว์ดิรัจฉาน พวกเราเป็นชาติมนุษย์ จะกระทำความสัมพันธ์
กับสัตว์ดิรัจฉานอย่างไรได้.
พวกนาคมาณพ ได้ฟังคำดังนั้นแล้วจึงกล่าวว่า ถ้าความสัมพันธ์
กับพระยานาคธตรฐไม่เหมาะสมกับท่าน เมื่อเป็นเช่นนี้ เพราะเหตุไร ท่านจึง
ส่งเต่าชื่อว่าจิตตจูฬผู้อุปฐากของตนไปเป็นทูตแก่พระราชาของพวกเราว่า เรา
จะให้ธิดาของเราชื่อว่า สมุททชา เล่า ครั้นส่งสาสน์อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อ
ท่านกระทำการดูหมิ่นพระราชาของพวกเรา พวกเราแลชื่อว่าเป็นนาคมาณพ
จักรู้กรรมที่ควรกระทำแก่ท่าน เมื่อจะขู่พระราชาจึงกล่าว 2 พระคาถาว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่กว่ามนุษย์ พระองค์
จำต้องทรงสละพระชนม์ชีพหรือแว้นแคว้นเสียเป็นแน่
เพราะเมื่อพวกนาคโกรธแล้ว คนทั้งหลาย เช่นพระองค์
จะมีชีวิตอยู่นานไม่ได้ ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ
พระองค์เป็นมนุษย์ไม่มีฤทธิ์ มาดูหมิ่นพวกพระยานาค
ธตรผู้มีฤทธิ์ ผู้เป็นบุตรของท้าววรุณนาคราช เกิด
ภายใต้แม่น้ำยมุนา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รฏฺฐํ วา ความว่า ชีวิตหรือรัฐท่านจักสละ
โดยส่วนเดียว. บทว่า ตาทิสา ความว่า พระราชาทั้งหลายผู้เช่นท่าน ถูกนาคผู้มี
อานุภาพมากโกรธแล้วอย่างนี้ ไม่สามารถจะดำรงชีวิตอยู่ได้นาน ย่อมอันตร-
ธานไปในระหว่างเทียว. บทว่า โย ตฺวํ เทว ความว่า ข้าแต่สมมติเทพ
ท่านใดแม้เป็นมนุษย์. บทว่า วรุณสฺส ได้แก่ พระยานาคชื่อว่าวรุณ. บทว่า
นิยํ ปุตฺตํ ได้ แก่บุตรผู้อยู่ในภายใน (ตน). บทว่า ยามุนํ ได้แก่ เกิดใน
ภายใต้แม่น้ำยมุนา.

ลำดับนั้น พระราชาได้ตรัส 2 คาถาว่า
เราไม่ได้ดูหมิ่นท้าวธตรฐเรื่องยศ ก็ท้าวธตรฐ
ผู้เป็นใหญ่กว่านาคแม้ทั้งหมด ถึงจะเป็นพระยานาคผู้
มีอานุภาพมา ก็ไม่สมควรกะธิดาของเรา เราเป็น
กษัตริย์ของชนชาววิเทหรัฐ และนางสมุททชาธิดาของ
เราก็เป็นอภิชาต.

บรรดาบทเหล่านั้นด้วยบทว่า พหูนมฺปิ นี้ ท่านกล่าวหมายเอาความ
เป็นใหญ่ แห่งภพนาคประมาณ 500 โยชน์. บทว่า น เม ธีตรมารโห
ความว่า ก็ท่านแม้เป็นผู้มีอานุภาพมากอย่างนี้ก็ไม่สมควรกะธิดาของเรา เพราะ
ท่านเป็นอหิชาติ (ชาติงู). พระองค์เมื่อแสดงถึงผู้เป็นญาติอันเป็นฝ่ายมารดา
จึงตรัสคำนี้ว่า ขตฺติโย จ วิเทหานํ ดังนี้. ด้วยบทว่า สมุทฺทชา นี้
ท่านกล่าวว่า คนทั้งสอง คือกษัตริย์ผู้เป็นราชโอรสของพระจ้าวิเทหะ และ
พระธิดาของเรานามว่าสมุททชา เป็นอภิชาตสมควรจะสังวาสกันและกัน เพราะ
นางย่อมไม่คู่ควรแก่งูผู้มีกบเป็นภักษา.
พวกนาคมาณพได้ฟังดังนั้นแล้ว แม้ประสงค์จะฆ่าพระองค์ด้วยสม
ในนาสิก ในที่นั้นนั่นเอง จึงคิดว่า แม้เมื่อพวกเราถูกพระราชาส่งไปเพื่อ
กำหนดวัน การที่เราจะฆ่าพระราชานี้แล้วไปไม่สมควรเลย พวกเราจักไปกราบ
ทูลพระราชาแล้วจักทราบ ดังนี้แล้ว พวกเขาจึงลุกจากที่นั้นอกจากราชนิเวศน์
ดำรงแผ่นดินไปในที่นั้น ถูกพระยานาคถามว่า พ่อทั้งหลาย พวกท่านได้
ราชธิดาแล้วหรือ ? ดังนี้แล้วโกรธต่อพระราชา จึงกราบทูลว่า ข้าแต่สมบัติ-
เทพ พระองค์ส่งพวกข้าพระองค์ไปในที่ใดที่หนึ่ง เพราะเหตุอันไม่สมควร

อะไรเลย ถ้าพระองค์ปรารถนาจะฆ่า พระองค์จงฆ่าพวกข้าพระองค์เสียในที่นี้
แหละ พระราชานั้นด่าบริภาษพระองค์ ยกธิดาของตนขึ้นด้วยความเมาใน
ชาติ ดังนี้แล้วกราบทูลถึงความที่พระองค์กล่าวและมิได้กล่าว ทำความโกรธ
ให้เกิดขึ้นแก่พระราชา. พระองค์เมื่อจะทรงสั่งบังคับให้ประชุมบริษัทจึงตรัสว่า
พวกนาคเหล่ากัมพลอัสสดรจงเตรียมตัว จง
ไปบอกให้พวกนาคทั้งปวงรู้กัน จงพากันไปกรุง
พาราณสี แต่อย่าได้เบียดเบียนใคร ๆ เลย.

บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า กมฺพลสฺสตรา พระองค์เมื่อสั่ง
บังคับว่า นาคชื่อว่ากัมพลอัสสดร ผู้เป็นฝักฝ่ายมารดาของเรานั้น นาคผู้อยู่
ที่เชิงเขาสิเนรุ และนาคเหล่านั้นจงลุกขึ้นเถิด และนาคเหล่าอื่นผู้กระทำตาม
คำของเราในทิศใหญ่ 4 ในทิศน้อย 4 มีประมาณเท่าใด จงไปบอกนาคทั้งหมด
นั้นให้ทราบ ข่าวว่าพวกท่านจงรีบประชุมกันจึงได้ตรัสอย่างนั้น. ลำดับนั้นเมื่อ
พวกนาคทั้งหมดนั่นแลรีบประชุมกันทูลว่า พวกข้าพระองค์จะทำอย่างไร พระ-
เจ้าข้า. พระองค์จึงตรัสว่า นาคของเราทั้งหมดจงรีบไปกรุงพาราณสี. และเมื่อ
พวกนาคเหล่านั้นกล่าวว่า พวกข้าพระองค์ไปในที่นั้นจะพึงทำอย่างไร พระเจ้าข้า
อย่างไรพวกข้าพระองค์จะทำให้เป็นขี้เถ้าโดยการประหารด้วยพ่นลมทางนาสิก.
พระยานาคไม่ปรารถนาความพินาศแก่นาง เพราะมีจิตปฎิพัทธ์ในราชธิดา จึง
ตรัสว่าพวกนาคอย่าพึงเบียดเบียนใคร ๆ. อธิบายว่า บรรดาพวกท่านบาง
พวกอย่าพึงเบียดเบียนใคร ๆ อีกอย่างหนึ่ง บาลีก็อย่างนี้เหมือนกัน.
ลำดับนั้น พวกนาคจึงกล่าวกะพระราชาว่า ข้าแต่มหาราช ถ้าไม่
เบียดเบียนมนุษย์บางคน พวกเราไปในที่นั้นแล้วจะกระทำอะไร ? ลำดับนั้น

พระราชาจึงตรัสกะพวกนาคนั้นว่า พวกท่านจงทำสิ่งนี้และสิ่งนี้ แม้เราก็จะทำ
สิ่งชื่อนี้ ดังนี้แล้ว เมื่อจะตรัสบอกจึงตรัสสองคาถาว่า
นาคทั้งหลาย จงแผ่พังพานห้อยอยู่ที่บ้านเรือน
ในสระน้ำ ที่ทางเดิน ที่ทาง 4 แพร่ง บนยอดไม้
และบนเสาระเนียด แม้เราก็จะนิรมิตตัวใหญ่ขาวล้วน
วงล้อมเมืองใหญ่ด้วยขนดหาง ยังความกลัวให้เกิดแก่
ชนชาวกาสี.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โสพฺเภสุ แปลว่า ในสระโบกขรณี.
บทว่า รถิยา แปลว่า ที่ถนน. บทว่า ลมฺพนฺตุ แปลว่า ห้อยลงอยู่.
บทว่า วิตตา ความว่า นาคทั้งหลายจงแผ่พังพาน มีร่างกายใหญ่ ห้อย
ลงอยู่ ที่บ้านเรือนเป็นต้นเหล่านั้น และที่ประตูและทาง 4 แพร่ง ประมาณ
เท่านี้ ก็แลเมื่อทำ อันดับแรกจงนิรมิตร่างกายให้ใหญ่และแผ่พังพานให้ใหญ่
ภายในห้องและภายนอกห้องเป็นต้น ภายใต้และบนเตียงและตั่ง ที่บ้านเรือน
ที่ข้างทางเดินเป็นต้น บนหลังน้ำในสระโบกขรณี บนบกและที่เรือน บังหวน
ควัน เหมือนสูบของช่างโลหะกระทำเสียงว่า สุ สุ ห้อยลงและนอนลง และ
อย่าแสดงตนแก่คน 4 คน คือ เด็กหนุ่ม คนแก่ชรา หญิงมีครรภ์ และ
นางสมุททชา แม้เราก็จะไปด้วยร่างกายอันใหญ่ขาวล้วน วงล้อมเมืองกาสีไว้
โดยรอบ 7 ชั้น ปิดด้วยพังพานใหญ่ การทำให้มืดมนเป็นอันเดียวกัน ให้
เกิดความกลัวแก่ชนชาวกาสี เปล่งเสียงว่า สุ สุ ดังนี้. นาคทั้งหลายได้
กระทำอย่างนั้น.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศความนั้น จึงตรัสว่า
นาคทั้งหลายได้ฟังคำของท้าวธตรฐแล้ว แปลง
เพศเป็นหลายอย่าง พากันเข้าไปยังกรุงพาราณสี แต่

มิได้เบียดเบียนใคร ๆ เลย แผ่พังพานห้อยอยู่ที่บ้าน
เรือน ในสระน้ำ ที่ทางเดิน ที่ทาง 4 แพร่ง บนยอดไม้
พวกสตรีเป็นอันมากได้เห็นนาคเหล่านั้น แผ่พังพาน
ห้อยอยู่ ตามที่ต่าง ๆ หายใจฟู่ ๆ ก็พากันร้องคร่ำครวญ
ชาวเมืองพาราณสีมีความสะดุ้งกลัว เดือดร้อนก็พากัน
ไปประชุมกอดอกร้องทุกข์ว่า ขอพระองค์ จง
พระราชทานพระราชธิดา แก่พระยานาคเถิด พระ-
เจ้าข้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อเนกวณฺณิโน ความว่า ก็นาคเหล่านั้น
แปลงเพศเป็นหลายอย่าง ด้วยอำนาจสีเขียวเป็นต้น นิรมิตรูปเห็นปานนั้น.
บทว่า ปวชฺชึสุ ความว่า นาคเหล่านั้น เข้าไปในเวลาเที่ยงคืน. บทว่า
ลมฺพึสุ ความว่า โดยทำนองที่ท้าวธตรฐกล่าวแล้วนั่นแล นาคทั้งหมดห้อย
ลงอยู่ตัดการสัญจรของพวกมนุษย์ในที่นั้น ๆ ก็นาคมาณพทั้ง 4 ตนเป็นทูตมา
วงล้อมเท้าทั้ง 4 แห่งที่บรรทมของพระราชา แผ่พังพานใหญ่บนพระเศียร
ได้แยกเขี้ยวยืนดูอยู่ เหมือนจะฉกกัดศีรษะด้วยปาก. ฝ่ายท้าวธตรฐ รับสั่งให้
ปิดพระนครโดยทำนองที่ตนกล่าวแล้วนั่นแล บุรุษทั้งหลายเมื่อตื่นขึ้น เหยียด
มือหรือเท้าไปทางที่ใด ๆ ก็ถูกต้องงูในที่นั้น ๆ แล้วร้องว่า งู ๆ ดังนี้. บทว่า
ปุถู กนฺทึสุ ความว่า ประทีปจุดขึ้นในเรือนใด ๆ หญิงทั้งหลายในเรือน
นั้น ๆ ตื่นขึ้นแล้ว แลดูประตู เสา ไม้จันทัน เห็นพวกนาคห้อย
ลงอยู่ ร้องคร่ำครวญกันเป็นอันมากโดยพร้อม ๆ กันทีเดียว พระนครทั้งสิ้น
ได้เกิดโกลาหลเป็นอันเดียวกันด้วยประการฉะนี้. บทว่า โสณฺฑิกเต แปลว่า
แผ่พังพาน. บทว่า ปกฺกนฺทุํ ความว่า ครั้นราตรีสว่าง เมื่อนครทั้งสิ้น

และพระราชนิเวศน์ถูกปกคลุมด้วยลมหายใจเข้าออกของพวกนาค มนุษย์
ทั้งหลายพากันกลัว จึงกล่าวกะนาคราชทั้งหลายว่า พวกท่านเบียดเบียนพวกเรา
เพื่ออะไร ? ดังนี้แล้วจึงส่งทูตไปถึงท้าวธตรฐว่า พระราชาของพวกท่านทรง
พระดำริว่า จะให้ธิดาของเราแก่ท่าน เมื่อทูตของท้าวเธอมากล่าวอีกว่า จง
ให้ แล้วด่าบริภาษพระราชาของพวกเรา เมื่อทูตกล่าวว่า ถ้าไม่ให้ธิดาแก่พระ-
ราชาของพวกเรา ชีวิตของชาวพระนครทั้งสิ้นจะไม่มี จึงอ้อนวอนว่า เพราะ
เหตุนั้นแล ท่านจงให้โอกาสแก่นายของเรา พวกเราจักไปอ้อนวอนพระราชา
ได้โอกาสแล้วไปยังประตูพระนคร พากันร้องคร่ำครวญด้วยเสียงดัง. ฝ่าย
มเหสีของพระองค์ บรรทมอยู่ในห้องของตน ๆ ร้องคร่ำครวญในทันทีทันใด
ว่า พระเจ้าข้า ขอพระองค์จงให้ธิดาแก่พระเจ้าธตรฐเถิด.
ฝ่ายนาคมาณพทั้ง 4 นั้น ได้ยืนอยู่เหมือนจะเอาปากฉกกัดศีรษะว่า จง
ให้ จงให้ พระองค์ทรงบรรทมอยู่ ได้สดับเสียงชาวพระนครและมเหสีของ
พระองค์ร้องคร่ำครวญอยู่ และพระองค์ถูกนาคมาณพทั้ง 4 คุกคาม ทรงสะดุ้ง
พระทัยแต่มรณภัย จึงได้ตรัสขึ้น 3 ครั้งว่า เราจะให้พระนางสมุททชาผู้เป็นธิดา
ของเราแก่ท้าวธตรฐ. นาคราชทั้งหมด ครั้นได้ฟังพระดำรัสดังนั้นแล้ว ก็กลับไป
ยังที่ประมาณหนึ่งคาวุต สร้างนครขึ้นแห่งหนึ่ง เหมือนเทวนคร ได้อยู่ในที่นั้น
จึงส่งบรรณาการไปว่า ข่าวว่า ขอพระองค์จงส่งพระธิดา พระราชายึดเอาเครื่อง
บรรณาการที่พวกนาคนำมา จึงส่งพวกนาคเหล่านั้นไปว่า พวกท่านไปเถิด เรา
จักส่งธิดาไปในความคุ้มครองของพวกอำมาตย์ของเรา แล้วรับส่งให้เรียกธิดา
มาให้ขึ้นสู่ปราสาทชั้นบน ให้เปิดสีหบัญชรแล้วให้สัญญาว่า ดูก่อนแม่ เจ้าจง
ดูนครอันตบแต่งแล้วนี้ เจ้าเป็นอัครมเหสีของพระราชานี้ในที่นี้ นครนั้นไม่
ไกลแต่ที่นี้ เมื่อเวลาเจ้าเกิดความเบื่อหน่ายนครนั้นขึ้นมา เจ้าสามารถจะมาใน
ที่นี้ได้ เจ้าพึงมาในที่นี้ แล้วให้สนานศีรษะ ประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง

ให้นั่งในวอที่ปกปิดแล้วได้ประทานส่งไปในความคุ้มครองของอำมาตย์ของพระ-
องค์. พระยานาคทั้งหลายกระทำการต้อนรับพระธิดาแล้วได้กระทำมหาสักการะ
อำมาตย์ทั้งหลายเข้าไปสู่พระนคร ถวายพระธิดานั้นแก่ท้าวเธอ ได้ถือเอาทรัพย์
เป็นอันมากแล้วกลับมา. พระราชาให้พระธิดาขึ้นสู่ปราสาท ให้นอนบนที่นอน
อันเป็นทิพย์ที่ประดับไว้. ในขณะนั้นนั่นเอง พวกนาคมาณพ แปลงเพศเป็น
คนค่อมและคนเตี้ยเป็นต้น แวดล้อมพระธิดาเหมือนพวกบริจาริกาของมนุษย์
พระธิดาพอนอนบนที่นอนอันเป็นทิพย์ ถูกต้องสัมผัสอันเป็นทิพย์เท่านั้นก็ก้าว
ลงสู่ความหลับ. ท้าวธตรฐพาพระธิดา พร้อมบริษัทนาคหายไปในที่นั้น
ได้ปรากฏในภพนาค. พระราชธิดา ทรงตื่นขึ้น ทรงทอดพระเนตรที่บรรทม
อันเป็นทิพย์ที่ตบแต่งไว้ และที่อื่นเช่นปราสาทอันสำเร็จด้วยทองคำและสำเร็จ
ด้วยแก้วมณี พระอุทยานและสระโบกขรณีและภพนาค เหมือนเทพนครที่ตบ
แต่งไว้ จึงตรัสถามหญิงบำเรอมีหญิงค่อมเป็นต้นว่า นครนี้ช่างตบแต่งเหลือเกิน
ไม่เหมือนนครของเรา นครนั่นเป็นของใคร. หญิงบำเรอทูลว่า ข้าแต่พระเทวี
นั่นเป็นของพระสวามีของพระนาง พระเจ้าข้า ผู้ที่มีบุญน้อยย่อมไม่ได้สมบัติ
เห็นปานนี้ ท่านได้สมบัตินี้ เพราะท่านมีบุญมาก. ฝ่ายท้าวธตรฐ รับสั่งให้
ตีกลองร้องประกาศไปในภพนาคประมาณ 500 โยชน์ว่า ผู้ใด ๆ แสดงเพศงู
แด่พระนางสมุททชา ผู้นั้น ๆ จักต้องราชทัณฑ์. เพราะเหตุนั้น ขึ้นชื่อว่าผู้
สามารถเพื่อจะแสดงเพศงูแก่พระนางแม้คนเดียวไม่ได้มีเลย. เพราะความสำคัญ
ว่าเป็นโลกมนุษย์ พระนางจึงชื่นชมยินดีกับท้าวธตรฐนั้น ในที่นั้นนั่นเอง อยู่
สังวาสด้วยความรักด้วยอาการอย่างนี้.
จบนครกัณฑ์

ครั้นต่อมา พระนางทรงอาศัยท้าวธตรัฐ จึงทรงครรภ์ ประสูติพระโอรส
พวกพระญาติได้ตั้งชื่อว่า สุทัสสนะ เพราะเห็นแล้วให้เกิดความรัก ในเวลา
พระโอรสทรงดำเนินเดินได้ พระนางประสูติพระโอรสอีกองค์หนึ่ง พวกพระ-
ญาติได้ตั้งชื่อว่า ทัตตะ ก็พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์. พระนางประสูติโอรส
อีกองค์หนึ่ง พวกพระญาติตั้งชื่อท่านว่า สุโภคะ พระนางประสูติพระโอรส
อีกพระองค์หนึ่ง พวกพระญาติได้ตั้งชื่อท่านว่า อริฏฐะ. ดังนั้นพระนางแม้
ประสูติพระโอรส 4 พระองค์แล้ว ก็ไม่รู้ว่าเป็นภพของนาค ภายหลังวันหนึ่ง
พวกนาคหนุ่ม ๆ บอกแก่พระโอรสชื่อว่า อริฏฐะว่า มารดาของพระองค์เป็น
มนุษย์ ไม่ใช่เป็นนางนาค. พระโอรสนามว่า อริฏฐะ คิดว่าเราจะทดสอบ
พระมารดานั้น. ครั้นวันหนึ่งเมื่อเสวยนมจึงนิรมิตสรีระเป็นงู เอาปลายหาง
เสียดสีหลังเท้าพระมารดา. พระนางเห็นร่างงูของพระโอรสนามว่า อริฏฐะ จึง
ตกพระทัยสะดุ้งกลัวแล้วกรีดร้อง ทิ้งพระโอรสไปที่ภาคพื้น นัยน์ตาของพระ-
โอรสนั้นแตกไปเพราะเล็บ แต่นั้นโลหิตก็ไหล. พระราชาทรงสดับเสียงของ
พระนาง จึงตรัสถามว่า นั่นเสียงกรีดร้องของใคร ทรงสดับกิริยาที่พระโอรส
นามว่าอริฏฐะกระทำ จึงเสด็จพลางคุกคามว่าไปเถิดพวกท่านจงพาอริฎฐะนั้นไป
ทำให้ถึงความสิ้นชีวิต. พระราชธิดาทรงทราบว่า พระราชาทรงกริ้ว จึงตรัส
ด้วยความสิเนหาในบุตรว่า พระเจ้าข้า นัยน์ตาบุตรของหม่อมฉันแตกไปแล้ว
ขอพระองค์จงงดโทษให้แก่บุตรของหม่อมฉันเถิด. พระราชา เมื่อพระนางตรัส
อย่างนั้น จึงตรัสว่า เราไม่อาจทำอะไรได้ จึงงดโทษให้ก็ในวันนั้นพระนาง
ได้ทราบว่า นี้เป็นภพนาค จำเดิมแต่นั้นมา พระโอรสนามว่าอริฏฐะ ได้ชื่อว่า
อริฏฐะบอด. ฝ่ายพระโอรสทั้ง 4 องค์ถึงความรู้เดียงสาแล้ว. ลำดับนั้น พระ
บิดาของพระโอรสเหล่านั้น ได้ทรงประทานรัชสมบัติแห่งละ 100 โยชน์ ยศใหญ่
ได้มีแล้ว. นางสาวนาคพากันแวดล้อมแห่งละ 16,000 พระบิดาได้มีรัชสมบัติ
101 โยชน์เท่านั้น พระโอรสทั้ง 3 มาเพื่อเฝ้าพระมารดาบิดาทุก ๆ เดือน ฝ่าย

พระโพธิสัตว์มาทุกกึ่งเดือน พระโพธิสัตว์นั่นเอง ได้กล่าวถึงปัญหาที่เกิดขึ้นใน
ภพนาค พร้อมกับพระบิดาจึงไปสู่ที่อุปัฏฐากแม้ของท้าววิรูปักขมหาราช พระองค์
ได้กล่าวแม้ปัญหาที่ตั้งขึ้นในสำนักของภพนาคนั้น. ภายหลังวันหนึ่ง เมื่อท้าว
มหาราชวิรูปักข์ พร้อมด้วยนาคบริวารไปยังไตรทศบุรี นั่งแวดล้อมท้าวสักกะ
ได้ถกปัญหาขึ้นในระหว่างหมู่เทพทั้งหลาย ใคร ๆ ไม่สามารถจะแก้ปัญหาแม้
นั้นได้ พระโพธิสัตว์เป็นผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์อันประเสริฐเท่านั้นจึงแก้ได้.
ลำดับนั้น พระเทวราชาทรงบูชาพระโพธิสัตว์นั้น ด้วยของหอมและ
ดอกไม้อันเป็นทิพย์แล้ว ตรัสว่า พ่อทัตตะ ท่านประกอบด้วยปัญญาอัน
ไพบูลย์เสมอด้วยแผ่นดิน ตั้งแต่นี้ไปท่านจงชื่อว่า ภูริทัต เพราะเหตุนั้น
จึงได้ตั้งชื่อท่านว่า ภูริทัต. ตั้งแต่นั้นมาท่านได้ไปสู่ที่อุปัฏฐากของท้าวสักกะ
เห็นเวชยันตปราสาทอันประดับประดาไว้ และสมบัติของท้าวสักกะ อันน่ารื่น
รมย์ยิ่งนัก เกลื่อนกล่นไปด้วยนางเทพอัปสร ทำความปรารถนาในเทวโลก
แล้วคิดว่า เราจะประโยชน์อะไรด้วยอัตภาพนี้ซึ่งมีกบเป็นภักษา แล้วไปสู่ภพ
นาคอยู่จำอุโบสถ จักกระทำเหตุเกิดในเทวโลกนี้ ดังนี้แล้วจึงกลับมาภพนาค
ทูลลาพระมารดาและพระบิดาว่า พระแม่ พ่อ หม่อมฉันจะกระทำอุโบสถกรรม.
พระมารดาพระบิดาตรัสว่า ดีละพ่อ จงทำเถิด ก็เมื่อเจ้าจะทำ เจ้าอย่าไปภายนอก
จงกระทำในวิมานอันว่างแห่งหนึ่งในภพนาคนี้แล ก็เมื่อพวกนาคไปข้างนอก ภัย
ใหญ่ย่อมเกิดขึ้น. พระโพธิสัตว์ทูลรับว่า ดีละ แล้วอยู่จำอุโบสถในพระราช
อุทยาน ในวิมานอันว่างนั้นนั่นเอง. ลำดับนั้น นางนาคต่างถือดนตรีต่าง ๆ
แวดล้อมพระโพธิสัตว์. พระโพธิสัตว์คิดว่า เมื่อเราอยู่ในที่นี้ อุโบสถจักไม่ถึง
ที่สุด เราจะไปถิ่นมนุษย์ กระทำอุโบสถ ไม่ได้บอกแก่มารดาและบิดา เพราะ
กลัวจะถูกห้ามจึงเรียกภรรยาทั้งหลายของตนมากล่าวว่า นางผู้เจริญ ฉันจะไป
โลกมนุษย์ ขดขนด (เข้าสมาธิ) บนจอมปลวก ไม่ไกลแต่ที่ที่ต้นไทรใหญ่มีอยู่

ที่ฝั่งแม่น้ำยมุนา จักอธิษฐานอุโบสถอันประกอบด้วยองค์ 4 นอนกระทำ
อุโบสถกรรม เมื่อเรานอนทำอุโบสถกรรมตลอดคืนยังรุ่งในเวลาอรุณขึ้นนั่นแล
พวกเจ้าผู้เป็นสตรี ถือดนตรีครั้งละ 10 นาง จงผลัดเปลี่ยนกันไปยังสำนักของ
เรา บูชาเราด้วยของหอมและดอกไม้ ขับฟ้อนแล้วกลับมายังภพนาคตามเดิม
ดังนี้แล้วไปในที่นั้น วงขนดบนจอมปลวกแล้วอธิษฐานอุโบสถอันประกอบด้วย
องค์ 4 ว่า ผู้ใดปรารถนา หนัง เอ็น กระดูก หรือเลือด ผู้นั้นจงนำไปเถิด
แล้วนิรมิตร่างประมาณเท่างอนไถ นอนกระทำอุโบสถกรรม พออรุณขึ้น
นางมาณวิกามาปฏิบัติพระโพธิสัตว์ตามคำพร่ำสอนแล้วกลับมาสู่ภพนาค เมื่อ
พระโพธิสัตว์กระทำอุโบสถกรรมตามทำนองนี้ ระยะกาลผ่านไปยาวนาน.
จบอุโบสถกัณฑ์
ในกาลนั้น ยังมีพราหมณ์เนสาทคนหนึ่ง อาศัยอยู่ใกล้ประตูกรุง
พาราณสี พร้อมกับโสมทัตลูกชาย ไปสู่ป่าเที่ยวดักสัตว์ด้วยหลาวยนต์และบ่วงแร้ว
ฆ่ามฤคได้แล้วหาบเนื้อมาขายเลี้ยงชีพ. วันหนึ่ง พราหมณ์นั้นไม่ได้อะไร โดย
ที่สุดแม้เพียงเหี้ยสักตัวหนึ่ง จึงกล่าวว่า ดูก่อนพ่อโสมทัต ถ้าเราไปมือเปล่า ๆ
มารดาของเจ้าก็จะโกรธเอา เราจักพาสัตว์สักตัวหนึ่งไปให้ได้ ดังนี้แล้วจึงบ่าย
หน้าตรงไปทางจอมปลวกที่พระโพธิสัตว์นอนอยู่ เห็นรอยเท้าเนื้อทั้งหลาย ซึ่ง
ลงไปดื่มน้ำที่แม่น้ำยมุนาจึงกล่าวว่า ลูกพ่อ ทางเนื้อปรากฏอยู่ เจ้าจงถอยออกไป
เราจะยิงเนื้อซึ่งมาดื่มน้ำ ดังนี้แล้วจึงหยิบเอาธนูยืนแอบโคนต้นไม้ต้นหนึ่งคอย
ดูเนื้ออยู่. ครั้นเวลาเย็นเนื้อตัวหนึ่งมาเพื่อดื่มน้ำ. พราหมณ์นั้นยิงเนื้อนั้น.
เนื้อหาล้มลงในที่นั้นไม่ ตกใจด้วยกำลังศรมีเลือดไหลวิ่งหนีไป. ส่วนบิดาและ
บุตรพากันติดตามเนื้อนั้นไป จับเอาเนื้อนั้นในที่ ๆ มันล้มลงแล้ว ออกจากป่า

ถึงต้นไทรนั้น ในเวลาพระอาทิตย์ตก จึงปรึกษากันว่า บัดนี้ไม่ใช่เวลาที่
สามารถจะไปได้ เราจะพักอยู่ในที่นี้แล ดังนี้แล้วจึงเอาเนื้อวางไว้ในที่สมควร
ข้างหนึ่ง ก็พากันขึ้นต้นไม้นอนอยู่ที่ระหว่างค่าคบไม้. ครั้นเวลาใกล้รุ่ง
พราหมณ์ตื่นขึ้น เอียงหูคอยฟังเสียงเนื้อร้อง.
ขณะนั้น นางนาคมาณวิกาทั้งหลาย พากันมาตกแต่งอาสนะดอกไม้
เพื่อพระโพธิสัตว์. พระโพธิสัตว์กลายร่างกายจากงู นิรมิตเป็นร่างทิพย์
ประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง ประทับนั่งบนอาสนะดอกไม้ ด้วยลีลาดุจท้าว-
สักกเทวราช. ฝ่ายนางนาคมาณวิกา ก็บูชาพระโพธิสัตว์ด้วยของหอมและ
ดอกไม้เป็นต้น แล้วบรรเลงทิพย์ดนตรีจับฟ้อนรำขับร้อง. พราหมณ์ ได้ฟัง
เสียงนั้นแล้วคิดว่า นั่นเป็นใครหนอ เราจักรู้จักเสียงนั้นดังนี้แล้ว จึงกล่าวว่า
ลูกพ่อผู้เจริญ เมื่อไม่อาจปลุกบุตรให้ตื่นขึ้นได้ จึงคิดว่า ลูกนี้เห็นจะเหนื่อย
จงนอนไปเถิด เราจักไปคนเดียว คิดแล้วก็ลงจากต้นไม้เข้าไปหาพระโพธิสัตว์.
เหล่านางนาคมาณวิกา เห็นพราหมณ์นั้นจึงดำลงในแผ่นดินพร้อมด้วยเครื่อง
ดนตรีกลับไปยังนาคพิภพตามเดิม. ส่วนพระโพธิสัตว์ได้นั่งอยู่แต่ผู้เดียวเท่านั้น.
พราหมณ์ยืนอยู่ในสำนักของพระโพธิสัตว์ เมื่อจะถามจึงได้กล่าวคาถา 2 คาถา
ว่า
ท่านชื่ออะไร มีนัยน์ตาแดง อกผายนั่งอยู่ท่าม
กลางป่า อันเต็มไปด้วยดอกไม้ สตรี 10 คนเป็นใคร
ทรงเครื่องระดับล้วนแล้วแต่ทองคำ นุ่งผ้างาม ยืน
เคารพอยู่ ท่านเป็นใครมีแขนใหญ่ รุ่งเรืองอยู่ในท่าม
กลางป่าเหมือนไฟอันลุกโซนด้วยเปรียง ท่านคงเป็น
ผู้มีศักดิ์ใหญ่คนใดคนหนึ่ง เป็นยักษ์หรือเป็นนาคผู้มี
อานุภาพมาก.

บรรดาบทเหล่านั้นบทว่า ปุปฺผาภิหารสฺส ความว่า อันประกอบ
ด้วยการนำไปเฉพาะซึ่งดอกไม้ทิพย์ ที่เขานำมาเพื่อบูชาพระโพธิสัตว์.
บทว่า โก แปลว่า ท่านคือใคร. บทว่า โลหิตกฺโข แปลว่า มี
นัยน์ตาแดง. บทว่า วิหตนฺตรํโส แปลว่า มีรัศมีผึ่งผาย. บทว่า กา
กมฺพุกายูรธรา แปลว่า ทรงเครื่องอันล้วนแล้วด้วยทองคำ. บทว่า
พฺรหาพาหุ แปลว่า มีแขนใหญ่ อธิบายว่า มีแขนใหญ่. บทว่า วนสฺส
มชฺเฌ
ความว่า ท่านมีแขนใหญ่คือใคร มีอานุภาพมากในท่ามกลางแห่งป่า
ใหญ่ คือท่านเป็นใครหนอมีศักดิ์ใหญ่ ในท่ามกลางแห่งนางนาคผู้ปิดอกผูกโบ
ที่ศีรษะ นุ่งผ้าดี ๆ.
พระมหาสัตว์ ได้ฟังดังนั้นแล้วดำริว่า ถ้าเราจักบอกว่า เราเป็นใคร
คนใดคนหนึ่งที่มีฤทธิ์ในบรรดาผู้มีฤทธิ์มีท้าวสักกเทวราชเป็นต้น. พราหมณ์คน
นี้คงจักเชื่อแน่แท้ แต่วันนี้เราควรจะพูดความจริงอย่างเดียว เมื่อจะบอกว่าคน
เป็นพระยานาค จึงกล่าวว่า
เราเป็นนาคผู้มีฤทธิ์เดช ยากที่ใคร ๆ จะล่วงได้
ถ้าแม้เราโกรธแล้ว พึงขบกัดชนบทที่เจริญ ให้แหลก
ได้ด้วยเดช มารดาของเราชื่อสมุททชา บิดาของเราชื่อ
ธตรฐ เราเป็นน้องของสุทัสสนะ คนทั้งหลายเรียกว่า
ว่า ภุริทัต.

บรรดาบทเหล่านั้นบทว่า เตชสี ความว่า ชื่อว่า ผู้มีเดชด้วยเดช
เพียงดังยาพิษ. บทว่า ทุรติกฺกโม ความว่า ใคร ๆ อื่นไม่สามารถเพื่อจะ
ล่วงได้. บทว่า ฑเสยฺยํ ความว่า ถ้าเราโกรธแล้ว พึงขบกัดแม้ชนบทที่กว้าง
ขวางได้ เมื่อเขี้ยวของเราเพียงตกไปในแผ่นดิน ด้วยเดชของเรา ชาวชนบททั้ง
หมดพร้อมด้วยแผ่นดินพึงไหม้เป็นขี้เถ้าไป. บทว่า สุทสฺสนกนิฏฺโมฐสฺมิ ความ

ว่า เราเป็นน้องชายของสุทัสสนะ ผู้เป็นพี่ชายเรา. อธิบายว่า ความว่า ชน
ทั้งหมดย่อมรู้จักเราในนาคพิภพระยะทาง 500 โยชน์ อย่างนี้ว่า วิทู ผู้รู้วิเศษ.
ก็แลพระมหาสัตว์ ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้วจึงคิดว่า พราหมณ์นี้ เป็นผู้
ดุร้ายหยาบคาย ถ้าเขาจะไปบอกแก่หมองูแล้ว พึงทำแม้อันตรายแก่อุโบสถกรรม
ของเรา ไฉนหนอเราจะนำพราหมณ์ผู้นี้ไปยังนาคพิภพ พึงให้ยศแก่ท่านเสีย
ให้ใหญ่โตแล้ว จะพึงทำอุโบสถกรรมของเราให้ยืนยาวนานไปได้. ลำดับนั้น
พระโพธิสัตว์จึงกล่าวกะพราหมณ์นั้นอย่างนี้ว่า ดูก่อนพราหมณ์ เราจะให้ยศ
แก่ท่านให้ใหญ่โต นาคพิภพเป็นสถานอันน่ารื่นรมย์นัก มาไปกันเถิด ไปใน
นาคพิภพนั้นด้วยกัน. พราหมณ์กล่าวว่า ข้าแต่นาย บุตรของข้าพเจ้ามีอยู่คน
หนึ่ง เมื่อบุตรนั้นมา ข้าพเจ้าก็จักไป. ลำดับนั้นพระมหาสัตว์จึงกล่าวกะ
พราหมณ์นั้นว่า ดูกรพราหมณ์ ท่านจงไปนำบุตรของท่านมาเถิด เมื่อจะบอกที่
อยู่ของพระองค์จึงกล่าวว่า
ท่านเพ่งดูห้วงน้ำลึกวนอยู่ทุกเมื่อ น่ากลัวใด ห่วง
น้ำนั้น เป็นที่อยู่อันรุ่งเรืองของเรา ลึกหลายร้อยชั่ว
บุรุษ ท่านอย่ากลัวเลย จงเข้าไปยังแม่น้ำยมุนา เป็น
แม่น้ำที่มีสีเขียวไหลจากกลางป่า กึกก้องด้วยเสียงนก
ยูงและนกกระเรียน เป็นที่เกษมสำราญของผู้มีอาจารวัตร.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สทาวฏฺฏํ แปลว่า วนเวียนเป็นไปอยู่
ทุกเมื่อ. บทว่า เภสฺมึ แปลว่า น่าสะพรึงกลัว. บทว่า อเปกฺขสิ ความว่า
ท่านเพ่งดูห้วงน้ำเห็นปานนี้นั้นใด. บทว่า มยูรโกญฺจาภิรุทํ ความว่า กึก
ก้องด้วยเสียงร้องของนกยูงและนกกระเรียนที่อยู่ในกลุ่มป่าที่ฝั่งทั้ง 2 ของแม่น้ำ
ยมุนา. บทว่า นีโลทกํ แปลว่า น้ำมีสีเขียว. บทว่า วนมชฺฌโต ได้แก่

ไหลมาจากท่ามกลางป่า. บทว่า ปวิส มา ภีโต ความว่า ท่านอย่ากลัว
เลย จงเข้าไปยังแม่น้ำยมุนา. บทว่า วตฺตวตํ ความว่า จงเข้าไปสู่ภูมิเป็น
ที่อยู่ของท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวัตร ผู้มีอาจารวัตร.
ก็แลพระมหาสัตว์ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้วจึงกล่าวว่า ไปเถิดพราหมณ์
ไปนำบุตรมา. พราหมณ์จึงไปบอกความนั้นแก่บุตร แล้วพาบุตรนั้นมา. พระ
มหาสัตว์พาพราหมณ์กับบุตรทั้งสอง ไปยังฝั่งแม่น้ำยมุนา ยืนอยู่ที่ริมฝั่งแล้ว
กล่าวว่า
ดูก่อนพราหมณ์ ท่านพร้อมด้วยบุตรและภรรยา
ไปถึงนาคพิภพแล้ว เราจะบูชาท่านด้วยกามทั้งหลาย
ท่านจักอยู่เป็นสุข.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปตฺโต ความว่า ท่านถึงนาคพิภพของ
เราแล้ว. บทว่า สานุจโร แปลว่า พร้อมด้วยภรรยา. บทว่า มยฺหํ ความว่า
เราจะบูชาด้วยกามทั้งหลายอันเป็นของ ๆ เรา. บทว่า วจฺฉสิ ความว่า ท่าน
จักอยู่เป็นสุขในนาคพิภพนั้น.
ก็แลพระมหาสัตว์ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงนำบิดาและบุตรทั้งสอง
ไปยังนาคพิภพด้วยอานุภาพของตน. เมื่อบิดาและบุตรทั้งสอง ไปถึงนาคพิภพ
อัตภาพก็ปรากฏเป็นทิพย์. ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ก็ยกสมบัติทิพย์ให้แก่
บิดาและบุตรทั้งสองนั้นมากมาย และได้ให้นางนาคกัญญาคนละ 400. ทั้งสอง
คนนั้นก็บริโภคสมบัติใหญ่อยู่ในนาคพิภพนั้น.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็มิได้ประมาท ไปกระทำอุปัฏฐากพระชนกและชนนี
ทุกกึ่งเดือน แสดงธรรมกถาถวาย และต่อแต่นั้น ก็ไปยังสำนักของพราหมณ์
ถามถึงความไม่มีโรคแล้วกล่าวว่า ท่านต้องการสิ่งใด ก็พึงบอกไปเถิด อย่า

เบื่อหน่าย จงรื่นเริง ดังนี้แล้ว ได้การทำปฏิสันถารกับท่านโสมทัตแล้วไปยัง
นิเวศน์ของพระองค์ พราหมณ์อยู่นาคพิภพได้หนึ่งปี เพราะเหตุที่ตนมีบุญน้อย
ก็เกิดเบื่อหน่ายใคร่จะไปโลกมนุษย์ เห็นนาคพิภพปรากฏเหมือนโลกันตนรก
ปราสาทอันประดับงดงาม ก็ปรากฏเหมือนเรือนจำ นางนาคกัญญาที่ตกแต่ง
สวยปรากฏเหมือนนางยักษิณี พราหมณ์จึงคิดว่า เราเบื่อหน่ายเป็นอันดับแรก
เราจักรู้ความคิดของโสมทัตบ้าง ดังนี้แล้วจึงไปยังสำนักของท่านโสมทัตแล้ว
ถามว่า ดูก่อนพ่อโสมทัต ท่านเบื่อหน่ายหรือไม่. ท่านโสมทัตย้อนถามว่า
ข้าแต่พ่อ ข้าจักเบื่อหน่าย เพราะเหตุอะไร ข้าไม่เบื่อหน่าย ก็พ่อเบื่อหน่ายหรือ.
พราหมณ์ตอบว่า เออ เราเบื่อหน่ายอยู่. โสมทัตถามว่า เบื่อหน่ายเพราะเหตุไร.
พราหมณ์ตอบว่า ดูก่อนเจ้า พ่อเบื่อหน่ายด้วยมิได้เห็นมารดาและพี่น้องของเจ้า
พ่อโสมทัตจงมาไปด้วยกันเถิด. โสมทัตแม้กล่าวว่า จะไม่ไป แต่เมื่อบิดา
อ้อนวอนแล้วอ้อนวอนเล่าก็รับคำ. พราหมณ์คิดว่า เราได้ความตกลงใจของ
บุตรเป็นอันดับแรก แต่ถ้าจะบอกพระภูริทัตว่าเราเบื่อหน่าย พระภูริทัตก็จัก
ให้ยศแก่เรายิ่ง ๆ ขึ้นไป เมื่อเป็นเช่นนี้เราก็จะไม่ได้ไป เราจะต้องพรรณนา
ยกย่องสมบัติของภูริทัตด้วยอุบายอย่างหนึ่งจึงถามว่า ที่พระภูริทัตละสมบัติถึง
เพียงนี้ ไปทำอุโบสถกรรมที่มนุษยโลกนั้น เพราะเหตุใด ถ้าตอบว่าต้องการ
จะไปสวรรค์ เราก็จักทูลให้ทราบความหมายของเราว่า สมบัติมีถึงอย่างนี้แล้ว
ท่านยังละไปทำอุโบสถกรรมเพื่อต้องการจะไปสวรรค์ เพราะเหตุไรเล่า คน
อย่างเราจะมาเลี้ยงชีวิตอยู่ด้วยทรัพย์ของผู้อื่น เราจักไปมนุษยโลกเยี่ยมญาติ
แล้วบวชบำเพ็ญสมณธรรม ดังนี้ พระภูริทัตคงจักอนุญาตให้ไป ครั้นพราหมณ์
คิดดังนี้ ครั้นต่อมาวันหนึ่ง พอพระโพธิสัตว์มาเยี่ยมและถามว่า เบื่อหรือไม่
ก็ตอบว่า ข้าพเจ้าจักเบื่อหน่ายเพราะเหตุอะไร สิ่งของเครื่องบริโภคที่ได้แต่
สำนักของพระองค์ มิได้บกพร่องสักอย่างหนึ่ง ในระยะนี้ พราหมณ์มิได้

แสดงถึงเรื่องที่เกี่ยวแก่การจะไป ตั้งต้นก็กล่าวพรรณนาถึงสมบัติของ
พระโพธิสัตว์ว่า
แผ่นดินมีพื้นอันราบเรียบ ประกอบด้วยต้น
กฤษณาเป็นอันมาก ดารดาษด้วยหมู่แมลงค่อมทอง
มีหญ้าเขียวชะอุ่มงามอุดม หมู่ไม้อันน่ารื่นรมย์ สระ
โบกขรณีที่สร้างไว้สวยงาม ระงมด้วยเสียงหงส์ มี
ดอกปทุมร่วงหล่นอยู่เกลื่อนกลาด มีปราสาท 8 มุม
มีเสา 1,000 เสา สำเร็จด้วยแก้วไพฑูรย์ เรืองจรูญ
ด้วยเหล่านางนาคกัญญา พระองค์เป็นผู้บังเกิดใน
วิมานทิพย์อันกว้างใหญ่เป็นวิมานเกษมสำราญรื่นรมย์
มีความสุขหาสิ่งใดจะเปรียบปานมิได้ ด้วยบุญของ
พระองค์ พระองค์เห็นจะไม่ทรงหวังวิมานของพระ-
อินทร์ เพราะฤทธิ์อันยิ่งใหญ่ไพบูลย์ของพระองค์นี้
เหมือนของท้าวสักกเทวราชผู้รุ่งเรือง ฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมา สมนฺตปริโต ความว่า แผ่นดิน
ในนาคพิภพของท่านนี้ ในทิสาภาคทั้งปวง มีพื้นอันราบเรียบ เกลื่อนกล่น
ไปด้วยทองคำ เงิน แก้วมณี แก้วมุกดา และทราย. บทว่า สมา ได้แก่
แผ่นดินมีพื้นเสมอ. บทว่า ปหุตครา มหี ความว่า ประกอบด้วยต้น
กฤษณาเป็นอันมาก. บทว่า อินฺทโคปกสญฉนฺนา ความว่า ดารดาษไป
ด้วยหมู่แมลงค่อมทอง. บทว่า โสภติ หริตุตฺตมา ความว่า ดารดาษไป
ด้วยหญ้าแพรกมีสีเขียวชะอุ่มดูงดงาม. บทว่า วนเจตฺยานิ ได้แก่ หมู่ไม้
ในป่า. บทว่า โอปุปฺผปทุมา ความว่า บนหลังน้ำดารดาษไปด้วยดอก
ปทุมที่ร่วงหล่น. บทว่า สุนิมฺมิตา ความว่า สร้างขึ้นด้วยดีด้วยบุญสมบัติ

ของท่าน. บทว่า อฏฺฐํสา ความว่า ในปราสาทอันเป็นที่อยู่ของท่าน มี
เสาแล้วด้วยแก้วไพฑูรย์ สร้างไว้ดีทั้ง 8 มุม ปราสาทของท่านมีเสา 1,000
บริบูรณ์รุ่งโรจน์ โชติช่วงด้วยนางนาคกัญญา. บทว่า อุปปนฺโนสิ ความว่า
ท่านบังเกิดในวิมานเห็นปานนี้. บทว่า สหสฺสเนตฺตสฺส วิมานํ ได้แก่
เวชยันตปราสาท. บทว่า อิทฺธิ หิ ตยายํ วิปุลา ความว่า เพราะเหตุที่
ฤทธิ์อันยิ่งใหญ่ไพบูลย์ของท่านนี้ ด้วยอุโบสถกรรมนั้น ท่านจึงไม่ปรารถนา
วิมานแม้ของท้าวสักกเทวราช ข้าพเจ้าสำคัญว่า ท่านปรารถนาตำแหน่งอื่น
ยิ่งกว่านั้น.
พระมหาสัตว์ ครั้นได้ฟังดังนั้นแล้วจึงกล่าวว่า ดูก่อนพราหมณ์
ท่านอย่าพูดอย่างนั้นเลย. ยศศักดิ์ของเราหากเทียบกับยศศักดิ์ของท้าวสักกเทว-
ราชแล้ว นับว่าต่ำมาก ปรากฏเหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาดใกล้ภูเขาสิเนรุ พวกเรา
ก็มีค่าไม่ถึงแม้ด้วยคนบำเรอของท่าน ดังนี้แล้วจึงกล่าวคาถาว่า
อานุภาพของคนบำรุงบำเรอชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งอยู่ใน
อำนาจของท้าวสักกเทวราชผู้รุ่งเรือง ซึ่งใครๆ ไม่พึง
ถึงด้วยใจ.

ความแห่งคำเป็นคาถานั้นมีดังนี้ ดูก่อนพราหมณ์ ใครๆไม่พึงถึงด้วย
ใจคือแม้ด้วยจิตว่า ชื่อว่า ยศศักดิ์ของท้าวสักกเทวราช จะมีเพียงเท่านี้ คือ
1-2-3-4 วันเท่านั้น ยศศักดิ์ของสัตว์เดรัจฉานของเรายังไม่ถึงเสี้ยวที่ 16
แห่งยศศักดิ์ของท้าวมหาราชทั้ง 4 ก็ดี ของท้าวโลกบาลทั้ง 4 ผู้บำรุงบำเรอ
เที่ยวทำให้เป็นผู้ใหญ่ผู้นำก็ดี.
ก็แลครั้นพระโพธิสัตว์กล่าวอย่างนี้แล้ว จึงกล่าวต่อไปว่า เราได้ยิน
ท่านพูดว่า นี้เป็นวิมานของท่านผู้มีพระเนตร 1,000 เราก็ระลึกได้เพราะว่าเรา

ปรารถนาเวชยันตปราสาท จึงกระทำอุโบสถกรรม เมื่อจะบอกความปรารถนา
ของตนแก่พราหมณ์ จึงกล่าวคาถานี้ว่า
เราปรารถนาวิมานของเทวดาทั้งหลาย ผู้ตั้งอยู่
ในความสุขนั้น จึงเข้าจำอุโบสถ อยู่บนจอมปลวก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภิชฺฌาย แปลว่า ปรารถนา. บทว่า
อมรานํ ได้แก่ เทพผู้มีอายุยืนนาน. บทว่า สุเขสินํ ได้แก่ ผู้แสวงหา
ความสุข คือผู้ปรารถนาความสุข.
พราหมณ์ครั้นได้ฟังดังนั้นแล้ว ถึงความโสมนัสว่า บัดนี้เราได้โอกาส
แล้ว เมื่อจะลาไปจึงกล่าว 2 คาถาว่า
ข้าพระองค์กับทั้งบุตรเข้าไปสู่ป่าแสวงหามฤค
มานานวัน พวกญาติทางบ้านเหล่านั้น ไม่รู้ว่าข้าพระ
องค์ตายหรือเป็น ข้าพระองค์จะขอทูลลาพระภูริทัต
ผู้ทรงยศ เป็นโอรสแห่งกษัตริย์กาสี กลับไปยัง
มนุษยโลก พระองค์ทรงอนุญาตแล้ว ข้าพระองค์
ก็จะไปเยี่ยมหมู่ญาติ พระเจ้าข้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาภิเวเทนฺติ แปลว่า ย่อมไม่รู้.
ความว่า แม้เมื่อกล่าวถึงพวกเขาเหล่านี้ก็ไม่มีใครรู้เลย. บทว่า มิคเมสาโน
ตัดเป็น มคํ เอสาโน แปลว่า ผู้ แสวงหามฤค. บทว่า อามนฺตเย แปลว่า
ข้าพระองค์ขอทูลลา. บทว่า กาสิปุตฺตํ ได้แก่ เป็นโอรสแห่งราชธิดา
ของกษัตริย์กาสี.
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์กล่าว 2 คาถาว่า
การที่ท่านได้มาอยู่ในสำนักของเรานี้ เป็นความ
พอใจของเราหนอ แต่ว่ากามารมณ์เช่นนี้ เป็นของ

ไม่ได้ง่ายในมนุษย์ ถ้าท่านไม่ปรารถนาจะอยู่ เราจะ
บูชาท่านด้วยกามารมณ์ทั้งหลาย เราอนุญาตให้ท่านไป
เยี่ยมญาติได้โดยสวัสดี.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ ครั้นกล่าว 2 คาถาแล้ว จึงคิดว่า พราหมณ์
นี้ เมื่อได้อาศัยเราเลี้ยงชีพเป็นสุขคงจะไม่บอกแก่ใคร ๆ เราจักให้แก้วมณี
อันให้ความใคร่ทุกอย่างแก่พราหมณ์นี้. ลำดับนั้น เมื่อจะให้แก้วมณีแก่
พราหมณ์นั้น จึงกล่าวว่า
ดูก่อนพราหมณ์ ท่านจงรับเอาทิพยมณีนี้ไป เมื่อ
ท่านทรงทิพยมณีนี้ไป จะต้องการปศุสัตว์ก็ดี บุตรก็ดี
หรือปรารถนาอะไรอื่นก็ดี ก็จะได้สมประสงค์ทุก
ประการ ท่านจงปราศจากโรคภัยเป็นสุขเถิด.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปสุํ ปุตฺเต จ วินฺทสิ ความว่า เมื่อ
ท่านทรงแก้วมณีนี้ ด้วยอานุภาพของแก้วมณีนี้ ท่านย่อมได้สิ่งที่ท่านปรารถนา
ทั้งหมด คือจะเป็นปศุสัตว์ บุตร และสิ่งอื่นก็จะได้สมประสงค์.
ลำดับนั้น พราหมณ์จึงกล่าวคาถาว่า
ข้าแต่พระภูริทัต พระดำรัสของพระองค์หาโทษ
มิได้ ข้าพระองค์ยินดียิ่งนัก ข้าพระองค์แก่แล้วจัก
บวช ไม่ปรารถนากามทั้งหลาย.
คำอันเป็นคาถานั้นมีอธิบายว่า ดูก่อนภูริทัต พระดำรัสของท่านเป็น
กุศล ไม่มีโทษ ข้าพระองค์ยินดีพระดำรัสนั้นยิ่งนักไม่ปฏิเสธ แต่ข้าพระองค์
แก่แล้ว เพราะฉะนั้นข้าพระองค์จักบวช. บทว่า น กาเม อภิปตฺถเย ความ
ว่า ข้าพระองค์ไม่ปรารถนากามทั้งหลาย ข้าพระองค์จะประโยชน์อะไรด้วย
แก้วมณี.

พระมหาสัตว์จึงกล่าวว่า
หากว่าพรหมจรรย์มีการต้องละเลิกไซร้ กิจที่พึง
ทำด้วยโภคทรัพย์ทั้งหลายเกิดขึ้น ท่านอย่าได้มีความ
หวั่นใจเลยควรมาหาเรา เราจะให้ทรัพย์แก่ท่านมาก ๆ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เจ ภงฺโค ความว่า ดูก่อนพราหมณ์
ชื่อว่าการอยู่พรหมจรรย์ เป็นการทำได้ยากยิ่ง ถ้าหากในกาลใด พรหม-
จรรย์ที่เราไม่ยินดีมีการต้องละเลิก ในกาลนั้น กิจที่ต้องทำด้วยโภคทรัพย์
ทั้งหลายของผู้เป็นคฤหัสถ์มีอยู่ ในกาลเช่นนี้ ท่านอย่าได้หวาดหวั่นใจไปเลย
ควรมาสำนักเรา เราจะให้ทรัพย์แก่ท่านมาก ๆ.
พราหมณ์กล่าวว่า
ข้าแต่พระภูริทัต พระดำรัสของพระองค์หาโทษ
มิได้ ข้าพระองค์ยินดียิ่งนัก ข้าพระองค์จะกลับมาอีก
ถ้าจักมีความต้องการ.

ศัพท์ว่า ปุนาปิ ในคาถานั้นแก้เป็นปุนปิ. อนึ่ง นี้ก็เป็นบาลีเช่นกัน
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์รู้ว่าพราหมณ์นั้นไม่ปรารถนาจะอยู่ในที่นั้น
จึงให้เรียกนาคมาณพทั้งหลายมา แล้วส่งไปว่า พวกท่านจงนำพราหมณ์ไป
ให้ถึงมนุษยโลก.
พระศาสดาเมื่อทรงประกาศความนั้น จึงตรัสว่า
พระภูริทัตตรัสดำรัสนี้แล้ว จึงใช้ให้นาคมาณพ
4 ตนไปส่งว่า ท่านทั้งหลายจงมา เตรียมตัวพา
พราหมณ์ไปส่งให้ถึงโดยเร็ว นาคมาณพทั้ง 4 ตนที่
ภูริทัตตรัสใช้ให้ไปส่ง ฟังรับสั่งของภูริทัต เตรียมตัว
แล้วพาพราหมณ์ไปส่งให้ถึงโดยเร็ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาเปสุํ ความว่า นาคมาณพทั้ง 4 ขึ้น
จากแม่น้ำยมุนา ส่งให้ถึงทางไปกรุงพาราณสี ก็แลครั้นส่งให้ถึงแล้วจึงกล่าวว่า
ไปเถิดท่าน ดังนี้แล้วก็กลับมายังนาคพิภพตามเดิม.
ฝ่ายพราหมณ์ เมื่อบอกแก่บุตรว่า ดูก่อนพ่อโสมทัต เรายิงมฤค
ในที่นี้ สุกรในที่นี้ ดังนี้แล้วจึงเดินไป เห็นสระโบกขรณีในระหว่างทางแล้ว
กล่าวว่า พ่อโสมทัต อาบน้ำกันเถิด เมื่อท่านโสมทัตกล่าวว่า ดีละพ่อ ทั้งสอง
คนจึงเปลื้องเครื่องอาภรณ์อันเป็นทิพย์ และผ้าทิพย์ แล้วห่อวางไว้ริมฝั่งสระ-
โบกขรณีแล้วลงไปอาบน้ำ. ขณะนั้น เครื่องอาภรณ์และผ้าทิพย์เหล่านั้นได้
หายไปยังนาคพิภพตามเดิม ผ้านุ่งห่มผืนเก่ากลับสวมใส่ในร่างของคนทั้งสอง
นั้นก่อนแม้ธนูศรและหอกได้ปรากฏตามเดิม. ฝ่ายท่านโสมทัตร้องว่า
ท่านทำเราให้ฉิบหายแล้วพ่อ. ลำดับนั้น บิดาจึงปลอบท่าน โสมทัตว่า
อย่าวิตกไปเลยลูกพ่อ เมื่อมฤคมีอยู่เราฆ่ามฤคในป่าเลี้ยงชีวิต. มารดาท่าน
โสมทัตทราบการมาของคนทั้งสอง จึงต้อนรับนำไปสู่เรือน จัดข้าวน้ำเลี้ยง
ดูให้อิ่มหนำสำราญ. พราหมณ์บริโภคอาหารเสร็จแล้วก็หลับไป. ฝ่ายนางจึง
ถามบุตรว่า พ่อโสมทัต ทั้ง 2 คนหายไปไหนมานานจนถึงป่านนี้. โสมทัต
ตอบว่า ข้าแต่แม่ พระภูริทัตนาคราชพาข้ากับบิดาไปยังนาคพิภพ เพราะเหตุนั้น
เราทั้งสองคิดถึงแม่ จึงกลับมาถึงบัดนี้. มารดาถามว่า. ได้แก้วแหวนอะไร ๆ
มาบ้างเล่า. โสมทัตตอบว่า ไม่ได้มาเลยแม่. มารดาถามว่า. ทำไมพระภูริทัต
ไม่ให้อะไรบ้างหรือ. โสมทัตตอบว่า พระภริทัตให้แก้วสารพัดนึกแก่พ่อ ๆ
ไม่รับเอามา. มารดาถามว่า เหตุไรพ่อเจ้าจึงไม่รับ. โสมทัตตอบว่า. ข้าแต่
แม่ ข่าวว่าพ่อจักบวช . นางพราหมณีนั้นโกรธว่า บิดาทิ้งทารกให้เป็นภาระ
แก่เรา ตลอดกาลประมาณเท่านี้ ไปอยู่เสียในนาคพิภพ ข่าวว่าเดี๋ยวนี้จะบวช
ดังนี้แล้วจึงตีหลังพราหมณ์ด้วยพลั่วสาดข้าว แล้วขู่คำรามว่า อ้ายพราหมณ์
ผู้ชั่วร้าย ข่าวว่าจักบวช ภูริทัตให้แก้วมณีก็ไม่รับ ทำไมไม่บวช กลับมาที่นี้

ทำไมอีกเล่า จงรีบออกไปให้พ้นเรือนกู. ลำดับนั้น พราหมณ์จึงปลอบนาง
พราหมณีว่า เจ้าอย่าโกรธข้าเลย เมื่อมฤคในป่ายังมีอยู่ข้าจะไปฆ่ามาเลี้ยงเจ้า
ดังนี้แล้วก็จากที่นั้นไปป่าพร้อมด้วยบุตร หาเลี้ยงชีวิตโดยทำนองในก่อนแล.
จบเนสาทกัณฑ์
ในกาลนั้น ยังมีครุฑคนหนึ่ง อยู่ที่ต้นงิ้วทางมหาสมุทรภาคใต้ กระพือ
ลมปีกแหวกน้ำในมหาสมุทรลงไป จับศีรษะนาคราชได้ตัวหนึ่ง. แท้จริงใน
กาลนั้น ครุฑทั้งหลาย ยังไม่รู้จักวิธีจับนาค ครั้นภายหลังจึงรู้จักวิธีจับนาค
อย่างในปัณฑรกชาดก1 แต่ครุฑตัวนั้น เมื่อจับนาคทางศีรษะ ยังไม่ทันน้ำจะ
ท่วมมาถึง ก็หิ้วนาคขึ้นได้ ปล่อยให้นาคห้อยหางลง พาบินไปเบื้องบนป่า
หิมพานต์. ก็ในกาลนั้นมีพราหมณ์ชาวกาสิกรัฐผู้หนึ่ง ออกบวชเป็นฤาษี
สร้างบรรณศาลาอาศัย อยู่ในหิมวันตประเทศ. ที่สุดจงกรมของฤาษีนั้นมีต้น
ไทรใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง. ฤาษีนั้นทำที่พักผ่อนหย่อนใจในกลางวันที่โคนต้นไทรนั้น
ครุฑหิ้วนาคผ่านไปถึงตรงยอดไทร. นาคปล่อยหางห้อยอยู่ก็เอาหางพันคาคบ
ต้นไทรด้วยหมายใจจะให้พ้น . ครุฑมิทันรู้ก็รีบไปทางอากาศ เพราะมันมีกำลัง
มาก. ต้นไทรพร้อมทั้งรากติดหางนาคไปด้วย เมื่อครุฑพานาคไปถึงต้นงิ้วก็
จิกด้วยจะงอยปาก ฉีกท้องนาคกินมันเหลวของนาค ทิ้งร่างลงไปในต้องมหา-
สมุทร ต้นไทรก็ตกลงเสียงดังสนั่นหวั่นไหว. ครุฑสงสัยว่าเสียงอะไร ก็มองไป
ดูเบื้องต่ำแลเห็นต้นไทร จึงคิดในใจว่า ต้นไทรนี้เราถอนมาแต่ไหน ก็นึกได้
โดยถ่องแท้ว่า ต้นไทรนั้นอยู่ท้ายที่จงกรมของพระดาบส ตัวเราจะปรากฏว่า ทำ
อกุศลหรือไม่หนอ เราจักไปถามดาบสนั้นดูก็จะรู้ได้ ดังนี้แล้วก็แปลงเพศเป็น
มาณพน้อยไปสู่สำนักพระดาบส. ขณะนั้นพระดาบสกำลังทำที่นั้นให้สม่ำเสมอ
พระยาสุบรรณไหว้พระดาบสแล้วก็นั่งอยู่ ณ ที่สมควร ทำทีประหนึ่งว่าไม่รู้

1. ขุ. ชา. 27/2387

แกล้งถามว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้เจริญ ที่ตรงนี้เดิมเป็นที่อยู่ของอะไร. ดาบส
ตอบว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ สุบรรณตนหนึ่งนำนาคมาเพื่อเป็นภักษาหาร เมื่อ
นาคเอาหางพันคาคบต้นไทรด้วยหมายจะให้พ้น สุบรรณนั้นมิทันรู้บินไปโดย
เร็ว เพราะความที่ตนมีกำลังมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ต้นไม้ในที่นี้ ก็ถูกถอนขึ้นทันที
ที่ตรงนี้แหละเป็นที่แห่งต้นไทรนั้นถอนขึ้น. สุบรรณถามว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
ผู้เจริญ อกุศลกรรมจะมีแก่สุบรรณหรือไม่. ดาบสตอบว่า ถ้าหากว่าสุบรรณ
นั้นไม่รู้อกุศลกรรมก็ไม่มี เพราะไม่มีเจตนา. สุบรรณถามว่า ก็อกุศลกรรมจะ
มีแก่นาคนั้นหรือไม่เล่าเจ้าข้า. ดาบสตอบว่า นาคก็มิได้จับเหนี่ยวไว้เพื่อจะให้
ต้นไทรเสียหาย จับเหนี่ยวไว้เพื่อจะให้พ้นภัย เพราะเหตุนั้นอกุศลกรรมก็ไม่มี
แก่นาคแม้นั้นเหมือนกัน.
สุบรรณได้ฟังคำของดาบสก็ยินดีจึงกล่าวว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้เจริญ
ข้าพเจ้านี้แหละคือสุบรรณนั้น ข้าพเจ้ายินดีด้วยพระผู้เป็นเจ้าแก้ปัญหา ข้าพเจ้า
รู้มนต์ชื่อว่า อาลัมพายน์ บทหนึ่งหาค่ามิได้ ข้าพเจ้าจะถวายมนต์นั้นแก่พระผู้
เป็นเจ้า ให้เป็นส่วนบูชาอาจารย์ พระผู้เป็นเจ้าจงรับไว้เถิด. ดาบสกล่าวว่า
พอละ เราไม่ต้องการด้วยมนต์ ท่านจงไปเถิด. สุบรรณวิงวอนอยู่บ่อย ๆ จน
พระดาบสรับแล้วจึงถวายมนต์ แล้วบอกยาแก่ดาบสแล้วก็หลีกไป.
จบครุฑกัณฑ์
ในกาลนั้น ยังมีพราหมณ์คนหนึ่งในกรุงพาราณสีกู้ยืมหนี้สินไว้มาก
มาย ถูกเจ้าหนี้ทั้งหลายทวงถามก็คิดว่า เราจะอยู่ในเมืองนี้ไปทำไมอีก เข้าไป
ตายเสียในป่ายังประเสริฐกว่า ดังนี้แล้วจึงออกจากบ้านเข้าไปในป่าจึงบรรลุถึง
อาศรมแห่งพระฤาษี ปฏิบัติพระดาบสให้ยินดีด้วยวัตตสัมปทาคุณ. พระดาบส
คิดว่า พราหมณ์ผู้นี้เป็นผู้มีอุปการะแก่เรายิ่งนัก เราจักให้ทิพยมนต์ซึ่งสุบรรณ-
ราชให้เราไว้แก่พราหมณ์ผู้นี้ ดังนี้ แล้วก็บอกพราหมณ์ว่า ดูก่อนพราหมณ์ เรา

รู้มนต์ชื่อว่าอาลัมพายน์ จักให้มนต์นั้นแก่ท่าน ท่านจงเรียนมนต์นั้นไว้ แม้เมื่อ
พราหมณ์นั้นห้ามว่า อย่าเลย ข้าพเจ้าไม่ต้องการมนต์ ก็อ้อนวอนแล้วอ้อนวอน
เล่า จนพราหมณ์รับถ้อยคำแล้วจึงให้มนต์ และบอกยาอันประกอบกับมนต์
และอุปจารแห่งมนต์ พราหมณ์นั้นคิดว่า. เราได้อุบายที่จะเลี้ยงชีพแล้ว ก็พัก
อยู่ 2-3 วัน แล้วอ้างเหตุว่า โรคลมเบียดเบียน จนพระดาบสยอมปล่อยไป
จึงกราบไหว้พระดาบสขอขมาโทษแล้วก็ออกจากป่าไป จนถึงฝั่งแม่น้ำยมุนา
โดยลำดับ เดินสาธยายมนต์นั้นไปตามหนทางใหญ่.
ขณะนั้น นางนาคมาณวิกาบาทบริจาริกาของพระภูริทัตประมาณ
1,000 ตน ต่างถือเอาแก้วมณีที่ให้ความปรารถนาทุกอย่างนั้นออกจากนาคพิภพ
แล้ววางแก้วนั้นไว้บนกองทราย ริมฝั่งแม่น้ำยมุนา แล้วพากันเล่นน้ำตลอด
คืน ด้วยแสงสว่างแห่งแก้วมณีนั้น ครั้นอรุณขึ้น จึงพากันตกแต่งกายด้วย
เครื่องอาภรณ์ทั้งปวง นั่งล้อมแก้วมณีให้สิริเข้าสู่กาย. ฝ่ายพราหมณ์ก็เดิน
สาธยายมนต์มาถึงที่นั้น เหล่านางนาคมาณวิกาได้ยินเสียงมนต์ สำคัญว่าเสียง
พราหมณ์นั้นเป็นสุบรรณ ก็สะดุ้งกลัวเพราะมรณภัยไม่ทันหยิบแก้วมณี ก็พา
กันแทรกปฐพีไปยังนาคพิภพ พราหมณ์เห็นแก้วมณีก็ดีใจว่ามนต์ของเราสำเร็จ
ผลเดี๋ยวนี้แล้ว ก็หยิบเอาแก้วมณีนั้นไป.
ขณะนั้น พราหมณ์เนสาทพร้อมโสมทัตเข้าไปสู่ป่าเพื่อล่าเนื้อ เห็น
แก้วมณีนั้นในมือของพราหมณ์นั้น จึงกล่าวกะบุตรว่า ดูก่อนโสมทัต แก้วมณี
ดวงนี้พระภูริทัตให้แก่เรามิใช่หรือ.
โสมทัต. ใช่แล้วพ่อ.
บิดา. ถ้าเช่นนั้นเราจะกล่าวโทษแก้วมณีดวงนั้นหลอกพราหมณ์เอา
แก้วมณีนี้เสีย.
โสมทัต. ข้าแต่พ่อ เมื่อพระภูริทัตให้ครั้งก่อนพ่อไม่รับ แต่บัดนี้
กลับจะไปหลอกพราหมณ์เล่า นิ่งเสียเถิด.

พราหมณ์เนสาทจึงกล่าวว่า เรื่องนั้นยกไว้ก่อน เจ้าคอยดูเราหลอกตา
นั่นเถิด ว่าแล้วเมื่อจะปราศรัยกับอาลัมพายน์จึงกล่าวว่า
แก้วมณีที่สมมติว่าเป็นมงคล เป็นของดี เป็น
เครื่องปลื้มรื่นรมย์ใจเกิดแต่หิน สมบูรณ์ด้วยลักษณะ
ที่ท่านถืออยู่นี้ ใครได้มาไว้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มงฺคลฺยํ ความว่า แก้วมณีที่สมมติว่าเป็น
มงคล ให้ซึ่งสมบัติอันน่าใคร่ทั้งปวง.
ลำดับนั้น อาลัมพายน์กล่าวคาถาว่า
แก้วมณีนี้ พวกนางนาคมาณวิกาประมาณ 1,000
ตน ล้วนมีตาแดงแวดล้อมอยู่โดยรอบ ในกาลวันนี้
เราเดินทางไปได้แก้วมณีนั้นมา.

คำเป็นคาถานั้นมีอธิบายว่า วันนี้เราเดินไปตามทางแต่เวลาเช้าตรู่
เดินไปตามหนทางใหญ่ได้พบแก้วมณี แวดล้อมโดยรอบด้วยนางนาคมาณวิกา
ผู้มีตาแดงประมาณ 1,000 ตน ก็นางนาคมาณวิกาทั้งหมดนั้นเห็นเราเข้า
สะดุ้งตกใจแล้ว พากันทิ้งแก้วมณีนี้หนีไป.
พราหมณ์เนสาท ประสงค์จะลวงอาลัมพายน์นั้น จึงประกาศโทษ
แห่งแก้วมณี ประสงค์จะยึดเอาเป็นของตนจึงกล่าวคาถาว่า
แก้วมณีอันเกิดแต่หินนี้ ที่สั่งสมมาได้ด้วยดี อัน
บุคคลเคารพบูชาประดับประดาเก็บรักษาไว้ดีทุกเมื่อ
ยังประโยชน์ทั้งปวงให้สำเร็จได้ เมื่อบุคคลปราศจาก
การระวังในการเก็บรักษา หรือในการประดับประดา

แก้วมณีอันเกิดแต่หินนี้ ที่บุคคลหามาได้โดยไม่แยบ
คาย ย่อมเป็นไปเพื่อความพินาศ คนผู้ไม่มีกุศล ไม่
ควรประดับแก้วมณีอันเป็นทิพย์นี้ เราจักให้ทองคำ
ร้อยแท่ง ขอท่านจงให้แก้วมณีนี้แก่เราเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สพฺพตฺถํ ความว่า ผู้ใดจักเก็บประดับ
สั่งสมแก้วมณีอันเกิดแต่หินนี้ คือทรงไว้เก็บไว้ด้วยดี โดยยึดถือว่าของๆ เรา
เหมือนชีวิตของตน อันผู้นั้นนั่นเก็บสั่งสมด้วยดี บูชาทรงไว้เก็บรักษาไว้ด้วยดี
ย่อมยังประโยชน์ทุกอย่างให้สำเร็จ. บทว่า อุปจารวิปนฺนสฺส ความว่า ก็
บุคคลผู้ปราศจากการเก็บรักษาไว้โดยอุบายอันไม่แยบคาย ท่านกล่าวว่าย่อมนำ
มาแต่ความพินาศเท่านั้น. บทว่า ธาเรตุมารโห แปลว่า ไม่ควรเพื่อจะประดับ
ประดา. บทว่า ปฏิปชฺช สตํ นิกฺขํ ความว่า พวกเรารู้เพื่อจะเก็บแก้วมณี
ไว้ให้มากในเรือนของเรา เราจะให้แท่งทอง 100 แท่งแก่ท่าน ท่านจงปกครอง
แท่งทองนั้น แล้วจงให้แก้วมณีแก่เรา. แม้แท่งทองในเรือนของท่านเพียงแท่ง
เดียวก็ไม่มี ผู้นั้นย่อมรู้ว่าแก้วมณีนั้นให้สิ่งสารพัดนึก เราจะอาบน้ำดำศีรษะแล้ว
เอาน้ำประพรมแก้วมณี จึงกล่าวว่า ท่านจงให้แท่งทอง 100 แท่งแก่เรา เมื่อ
เป็นเช่นนี้เราจักให้แก้วมณีที่ปรากฏว่าเป็นของเราแก่ท่าน เพราะเหตุนั้นผู้
กล้าหาญจึงกล่าวอย่างนี้.
ลำดับนั้น อาลัมพายน์ กล่าวคาถาว่า
แก้วมณีของเรานี้ ไม่ควรแลกเปลี่ยนด้วยโคหรือ
รัตนะ เพราะแก้วมณีอันเกิดแต่หิน บริบูรณ์ด้วย
ลักษณะเราจึงไม่ขาย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เนวมายํ ความว่า แก้วมณีของเรานี้
ชื่อว่า ควรแลกเปลี่ยนด้วยวัตถุอะไร. บทว่า เนว เกยฺโย ความว่า และ
แก้วมณีของเรานี้ สมบูรณ์ด้วยลักษณะชื่อว่าเป็นของไม่ควรซื้อและควรขาย
ด้วยวัตถุอะไรๆ.
พราหมณ์เนสาทกล่าวว่า
ถ้าท่านไม่แลกเปลี่ยนแก้วมณีด้วยโคหรือรัตนะ
เมื่อเป็นเช่นนั้นท่านจะแลกเปลี่ยนแก้วมณีด้วยอะไร
เราถามแล้ว ขอท่านจงบอกความข้อนั้นแก่เรา.

อาลัมพายน์กล่าวว่า
ผู้ใดบอกนาคใหญ่ผู้มีเดช ยากที่บุคคลจะล่วง
เกินได้ เราจะให้แก้วมณีอันเกิดแต่หินอันรุ่งเรืองด้วย
รัศมี.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ชลนฺตริว เตชสา แปลว่า เหมือน
รุ่งเรืองด้วยรัศมี
พราหมณ์เนสาทกล่าวว่า
ครุฑผู้ประเสริฐหรือใครหนอ แปลงเพศเป็น
พรหมณ์มาแสวงหานาค ประสงค์จะนำไปเป็นอาหาร
ของตน.

คำว่า โก นุ นี้ในคาถานั้น พราหมณ์เนสาทคิดว่า ชะรอยว่าผู้
นั้นเป็นครุฑติดตามอาหารของตนจึงกล่าวอย่างนั้น ่
อาลัมพายน์กล่าวว่า
ดูก่อนพราหมณ์ เรามิได้เป็นครุฑ เราไม่เคยเห็น
ครุฑ เราเป็นผู้สนใจด้วยงูพิษ ชนทั้งหลายรู้จักเราว่า
เป็นหมองู.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มํ วิทู ความว่า ชนทั้งหลายรู้จักเราว่า
ผู้นี้เป็นผู้สนใจด้วยงูพิษ เป็นหมองู ชื่อว่า อาลัมพายน์.
พราหมณ์เนสาทกล่าวว่า
ท่านมีกำลังอะไร มีศิลปอะไร ท่านเป็นผู้ทรง
ไว้ซึ่งผลอันพิเศษในอะไร จึงไม่ยำเกรงนาค.

บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยคำว่า กิสฺมึ วา ตฺวึ ปรตฺถทฺโธ ท่าน
ถามว่า ท่านเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งผลอันพิเศษในอะไร กระทำอะไรให้เป็นที่อาศัย จึง
ไม่ยำเกรงนาคคืออสรพิษ คือดูหมิ่นไม่ทำความยำเกรงให้เป็นผู้ประเสริฐ.
อาลัมพายน์นั้น เมื่อแสดงกำลังของตนจึงกล่าวว่า
ครุฑมาบอกวิชาหมองูอย่างสูงแก่ฤาษีโกสิยโคตร
ผู้อยู่ในป่าประพฤติตบะอยู่สิ้นกาลนาน เราเข้าไปหา
ฤาษีตนหนึ่งซึ่งนับเข้าในพวกฤาษีผู้บำเพ็ญตน อาศัย
อยู่ในระหว่างภูเขา ได้บำรุงท่านโดยเคารพ มิได้เกียจ
คร้านทั้งกลางคืนกลางวัน ในกาลนั้น ท่านบำเพ็ญ
วัตรและพรหมจรรย์ เป็นผู้มีโชค เมื่อได้สมาคมกับ
เรา จึงสอนมนต์ทิพย์ให้แก่เราด้วยความรัก เราทรงไว้
ซึ่งผลอันวิเศษในมนต์นั้น จึงไม่กลัวต่อนาค เราเป็น
อาจารย์ของพวกหมอผู้ฆ่าอสรพิษ ชนทั้งหลายรู้จักเรา
ว่าอาลัมพายน์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โกสิยสฺสกฺขา ความว่า ครุฑมาบอกแก่
ฤาษีโกสิยโคตร ก็เหตุที่ครุฑนั้นบอกทั้งหมดพึงกล่าวให้พิสดาร. บทว่า
ภาวิตตฺตญฺญตรํ ความว่า เราเข้าไปหาฤาษีคนหนึ่ง บรรดาผู้บำเพ็ญตน.

บทว่า สมฺมนฺตํ แปลว่า อาศัยอยู่. บทว่า กามสา ได้แก่ ด้วยความปรารถนา
ของตน. บทว่า มนํ ความว่า ย่อมประกาศมนต์นั้นแก่เรา. บทว่า ตฺยาหํ
มนฺเต ปรตฺถทฺโธ
ความว่า เราทรงไว้ซึ่งผลอันวิเศษคืออาศัยมนต์เหล่านั้น.
บทว่า โภคินํ ได้แก่ นาคทั้งหลาย. บทว่า วิสฆาฏานํ ความว่า เป็น
อาจารย์ของพวกหมอฆ่าอสรพิษ.
พราหมณ์เนสาท ได้ฟังดังนั้นแล้วจึงคิดว่า อาลัมพายน์นี้ให้แก้วมณี
แก่บุคคลผู้แสดงที่อยู่ของพระภูริทัตแก่เขา ครั้นแสดงพระภูริทัตแก่เขาแล้วจึง
จักรับเอาแก้วมณี.
แต่นั้นเมื่อจะปรึกษากับบุตรจึงกล่าวว่า
ดูก่อนลูกโสมทัต เราควรรับแก้วมณีไว้สิ
เจ้าจงรู้ไว้ เราอย่าละสิริอันมาถึงตนด้วยท่อนไม้ตาม
ชอบใจสิ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า คณฺหามฺหเส แปลว่า ควรรับเอา.
บทว่า กามสา ความว่า อย่าที่ด้วยท่อนไม้แล้วละสิริตามชอบใจของตน.
โสมทัตกล่าวว่า
ข้าแต่พ่อผู้เป็นพราหมณ์ ภูริทัตนาคราชบูชา
คุณพ่อผู้ไปถึงที่อยู่ของตน เพราะเหตุไร คุณพ่อจะ
ปรารถนาประทุษร้าย ต่อผู้กระทำดี เพราะความหลง
อย่างนี้ ถ้าคุณพ่อปรารถนาทรัพย์ ภูริทัตนาคราชก็
คงจักให้ คุณพ่อไปขอท่านเถิด ภูริทัตนาคราชคงจัก
ให้ทรัพย์เป็นอันมากแก่คุณพ่อ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปูชยิ ความว่า บูชาแล้วด้วยกามอัน
เป็นทิพย์. บทว่า ทุพฺภิมิจฺฉสิ ความว่า ดูก่อนพ่อ ท่านปรารถนาเพื่อ
กระทำกรรมคือการประทุษร้ายต่อมิตรเห็นปานนั้นหรือ.

พราหมณ์กล่าวว่า
ดูก่อนโสมทัต การกินของที่ถึงมือ ที่อยู่ใน
ภาชนะหรือที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า เป็นความประเสริฐ
ประโยชน์ที่อยู่เบื้องหน้าเรา อย่าได้ล่วงเราไปเสียเลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หตฺถคตํ ความว่า ดูก่อนพ่อโสมทัต
ท่านเป็นหนุ่มไม่รู้ความเป็นไปของโลกอะไร เพราะจะเคี้ยวกินสิ่งที่อยู่ในมือ
อยู่ในบาตร หรือที่ตั้งเก็บไว้ตรงหน้านั้นนั่นแลประเสริฐ คือ ตั้งอยู่ในที่ไม่ไกล
โสมทัตกล่าวว่า
คนประทุษร้ายต่อมิตร สละความเกื้อกูล จะตก
หมกไหม้อยู่ในนรกอันร้ายแรง แผ่นดินย่อมสูบผู้นั้น
หรือเมื่อผู้นั้นมีชีวิตอยู่ที่ซูบซีด ถ้าคุณพ่อปรารถนา
ทรัพย์ ภูริทัตนาคราชก็คงจักให้ ลูกเข้าใจว่า คุณพ่อ
จักต้องประสบเวรที่ตนทำไว้ในไม่ช้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มหิมสฺส วินฺทฺรียติ ความว่า ดูก่อน
พ่อ ปฐพีย่อมแยกให้ช่องแก่ประทุษร้ายต่อมิตร ทั้งที่ยังเป็นอยู่นั่นแล.
บทว่า หิตจฺจาคี ได้แก่ ผู้สละประโยชน์เกื้อกูลของตน. บทว่า
ชีวเร วาปิ สุสฺสติ ความว่า ถึงจะมีชีวิตอยู่ก็ย่อมซูบซีดเป็นมนุษย์เพียงดัง
เปรตฉะนั้น. ว่า อตฺตกตํ เวรํ ได้แก่ บาปที่ตนทำ. บทว่า น จิรํ
ความว่า ลูกเข้าใจว่า ไม่นานเขาจักประสบเวร.
พราหมณ์กล่าวว่า
พราหมณ์ทั้งหลายบูชามหายัญแล้ว ย่อมบริสุทธิ์
ได้ เราจักบูชามหายัญ ก็จักพ้นจากบาปด้วยการบูชา
ยัญอย่างนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า สุชฺฌนฺติ แสดงว่า ลูกโสมทัต
ลูกยังเป็นหนุ่มไม่รู้อะไร ธรรมดาว่า พราหมณ์ทั้งหลาย ครั้นกระทำบาป
อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยยัญ จึงได้กล่าวอย่างนี้
โสมทัตกล่าวว่า
เชิญเถิด ลูกจะขอแยกไป ณ บัดนี้ วันนี้ลูกจะ
ไม่ขออยู่ร่วมกับคุณพ่อ จะไม่ขอเดินทางร่วมกับคุณ
พ่อ ผู้ทำกรรมหยาบอย่างนี้สักก้าวเดียว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปายามิ ความว่า เชิญเถิด ลูกจะขอ
แยกไป คือหนีไป. ก็แลบัณฑิตมาณพครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว เมื่อไม่อาจให้
บิดาเชื่อฟังคำของตน จึงโพนทนาให้เทวดาทราบด้วยเสียงอันดังว่า ข้าพเจ้า
จะไม่ไปกับคนทำบาปเห็นปานนี้ละ ครั้นประกาศแล้ว ก็หนีไปทั้ง ๆ ที่บิดา
เห็นอยู่นั่นแลเข้าไปสู่ป่าหิมพานต์ บวชเป็นฤาษียังอภิญญาและสมาบัติให้เกิด
แล้ว มิให้เสื่อมฌานแล้วเกิดในพรหมโลก.
เมื่อพระศาสดาจะประกาศความนั้นจึงตรัสว่า
โสมทัตผู้ได้ยินได้ฟังมามาก ได้กล่าวคำนี้กะ
บิดาแล้ว ได้ประกาศให้เทวดาทั้งหลายทราบแล้ว ก็
ได้หลีกไปจากที่นั้น.

จบโสมทัตกัณฑ์
พราหมณ์เนสาทคิดว่า โสมทัตจักไปไหน ออกจากเรือนของตน
ครั้นเห็นอาลัมพายน์ไม่พอใจหน่อยหนึ่ง จึงปลอบว่า ดูก่อนอาลัมพายน์ ท่าน
อย่าวิตกไปเลย เราจักชี้ภูริทัตให้ท่าน ดังนี้แล้ว ก็พาอาลัมพายน์ไปยังที่
รักษาอุโบสถแห่งพระยานาค เห็นพระยานาคคู้ขดขนดอยู่ที่จอมปลวก จึงยืนอยู่
ในที่ไม่ไกล เหยียดมือออกแล้วกล่าว 2 คาถาว่า

ดูก่อนพราหมณ์ ท่านจงจับเอานาคใหญ่นั้น
จงส่งแก้วนั้นมาให้เรา มีรัศมีดังสีแมลงค่อมทอง
ศีรษะแดง ตัวปรากฏดังกองปุยนุ่น นอนอยู่บนจอม
ปลวก ท่านจงจับมันเถิดพราหมณ์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อินฺทโคปกวณฺณาภา ความว่า รัศมี
เหมือนรัศมีแห่งสีแมลงค่อมทอง. บทว่า กปฺปาลปิจุรสฺเสว ความว่า
เหมือนกองปุยนุ่นที่จัดแจงไว้ดีแล้ว.
พระมหาสัตว์ ลืมเนตรขึ้นแลเห็นพราหมณ์เนสาท จึงคิดว่า
เราได้คิดแล้วว่า พราหมณ์คนนี้จะทำอันตรายแก่อุโบสถของเรา เราจึงพาผู้นี้
ไปยังนาคพิภพ แต่งให้มีสมบัติเป็นอันมาก ไม่ปรารถนาเพื่อจะรับแก้วที่เรา
ให้ แต่บัดนี้ไปรับเอาหมองูมา ถ้าเราโกรธแก่ผู้ประทุษร้ายมิตร ศีลของ
เราก็จักขาด ก็เราได้อธิษฐานอุโบสถ อันประกอบด้วยองค์ 4 ไว้ก่อนแล้ว
ต้องให้คงที่อยู่ อาลัมพายน์จะตัด จะเผา จะฆ่า จะแทงด้วยหลาวก็ตามเถิด
เราจะไม่โกรธเขาเลย ถ้าเราจะแลดูเขาด้วยความโกรธ เขาก็จะแหลกเป็น
เหมือนขี้เถ้า ช่างเถอะทุบตีเราเถอะ เราจักไม่โกรธเลย ดังนี้แล้วก็หลับเนตร
ลง ทรงบำเพ็ญอธิษฐานบารมีไว้เป็นเบื้องหน้า ซุกเศียรเข้าไว้ ณ ภายในขนด
นอนนิ่งมิได้ไหวติงเลย.
จบศีลกัณฑ์
ฝ่ายพราหมณ์เนสาท กล่าวว่า ดูก่อนอาลัมพายน์ผู้เจริญ เชิญท่าน
จับนาคนี้ และจงให้แก้วมณีแก่เราเถิด. อาลัมพายน์เห็นนาคแล้วก็ดีใจ มิได้
นับถือในแก้วว่ามีอะไร เปรียบเหมือนเป็นหญ้า โยนแก้วมณีไปที่มือพราหมณ์
เนสาทด้วยคำว่า เอาไปเถิดพราหมณ์ แก้วมณีก็พลาดจากมือพราหมณ์เนสาท
ตกลงที่แผ่นดิน. พอตกลงแล้วก็จมแผ่นดินลงไปยังนาคพิภพนั่นเอง. พราหมณ์

เนสาทเสื่อมจากฐานะ 3 ประการ คือเสื่อมจากแก้วมณี เสื่อมจากมิตรภาพ
กับพระภูริทัต และเสื่อมจากบุตร. เขาก็ร้องไห้รำพันว่า เราหมดที่พึ่งพาอาศัย
แล้ว เพราะเราไม่ทำตามคำของบุตร แล้วไปสู่เรือน.
ฝ่ายอาลัมพายน์ ก็ทาร่างของตนด้วยทิพยโอสถ เคี้ยวกินเล็กน้อยกับ
ประพรมกายของตน ก็ร่ายทิพพมนต์ เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ จับหางพระ-
โพธิสัตว์คร่ามาจับศีรษะไว้มั่นแล้ว เปิดปากพระมหาสัตว์ เคี้ยวยาบ้วนใส่พร้อม
เสมหะเข้าในปากพระมหาสัตว์. พระยานาคผู้เป็นชาติสะอาด ไม่โกรธไม่ลืมตา
เพราะกลัวแต่ศีลจะขาดทำลาย. ลำดับนั้น อาลัมพายน์ก็ใช้ยาและมนต์ จับ
หางพระมหาสัตว์หิ้วให้ศีรษะห้อยลงเบื้องต่ำ เขย่า ให้สำรอกอาหารที่มีอยู่แล้ว
ให้นอนเหยียดยาวที่พื้นดิน เหยียบย่ำด้วยเท้า เหมือนคนนวดถั่ว กระดูก
เหมือนจะแหลกเป็นจุณออกไป. จับทางพระมหาสัตว์หิ้วให้ศีรษะห้อยลงข้าง
ล่างอีก ฟาดลงเหมือนฟาดผ้า. พระมหาสัตว์แม้เสวยทุกขเวทนาถึงปานนี้ก็ไม่
โกรธเลย
พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศความนั้น จึงตรัสว่า
อาลัมพายน์เอาทิพยโอสถทาตัว และร่ายมนต์
ทำการป้องกันตัวอย่างนี้ จึงสามารถจับพระยานาคนั้น
ได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สกฺขิ แปลว่า สามารถ. บทว่า
สณฺฐาตุํ แปลว่า เพื่อจะจับ.
อาลัมพายน์ ครั้นทำพระมหาสัตว์ให้ถอยกำลังดังนั้นแล้ว จึงเอา
เถาวัลย์ถักกระโปรง แล้วเอาพระมหาสัตว์ใส่ในกระโปรงนั้น แต่สรีระของ
พระมหาสัตว์ใหญ่ เข้าไปในกระโปรงนั้นไม่ได้. ลำดับนั้น อาลัมพายน์จึงใช้

ส้นเท้าถีบพระมหาสัตว์ให้เข้าไป แล้วแบกกระโปรงไปถึงบ้านแห่งหนึ่ง จึง
วางกระโปรงลง วางไว้กลางบ้านร้องบอกว่า ผู้ประสงค์จะดูการฟ้อนรำของนาค
ก็จงมา. ชาวบ้านทั้งสิ้นต่างมาประชุมกัน. ขณะนั้น อาลัมพายน์จึงกล่าวว่า
มหานาค เจ้าจงออกมา. พระมหาสัตว์คิดว่า วันนี้เราจะเล่นให้บริษัทร่าเริงจึงจะ
ควรอาลัมพายน์เมื่อได้ทรัพย์มากอย่างนี้ยินดีแล้ว จักปล่อยเราไป อาลัมพายน์จะ
ให้เราทำอย่างใด เราก็จะทำอย่างนั้น. ลำดับนั้น อาลัมพายน์ก็นำพระมหาสัตว์
ออกจากกระโปรงแล้วกล่าวว่า เจ้าจงทำตัวให้ใหญ่. พระมหาสัตว์ทำตัวให้ใหญ่
อาลัมพายน์บอกให้ทำตัวให้เล็กและให้ขด ให้คลาย ให้แผ่พังพาน 1 พังพาน
2-3-4-5-6-7-8-9-10-20-30-40-50-60-70-80-90-100
ให้สูง ให้ต่ำ ให้เห็นตัว ให้หายตัว ให้เห็นครึ่งตัว ให้สีเขียว เหลือ แดด ขาว
หงสบาทให้พ่นเปลวไฟ พ่นน้ำ พ่นควัน. ในอาการแม้เหล่านี้อาลัมพายน์ บอกให้
ทำอาการใด ๆ พระมหาสัตว์ก็นิรมิตอัตภาพแสดงอาการนั้นๆ ทุกอย่าง ใคร ๆ
เห็นพระมหาสัตว์นั้นแล้ว ก็ไม่สามารถจะกลั้นน้ำตาไว้ได้. มนุษย์เป็นอันมาก
ต่างพากันให้สิ่งของต่าง ๆ มีเงิน ทอง ผ้า และเครื่องประดับเป็นต้น.
อาลัมพายน์จึงได้ทรัพย์ในบ้านนั้นประมาณเป็นพัน ๆ ด้วยอาการอย่างนี้. อา-
ลัมพายน์นั้นจับพระมหาสัตว์ได้ทรัพย์พันหนึ่ง จึงกล่าวกะพระมหาสัตว์ว่า จัก
ปล่อยก็จริง แต่ถึงกระนั้นครั้นได้พันหนึ่งแล้ว ก็คิดว่า แม้ในบ้านเล็กน้อย
เรายังได้ทรัพย์ถึงเพียงนี้ ถ้าในพระนครคงจักได้ทรัพย์มากมาย เพราะความโลภ
ในทรัพย์จึงมิได้ปล่อยพระมหาสัตว์ไป. อาลัมพายน์นั้น เริ่มตั้งขุมทรัพย์ขึ้นได้
ในบ้านนั้น แล้วจึงให้นายช่างทำกระโปรงแก้ว ใส่พระมหาสัตว์ในกระโปรง
แก้วนั้น แล้วก็ขึ้นสู่ยานน้อยอย่างสบาย ออกไปด้วยบริวารเป็นอันมาก ให้
พระมหาสัตว์เล่นไปในบ้านและนิคมเป็นต้น จนถึงกรุงพาราณสีโดยลำดับ

แต่อาลัมพายน์ ไม่ให้น้ำผึ้งและข้าวตอกแก่พระยานาค ฆ่ากบให้กิน พระมหา-
สัตว์ก็มิได้รับอาหาร พระมหาสัตว์ไม่ได้อาหารเพราะกลัวอาลัมพายน์จะไม่ปล่อย
อาลัมพายน์จึงให้พระมหาสัตว์เล่นในบ้านนั้น ๆ ตั้งต้นแต่หมู่บ้านใกล้ประตู
ทั้ง 4 ด้านอีก. ครั้นถึงวันอุโบสถสิบห้าค่ำ อาลัมพายน์จึงขอให้กราบทูลแด่
พระราชาว่า ข้าพระองค์จะให้นาคราชเล่นถวายพระองค์. พระราชา จึงรับสั่ง
ให้ตีกลองร้องประกาศให้มหาชนประชุมกัน ชนเหล่านั้นจึงพากันมาประชุมบน
เตียงและเตียงซ้อนกันที่พระลานหลวง.
จบอาลัมพายนกัณฑ์
ก็ใจวันที่อาลัมพายน์จับพระมหาสัตว์ไปนั้น พระมารดาของพระมหา-
สัตว์ ได้เห็นในระหว่างทรงพระสุบินว่า พระนางถูกชาชคนหนึ่งตัวดำ ตาแดง
เอาดาบตัดแขนขวาของพระนางขาดแล้วนำไปทั้งๆ ที่มีเลือดไหลอยู่. ครั้นพระ-
นางตื่นขึ้น ก็สะดุ้งกลัวลุกขึ้นคลำแขนขวา ทรงทราบว่าเป็นความฝัน ลำดับนั้น
พระนางทรงดำริว่า เราฝันเห็นร้ายแรงมาก บุตรของเราทั้ง 4 คน หรือท้าว
ธตรฐทั้งตัวเราเองคงจะเป็นอันตราย ก็อีกอย่างหนึ่งพระนางทรงปรารภคิดถึง
พระมหาสัตว์ยิ่งกว่าผู้อื่น. เพราะเหตุไร ? เพราะเหตุว่า นาคนอกนั้นอยู่ใน
นาคพิภพของตน ฝ่ายพระมหาสัตว์ เพราะเป็นผู้มีศีลเป็นอัธยาศัย ไปยังมนุษย์
โลกกระทำอุโบสถกรรม เพราะเหตุนั้น พระนางจึงทรงคิดถึงพระภูริทัตยิ่งกว่า
ใครๆ ว่า หมองู หรือสุบรรณจะพึงจับเอาบุตรของเราไปเสียกระมังหนอ
จากนั้นพอล่วงไปได้กึ่งเดือน พระนางทรงถึงโทมนัสว่า บุตรของเราไม่สามารถ
จะพลัดพรากจากเราเกินกึ่งเดือนเลย ภัยอย่างใดอย่างหนึ่งจักเกิดขึ้นแก่บุตร
ของเราเป็นแน่. ครั้นล่วงไปได้เดือนหนึ่ง พระนางสมุททชาก็ทรงโศกเศร้าหา
เวลาขาดน้ำตามิได้ ดวงหฤทัยก็เหือดแห้ง พระเนตรทั้งสองก็บวมเบ่งขึ้นมา
พระนางสมุททชาทรงนั่งมองหาทางที่พระมหาสัตว์จะกลับมาถึงเท่านั้นด้วยทรง
รำพึงว่า ภูริทัตจักมา ณ บัดนี้ ภูริทัตจักมา ณ บัดนี้.

ครั้งนั้น สุทัสสนะโอรสองค์ใหญ่ของพระนางสมุททชาครั้นล่วงไปได้
เดือนหนึ่งแล้ว พร้อมด้วยบริษัทเป็นอันมากมาเยี่ยมพระชนกชนนี พักบริษัทไว้
ภายนอกแล้วขึ้นสู่ปราสาท ไหว้พระชนนี แล้วได้ยืนอยู่ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
พระนางสมุททชานั้นกำลังทรงโศกเศร้าถึงพระภูริทัตอยู่ มิได้เจรจาปราศรัยกับ
ด้วยสุทัสสนะ. สุทัสสนะนั้น จึงคิดว่า พระมารดาของเรา เมื่อเรามาครั้งก่อนๆ
เห็นเราแล้วย่อมยินดีต้อนรับ แต่วันนี้พระมารดาทรงโทมนัสน้อยพระทัย คงมี
เหตุอะไรเป็นแน่. ลำดับนั้นเมื่อจะทูลถามพระชนนี จึงกล่าวว่า
เพราะได้เห็นข้าพระองค์ ผู้ให้สำเร็จสิ่งที่น่าใคร่
ทั้งปวงมาเฝ้า อินทรีย์ของพระแม่เจ้าไม่ผ่องใส พระ-
พักตร์พระแม่เจ้าก็เกรียมดำ เพราะทอดพระเนตรเห็น
ข้าพระองค์เช่นนี้ พระพักตร์พระแม่เจ้าเกรียนดำ
เหมือนดอกบัวอยู่ในมือ ถูกฝ่ามือขยี้ฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อหฏฺฐานิ แปลว่า ไม่ผ่องใส. บทว่า
สาวํ ความว่า วันนี้แม้พระพักตร์ของพระแม่เจ้าก็เกรียมดำ เหมือนสีฝ้า
กระจกที่ทำด้วยทอง. บทว่า หตฺถคตํ ความว่า ปิดไว้ด้วยมือ. บทว่า
เอทิสํ ความว่า เพราะได้เห็นข้าพระองค์เห็นปานนี้ แม้ผู้มาเฝ้าพระองค์
ด้วยความงามคือสิริอันใหญ่.
แม้เมื่อสุทัสสนะกล่าวอย่างนี้แล้ว พระนางสมุททชามิได้ตรัสปราศรัย
เลย สุทัสสนะจึงคิดว่า ใครทำให้พระมารดาโกรธหรือหนอ หรือว่าพึงมี
อันตราย ลำดับนั้น สุทัสสนะเมื่อจะทูลถามพระมารดานั้น จึงกล่าวคาถาอีกว่า

ใครว่ากล่าวล่วงเกินพระแม่เจ้าหรือพระแม่เจ้ามี
เวทนาอะไรบ้าง เพราะทอดพระเนตรเห็นข้าพระองค์
ผู้มาเฝ้า พระพักตร์ของพระแม่เจ้าเกรียมดำเพราะ
เหตุไร ?

บรรดาบทเหล่านั้นด้วยบทว่า กจฺจิ นุ เต นาภิสฺสสิ นี้ สุทัสสนะ
ถามว่า ใครกล่าวล่วงเกินพระแม่เจ้าบ้างหรือ หรือว่า เบียนเบียนด้วยการด่า
หรือด้วยการบริภาษ. บทว่า ตุยฺหํ ความว่า เพราะทอดพระเนตรเห็น
ข้าพระองค์ผู้มาเฝ้า ในครั้งก่อนๆ พระพักตร์ของพระแม่เจ้าไม่เป็นเช่นนี้. ด้วย
บทว่า เยน นี้ สุทัสสนะถามว่า เพราะเหตุไร วันนี้พระพักตร์ของพระแม่เจ้า
จึงเกรียมดำ พระแม่เจ้าจงบอกเรื่องนั้นแก่ข้าพระองค์.
ลำดับนั้น พระนางสมุททชาเมื่อจะตรัสบอกแก่สุทัสสนะนั้น จึงตรัสว่า
พ่อสุทัสสนะเอ๋ย แม่ได้ฝันเห็นล่วงมาเดือนหนึ่ง
แล้วว่า มีชายคนหนึ่งมาตัดแขนของแม่ ดูเหมือน
เป็นข้างขวา พาเอาไปทั้ง ๆ ที่เปื้อนด้วยเลือด เมื่อ
แม่กำลังร้องไห้อยู่ นับตั้งแต่แม่ได้ฝันเห็นแล้ว เจ้าจง
รู้เถิดว่า แม่ไม่ได้รับความสุขทุกวันทุกคืนเลย.

บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า อิโต มาสํ อโธคตํ นี้พระนางสมุทท-
ชาแสดงว่า เมื่อแม่ฝันเห็นเจ้าตั้งแต่วันนั้นจนล่วงมาถึงวันนี้ได้หนึ่งเดือนแล้ว.
บทว่า ปุริโส ความว่า ฝันว่า ยังมีชายคนหนึ่งรูปร่างดำ ตาแดง. บทว่า
โรทนฺติยา สติ ความว่า เมื่อแม่กำลังร้องไห้อยู่. บทว่า สุขํ เม นูปลพฺภติ
ความว่า ขึ้นชื่อว่า ความสุขของแม่ไม่มีเลย.

ก็แลเมื่อพระนางสมุททชา ตรัสอย่างนี้แล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนลูกรัก
น้องของเจ้าหายไปโดยมิได้เห็น ชะรอยว่าภัยคงจะเกิดมีแก่น้องของเจ้า ดังนี้
พลางทรงรำพันกล่าวต่อไปว่า
เมื่อก่อนนางกัญญาทั้งหลาย ผู้มีร่างกายอันสวย
สดงดงาม ปกคลุมด้วยตาข่ายทอง พากันบำรุง
บำเรอภูริทัตใด บัดนี้ภูริทัตนั้น ย่อมไม่ปรากฏให้เห็น
เมื่อก่อนเสนาทั้งหลายผู้ถือดาบอันคมกล้า งามดังดอก
กรรณิการ์ พากันห้อมล้อมภูริทัตใด บัดนี้ภูริทัตนั้น
ย่อมไม่ปรากฏให้เห็น เอาเถอะ เราจักไปยังนิเวศน์
แห่งภูริทัตบัดเดี๋ยวนี้ จักไปเยี่ยมน้องของเจ้า ผู้ตั้งอยู่
ในธรรม สมบูรณ์ด้วยศีล.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมฺผุลฺลา ความว่า เหมือนดอกกรรณิการ์
ที่บานสะพรั่ง เพราะทรงไว้ซึ่งเครื่องประดับทองคำ. ศัพท์ว่า หนฺท เป็น
นิบาต ใช้ในอรรถแห่งอุปสรรค พระนางสมุททชาตรัสว่า ไปกันเถิดพ่อ เราจะ
ไปนิเวศน์ของภูริทัต.
ก็แลครั้นพระนางสมุททชา ตรัสอย่างนี้แล้ว จึงเสด็จไปยังนิเวศน์แห่ง
พระภูริทัต พร้อมด้วยบริษัทของพระสุทัสสนะและบริษัทของพระนาง ฝ่าย
เหล่าภรรยาของพระมหาสัตว์เมื่อไม่เห็นพระภูริทัตที่จอมปลวกแล้วจึงคิดว่า คง
จักอยู่ในนิเวศน์ของมารดา จึงมิได้พากันขวนขวายหา. ภรรยาเหล่านั้นครั้น
ทราบว่า ข่าวว่า แม่ผัวมาไม่เห็นบุตรของตน จึงพากันต้อนรับแล้วทูลว่า ข้าแต่
พระแม่เจ้า เมื่อพระราชบุตรของพระแม่เจ้าหายไป ล่วงไปหนึ่งเดือนเข้าวันนี้
แล้ว ครั้นแล้วต่างพากันคร่ำครวญรำพัน หมอบลงแทบพระบาทของพระนาง
สมุททชา.

พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศความนั้นจึงตรัสว่า
ภรรยาทั้งหลายของภูริทัต เห็นพระมารดาของ
ภูริทัตเสด็จมา ต่างประคองแขนคร่ำครวญว่า ข้าแต่
พระแม่เจ้า หม่อมฉันทั้งหลายไม่ทราบเกล้าล่วงมา
เดือนหนึ่งแล้วว่า ภูริทัตผู้เรืองยศ โอรสของพระแม่
เจ้า สิ้นชีพแล้วหรือว่ายังดำรงชนม์อยู่.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุตฺตนฺเตยฺเย ตัดเป็น ปุตฺตํ เต
อยฺเย
ข้าแต่พระแม่เจ้า โอรสของพระแม่เจ้า.
คาถาคร่ำครวญของหญิงเหล่านั้นดังนี้. พระมารดาของพระภูริทัตเสด็จ
พร้อมด้วยหญิงสะใภ้ทรงพากันคร่ำครวญในระหว่างถนน ทรงพาหญิงเหล่านั้น
ขึ้นสู่ปราสาทแห่งพระภูริทัตนั้นตรวจูที่นอนและที่นั่งของบุตรแล้วคร่ำครวญ
จึงตรัสคาถารำพันว่า
เราไม่เห็นภูริทัต จักตรอมตรมด้วยทุกข์สิ้นกาล
นาน เหมือนนกพลัดพรากจากลูกเห็นแต่รังเปล่า เรา
ไม่เห็นภูริทัต จักตรอมตรมด้วยทุกข์ สิ้นกาลนาน
เหมือนนางหงส์ขาว พลัดพรากจากลูกอ่อน เราไม่
เห็นภูริทัต จักตรอมตรมด้วยทุกข์สิ้นกาลนาน เหมือน
นางนกจากพราก ในเปือกตมอันไม่มีน้ำเป็นแน่ เรา
ไม่เห็นภูริทัต จักตรอมตรมด้วยความโศกเศร้า เปรียบ
เหมือนเบ้าของช่างทอง เกรียมไหม้ในภายใน ไม่ออก
ไปภายนอกฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปสฺสนฺตี แปลว่า ไม่เห็นอยู่. บทว่า
หตจฺฉาปา ความว่าเหมือนนางหงส์ขาว พลัดจากลูกอ่อน.

เมื่อพระมารดาพระภูริทัต ทรงรำพันอยู่อย่างนี้ นิเวศน์แห่งภูริทัต ก็แซ่
เสียงเป็นอันเดียวกัน ปานประหนึ่งเสียงคลื่นในท้องสมุทรฉะนั้น. แม้นาคสัก
ตนหนึ่ง ก็ไม่อาจทรงภาวะของตนอยู่ ทั่วทั่งนิเวศน์เป็นเหมือนป่าไม้รังถูกลม
ยุคันธวาตฉะนั้น.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศความนั้น จึงตรัสว่า
บุตรและชายาในนิเวศน์ของภูริทัต ล้มนอน
ระเนระนาด เหมือนต้นรังอันลมฟาดหักลงฉะนั้น.

ในกาลนั้น อริฎฐะ และ สุโภคะ 2 พี่น้องชาย ไปยังที่อุปัฏฐาก
ของพระมารดาและพระบิดา ได้ยินเสียงนั้น จึงเข้าไปยังนิเวศน์ของภูริทัต
ช่วยกันปลอบพระมารดา.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศความนั้น จึงตรัสว่า
อริฏฐะ และสุโภคะ ได้ฟังเสียงอันกึกก้องของ
บุตรธิดา และชายาของภูริทัตเหล่านั้น ในนิเวศน์ของ
ภูริทัต จึงวิ่งไปในระหว่าง ช่วยฉันปลอบพระมารดาว่า
ข้าแต่พระแม่เจ้า จงเบาพระทัยอย่าเศร้าโศกไปเลย
เพราะว่าสัตว์ทั้งหลาย ย่อมมีความตายและความเกิด
ขึ้นเป็นธรรมดาอยู่อย่างนี้ การตายและการเกิดขึ้นนี้
เป็นความแปรของสัตว์โลก.

บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า เอสาสฺส ปริณามตา นี้ อริฎฐะ
และ สุโภคะกล่าวว่า การจุติ และ การอุบัตินี้ เป็นความแปรของสัตว์โลก
นั้น สัตว์โลกย่อมเปลี่ยนแปรไปด้วยอาการอย่างนี้แล ใคร ๆ ชื่อว่า จะพ้น
ไปจากที่สุด 2 อย่างนี้ ย่อมไม่มี.

พระนางสมุททชา ตรัสว่า
ดูก่อนพ่อสุทัสสนะ ถึงแม่เรารู้ว่า สัตว์ทั้งหลาย
มีอย่างนี้เป็นธรรมดา ก็แต่ว่าแม่เป็นผู้อันความเศร้า-
โศก ครอบงำแล้ว ถ้าเมื่อแต่ไม่ได้เห็นภูริทัตในคืน
วันนี้ เจ้าจงรู้ว่า แม่ไม่ได้เห็นภูริทัต เห็นจะต้องละ
ชีวิตเป็นแน่.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อชฺช เจ เม ความว่า ดูก่อนพ่อ
สุทัสสนะ ถ้าภูริทัตจักไม่มาให้แม่เห็นในคืนวันนี้ไซร้ ครั้นเมื่อแม่ไม่เห็นภูริทัต
แม่เข้าใจว่า แม่จะละชีวิตเป็นแน่.
บุตรทั้งหลายกล่าวว่า
ข้าแต่พระแม่เจ้า จงเบาพระทัย อย่าเศร้าโศก
ไปเลย ลูกทั้ง 3 จักเที่ยวแสวงหาภูริทัตไปตามทิศ
น้อยทิศใหญ่ ที่ภูเขา ซอกเขา บ้านและนิคม แล้ว
จักนำท่านพี่ภูริทัตมา พระแม่เจ้าจักได้ทรงเห็นท่านพี่
ภูริทัตมาภายใน 7 วัน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จรํ ความว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า บุตรทั้ง
3 คนปลอบใจพระมารดาว่า พวกลูกจักเที่ยวไปแสวงหาพี่ชายสู่ทิศน้อยทิศใหญ่.
แต่นั้น สุทัสสนะจึงคิดว่า ถ้าเราทั้ง 3 ไปรวมกันก็จักชักช้าควรแยก
ไป 3 แห่ง คือผู้หนึ่งไปเทวโลก ผู้หนึ่งไปหิมพานต์ ผู้หนึ่งไปมนุษยโลก
แต่ถ้าให้กาณาริฎฐะไปมนุษยโลก ถ้าไปพบภูริทัตในบ้านและนิคมใด ก็จักเผา
บ้านและนิคมนั้นเสียหมด เพราะกาณาริฎฐะ หยาบช้ากล้าแข็งมาก ไม่ควรให้ไป
มนุษย์โลก ดังนี้จึงส่งอริฎฐะไปเทวโลกว่า ดูก่อนพ่ออริฎฐะ เจ้าจงไปยังเทวโลก

ถ้าว่าเทวดาต้องการฟังธรรม นำภูริทัตไปไว้ในเทวโลกไซร้ เจ้าจงพาเขา
กลับมา. และส่งสุโภคะให้ไปป่าหิมพานต์ว่า พ่อสุโภคะ เจ้าจงไปยังหิมพานต์
เที่ยวค้นหาภูริทัตในมหานทีทั้ง 5 พบภูริทัตแล้วจงพามา. ส่วนสุทัสสนะเอง
อยากไปมนุษยโลก แต่มาคิดว่า ถ้าเราจะไปโดยเพศชายหนุ่ม พวกมนุษย์ไม่
ค่อยรักใคร่ ควรจะไปด้วยเพศดาบส เพราะพวกบรรพชิตเป็นที่รักใคร่ของ
พวกมนุษย์. เขาจึงแปลงเพศเป็นดาบส กราบลาพระมารดาแล้วหลีกไป. ก็ภูริทัต
โพธิสัตว์นั้น มีนางนาคน้องสาวต่างมารดาอยู่คนหนึ่ง ชื่อว่า อัจจิมุขี. นาง
อัจจิมุขีนั้น รักพระโพธิสัตว์เหลือเกิน. นางเห็นสุทัสสะจะไปจึงร้องขอว่า ข้า
แต่พี่ น้องลำบากใจเหลือเกิน น้องขอไปกับพี่ด้วย. สุทัสสนะกล่าวว่า ดูก่อน
น้องไม่สามารถไปกับพี่ได้ พี่จะไปด้วยเพศบรรพชิต. อัจจิมุขีกล่าวว่า ข้าแต่พี่
น้องจะกลายเป็นลูกเขียดน้อย นอนไปในชฎาของพี่. สุทัสสนะกล่าวว่า ถ้าเช่น
นั้นจงมาไปกันเถิด. นางอัจจิมุขีจึงแปลงเป็นลูกเขียดน้อย นอนไปในชฎาของพี่
สุทัสสนะจึงคิดว่า เราจักตรวจสอบไปตั้งแต่ต้น ดังนี้แล้วจึงถามถึงที่ ๆ พระ-
ภูริทัตไปรักษาอุโบสถกะภรรยาพระภูริทัตก่อนแล้ว จึงไปในที่นั้นแลเห็นโลหิต
และที่ถักกระโปรงที่ทำด้วยเถาวัลย์ ในที่ ๆ อาลัมพายน์จับพระมหาสัตว์ รู้ชัด
ว่าหมองูจับภูริทัตไป ก็เกิดความโศกขึ้นทันที มีเนตรนองไปด้วยน้ำตา จึงตาม
รอยอาลัมพายน์ ไปจนถึงบ้านที่หมออาลัมพายน์ให้พระมหาสัตว์เล่นครั้งแรก
จึงถามพวกมนุษย์ว่า หมองู เอานาคราช ชื่อ เห็นปานนี้มาเล่นในบ้านนี้บ้าง
หรือไม่. มนุษย์ตอบว่า อาลัมพายน์เอานาคราชเห็นปานนี้มาเล่น แต่นั้นถึง
วันนี้ประมาณหนึ่งเดือนแล้ว. สุทัสสนะถามว่า หมองูนั้นได้อะไรบ้างไหม.
มนุษย์ตอบว่า ที่บ้านนี้หมองูได้ทรัพย์ประมาณพันหนึ่งขอรับ. สุทัสสนะถามว่า
บัดนี้หมองูไปไหน. มนุษย์ตอบว่า หมองูไปบ้านชื่อโน้น. สุทัสสะถาม
เรื่อยไปตั้งแต่บ้านนั้น จนถึงประตูพระราชฐาน.
จบวิลาปกัณฑ์

ขณะนั้นอาลัมพายน์ อาบน้ำสะศีรษะ ลูบไล้ของหอมนุ่งห่มผ้าเนื้อ
เกลี้ยงแล้ว ให้คนยกกระโปรงแก้วไปยังประตูพระราชฐาน. มหาชนประชุมกัน
แล้ว. พระราชอาสน์ก็จัดไว้พร้อมเสร็จ. พระราชานั้นเสด็จอยู่ข้างในนิเวศน์
ทรงส่งสาสน์ไปว่า เราจะไปดู ขออาลัมพายน์จงให้นาคราชเล่นไปเถิด. อาลัม-
พายน์จึงวางกระโปรงแก้วลงบนเครื่องลาดอันวิจิตร เปิดกระโปรงออกแล้วให้
สัญญาว่า ขอมหานาคออกมาเถิด. สมัยนั้น สุทัสสนะก็ไปยืนอยู่ท้ายบริษัท
ทั้งปวง. พระมหาสัตว์โผล่ศีรษะแลดูบริษัททั่วไป. นาคทั้งหลายแลดูบริษัท
ด้วยอาการ 2 อย่างคือ เพื่อจะดูอันตรายจากสุบรรณอย่าง 1 เพื่อจะดูพวก
ญาติอย่างหนึ่ง. นาคเหล่านั้นครั้นเห็นสุบรรณก็กลัวไม่ฟ้อนรำ ครั้นเห็นพวก
ญาติก็ละอายไม่ฟ้อนรำ. ส่วนพระมหาสัตว์เมื่อแลไปเห็นพี่ชายในระหว่างบริษัท
ท่านก็เลื้อยออกจากกระโปรงตรงไปหาพี่ชายทั้ง ๆ ที่น้ำตานองหน้า.
มหาชนเห็นพระภูริทัตเลื้อย ก็พากันตกใจหลีกออกไป. ยังยืนอยู่แต่
สุทัสสนะผู้เดียว. พระภูริทัตไปซบศีรษะร้องไห้อยู่ที่หลังเท้าของสุทัสสนะก็ร้องไห้.
ฝ่ายสุทัสสนะก็ร้องไห้. พระมหาสัตว์ร้องไห้แล้วก็กลับมาเข้ากระโปรง. อาลัม-
พายน์เข้าใจว่า ดาบสถูกนาคนี้กัดเอา คิดจะปลอบโยนท่าน จึงเข้าไปหา
สุทัสสนะแล้วกล่าวว่า
นาคหลุดพ้นจากมือ ไปฟุบลงที่เท้าของท่าน
คุณพ่อ มันกัดเอากระมังหนอ คุณพ่ออย่ากลัวเลย จง
ถึงความสุขเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มาภายิ ความว่า ดูก่อนพ่อดาบส
เราชื่อว่า อาลัมพายน์ ท่านอย่ากลัวเลย ชื่อว่า การปฏิบัติรักษานั้น เป็น
หน้าที่ของข้าพเจ้า.

สุทัสสนะ เพราะมีความประสงค์จะกล่าวกับอาลัมพายน์จึงกล่าวว่า
นาคตัวนี้ ไม่สามารถจะยังความทุกข์อะไร ๆ
ให้เกิดแก่เราเลย หมองูมีอยู่เท่าใด ดีไม่ดียิ่งกว่าเรา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กายจิ ความว่า นาคตัวนี้ไม่มีความสามารถ
ในอันยังทุกข์อะไรๆ แม้มีประมาณน้อยให้เกิดขึ้นแก่เราได้ เพราะขึ้นชื่อว่า
หมองูผู้เช่นกับเราย่อมไม่มี. อาลัมพายน์เมื่อไม่รู้จักว่าผู้นี้คือใครก็โกรธกล่าวว่า
คนเซอะอะไรหนอ แปลงเพศเป็นพราหมณ์มา
ท้าเราในที่ประชุมชน ขอบริษัทจงฟังเรา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทตฺโต ได้แก่ คนเย่อหยิ่ง คนชั่ว คน
ลามก คนอันธพาล. บทว่า อวาหยตุ แปลว่า มาท้าทาย. อีกอย่างหนึ่ง
บาลีก็อย่างนี้เหมือนกัน. ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า คนนี้เป็นใคร เป็นคนโง่
หรือเป็นบ้า มาท้าทายเราด้วยสงครามทำตัวเสมอเรามายังบริษัท. บทว่า ปริสา
มมํ
ความว่า ขอบริษัทจงฟังเรา โทษของเราไม่มี ท่านอย่ามาโกรธเราเลย.
ลำดับนั้น สุทัสสนะ ได้กล่าวกะหมองูว่า
ดูก่อนหมองู ท่านจงต่อสู้กับเราด้วยนาค เราจะ
ต่อสู้กับท่านด้วยเขียด ในการรบของเรานั้น เราทั้งสอง
จงมาพนันกันด้วยเดิมพัน 5,000 กหาปณะ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาเคน ความว่า ท่านจักรบกับเราด้วย
นาค เราจักรบกับท่านด้วยลูกเขียด. บทว่า อา สหสฺเสหิ ปญฺจหิ ความว่า
เอาเถอะในการรบของเรานั้น เราจงมาพนันกันด้วยเดิมพัน 5,000 กหาปณะ.
อาลัมพายน์กล่าวว่า

ดูก่อนมาณพ เราเท่านั้นเป็นคนมั่งคั่งด้วยทรัพย์
ท่านเป็นคนจนใครจะเป็นคนรับประกันท่านและอะไร
เป็นเดิมพันของท่าน เดิมพันของเรามี และคนรับ
ประกันเช่นนั้นก็มี ในการรบของเราทั้งสอง เรา
ทั้งสองมาพนันกันด้วยเดิมพัน 5,000 กหาปณะ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โก นุ เต ความว่า ใครจะเป็นคน
รับประกันของท่านผู้เป็นบรรพชิตมีอยู่หรือ. บทว่า อุปชูตญฺจ นี้ อาลัมพายน์
กล่าวว่า อีกอย่างหนึ่ง ทรัพย์อะไรชื่อว่าพึงเป็นของท่านที่ตั้งไว้ในการพนัน
นี้มีอยู่หรือ ท่านจงแสดงแก่เรา. บทว่า อุปชูตญฺจ เม ความว่า ก็
ทรัพย์ที่จะพึงให้แก่เรา หรือที่จะพึงว่าเป็นเดิมพัน หรือใครผู้จะเป็นประกัน
เช่นนั้นมีอยู่ เพราะฉะนั้นในการรบของเราทั้งสองนั้น เราทั้งสองจะต้องมี
ทรัพย์เป็นเดิมพันจนถึง 5,000 กหาปณะ.
สุทัสสนะ ครั้นได้ฟังคำของอาลัมพายน์นั้นแล้ว ไม่กล้ายืนยันว่า เอา
เถอะพนันกันด้วยทรัพย์ 5,000 กหาปณะดังนี้ก็ขึ้นสู่พระราชนิเวศน์ไปเฝ้า
พระเจ้าพาราณสีผู้เป็นลุง แล้วกล่าวคาถาว่า
ดูก่อนมหาบพิตรผู้ทรงเกียรติ เชิญสดับคำของ
อาตมภาพ ขอความเจริญจงมีแก่มหาบพิตร ขอ
มหาบพิตรทรงรับประกันทรัพย์ 5,000 กหาปณะ ของ
อาตมภาพเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กิตฺติมา ได้แก่ ผู้สมบูรณ์ด้วยเกียรติคุณ.
พระราชาทรงพระดำริว่า ดาบสนี้ขอทรัพย์เรามากเหลือเกิน จึงตรัส
คาถาว่า

ข้าแต่ดาบส หนี้เป็นหนี้ของบิดา หรือว่าเป็นหนี้
ที่ท่านทำเอง เพราะเหตุไร ท่านจึงขอทรัพย์มากมาย
อย่างนี้ ต่อข้าพเจ้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เปตฺติกํ วา ความว่า ชื่อว่า หนี้เป็น
ของอันบิดาเอาไว้ใช้บริโภคหรือ หรือว่าตนเองทำขึ้นไว้ ทรัพย์อะไรที่บิดาของ
เราถือเอาจากมือของท่าน หรือว่าอะไรเราถือเอาของท่านไว้มีอยู่ เพราะเหตุไร
เจ้าจึงขอทรัพย์เป็นอันมากถึงอย่างนี้กะเรา.
เมื่อพระราชาตรัสอย่างนี้ สุทัสสนะ จึงได้กล่าวคาถาว่า
เพราะอาลัมพายน์ ปรารถนาจะต่อสู้กับอาตม-
ภาพด้วยนาค อาตมภาพจักให้ลูกเขียดกัดพราหมณ์
อาลัมพายน์ ดูก่อนมหาบพิตรผู้ผดุงรัฐ ขอเชิญพระองค์
ผู้มีหมู่ทหารดาบเป็นกองทัพ เสด็จทอดพระเนตรนาค
นั้นในวันนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภิชิคึสติ ความว่า ในการสงครามที่
ผู้ปรารถนาจะชนะ ถ้าอาลัมพายน์จักชนะอาตมภาพ อาตมภาพจักต้องให้ทรัพย์
5,000 กหาปณะแก่เขา ถ้าอาตมภาพชนะเขาก็จักต้องให้แก่อาตมภาพเหมือน
กัน เพราะฉะนั้น อาตมภาพจึงขอทรัพย์พระองค์เป็นอันมาก. บทว่า ตํ
ความว่า ดูก่อนมหาบพิตร จงเสด็จไปทอดพระเนตรในวันนี้.
พระราชาตรัสว่า ถ้าเช่นนั้นเราจักไป จึงเสด็จไปพร้อมกับดาบส
นั้นแล. อาลัมพายน์เห็นพระราชาเสด็จมากับดาบส ตกใจกลัวว่า ดาบสนี้
ไปเชิญพระราชาออกมา ชะรอยว่าจักเป็นบรรพชิตในพระราชาสำนัก เมื่อจะ
คล้อยตามจึงกล่าวคาถาว่า

ข้าแต่ดาบส เราไม่ได้ดูหมิ่นท่าน โดยทางศิลป
ศาสตร์เลย ท่านมัวเมาด้วยศิลปศาสตร์มากเกินไปไม่
ยำเกรงนาค.

บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า สิปฺปวาเทน อาลัมพายน์กล่าวว่า
ดูก่อนมาณพ เราไม่ได้ดูหมิ่นท่านด้วยศิลปศาสตร์ของตนเลย แต่ท่านมัวเมา
ด้วยศิลปศาสตร์ของตนมากเกินไป ไม่บูชานาคนี้ คือไม่กระทำความยำเกรง
ต่อนาคนั้น.
ลำดับนั้น สุทัสสนะได้กล่าว 2 คาถาว่า
ดูก่อนพราหมณ์ แม้อาตมาก็ไม่ดูหมิ่นท่านใน
ทางศิลปศาสตร์ แต่ว่าท่านล่อลวงประชาชนนักด้วย
นาคอันไม่มีพิษ ถ้าชนพึงรู้ว่านาคของท่านไม่มีพิษ
เหมือนอย่างอาตมารู้แล้ว ท่านก็จะไม่ได้แกลบสักกำ-
มือหนึ่งเลย จักได้ทรัพย์แต่ที่ไหนเล่าหมองู.

ลำดับนั้น อาลัมพายน์โกรธต่อสุทัสสนะ จึงกล่าวว่า
ท่านผู้นุ่งหนังเสือพร้อมทั้งเล็บ เกล้าชฎารุ่มร่าม
เหมือนคนเซอะ เข้ามาในประชุมชน ดูหมิ่นนาคเช่น
นี้ว่าไม่มีพิษ ท่านเข้ามาใกล้แล้ว ก็จะพึงรู้ว่านาคนั้น
เต็มไปด้วยเดช เหมือนของนาคอันสูงสุด ข้าพเจ้าเข้า
ใจว่านาคตัวนี้จักทำท่านให้แหลกเป็นเหมือนเถ้าไป
โดยฉับพลัน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รุมฺมี ความว่า ท่านนุ่งหนังเสือพร้อม
ทั้งเล็บ. บทว่า อวิโส อติมญฺญสิ ความว่า ท่านดูหมิ่นว่าไม่มีพิษ. บทว่า
อาสชฺช แปลว่า เข้ามาใกล้. บทว่า ชญฺญาสิ แปลว่า ท่านพึงรู้.

ลำดับนั้น สุทัสสนะเมื่อกระทำการเย้ยหยันจึงกล่าวคาถาว่า
พิษของงูเรือน งูปลา งูเขียว พึงมี แต่พิษของ
นาคมีศีรษะแดง ไม่มีเลยทีเดียว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สิลุตฺตสฺส แปลว่างูเรือน. บทว่า
ทุฑฺฑุภสฺส แปลว่า งูน้ำ. บทว่า สิลาภุโน แปลว่า งูเขียว.
สุทัสสนะครั้นแสดงงูไม่มีพิษดังนี้แล้ว จึงกล่าวว่า พิษของงูเหล่านั้น
พึงมี แต่พิษของงูมีศีรษะแดงไม่มีเลย
ลำดับนั้น อาลัมพายน์ได้กล่าวกะสุทัสสนะด้วยคาถา 2 คาถาว่า
ข้าพเจ้าได้ฟังคำของพระอรหันต์ทั้งหลาย ผู้
สำรวม ผู้มีตบะ มาว่า ทายกทั้งหลายให้ทานในโลกนี้
ย่อมไปสู่สวรรค์ ท่านมีชีวิตอยู่ จงให้ทานเสียเถิด ถ้า
ท่านมีสิ่งของที่จะควรให้ นาคนี้มีฤทธิ์มาก มีเดช
ยากที่ใคร ๆ จะก้าวล่วงได้ เราจะให้นาคนั้นกัดท่าน
มันก็จักทำท่านให้เป็นขี้เถ้าไป.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทาตเว ความว่า ถ้าท่านมีสิ่งไรที่จะ
ควรให้ ท่านจงให้เถิด.
ลำดับนั้นสุทัสสนะกล่าวว่า
ดูก่อนสหาย เราแม้ก็ได้ฟังคำของพระอรหันต์ทั้ง
หลาย ผู้สำรวมมีตบะมาว่า ทายกทั้งหลายให้ทานใน
โลกนี้แล้ว ย่อมไปสู่สวรรค์ ท่านนั่นแหละเมื่อมีชีวิต
อยู่ จงให้ทานเสีย ถ้าท่านมีสิ่งของที่ควรจะให้จงให้ ลูก
เขียดชื่อว่า อัจจิมุขีนี้ เต็มด้วยเดชเหมือนของนาคอัน

สูงสุด เราจักให้ลูกเขียดนั้นกัดท่าน ลูกเขียดนั้นจัก
ทำท่านให้เป็นขี้เถ้าไป นางเป็นธิดาของท้าวธตรฐ
เป็นน้องสาวต่างมารดาของเรา นางอัจจิมุขีผู้เต็มไป
ด้วยเดช เหมือนของนาคอันสูงสุดนั้นจงกัดท่าน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุคฺคสฺส เตชสา ความว่า เต็มไป
ด้วยพิษอันสูงสุด.
ก็แล สุทัสสนะ ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงเหยียดมือร้องเรียกน้องหญิง
ในท่ามกลางมหาชนนั่นแล ด้วยคำว่า น้องหญิงอัจจิมุขี เจ้าจงออกจากภาย
ในชฎาของพี่มายืนอยู่ในฝ่ามือของพี่.
นางอัจจิมุขีผู้นั่งอยู่ภายในชฎานั่นแล ได้ยินเสียงเรียกของสุทัสสนะ
พี่ชายยังฝนลูกกบให้ตกถึง 3 ครั้งแล้ว จึงออกจากภายในชฎา นั่งอยู่ที่จะงอยบ่า
กระโดดจากนั้น ยืนอยู่บนฝ่ามือของสุทัสสนะพี่ชาย แล้วทำหยาดพิษ 3 หยาด
ให้ตกแล้วเข้าไปภายในชฎาของสุทัสสนะอีกตามเดิม. สุทัสสนะยืนถือพิษอยู่แล้ว
ประกาศเสียงดังขึ้นว่า ชาวชนบทจักพินาศหนอ. เสียงของสุทัสสนะได้ดังกลบ
นครพาราณสีถึง 12 โยชน์. ลำดับนั้น พระราชาจึงตรัสถามเขาว่า ชนบทจัก
พินาศเพื่ออะไร. สุทัสสนะทูลว่าดูก่อนมหาบพิตรอาตมาไม่เห็นที่หยดของพิษนี้.
พระราชา เจ้าจงหยดพิษที่แผ่นดินใหญ่เถิด. ลำดับนั้น สุทัสสนะ เมื่อจะห้าม
พระราชาว่า อาตมภาพไม่สามารถ หยดพิษบนแผ่นดินใหญ่นั้น มหาบพิตร
จึงกล่าวคาถาว่า
ดูก่อนมหาบพิตร ถ้าอาตมภาพจัดหยดพิษลงบน
แผ่นดินไซร้ มหาบพิตรจงทราบเถิดว่า ต้นหญ้า
ลดาวัลย์ และต้นยาทั้งหลาย พึงเหี่ยวแห้งไปโดยไม่
ต้องสงสัย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ติณลตานิ ความว่า หญ้า เถาวัลย์
และต้นยาทั้งปวงที่อาศัยแผ่นดินก็จะพึงเหี่ยวแห้งไป เพราะเหตุนั้น อาตมภาพ
จึงไม่อาจหยดพิษบนแผ่นดินได้. พระราชาตรัสว่า ดูก่อนพ่อ ถ้าเช่นนั้นท่านจง
ขว้างขึ้นไปบนอากาศ. สุทัสสนะ. เมื่อจะแสดงว่า ถึงในอากาศนั้น ก็ไม่อาจ
ขว้างหยดพิษขึ้นไปได้ จึงกล่าวคาถาว่า
ดูก่อนมหาบพิตร ถ้าอาตมภาพจักขว้างพิษขึ้น
บนอากาศ มหาบพิตรจงทราบเถิดว่า ฝนและน้ำค้าง
จะไม่ตกลงตลอด 7 ปี.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น หิมํ ปเต ความว่า แม้เพียงหยาด
น้ำค้าง ก็จักไม่ตกตลอด 7 ปี.
พระราชาตรัสว่า ดูก่อนพ่อ ถ้าเช่นนั้นพ่อจงหยดพิษลงในน้ำ.
สุทัสสนะ เมื่อจะแสดงว่า แม้ในน้ำนั้นก็หยดพิษลงไม่ได้ จึงกล่าวคาถาว่า
ดูก่อนมหาบพิตร ถ้าอาตมภาพจักหยดพิษลง
ในน้ำ มหาบพิตรจงทราบเถิดว่า สัตว์น้ำมีประมาณ
เท่าใด ทั้งปลาและเต่าจะพึงตายหมด.

ลำดับนั้นพระราชาตรัสกะท่านว่า ดูก่อนพ่อ ข้าพเจ้าไม่รู้อะไร ท่าน
จงช่วยหาอุบายที่จะไม่ให้แคว้นของเราฉิบหายด้วยเถิด. สุทัสสนะทูลว่า ดูก่อน
มหาบพิตร ถ้าเช่นนั้น มหาบพิตรจงรับสั่งให้คนขุดบ่อ 3 บ่อ ต่อ ๆ กันไป
ในที่แห่งนี้. พระราชารับสั่งให้ขุดบ่อแล้ว. สุทัสสนะ จึงบรรจุบ่อแรกให้เต็ม
ด้วยยาต่าง ๆ บ่อที่ 2 ให้บรรจุโคมัย และบ่อที่ 3 ให้บรรจุยาทิพย์. แล้วจึง
ใส่หยดพิษลงในบ่อที่ 1. ขณะนั้นนั่นเองก็เกิดควันไฟลุกขึ้นเป็นเปลวแล้วเลย
ลามไปจับบ่อโคมัย แล้วลุกลามต่อไปถึงบ่อยาทิพย์ ไหม้ยาทิพย์หมดแล้วจึง

ดับ. อาลัมพายน์ยืนอยู่ใกล้บ่อนั้น. ลำดับนั้น ไอควันพิษฉาบเอาผิวร่างกายเพิก
ขึ้นไป. ได้กลายเป็นขี้เรือนด่าง. อาลัมพายน์ ตกใจกลัว จึงเปล่งเสียงขึ้น 3
ครั้งว่า ข้าพเจ้าปล่อยนาคราชละ พระโพธิสัตว์ได้ยินดังนั้น จึงออกจากกระโปรง
แก้ว นิรมิตอัตภาพอันประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง ยืนอยู่ด้วยท่าทาง
เหมือนเทวราช. ทั้งสุทัสสนะทั้งอัจจิมุขี ก็มายืนอยู่เหมือนพระโพธิสัตว์นั่นแล.
ลำดับนั้น สุทัสสนะ จึงทูลถามพระเจ้าพาราณสีว่า ข้าแต่มหาราช พระองค์
ทรงรู้จักหรือ ข้าพระองค์ทั้งสามนี้ เป็นลูกใคร.
ราชา. ดูก่อนพ่อ เราไม่รู้จัก.
สุทัสสนะ. พระองค์ไม่รู้จักข้าพระองค์ทั้งสามยกไว้ก่อน แต่พระองค์
ทรงทราบเรื่องที่ยกนางสมุททชาราชธิดาพระเจ้ากาสีซึ่งพระราชทานแก่ท้าวธตรฐ
หรือไม่เล่า.
ราชา. เออ เรารู้ นางสมุททชาเป็นน้องสาวเรา.
สุทัสสนะ. ข้าแต่มหาราช ข้าพระองค์ทั้งสามนี้เป็นลูกของนาง
สมุททชา พระองค์เป็นพระเจ้าลุงของข้าพระองค์ทั้งสาม.
พระราชาได้ฟังดังนั้น ก็ทรงสวมกอดจุมพิตหลานทั้ง 3 ตน พลาง
ทรงกรรแสงแล้วพาขึ้นปราสาท ทรงทำสักการะเป็นอันมากแล้ว ทรงกระทำ
ปฎิสันถารแล้วถามว่า ดูก่อนภูริทัต พ่อมีฤทธิ์เดชสูงถึงอย่างนี้ ทำไมอาลัม-
พายน์จึงจับได้. พระภูริทัตนั้นจึงทูลเรื่องนั้นโดยพิศดารแล้ว เมื่อจะถวาย
โอวาทพระราชา จึงแสดงราชธรรมแก่พระเจ้าลุงโดยนัยมีอาทิว่า ขอพระราช-
ทาน ธรรมเนียมพระราชาควรจะดำรงราชสมบัติโดยทำนองอย่างนี้.
ลำดับนั้น สุทัสสนะ จึงทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระเจ้าลุง มารดาของ
ข้าพระองค์ยังไม่พบเจ้าภูริทัต ก็ยังกลัดกลุ้มอยู่ ข้าพระองค์ไม่อาจจะอยู่ช้าได้.
ราชา. ดีละพ่อ จงพากันไปก่อนเถิด แต่ว่าลุงอยากจะพบน้องของเรา
บ้าง ทำอย่างไรจึงจะได้พบกัน.

สุทัสสนะ. ข้าแต่พระเจ้าลุง พระเจ้ากาสิกราชผู้เป็นพระอัยกาของ
ข้าพระองค์ เดี๋ยวนี้อยู่ที่ไหนเล่า.
ราชา. ดูก่อนพ่อ พระเจ้ากาสิกราชนั้นต้องพรากจากน้องสาวของลุง
แล้วไม่สามารถจะอยู่เสวยราชสมบัติได้ ได้ละราชสมบัติทรงผนวชเสียแล้ว
เสด็จไปอยู่ในไพรสณฑ์แห่งโน้น.
สุทัสสนะ. ข้าแต่พระเจ้าลุง มารดาของข้าพระองค์ประสงค์จะพบพระ-
เจ้าลุงและพระอัยกาด้วย ถึงวันโน้น พระองค์จงเสด็จไปยังสำนักพระอัยกา
ข้าพระองค์จักพามารดาไปยังอาศรมพระอัยกา พระเจ้าลุงจักได้พบมารดาของ
ข้าพระองค์ในที่นั้นทีเดียว. ดังนั้นทั้ง 3 ตน จึงกำหนดนัดหมายวันแก่พระเจ้า
ลุงแล้ว ออกจากพระราชนิเวศน์. พระราชาส่งราชภาคิไนยไปแล้ว ก็ทรง
พระกรรแสงแล้วเสด็จกลับ. หลานทั้งสามตน ก็แทรกแผ่นดินลงไปนาคพิภพ.
จบนาคคเวสนกัณฑ์
เมื่อพระมหาสัตว์ถึงนาคพิภพเสียงร่ำไรรำพันก็เกิดขึ้นพร้อมกัน ฝ่าย
พระภูริทัตเหน็ดเหนื่อยเพราะเข้าอยู่ในกระโปรงถึงหนึ่งเดือน จึงเลยนอนเป็น
ไข้ มีพวกนาคมาเยี่ยมนับไม่ถ้วน พระภูริทัตนั้นเหน็ดเหนื่อยเพราะปราศรัย
กับนาคเหล่านั้น. กาณาริฏฐะ ซึ่งยังไปเทวโลกครั้นไม่พบพระมหาสัตว์ก็กลับ
มาก่อน. ลำดับนั้น ญาติมิตรของพระมหาสัตว์เห็นว่ากาณาริฏฐะนั่นเป็นผู้ดุร้าย
หยาบคายสามารถจะห้ามนาคบริษัทได้ จึงให้กาณาริฏฐะเป็นผู้เฝ้าประตูห้อง
บรรทมของพระมหาสัตว์.
ฝ่ายสุโภคะก็เที่ยวไปทั่วหิมพานต์ จากนั้นจึงตรวจตราต่อไป ตามหา
มหาสมุทรและแม่น้ำนอกนั้น แล้วตรวจตรามาถึงแม่น้ำยมุนา.

ฝ่ายพราหมณ์เนสาทเห็นอาลัมพายน์เป็นโรคเรื้อนจึงคิดว่า เจ้านี่ทำ
พระภูริทัตให้ลำบากจึงเกิดเป็นโรคเรื้อน ส่วนเราก็เป็นคนชี้พระภูริทัตผู้มีคุณ
แก่เรามากให้อาลัมพายน์ด้วยอยากได้แก้ว กรรมชั่วอันนั้นคงจักมาถึงเรา เรา
จักไปยังแม่น้ำยมุนาตลอดเวลาที่กรรมนั้นจะยังมาไม่ถึง แล้วจักกระทำพิธีลอย
บาปที่ท่าปยาคะ เขาจึงไปที่ท่าน้ำปยาคะแล้วกล่าวว่า เราได้ทำกรรมประทุษร้าย
มิตรในพระภูริทัต เราจักลอยบาปนั้นไปเสีย ดังนี้แล้วจึงทำพิธีลงน้ำ.
ขณะนั้น สุโภคะไปถึงที่นั้น ได้ยินคำของพราหมณ์เนสาทนั้นจึงคิดว่า
ได้ยินว่าตาคนนี้บาปหนา พี่ชายของเราให้ยศศักดิ์มันมากมายแล้ว กลับไปชี้ให้
หมองู เพราะอยากได้แก้ว เราเอาชีวิตมันเสียเถิด ดังนี้แล้วจึงเอาหางพันเท้า
พราหมณ์ทั้งสองข้าง ลากให้จมลงในน้ำ พอจวนจะขาดลมหายใจจึงหย่อนให้
หน่อยหนึ่ง. พอพราหมณ์โผล่หัวขึ้นได้ก็กลับลากให้จมลงไปอีก ทรมานให้
ลำบากอย่างนี้อยู่หลายครั้ง พราหมณ์เนสาทโผล่หัวขึ้นได้จึงกล่าวคาถาว่า
น้ำที่โลกสมมติว่าสามารถลอยบาปได้ มีอยู่ที่ท่า
ปยาคะ ภูตผีอะไรฉุดเราลงสู่แม่น้ำยมุนาอันลึก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่าโลกฺยํ ความว่า น้ำอันโลกสมมติว่าสามารถ
ลอบบาปได้อย่างนี้. บทว่า สชฺชนฺตํ ความว่า น้ำเห็นปานนี้ที่จัดไว้สำหรับ
ประพรม. บทว่า ปยาคสฺมึ ได้แก่ มีอยู่ที่ท่าปยาคะ.
ลำดับนั้น สุโภคะ ได้กล่าวกะพราหมณ์เนสาทนั้นด้วยคาถาว่า
นาคราชนี้ใดเป็นใหญ่ในโลก เรืองยศ พันกรุง
พาราณสีไว้โดยรอบ เราเป็นลูกของนาคราชผู้ประ-
เสริฐนั้น ดูก่อนพราหมณ์ นาคทั้งหลายเรียกเราว่า
สุโภคะ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยเทส ตัดเป็น โย เอโส แปลว่า
นาคราชนั้นใด. บทว่า ปกีรหรี สมนฺตโต ความว่า พันกรุงพาราณสีไว้ทั้งหมด
โดยรอบปรกพังพานไว้ข้างบน โดยสามารถนำทุกข์เข้าไปแก่ผู้เป็นข้าศึก.
ลำดับนั้น พราหมณ์เนสาทจึงคิดว่า นาคนี้เป็นพี่น้องของพระภูริทัต
จักไม่ไว้ชีวิตเรา อย่ากระนั้นเลย เราจะยกยอเกียรติคุณของนาคนี้ทั้งมารดา
และบิดาของเขา ให้ใจอ่อนแล้วขอชีวิตเทไว้ ดังนี้แล้วจึงกล่าวคาถาว่า
ถ้าท่านเป็นโอรสของนาคราชผู้ประเสริฐ ผู้เป็น
พระราชาของชนชาวกาสี เป็นอธิบดีอมร พระชนก
ของท่านเป็นใหญ่คนโตผู้หนึ่ง และพระชนนีของท่าน
ก็ไม่มีใครเทียบเท่าในหมู่มนุษย์ ผู้มีอานุภาพมากเช่น
ท่าน ย่อมไม่สมควรจะฉุดแม่คนที่เป็นเพียงทาสของ
พราหมณ์ให้จมน้ำเลย.

ในพระคาถานั้น โดยนามอีกอย่างว่า กาสี ชนทั้งหลายเรียกกันว่า
พระราชาผู้เป็นอิสระในแคว้นกาสี ซึ่งมีชื่ออย่างนี้ พราหมณ์พรรณนาแคว้น
กาสี ให้เป็นของพระเจ้ากาสี เพราะพระราชธิดาผู้เป็นใหญ่ในแคว้นกาสียึด
เอา. บทว่า อมราธิปสฺส ความว่า ผู้เป็นใหญ่แห่งนาคทั้งหลาย กล่าวคือ
อมร เพราะมีอายุยืน. บทว่า มเหสกฺโข ความว่า เป็นผู้หนึ่งบรรดาผู้มี
ศักดิ์ใหญ่. บทว่า ทาสํปิ ความว่า จริงอยู่ผู้มีอานุภาพมากเช่นท่าน ไม่ควร
เพื่อจะทำผู้ไม่มีอานุภาพ แม้เป็นทาสของพราหมณ์ให้จมน้ำ จะป่วยกล่าว
ไปไยถึงพราหมณ์ผู้มีอานุภาพมากเล่า.
ลำดับนั้น สุโภคะ จึงกล่าวกะพราหมณ์นั้นว่า เจ้าพราหมณ์ชั่วร้าย
เจ้าสำคัญว่า จะหลอกให้เราปล่อยหรือ เราไม่ไว้ชีวิตเจ้า เมื่อจะประกาศกรรม
ที่พราหมณ์นั้นการทำจึงกล่าวว่า

เจ้าแอบต้นไม้ยิงเนื้อซึ่งมาเพื่อจะดื่มน้ำ เนื้อถูก
ยิงแล้วรู้สึกได้ด้วยกำลังลูกศร จึงวิ่งหนีไปไกล เจ้า
ไปพบมันล้มอยู่ในป่าใหญ่ จึงแล่เนื้อหามมาถึงต้นไทร
ในเวลาเย็น อันกึกก้องไปด้วยเสียงร้องของนกดุเหว่า
และนกสาลิกามีใบเหลือง เกลื่อนกล่นไปด้วยย่านไทร
มีฝูงนกดุเหว่าร้องอยู่ระงม น่ารื่นรมย์ใจ ภูมิภาคเขียว
ไปด้วยหญ้าแพรกอยู่เป็นนิตย์ พี่ชายของเราเป็นผู้รุ่ง
เรืองไปด้วยฤทธิ์และยศ มีอานุภาพมาก อันนางนาค
กัญญาทั้งหลายแวดล้อม ปรากฏแก่เจ้าผู้อยู่ที่ต้นไทร
นั้น ท่านพาเจ้าไปเลี้ยงดู บำรุงบำเรอด้วยสิ่งที่น่าใคร่
ทุกอย่าง เป็นคนประทุษร้ายต่อท่านผู้ไม่ประทุษร้าย
เวรนั้นมาถึงเจ้าในที่นี้แล้ว เจ้าจงเหยียดคอออกเร็ว ๆ
เถิด เราจักไม่ไว้ชีวิตเจ้า เราระลึกถึงเวรที่เจ้าทำต่อ
พี่ชายเรา จึงจักตัดศีรษะเจ้าเสีย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สายํ นิโคฺรธมุปาคมิ ความว่า ท่านเข้า
ไปยังต้นไทรในเวลาวิกาล. บทว่า ปิงฺคิยํ ความว่า มีใบสีเหลือง.
บทว่า สณฺฐตายุตํ แปลว่า เกลื่อนกล่นไปด้วยย่านไทร. บทว่า โกกิลาภิรุทํ
ความว่า มีฝูงนกดุเหว่าร้องอยู่ระงม. บทว่า ธุวํ หริตสทฺทลํ ความว่า
ภูมิภาคเขียวไปด้วยหญ้าแพรกอยู่เป็นนิตย์ เพราะเกิดในที่ใกล้น้ำ. บทว่า
ปาตุรหุ ความว่า พี่ชายของเรานั้นได้ปรากฏชัดแก่เจ้าผู้อยู่ที่ต้นไทรนั้น.
บทว่า อิทฺธิยา แปลว่าด้วยเดชแห่งฤทธิ์. บทว่า โส เตน ความว่า ท่านนั้น
อันพี่ชายของเราพาไปสู่ภพของตนแล้วเลี้ยงดู. บทว่า ปริสรํ ความว่า เรา
ระลึกนึกถึงเวรคือกรรมชั่วที่เจ้าทำแก่พี่ชายของเรา. บทว่า เฉทยิสฺสามิ
แปลว่า เราจักตัด.

ลำดับนั้นพราหมณ์เนสาทจึงคิดว่า นาคนี้เห็นจะไม่ไว้ชีวิตเราแน่ แต่
ถึงกระนั้นเราก็ควรจะพยายามกล่าวอะไรๆ เพื่อให้พ้นให้จงได้ จึงกล่าวคาถาว่า
พราหมณ์ผู้ทรงเวท 1 ผู้ประกอบในการขอ 1
ผู้บูชาไฟ 1 ทั้ง 3 ประการนี้ เป็นพราหมณ์ที่ใคร ๆ
ไม่ควรจะฆ่า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอเตหิ ความว่า พราหมณ์เป็นผู้อันใคร
ไม่ควรฆ่า คือฆ่าไม่ได้ ด้วยเหตุ 3 ประการนี้ มีพราหมณ์ผู้ทรงเวทเป็นต้น
เพราะผู้ใดฆ่าพราหมณ์ ผู้นั้นย่อมเกิดในนรก.
สุโภคะ ได้ฟังดังนั้นแล้ว ก็เกิดความลังเลใจ จึงคิดว่า เราจะพา
พราหมณ์นี้ไปยังนาคพิภพ สอบถามพี่น้องดูก็จักรู้ได้ ดังนี้จึงได้กล่าวคาถา 2
คาถาว่า
เมืองของท้าวธตรฐ อยู่ภายใต้แม่น้ำยมุนา จด
หิมวันตบรรพตซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลแม่น้ำยมุนา ล้วนแล้ว
ไปด้วยทองคำงามรุ่งเรือง พี่น้องร่วมท้องของเรา ล้วน
เป็นคนมีชื่อลือชา อยู่ในเมืองนั้น ดูก่อนพราหมณ์
พี่น้องของเราเหล่านั้นจักว่าอย่างไร เราจักต้องเป็น
อย่างนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยํ ปุรํ แปลว่า นครใด. บทว่า โอคาฬฺหํ
ความว่า อยู่ลึกลงไปใต้แม่น้ำยมุนา. บทว่า คิริมาหจฺจ ยามุนํ ความว่า
ตั้งอยู่ไม่ไกลแต่แม่น้ำยมุนา จดหิมวันตบรรพต. บทว่า โชตเต แปลว่า
รุ่งเรืองอยู่. บทว่า ตตฺถ เต ความว่า พี่ชายของเราเหล่านั้น อยู่ในนคร
นั้น. อธิบายว่าเมื่อเจ้าถูกนำไปในที่นั้น พี่ชายเหล่านั้นว่าอย่างใด เจ้าจักเป็น

อย่างนั้น ก็ถ้าเจ้ากล่าวคำจริง ชีวิตของเจ้าก็จะมีอยู่ ถ้ากล่าวคำไม่จริง เราจะ
ตัดศีรษะของเจ้าในที่นั้นทีเดียว.
สุโภคะครั้นกล่าวดังนั้นแล้ว จึงจับคอพราหมณ์เสือกไสไปพลาง
บริภาษไปพลาง จนถึงประตูปราสาทของพระโพธิสัตว์.
จบสุโภคกัณฑ์
ลำดับนั้น กาณาริฏฐะนั่งเฝ้าประตูอยู่ เห็นสุโภคะพาพราหมณ์เนสาท
ทรมานมาดังนั้น จึงเดินสวนทางไปบอกว่า แน่ะ พี่สุโภคะ พี่อย่าเบียดเบียน
พราหมณ์นั้น เพราะพวกที่ชื่อว่าพราหมณ์ในโลกนี้ เป็นบุตรท้าวมหาพรหม
ถ้าท้าวมหาพรหมรู้เข้าก็จักโกรธว่า นาคเหล่านี้ เบียดเบียนแม้ลูกทั้งหลายของ
เราแล้ว จักทำนาคพิภพทั้งสิ้นให้พินาศ เพราะพวกที่ชื่อว่าเป็นพราหมณ์ เป็น
ผู้ประเสริฐและมีอานุภาพมากในโลก พี่ไม่รู้จักอานุภาพของพวกพราหมณ์เหล่า
นั้น ส่วนข้าพเจ้าเองรู้ เล่ากันมาว่า กาณาริฏฐะในภพที่เป็นลำดับที่ล่วงมา
ได้เกิดเป็นพราหมณ์บูชายัญ เพราะฉะนั้น จึงได้กล่าวอย่างนี้ ก็แลครั้น
กล่าวแล้วด้วยอำนาจที่ตนเคยเสวยมาในกาลก่อน จึงมีปกติฝังอยู่ในการบูชายัญ
จึงเรียกสุโภคะและนาคบริษัทมาบอกว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย จงมาเถิด เราจัก
พรรณนาคุณของพราหมณ์ผู้ทำการบูชายัญ ดังนี้แล้วเมื่อเริ่มกล่าวพรรณนายัญ
จึงกล่าวว่า
ข้าแต่พี่สุโภคะ ยัญและเวททั้งหลายในโลกที่
พวกพราหมณ์นอกนี้ประกอบขึ้น ไม่ใช่เป็นของเล็ก
น้อยเพราะฉะนั้น ผู้ติเตียนพราหมณ์ซึ่งใคร ๆ ไม่ควร
ติเตียน ชื่อว่าย่อมละทิ้งทรัพย์เครื่องปลื้มใจและธรรม
ของสัตบุรุษเสีย

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนิตฺตรา ความว่า ดูก่อนสุโภคะ ยัญ
และเวททั้งหลายในโลกนี้ ที่พวกพราหมณ์ประกอบขึ้น ไม่ใช่เป็นเล็กน้อย
ไม่เลวทราม มีอานุภาพมาก. ยัญและเวทเหล่านั้น ที่พวกพราหมณ์นอกนี้
ประกอบขึ้น เพราะฉะนั้น แม้พราหมณ์ทั้งหลายเป็นผู้ไม่ใช่เล็กน้อยเลย. บทว่า
ตทคฺครยฺหํ ความว่า ผู้ติเตียนพราหมณ์ที่ไม่ควรติ ชื่อว่า ย่อมละทิ้งทรัพย์
และธรรมของสัตบุรุษ คือของบัณฑิตทั้งหลาย.
เล่ากันมาว่า เขาได้กล่าวว่า นาคบริษัททั้งหลายอย่าได้เพื่ออันกล่าวว่า
พราหมณ์นี้ ได้ทำกรรมประทุษร้ายต่อมิตรในพระภูริทัตนี้.
ลำดับนั้น กาณาริฏฐะ ได้กล่าวกะสุโภคะนั้นว่า ดูก่อนพี่สุโภคะ
พี่สุโภคะรู้หรือไม่ว่าโลกนี้ใครสร้าง เมื่อสุโภคะตอบว่า ไม่รู้ เพื่อจะแสดงว่า
โลกนี้ท้าวมหาพรหม ปู่ของพวกพราหมณ์สร้าง จึงกล่าวคาถาอีกว่า
พวกพราหมณ์ ถือการทรงไตรเพท พวกกษัตริย์
ปกครองแผ่นดิน พวกแพศย์ยึดการไถนา และพวกศูทร
ยึดการบำเรอ วรรณะทั้ง 4 นี้ เข้าถึงการงามตามที่
อ้างมาเฉพาะอย่าง ๆ นั้น กล่าวกันว่า มหาพราหมผู้มี
อำนาจจัดทำไว้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปาคู แปลว่า เข้าถึงแล้ว. เล่ากัน
มาว่า พรหมนิรมิตวรรณะ 4 มี พราหมณ์เป็นต้นแล้ว กล่าวกะพราหมณ์
ทั้งหลายผู้ประเสริฐ เป็นอันดับแรกว่า พวกท่านจงยึดการศึกษาไตรเพทเท่านั้น
อย่างกระทำสิ่งอะไรอื่น. กล่าวกะพระราชาว่า พวกท่านจงปกครองแผ่นดิน
อย่างเดียว อย่ากระทำสิ่งอะไรอื่น. กล่าวพวกแพศย์ว่า พวกท่านจง ยึดการ
ไถนาอย่างเดียว. กล่าวกะพวกศูทรว่า พวกท่านจงยึดการบำเรอวรรณะ 3
อย่างเดียว

ตั้งแต่นั้นมา ท่านกล่าวว่า พราหมณ์ผู้ประเสริฐยึดการศึกษาไตรเพท
พระราชายึดการปกครอง แพศย์ยึดการไถนา ศูทรยึดการบำเรอ. บทว่า ปจฺเจกํ
ยถาปเทสํ
ความว่า เมื่อจะเข้ายึด ยึดเอาตามทำนองที่พราหมณ์กล่าวแล้ว โดย
สมควรตามตระกูล และประเทศของตน. บทว่า กตาหุ เอเต วสินาติ อาหุ
ความว่า ท่านแสดงว่า พราหมณ์เหล่านั้น เป็นผู้อันท้าวมหาพรหม ผู้มีอำนาจ
ได้สร้างไว้อย่างนี้.
กาณาริฎฐะกล่าวว่า ขึ้นชื่อว่า มหาพรหมผู้มีอานุภาพมากอย่างนี้ ก็ผู้
ใดทำจิตให้เลื่อมใสในมหาพรหมณ์เหล่านั้น ย่อมให้ทาน ผู้นั้นไม่มีการถือ
ปฏิสนธิในที่อื่น ย่อมไปสู่เทวโลก อย่างเดียวจึงกล่าวว่า
พระพรหมผู้สร้างโลก ท้าววรุณ ท้าวกุเวร ท้าว
โสมะ พระยายม พระจันทร์ พระวายุ พระอาทิตย์
แม้ท่านเหล่านี้ ก็ล้วนบูชายัญมามากแล้ว และบูชาสิ่ง
ที่น่าใคร่ทุกอย่าง แก่พราหมณ์ผู้ทรงเวท ท้าวอรชุน
และท้าวภีมเสน มีกำลังมาก มีแขนนับพัน ไม่มีใคร
เสมอในแผ่นดิน ยกธนูได้ 500 คัน ก็ได้บูชาไฟ
มาแต่ก่อน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอเตปิ ได้แก่ เทวราชผู้บูชายัญเป็นต้น
เหล่านั้น. บทว่า ปุถุโล ความว่า บูชายัญมามากมาย. ด้วยบทว่า อถ
สพฺพกาเม นี้ ท่านแสดงว่า อนึ่ง ให้สิ่งซึ่งน่าใคร่ทั้งปวง แก่พราหมณ์ผู้
ทรงเวท จึงถึงฐานะเหล่านี้. บทว่า วิกาสิตา แปลว่า ฉุดคร่ามา. บทว่า
จาปสตานิ ปญฺจ ความว่า ไม่ใช่เพียงคันธนู 500 คัน ถึงธนูใหญ่
500 คัน ก็ยังคร่ามาได้ด้วยตนเอง. เสนาผู้น่ากลัว ชื่อว่า ภีมเสนะ. บทว่า

สหสฺสพาหุ ความว่า ไม่ใช่ท่านมีแขนนับพัน หมายความว่า ท่านสามารถ
ยกธนูใหญ่ ซึ่งต้องยกด้วยแขนจำนวน 1,000 แขน ของคนผู้ถือธนู 500
คนได้ เพราะเหตุนั้นจึงกล่าวอย่างนี้. บทว่า อาทหิ ชาติเวทํ ความว่า
ในกาลนั้น พระราชาแม้นั้น ให้พราหมณ์ทั้งหลายอิ่มหนำด้วยกามทั้งปวง ให้
จุดไฟตั้งบำเรอไฟ เพราะเหตุนั้นนั่นแลท่าน จึงบังเกิดในเทวโลก เพราะเหตุนั้น
ท่านจึงกล่าวว่า ชื่อว่า พราหมณ์ทั้งหลายเป็นใหญ่ในโลกนี้.
กาณาริฏฐะนั้นเมื่อจะสรรเสริญเฉพาะพวกพราหมณ์ แม้ให้ยิ่งขึ้นไป
จึงกล่าวคาถาว่า
ดูก่อนพี่สุโภคะ ผู้ใดเลี้ยงพราหมณ์ มานานด้วย
ข้าวและน้ำตามกำลัง ผู้นั้นมีจิตเลื่อมใสอนุโมทนาอยู่
ได้เป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โย เป็นบทแสดงอนิยม คือท่านแสดงว่า
ผู้นั้นใดเช่นพระเจ้าพาราณสีองค์เก่า. บทว่า ยถานุภาวํ ความว่า บริจาคสิ่ง
ทั้งหมดที่มีอยู่แก่เขาตามกำลังแล้วให้บริโภค. บทว่า เทวญฺญตโร ความว่า
ดูก่อนพี่สุโภคะเขาได้เป็นเทวราชผู้มีศักดิ์ใหญ่ตนหนึ่ง. พราหมณ์ทั้งหลาย ชื่อว่า
เป็นทักขิไณยบุคคลผู้เลิศอย่างนี้.
ลำดับนั้น กาณาริฏฐะ เมื่อจะนำเหตุแม้อื่นอีกมาแสดง จึงกล่าวคาถาว่า
พราหมณ์ผู้ใด สามารถบูชาเทวดา คือไฟ ผู้กิน
มาก มีสีไม่ทราม ไม่อิ่มหนำด้วยเนยใส พราหมณ์
ผู้นั้น บูชายัญวิธี แก่เทวดา คือ ไฟผู้ประเสริฐแล้ว
ไดไปบังเกิดในทิพยคติและได้เข้าเฝ้าพระเจ้ายุตินทะ.
1
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มหาสนํ แปลว่า ผู้กินมาก. บทว่า
เชตุํ แปลว่า เมื่ออิ่มหนำ. บทว่า ยญฺญตฺตํ ได้แก่ วิธีบูชายัญ. บทว่า

1. บาลีเป็น พระเจ้ามุจลินท์.

วรโต ได้แก่ บูชาเทวดาคือไฟผู้ประเสริฐ. บทว่า มุชตินฺทชฺฌคจฺฉิ
ความว่า พระเจ้ามุชตินทะได้ทรงเข้าถึงแล้ว.
เล่ากันมาว่า พระราชาพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า มุชตินทะ ใน
กรุงพาราณสี ในกาลก่อน ตรัสสั่งให้เรียกพราหมณ์ทั้งหลายมาแล้ว ถามถึงทาง
ไปสวรรค์.
ลำดับนั้น พราหมณ์เหล่านั้น ทูลพระราชานั้นว่า ขอพระองค์จง
ทรงกระทำสักการะ แก่พวกพราหมณ์ และแก่เทวดาผู้เป็นพราหมณ์ เมื่อพระ
ราชาตรัสถามว่า เทวดาผู้เป็นพราหมณ์เหล่าไหน จึงทูลว่า เทวดาคือไฟ ดังนี้
แล้วจึงทูลพระราชาว่า ขอพระองค์จงให้ไฟนั้นอิ่มหนำด้วยเนยใสและเนยข้น
พระราชานั้นได้ทรงกระทำอย่างนั้น.
กาณาริฏฐะนั้น เมื่อจะประกาศความนั้น จึงกล่าวคาถานี้ว่า
พระเจ้าทุทีปะ มีอานุภาพมาก มีอายุ 1,000 ปี
มีพระรูปงาม น่าดูยิ่งนัก ทรงละแว่นแคว้น อันไม่มี
ที่สุดพร้อมทั้งเสนา เสด็จออกผนวชแล้ว ได้เสด็จสู่
สวรรค์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปพฺพชิ ความว่า ผู้ครองราชสมบัติ
สิ้น 500 ปี กระทำสักการะแก่พราหมณ์ทั้งหลาย แล้วละราชสมบัติอันหา
ที่สุดมิได้ พร้อมด้วยเสนาออกผนวช ทรงการทำสมณธรรม 500 ปี เป็น
พระทักขิไณยผู้เลิศน่าดูน่าชม. บทว่า ทุทีโปปิ ท่านกล่าวว่า พระราชาทรง
พระนามว่า ทุทีปะ นั้น บูชาพราหมณ์ทั้งหลายเท่านั้น ก็เสด็จไปสู่สวรรค์
บาลีว่า ทุทิปะ ก็มี.
กาณาริฏฐะ เมื่อจะแสดงอุทาหรณ์แม้อื่นอีก แก่สุโภคะนั้น จึงกล่าว
คาถาว่า

ข้าแต่พี่สุโภคะ พระเจ้าสาครราชทรงปราบ
แผ่นดินอันมีสาครเป็นที่สุด รับสั่งให้ตั้งเสาผูกสัตว์
บูชายัญอันงามยิ่งนัก ล้วนแล้วด้วยทองคำ ทรงบูชา
ไฟแล้วได้เป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง แม่น้ำคงคาและ
สมุทร เป็นที่สั่งสมนมส้ม ย่อมเป็นไปด้วยอานุภาพ
ของผู้ใด ผู้นั้นคือ พระเจ้าอังคโลมบาท ทรงบำเรอ
ไฟ แล้วเสด็จไปเกิดในพระนครของท้าวสหัสสนัยน์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สาครนฺตํ ได้แก่ แผ่นดินมีสาครเป็น
ที่สุด. บทว่า อุสฺเสสิ ความว่า เมื่อท่านถามถึงทางสวรรค์กะพวกพราหมณ์
ครั้นพวกพราหมณ์กล่าวว่า จงให้ยกเสาบูชายัญทองคำขึ้น จึงให้ยกขึ้นเพื่อฆ่า
สัตว์เลี้ยง. บทว่า เวสฺสานรมาทหาโน ความว่า เริ่มบูชาไฟเทวดา อีก
อย่างหนึ่งบาลีว่า เวสฺสานรึ ดังนี้ก็มี. บทว่า เทวญฺญตโร กาณาริฏฐะกล่าวว่า
ดูก่อนพี่สุโภคะ ก็พระราชาองค์นั้นบูชาไฟแล้ว ได้เป็นเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ตน
หนึ่ง. บทว่า ยสฺสานุภาเวน ความว่า ดูก่อนพี่สุโภคะ แม่น้ำคงคาและมหา-
สมุทรใครสร้างพี่รู้ไหม. สุโภคะกล่าวว่า เราไม่รู้. กาณาริฏฐะกล่าวว่า พี่ไม่รู้
อะไร พี่รู้แต่จะโบยตีพราหมณ์เท่านั้น ก็ในอดีตกาลพระเจ้ากรุงพาราณสีทรง
พระนามว่าอังคโลมบาท ตรัสถามทางสวรรค์กะพวกพราหมณ์ เมื่อพวกพราหมณ์
ทูลว่า พระองค์จงเสด็จเข้าไปหิมวันต์กระทำสักการะแก่พราหมณ์ทั้งหลายแล้ว
บำเรอไฟ พระองค์จึงพาแม่โคนมและพระมเหสีหาประมาณมิได้เข้าไปยังหิมวันต์
ได้กระทำอย่างนั้น เมื่อพระราชตรัสถามว่า นมสดและนมส้มที่เหลือจากพวก
พราหมณ์บริโภคแล้วจะพึงทำอย่างไร จึงกล่าวว่าจงทิ้งเสีย. ในที่ ๆ น้ำนมแต่ละ
น้อยถูกทิ้งลงไปนั้น ๆ ได้กลายเป็นแม่น้ำน้อย ส่วนน้ำนมนั้นกลายเป็นนมส้ม
ไหลไปขังอยู่ในที่ใด ที่นั้นได้กลายเป็นสมุทรไป พระเจ้าพาราณสีทรงกระทำ
สักการะเห็นปานนี้ เสด็จไปสู่บุรีของท้าวสหัสสนัยน์ ผู้บำเรอไฟตามวิธีที่
พราหมณ์กล่าว ด้วยประการฉะนี้.

กาณาริฏฐะ ครั้นนำอดีตนิทานนี้มาชี้แจงแก่สุโภคะดังนี้แล้ว จึงกล่าว
คาถาว่า
เทวดาผู้ประเสริฐ มีฤทธิ์มาก มียศ มีเสนา-
บดีของท้าววาสวะในไตรทิพย์ กำจัดมลทินด้วยโสม-
ยาควิธี (บูชาด้วยการดื่มน้ำโสม) ได้เป็นเทพเจ้าองค์
หนึ่ง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โส โสมยาเคน มลํ วิหนฺตฺวา
ความว่า ดูก่อนพี่สุโภคะผู้เจริญ บัดนี้ ผู้ที่เป็นเสนาบดรีของท้าวสักกเทวราช
มียศมาก เป็นเทพบุตร แม้ผู้นั้น เมื่อก่อน เป็นพระเจ้าพาราณสี ถามถึงทาง
เป็นที่ไปสวรรค์กะพวกพราหมณ์ เมื่อพวกพราหมณ์กล่าวว่าขอพระองค์จงลอย
มลทินของตน ด้วยโสมยาควิธีแล้วจะไปสู่เทวโลก จึงทรงกระทำสักการะใหญ่
แก่พราหมณ์ทั้งหลายแล้ว กระทำการบูชาโสมยาคะ ตามวิธีที่พวกพราหมณ์
เหล่านั้นกล่าวแล้ว จึงทรงกำจัดมลทินด้วยวิธีนั้นแล้ว เกิดเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง
เมื่อจะประกาศความนี้จึงกล่าวอย่างนี้
เมื่อกาณาริฏฐะจะแสดงอุทาหรณ์แม้อื่นอีกแก่สุโภคะ จึงกล่าวว่า
เทวดาผู้ประเสริฐ มีฤทธิ์เรืองยศสร้างโลกนี้โลก
หน้า แม่น้ำภาคีรถี1 ขุนเขาหิมวันต์และเขาวิชฌะ ได้
บูชาไฟมาก่อน ภูเขามาลาคิริ ขุนเขาหิมวันต์ เขา
วิชฌะ ภูเขาสุทัสนะ ภูเขานิสภะ ภูเขากากเวรุ
ภูเขาเหล่านี้ และภูเขาใหญ่อื่น ๆ กล่าวกันว่าพวก
พราหมณ์ผู้บูชายัญได้ก่อสร้างไว้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โสปิ ตทา อาทหิ ชาตเวทํ ท่าน
แสดงว่า ดูก่อนพี่สุโภคะ. มหาพรหมใด ได้สร้างโลกนี้และโลกหน้า แม่น้ำ

1. ศัพท์ว่า ภาติรถี อรรถกถาว่า ภาติรถิคงคา อภิธานว่า ภาคิรถี.

ภาคีรถี แม่น้ำคงคา ขุนเขาหิมวันต์ เขาวิชฌะและเขากากเวรุ ในกาลใด
มหาพรหมแม้นั้นได้เป็นมาณพก่อนกว่าพรหมอุบัติ ในกาลนั้นเขาเริ่มต้นบูชา
ไฟเป็นมหาพรหมได้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง พราหมณ์ผู้มีฤทธิ์ก็เป็นอย่างนั้น.
บทว่า จิตฺยา กตา ความว่า เล่ากันมาว่า เมื่อก่อน พระเจ้ากรุงพาราณสี
พระองค์หนึ่ง ตรัสถามถึงทางไปสวรรค์กะพวกพราหมณ์ เมื่อพวกพราหมณ์
ทูลว่า ขอพระองค์จงทำสักการะแก่พวกพราหมณ์ พระองค์ก็ได้ถวายมหาทาน
แก่พราหมณ์เหล่านั้นแล้ว ตรัสถามว่า ในการให้ทานของข้าพเจ้านี้ ไม่มีผล
หรือ เมื่อพวกพราหมณ์ทูลว่า มีทั้งหมดพระเจ้าข้า แต่อาสนะไม่เพียงพอแก่
พวกพราหมณ์ จึงรับสั่งให้ก่ออิฐสร้างอาสนะทั้งหลาย. ที่นอนและตั่งที่
พระองค์ให้ก่อสร้างขึ้นนั้น เจริญด้วยอานุภาพของพวกพราหมณ์ กลายเป็น
ภูเขามาลาคิริเป็นต้น ภูเขาเหล่านั้นกล่าวกันว่า พวกพราหมณ์ผุ้บูชายัญได้
สร้างไว้ด้วยประการฉะนี้แล.
ลำดับนั้น กาณาริฏฐะจึงกล่าวกะสุโภคะนั้นอีกว่า พี่สุโภคะ ก็พี่รู้หรือ
ไม่ว่า เพราะเหตุไร สมุทรนี้จึงเกิดเป็นน้ำเค็ม ดื่มไม่ได้. สุโภคะกล่าวว่า ดูก่อน
อริฏฐะ พี่ไม่รู้. กาณาริฏฐะจึงกล่าวกะสุโภคะนั้นว่า พี่ก็รู้แต่จะเบียดเบียน
พวกพราหมณ์เท่านั้นไม่รู้อะไรอื่นเลย คอยฟังเถิด จึงกล่าวคาถาว่า
ชนทั้งหลายเรียกพราหมณ์ผู้ทรงเวท ผู้เข้าถึง
คุณแห่งมนต์ ผู้มีตบะ ในโลกนี้ว่า ผู้ประกอบในการ
ขอ มหาสมุทรซัดท่วมพราหมณ์ผู้กำลังตระเตรียมน้ำ
อยู่ ที่ฝั่งมหาสมุทร เพราะเหตุนั้น น้ำในมหาสมุทร
จึงดื่มไม่ได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยาจโยคีติธาหุ ความว่า ชนทั้งหลายใน
โลกนี้เรียกพราหมณ์นั้นว่า ยาจโยคี ผู้ประกอบในการอ้อนวอนขอ. บทว่า อุทกํ

สชฺชนฺตํ ความว่า เล่ากันว่า วันหนึ่งพราหมณ์นั้น กระทำกรรมคือการลอย
บาป ยืนอยู่ที่ริมฝั่ง ตักน้ำจากสมุทร กระทำการดำเกล้าสระหัวของตน ขณะ
นั้นสาครกำเริบท่วมทับพราหมณ์นั้น ผู้กระทำอย่างนั้น มหาพรหมได้ทรงสดับ
เหตุนั้นจึงโกรธว่า ได้ทราบว่า สาครนี้ฆ่าบุตรเรา จึงสาปว่าสมุทรจงดื่มไม่ได้
จงเป็นน้ำเค็ม ด้วยเหตุนั้นนั่นเองสมุทรจึงดื่มไม่ได้ กลายเป็นน้ำเค็ม ชื่อว่า
พราหมณ์เหล่านี้ มีคุณมากถึงปานนี้แล.
กาณาริฏฐะกล่าวต่อไปว่า
วัตถุที่ควรบูชา คือพวกพราหมณ์เป็นอันมากมี
อยู่บนแผ่นดิน ของท้าววาสวะ พราหมณ์ทั้งหลายมี
อยู่ในทิศบูรพา ทิศปัจฉิม ทิศทักษิณและทิศอุดร
ย่อมยังปีติและโสมนัสให้เกิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วาสวสฺส ความว่า ของท้าววาสวะ คือของ
ท้าวสักกเทวราช ผู้ให้ทานแก่พวกพราหมณ์ในกาลก่อนแล้วถึงความเป็นท้าว
วาสวะ. บทว่า อายาควตฺถูนิ ความว่า พราหมณ์เป็นอันมาก ในปฐพี
คือในแผ่นดิน ผู้เป็นบุญเขตในกาลก่อนผู้เป็นทักขิไณยอันเคยมีอยู่. บทว่า
ปุริมํ ทิสํ ความว่า แม้บัดนี้พราหมณ์เหล่านั้นมีอยู่ในทิศทั้ง 4 นี้ ย่อมให้
เกิดความปลื้มปีติเป็นอันมากคือนำมาซึ่งความมีปีติและโสมนัสแก่ท้าววาสวะนั้น.
อริฏฐะ พรรณนาถึงพราหมณ์ ยัญ และ เวทด้วยคาถา 14 คาถาด้วย
ประการฉะนี้.
จบการพรรณนายัญญวาท

นาคเป็นอันมากผู้มาเยี่ยมเยียนพระมหาสัตว์ฟังถอยคำนั้นของกาณา-
ริฏฐะนั้นแล้ว ก็พลอยถือเอาผิด ๆ ด้วยคิดว่า กาณาริฏฐะพูดแต่ความจริงเท่านั้น.
พระมหาสัตว์นอนป่วยอยู่ ได้ฟังคำนั้นทั้งหมดแล้ว. ทั้งพวกก็มาแจ้งให้ท่าน
ทราบอีก. ลำดับนั้นท่านคิดว่า อริฏฐะพรรณนาทางผิดๆ เอาเถอะเราจะทำลาย
วาทะของกาณาริฏฐะนั้น แล้วจักกระทำบริษัทให้เป็นสัมมาทิฏฐิ ท่านลุกขึ้นอาบ
น้ำ ประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง นั่งบนธรรมาสน์ สั่งให้นาคบริษัททั้งหมด
ประชุมกัน ให้เรียกกาณาริฏฐะมาแล้วกล่าวว่า เจ้ากล่าวสรรเสริญสิ่งที่ไม่จริง
คือ เวท ยัญ และพราหมณ์ทั้งหลาย ก็ขึ้นชื่อว่า การบูชายัญด้วยวิธีเวท
ของพราหมณ์ทั้งหลาย ไม่นับว่าเป็นสิ่งประเสริฐเลย และไม่ใช่เป็นทางแห่ง
สวรรค์ เราจะชี้ข้อไม่เป็นจริงในวาทะของท่าน ดังนี้แล้ว เมื่อจะเริ่มชื่อวาทะ
อันว่าด้วยประเภทแห่งยัญจึงกล่าวว่า
ดูก่อนอริฏฐะ ความกาลีคือความปราชัยของนัก
ปราชญ์ทั้งหลายกลับเป็นความมีชัยของคนโง่เขลา ผู้
ทรงเวท. ไตรเพทเป็นเหมือนอาการของพยับแดด
เพราะเป็นของไม่เห็นเสมอไป มีคุณทางหลอกลวง พา
เอาคนมีปัญญาไปไม่ได้ ไตรเพทมิได้มีเพื่อป้องกันคน
ผู้ประทุษร้ายมิตรผู้ล้างผลาญความเจริญ. เหมือนไฟที่
คนบำเรอแล้ว ย่อมป้องกันโทสจริตทำกรรมชั่วไม่ได้
ถ้าคนทั้งหลายจะเอาไม้ที่มีอยู่ในโลกทั้งหมดพร้อมทั้ง
ทรัพย์สมบัติของตน คลุกกับหญ้าให้ไฟเผา ไฟอันมี
เดชไม่มีใครเทียม เผาสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดก็ไม่อิ่ม ใคร
จะพึงทำให้ไฟซึ่งรู้รส 2 อย่าง ให้อิ่มได้ นมสดแปร

ไปได้เป็นธรรมดาคือแปรเป็นนมส้ม แล้วเป็นเนยข้น
ฉันใด ไฟก็มีความแปรเป็นธรรมดาฉันนั้น ไฟประกอบ
ด้วยความเพียร (ในการสีไฟ) จึงจะเกิดได้ ไม่เคยได้
เห็นไฟเข้าไปอยู่ในไม้แห้งและไม่สด คนสีไฟไม่สี
ไฟก็ไม่เกิด ไฟไม่เกิดเพราะไม่มีคนทำให้เกิด ถ้า
แหละไฟพึงอยู่ภายในไม่แห้งและไม่สด ป่าทั้งหมดใน
โลกก็จะพึงแห้งไป และไม้แห้งก็จะพึงลุกโพลง ถ้า
คนทำบุญได้โดยเอาไม้และหญ้าให้ไฟกิน คนเผาถ่าน
คนหุงเกลือ พ่อครัว และคนเผาศพ ก็จะพึงได้ทำบุญ
ถ้าแม้พราหมณ์เหล่านี้ทำบุญได้เพราะการเลี้ยงไฟ
เพราะเรียนมนต์ เพราะเลี้ยงให้อิ่มหนำ ในโลกนี้ใครๆ
ผู้เอาของให้ไฟกิน จะชื่อว่าทำปัญหาไม่ เพราะเหตุไร
เล่า เพราะไฟเป็นสิ่งอันโลกยำเกรง รู้รสสองอย่าง
พึงกินได้มาก ทั้งเป็นของเหม็นมีกลิ่นอันไม่น่าฟูใจ
คนเป็นอันมากไม่ชอบ พวกมนุษย์ละเว้น และเป็น
ของไม่ประเสริฐ คนบางพวกนับถือไฟเป็นเทวดาส่วน
พวกมิลักขุนับถือน้ำเป็นเทวดา คนเหล่านี้ทั้งหมดนี้พูด
ผิด ไฟไม่ใช่เทพเจ้าตนใดคนหนึ่ง และน้ำไม่ใช่เทพ-
เจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง โลกบำเรอไฟซึ่งไม่มีอินทรีย์ ไม่มี
กายจะรู้สึกได้ ส่องแสงสว่างเป็นเครื่องทำการงาน
ของประชาชน เมื่อยังทำบาปกรรมอยู่ จะพึงไปสุคติ
ได้อย่างไร. พวกพราหมณ์ผู้ต้องการเลี้ยงชีวิตในโลก
นี้กล่าวว่า พระพรหมครอบงำได้ทั้งหมด และว่าพระ-

พรหมบำเรอไฟ พระพรหมมีอานุภาพกว่าทุกสิ่ง และ
มีอำนาจไม่มีใครสร้าง กลับไปไหว้ไฟที่ตนสร้างเพื่อ
ประโยชน์อะไร คำของพวกพราหมณ์น่าหัวเราะเยาะ
ไม่ควรแก่การเพ่งเล็ง ไม่เป็นความจริง พวกพราหมณ์
ในปางก่อนก่อขึ้นไว้ เพราะเหตุแห่งสักการะ
พราหมณ์เหล่านั้น เมื่อลาภและสักการะเกิดขึ้น จึง
ร้อยกรองยัญพิธีว่าเป็นธรรมสงบระงับ ด้วยการฆ่า
สัตว์บูชายัญ พวกพราหมณ์ถือการทรงไตรเพท พวก
กษัตริย์ปกครองแผ่นดิน พวกแพศย์ยึดการไถนา และ
พวกศูทรยึดการบำเรอ วรรณะทั้ง 4 เข้าถึงการงานตาม
ที่อ้างมา เฉพาะอย่างๆ นั้น กล่าวกันว่า มหาพรหม
ผู้มีอำนาจจัดไว้ ถ้าคำนี้พึงเป็นคำจริงเหมือนดังที่พวก
พราหมณ์กล่าวไว้ คนที่ไม่ใช่กษัตรย์ ไม่พึงได้ราช-
สมบัติผู้ที่ไม่ใช่พราหมณ์ไม่พึงศึกษามนต์ คนนอกจาก
แพศย์ไม่พึงทำการไถนาเลย และพวกศูทรก็ไม่พึงพ้น
จากการรับใช้ผู้อื่น เพราะคำนี้เป็นคำไม่จริงเป็นคำเท็จ
พวกคนหาเลี้ยงท้องกล่าวไว้ คนไม่มีปัญญาหลงเชื่อ
บัณฑิตทั้งหลายย่อมเห็นด้วยตนเอง เพราะพวกกษัตริย์
ย่อมเก็บส่วยจากพวกแพศย์ พวกพราหมณ์ พวก
พราหมณ์ถือศัสตราเที่ยวฆ่าสัตว์ เพราะเหตุไร พระ-
พรหมจึงไม่ทำโลกอันแตกต่างกันเช่นนั้นให้ตรงเสีย
ถ้าและพระพรหมเป็นใหญ่ เป็นผู้เจริญ ในโลกทั้ง
ปวง เป็นเจ้าชีวิตของหมู่สัตว์ทำไมจึงจัดโลกทั้งปวง

ให้มีความทุกข์ ทำไมจึงไม่ทำโลกทั้งปวงให้มีความ
สุข แหละพรหมนั้นเป็นใหญ่ เป็นผู้เจริญในโลกทั้ง
ปวง เป็นเจ้าชีวิตของหมู่สัตว์ เหตุไรจึงทำโลกโดย
ไม่เป็นธรรม คือมารยาและเจรจาคำเท็จมัวเมา ถ้า
แหละพระพรหมนั้นเป็นผู้ใหญ่ก็เป็นผู้เจริญในโลกทั้ง
ปวง เป็นเจ้าชีวิตของหมู่สัตว์ มีชื่อว่าเป็นเจ้าชีวิตของ
หมู่สัตว์ ก็ชื่อว่าเป็นเจ้าชีวิตอยุติธรรม เมื่อธรรมมีอยู่
พรหมนั้นก็จัดไม่เที่ยงธรรม ตั๊กแตน ผู้เสื้อ งู แมลงภู่
หนอนและแมลงวัน ใครฆ่าแล้วย่อมบริสุทธิ์ ธรรม
เหล่านี้ ไม่ใช่ของพระอริยะ เป็นธรรมผิด ๆ ของ
ชาวกัมโพชรัฐเป็นอันมาก.

บรรดาบทเหล่านั้นบทว่า เวทชฺฌคตาริฏฺฐ ความว่า ดูก่อนอริฏฐะ
ชื่อว่าความสำเร็จไตรเพทในบัดนี้ ก็เป็นความยึดถือเอาความกาลี อันนับว่าเป็น
ความปราชัยของนักปราชญ์ แต่กลับเป็นความมีชัยชนะของคนโง่เขลาเบาปัญญา.
บทว่า มรีจิธมฺมํ ความว่า จริงอยู่ไตรเพทนี้เป็นเหมือนอาการธรรมดาของ
พยับแดด. เพราะเป็นของไม่เห็นเสมอไป คนพาลทั้งหลายไม่รู้ซึ่งธรรมดาของ
พยับแดดนี้นั้นอันไม่มีจริงเป็นเหมือนมีจริง เพราะการเห็นไม่ติดต่อกันเหมือน
หมู่เนื้อมองเห็นพยับแดดด้วยสัญญาว่า น้ำจึงพาตนเข้าถึงความพินาศ เพราะ
สัญญาว่ามีจริงและไม่มีโทษ. บทว่า นาติวหนฺติ ปญฺญํ ความว่า ก็มารยาเห็น
ปานนี้เป็นส่วนหนึ่ง ย่อมล่วงเลย คือไม่หลอกลวงบุรุษผู้มีปัญญา คือผู้
สมบูรณ์ด้วยปัญญา. ร อักษร ในบทว่า ภวนฺติรสฺส นี้ พึงเป็นบทพยัญ-
ชนะสนธิ. บทว่า ภูนหุโน ความว่า เวททั้งหลายของคนประทุษร้ายมิตร
ผู้ฆ่าความเจริญ ย่อมไม่มีเพื่อความต้านทาน. อธิบายว่า ไม่สามารถจะเป็น

ที่พึ่งได้. บทว่า ปริจิณฺโณว อคฺคิ ความว่า อนึ่ง ไฟที่เขาบำเรอบูชา. บทว่า
โทสนฺตรํ ความว่ากรรมชั่ว ย่อมไม่ต้านทาน คือไม่รักษาบุรุษผู้มีจิตอันประกอบ
ด้วยโทษ เพราะโทษแห่งทุจจริตทั้ง 3 ได้. บทว่า สพฺพญฺจ มจฺจา ความ
ว่า แม้ถ้าว่า คนทั้งหลาย ผู้มีทรัพย์ มีโภคะจะเอาไม้ที่มีอยู่ในโลกทั้งหมด
พร้อมทั้งทรัพย์สมบัติของตน คลุกกับหญ้าแล้วให้ไฟเผา. ไฟของท่านนี้ อัน
เดชไม่มีใครสามารถเท่า อันมีเดชไม่มีใครเหมือน เมื่อจะเผาสิ่งทั้งหมดนั้น
ที่พวกนั้นให้เผาแล้ว ก็ไม่พึงไหม้ได้ เมื่อเป็นอย่างนั้นมันก็เผาให้อิ่มไม่ได้นะพี่.
บทว่า ทิรสญฺญู ความว่า บุคคลผู้สามารถรู้รสได้ด้วยลิ้น 2 ลิ้น ว่าสิ่งนั้น
เป็นภักษาดี หรือน่าพอใจด้วยเนยใสเป็นต้น. บทว่า กิริยา ความว่า ใครพึง
กระทำ คือพึงสามารถเพื่อจะทำ. อธิบายว่า ใครเล่าจักให้ผู้ไม่อิ่มอย่างนี้ คือ
ผู้กินจุนี้ให้อิ่มแล้วไปสู่สวรรค์ ดูเถิดท่าน ข้อนั้นก็ยังผิดอยู่ตลอดกาล. บทว่า
โยคยุตฺโต ความว่าเป็นผู้ประกอบด้วยไม้สีไฟ พอได้สิ่งนั้นเป็นปัจจัย ก็เกิด
ขึ้นคือบังเกิด. ท่านกล่าวกะไฟนั้นซึ่งไม่มีจิตที่เกิดขึ้นเพราะความพยายามของ
ผู้อื่นอย่างนี้ว่า ท่านจงว่าฉันเป็นเทวดา. พูดแต่สิ่งไม่เป็นจริงนี้เท่านั้น. บทว่า
อคฺคิมนุปฺปวิฏฺโฐ ความว่า ไม่เคยได้เห็นไฟเข้าไปในไม้แห้ง. บทว่า
นามตฺถมาโน ความว่า ถึงไม้แห้งคนสีไฟไม่สีด้วยไม้สีไฟ ไฟก็เกิดไม่ได้.
บทว่า นากมฺมุนา ชายติ ชายเวโท ความว่า เว้นการกระทำของบุรุษผู้
ต้องการเวท ไฟก็ไม่เกิดได้เองตามธรรมดาของตนนั่นแล. บทว่า สุสฺเสยฺยุํ
ความว่า ป่าไม้ที่กำลังเหี่ยวแห้งด้วยไฟ ภายใน พึงแห้ง แม้ป่าไม้ที่ยังสดอยู่
นั่นแหละก็พึงแห้งเหี่ยว. บทว่า โภชํ แปลว่า ให้บริโภค. บทว่า ธุมสิขึ
ปตาปวํ ความว่า ประกอบด้วยเปลวควัน ให้ร้อนอยู่. บทว่า องฺคาริกา
แปลว่า คนเผาถ่าน. บทว่า โลณกรา แปลว่า คนต้มน้ำเค็มทำเกลือ. บทว่า
สูทา แปลว่า คนครัว. บทว่า สรีรทาหา แปลว่า คนเผาศพ. บทว่า
ปุญฺญํ ความว่า คนเหล่านั้นแม้ทั้งหมด พึงทำแต่บุญเท่านั้น. บทว่า

อชฺเฌนมคฺคึ ความว่า แม้พราหมณ์ทั้งหลายจะเป็นผู้เลี้ยงไฟเรียนมนต์
ก็ตาม. คนบางคนให้เธอ ทำให้มีควันมีเปลวให้ร้อน แม้อิ่มแล้วก็ไม่ชื่อ
ว่าทำบุญ. บทว่า โลกาปจิโต สมาโน ความว่า เทวดาของท่านชื่อว่า
อันโลกยำเกรง อันโลกบูชา. บทว่า ยเทว ความว่า คนพึงเว้นสิ่งซึ่ง
ปฏิกูลน่าเกลียด มีซากงูเป็นต้นให้ห่างไกล. บทว่า ตทปฺปสฏฺฐํ ความว่า
ดูก่อนสหาย คนรู้รส 2 อย่าง พึงกินของที่ไม่ประเสริฐนั้น ได้อย่างไร คือ
เพราะเหตุไร. บทว่า เทเวสุ ความว่า คนบางพวกนับถือนกยูงนับถือเทวดา
ตนใดตนหนึ่ง บรรดาเทวดาทั้งหลาย. บทว่า มิลกฺขู ปน ความว่า ส่วนพวก
มิลักขุผู้ไม่รู้นับถือน้ำว่าเป็นดังเทวดา. บทว่า อสญฺญกายํ ความว่า โลกบำเรอ
ไฟอันได้ชื่อว่าเวสสานระซึ่งไม่มีอินทรีย์ มีกายที่ไม่มีจิตจะรู้สึกได้ ไม่มีความ
จงใจ กระทำกรรมมีการหุงต้มเป็นต้น แก่ประชาชนแล้วกระทำกรรมชั่ว จักไป
สุคติได้อย่างไร. คำนี้ท่านพูดผิดยิ่งนัก. บทว่า สพฺพาภิภูตาหุ ชีวิกตฺถ
ความว่า พวกพราหมณ์เหล่านี้ กล่าวว่า มหาพรหมดรอบงำได้ทั้งหมด เพื่อ
ความเป็นอยู่ของตน. และกล่าวว่า โลกทั้งหมด อันมหาพรมนั่นแหละสร้างขึ้น.
กล่าวอีกว่า พระพรหมบำเรอไฟ. เล่ากันมาว่า พระพรหมนั่นแหละบูชาไฟ.
บทว่า สพฺพานุภาวี จ วสี ความว่า และพระพรหมนั้น ถ้ามีอานุภาพ
ทุกอย่าง และมีความคล่องในฤทธิไซร้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เพราะเหตุไรตนเองจึงไม่
ใช้คนอื่นสร้าง ตนเองเท่านั้นสร้างขึ้นเอง. บทว่า วนฺทิตสฺส ความว่า พระ-
พรหมนั้น พึงเป็นผู้อันเขากราบไหว้ แม้คำนี้ท่านกล่าวไม่ถูกเหมือนกัน . บทว่า
หาสํ ความว่า ดูก่อนอริฏฐะ ขึ้นชื่อว่าคำของพราหมณ์ เป็นคำที่ควรจะหัวเราะ
ไม่ควรจะเพ่งดูสำหรับบัณฑิตทั้งหลาย. บทว่า ปริกรึสุ ความว่า พราหมณ์เหล่านี้
มุสาวาทเห็นปานนี้ พวกพราหมณ์ได้ก่อสร้างขึ้นในกาลก่อน เพราะเหตุแห่ง
สักการะเพื่อตน. บทว่า สนฺธาภิตา ชนฺตูภิ สนฺติธมฺมํ ความว่า พราหมณ์
เหล่านี้ ประกอบลาภและสักการะเพียงเท่านี้ที่ไม่ปรากฏกับพวกสัตว์ แล้วผูก

พันสันติธรรมคือ ลัทธิธรรมของตน อันเกี่ยวด้วยการฆ่าสัตว์ จึงร้อยกรองยัญ
วิธีชื่อว่ายัญสูตร. บทว่า เอตญฺเจ สจฺจํ ความว่า หากจะพึงมีความจริงไซร้
ก็จะพึงมีเป็นต้นว่า นั่นเป็นสิ่งประเสริฐ ด้วยการที่ท่านอ้างเอาเอง. บทว่า
นาติขตฺติโย ความว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ที่ไม่ใช่กษัตริย์ จะครองรัฐไม่ได้ แม้
ผู้ที่ไม่ใช่พราหมณ์ ก็ศึกษาบทมนต์ไม่ได้. บทว่า มุสวิเม ตัดเป็น มุสาว อิเม.
บทว่า โอทริยา ความว่า พวกคนหาเลี้ยงท้อง หรือเพราะเหตุจะให้เต็มท้อง.
บทว่า ตทปฺปญฺญา ความว่า เขากล่าวไว้ว่าคนพวกนั้น คือคนไม่มีปัญญา.
บทว่า อตฺตนาว ความว่า ส่วนบัณฑิตทั้งหลาย ย่อมเห็นด้วยตนเองคำของพวก
นั้นเป็นคำมีโทษ จึงไม่หลงเธอ. บทว่า ตํ ตาทิสํ ได้แก่ คำนั้นคือเห็นปานนั้น.
บทว่า สํขุภิตํ ความว่า เพราะเหตุไร พระพรหมของท่านนั้น จึงไม่ทำโลก
อันกำเริบแตกต่างกันที่ตั้งทำลายมารยาทที่พรหมตั้งไว้ให้ตรง. บทว่า อลกฺขึ
ความว่า เพราะเหตุไร พระพรหมของท่านจึงสร้างโลกทั้งปวงให้เป็นทุกข์. บทว่า
สุขํ ความว่า เพราะเหตุไร พระพรหมของท่าน จึงไม่สร้างโลกทั้งปวงให้รับแต่
ความสุขโดยส่วนเดียว พระพรหมของท่านเห็นจะเป็นโจรผู้ทำให้โลกพินาศ.
บทว่า มายา ได้แก่ มารยา. บทว่า อธมฺเมน กิมตฺถการี ความว่า เพราะ
เหตุไร พระพรหมของท่านจึงทำโลกทั้งปวงให้พินาศ คือประกอบไว้ในทาง
ไร้ประโยชน์ ด้วยอรรถมีมารยาเป็นต้นนี้. บทว่า อริฏฺฐ ความว่า ดูก่อน
อริฏฐะ ผู้เป็นใหญ่ของท่านไม่ประกอบด้วยธรรม ซึ่งเมื่อกุศลธรรม 10 ประการ
มีอยู่ ไม่จัดแจงธรรมเลย จัดแจงแต่อธรรม. คำในบทว่า กีฏา เป็นต้น
เป็นปฐมาวิภัติ ใช้ในอรรถแห่งทุติยาวิภัติ. คนฆ่าสัตว์มีตั๊กแตนเป็นต้นเหล่า
นั้น ย่อมบริสุทธิ์ ย่อมไปสู่สวรรค์ ก็ธรรมเหล่านั้นเป็นของคนมาก ผู้ไม่ใช่
พระอริยะ มีชาวแคว้นกัมโพชเป็นต้น. แต่ธรรมเหล่านั้นไม่แท้ ไม่เป็นธรรม
กล่าวว่าเป็นธรรม ธรรมเหล่านั้นเป็นของที่พรหมของท่านสร้างขึ้น.

บัดนี้ พระภูริทัตเมื่อจะแสดงความไม่จริงแห่งธรรมเหล่านั้น
จึงกล่าวเป็นคาถาว่า
ถ้าแหละคนฆ่าเขาแล้วย่อมบริสุทธิ์ และผู้ถูก
ฆ่าย่อมเข้าถึงแดนสวรรค์ พวกพราหมณ์ก็พึงฆ่าพวก
พราหมณ์ด้วยกันเสียซิ หรือพึงฆ่าพวกที่หลงเชื่อถ้อย
คำ ของพราหมณ์ด้วยกันเสียซิ พวกเนื้อ ปศุสัตว์
และโคตัวไหน ๆ ไม่ได้อ้อนวอนเพื่อให้ฆ่าตนเลย
ล้วนแต่ดิ้นรนต้องการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ชนทั้งหลาย
ย่อมนำเอาสัตว์และปศุสัตว์เข้าผูกที่เสายัญ พวกคน
พาล ย่อมขึ้นหน้าเข้าไปที่เสาบูชายัญ เป็นที่ผูกสัตว์
ด้วยการพรรณนาต่าง ๆ ว่า เสายัญนี้จะให้สิ่งที่น่าใคร่
แก่ท่าน ในโลกหน้า จะเป็นของยั่งยืนในสัมปรายภพ
ถ้าว่าบุคคลพึงได้แก้วมณี สังข์ มุกดา ข้าวเปลือก
ทรัพย์ เงิน ทอง ที่เสายัญ ในไม้แห้ง และไม้สดไซร์
อนึ่ง เสายัญจะพึงให้ สิ่งที่น่าใคร่ทั้งปวงในไตรทิพย์
ได้ พราหมณ์เท่านั้นพึงบูชายัญ ผู้ที่ไม่ใช่พราหมณ์
ก็จะไม่พึงให้พราหมณ์บูชายัญอะไร ๆ เลย แก้วมณี
สังข์ มุกดา ข้าวเปลือก ทรัพย์ เงิน ทอง จักมีที่
เสายัญ ที่ไม้แห้ง ที่ไม้สด ที่ไหน เสายัญจะพึงให้
สิ่งที่น่าใคร่ทั้งปวง ในไตรทิพย์ที่ไหน พราหมณ์
เหล่านี้เป็นคน โอ้อวด หยาบช้า โง่เขลา โลภจัด
ยื่นหน้าเข้าไปด้วยการพรรณนาต่าง ๆ ว่า จงถือเอา
ไฟมา และจงให้ทรัพย์แก่เรา แต่นั้นท่านให้สิ่งที่น่า

ใคร่ทั้งปวงแล้ว จักมีความสุข พวกที่โกนผม
โกนหนวดและตัดเล็บ พาพระราชาหรือมหาอำมาตย์
เข้าไปในโรงบูชาไฟ ยื่นหน้าเข้าไปด้วยการพรรณนา
ต่าง ๆ ย่อมถือเอาทรัพย์ด้วยเวท พวกพราหมณ์ผู้
โกหก พอหลอกลวงได้คนหนึ่งก็มาประชุมกินกันเป็น
อันมากเหมือนฝูงกาตอมนกเค้า หลอกเอาจนเกลี้ยง
แล้ว เก็บไว้ที่บริเวณบูชายัญ พวกพราหมณ์ลวงผู้นั้น
ได้คนหนึ่งอย่างนี้แล้ว ก็พากันมาเป็นอันมาก ใช้
ความพยายามล่อหลอกพรรณนา ด้วยสิ่งที่ไม่แลเห็น
ปล้นเอาทรัพย์ที่แลเห็นไป เหมือนพวกราชบุรุษที่พระ
ราชาสอนให้เก็บส่วย เก็บเอาทรัพย์ของพระราชาไป
ฉะนั้น ดูก่อนอริฏฐะ พราหมณ์เช่นนั้นเป็นเหมือน
โจร ไม่ใช่สัตบุรุษ เป็นผู้ควรจะฆ่าเสีย แต่ไม่มีใคร
ฆ่าในโลก พวกพราหมณ์กล่าวว่า ไม้ทองหลางเป็น
แขนขวาของพระอินทร์ จึงตัดเอาไม้ทองหลางมาใช้
ในยัญนี้ ถ้าคำนั้นเป็นคำจริง พระอินทร์ก็แขนขาด
ทำไมพวกพระอินทร์จึงชนะพวกอสูร ด้วยกำลังแขน
นั้นได้ คำนั้นเป็นคำเท็จ พระอินทร์ยังมีแขนพร้อม
เป็นเทวดาชั้นดีเลิศ ไม่มีใครฆ่าได้ กำจัดอสูรได้
มนต์ของพราหมณ์เหล่านี้เหลวเปล่า หลอกลวงกันให้
เห็นได้เฉพาะในโลกนี้ ภูเขามาลาคิรี ขุนเขาหิมวันต์
ภูเขาวิชฌะ ภูเขาสุทัสสนะ ภูเขานิสภะ ภูเขากากเวรุ

ภูเขาเหล่านี้และภูเขาใหญ่อื่น ๆ ที่กล่าวกันว่า พวก
พราหมณ์ผู้บูชายัญก่อสร้างไว้ ที่กล่าวกันว่า พวก
พราหมณ์ผู้บูชายัญเอาอิฐเช่นใดมาสร้างภูเขา อิฐเช่น
นั้นก็ไม่ใช่ธรรมชาติของภูเขา ภูเขาเป็นอย่างอื่น ไม่
หวั่นไหว เห็นได้ชัด ๆ ว่าเป็นหิน ไม่ใช่อิฐ เป็น
หินมานมนาน เหล็กและโลหะย่อมไม่เกิดในอิฐ ที่
พวกพราหมณ์สรรเสริญยัญกล่าวไว้ว่า ผู้บูชายัญก่อ
สร้างไว้ ชนทั้งหลายเรียกพราหมณ์ผู้ทรงเวท ผู้เข้า
ถึงคุณแห่งมนต์ ผู้มีตบะในโลกนี้ว่า ผู้ประกอบใน
การขอ มหาสมุทรซัดท่วมพราหมณ์นั้น ผู้กำลังตระ-
เตรียมน้ำอยู่ที่ฝั่งมหาสมุทร เพราะเหตุนั้น น้ำใน
มหาสมุทรจึงดื่มไม่ได้ แม่น้ำพัดเอาพราหมณ์ ผู้เรียน
เวท ทรงมนต์ ไปเกินกว่าพัน เหตุไรน้ำในแม่น้ำจึง
มีรสไม่เสีย มหาสมุทรเท่านั้นดื่มไม่ได้ บ่อน้ำทั้งหลาย
ในมนุษยโลกนี้ ที่เขาขุดไว้เกิดเป็นน้ำเค็มก็มี แต่ไม่
ใช่เค็มเพราะท่วมพราหมณ์ตาย น้ำในบ่อเหล่านั้นดื่ม
ไม่ได้ เป็นน้ำรู้รสสองอย่าง ครั้งดึกดำบรรพ์ ตั้งแต่
ปฐมกัป ใครเป็นภรรยาใคร ใครได้ให้มนุษย์เกิดขึ้น
ก่อน โดยธรรมแม้นั้น ใคร ๆ ไม่เลวไปกว่าใคร
ท่านกล่าวจำแนกส่วนไว้อย่างนี้ แม้ลูกคนจัณฑาลก็
พึงเรียนเวท สวดมนต์ได้ (ถ้า) เป็นคนฉลาด มีความ
คิด หัวของเขาก็ไม่พึงแตกเจ็ดเสี่ยง มนต์เหล่านี้พวก
พรหมสร้างไว้เพื่อฆ่าตน เป็นการสร้างแต่ปาก เป็น

การสร้างยึดถือไว้ด้วยความโลภ เปลื้องได้ยาก เข้า
ถึงคลอง ด้วยคำของพวกพราหมณ์ ผู้แต่งกาพย์กลอน
จิตของพวกคนโง่ ยังหลงใหลในทางลุ่มๆ ดอนๆ คน
ไม่มีปัญญาเชื่อเอาจริงจัง ราชสีห์ เสือโคร่ง เสือ-
เหลือง มีกำลังอย่างลูกผู้ชาย พราหมณ์ไม่มีกำลังเช่น
นั้นเลย ความเป็นมนุษย์ของพราหมณ์เหล่านั้น พึง
เห็นเหมือนของโค ชาติของพราหมณ์เหล่านั้นเท่านั้น
ไม่มีใครเสมอ สิ่งอื่น ๆ เสมอกันหมด ถ้าแหละพระ
ราชาทรงชำนะหมู่ศัตรูได้ โดยลำพังพระองค์เอง
ประชาราษฏร์ของพระราชานั้นพึงมีสุขอยู่เสมอ มนต์
ของกษัตริย์ และไตรเพทเหล่านี้ มีความหมายเสมอ
กัน ถ้าไม่วินิจฉัยความแห่งมนต์ และไตรเพทนั้นก็
ไม่รู้ เหมือนทางที่น้ำท่วม มนต์ของกษัตริย์และไตร
เพทเหล่านี้ มีความหมายเสมอกัน ลาภ ไม่มีลาภ
ยศ ไม่มียศ ทั้งหมดเทียวเป็นธรรมดาของวรรณะทั้ง 4
นั้น พวกคฤหบดี ใช้คนจำนวนมากให้ทำการงานใน
แผ่นดิน เพราะเหตุแห่งทรัพย์และข้าวเปลือก ฉันใด
แม้พวกพราหมณ์ผู้ทรงไตรเพท ก็ฉันนั้น ย่อมใช้คน
เป็นจำนวนมาก ให้ทำการงานในแผ่นดิน ในวันนี้
พราหมณ์เหล่านั้นเสมอกันกับคฤหบดี มีความขวน
ขวายประกอบในกามคุณเป็นนิตย์ ใช้คนจำนวนมาก
ไม่ทำการงานในแผ่นดินเหมือนกัน พราหมณ์เหล่านั้น
เป็นผู้รู้รสสองอย่าง หาปัญญามิได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โภวาที ได้แก่พวกพราหมณ์. บทว่า
โภวาทินมารเภยฺยุํ ความว่า พึงฆ่าแต่พวกพราหมณ์เท่านั้น บทว่า เยวาปิ
ความว่า ก็หรือว่า พวกใดพึงเชื่อถ้อยคำของพวกพราหมณ์พวกพราหมณ์พึงฆ่า
แต่พวกผู้อุปัฏฐากนั้นเท่านั้น ส่วนพราหมณ์ไม่ฆ่าพวกพราหมณ์และพวก
อุปัฏฐาก ฆ่าแต่สัตว์ดิรัจฉาน ซึ่งมีประการต่างๆ เท่านั้น ดังนั้น คำของพวก
พราหมณ์เหล่านั้นจึงผิด. บทว่า เกจิ ความว่า พวกไหนๆ ที่จะร้องขอว่า
ขออย่าฆ่าพวกเราเลย พวกเราจักไปสวรรค์ ย่อมไม่มีในยัญทั้งหลาย. บทว่า
ปาเณ ปสุมารภนฺติ ความว่า ย่อมฆ่าพวกเนื้อเป็นต้น และปศุสัตว์ซึ่ง
กำลังดิ้นรนอยู่ เลี้ยงชีพ. บทว่า มุขํ นยนฺติ ความว่า คนพาลทั้งหลาย
ย่อมนำเอาสัตว์และปศุสัตว์ สิ่งของทั้งหมด เช่น แก้วมณี สังข์ แก้วมุกดา
ทรัพย์ ข้าวเปลือก เงินทอง ที่จัดแจงไว้ทั้งหมด ยื่นหน้าไปกล่าวคำนั้น ๆ
ถือผิดๆ ด้วยเห็นเข้าใจไปว่า สิ่งนี้จักให้สิ่งที่น่าใคร่แก่ท่านในโลกหน้า และ
จักนำมาซึ่งความเป็นของเที่ยงแท้แน่นอน. บทว่า สเจ จ ความว่า ถ้าพึง
ได้แก้วมณีเป็นต้นนี้ที่เสาหรือที่ไม้นอกนั้นหรือว่าเสาเป็นต้นนั้น พึงให้ไตร-
ทิพย์หรือสิ่งที่น่าใคร่ทั้งปวง หมู่พวกที่ไตรวิชาเป็นอันมาก จะพึงบูชายัญ
เพราะมีทรัพย์มากและใคร่ต่อสวรรค์ ไม่พึงให้พราหมณ์อื่นบูชา, ก็เพราะเหตุ
ที่หวังแต่ทรัพย์เพื่อคนจึงไม่ให้ผู้อื่นบูชา ฉะนั้นพึงทราบว่า อภูตวาทิโน ผู้
กล่าวสิ่งซึ่งไม่มีจริงเป็นจริง. บทว่า กุโต จ ความว่า สิ่งทั้งปวงมีแก้มณีเป็น
ต้นนี้ไม่มีที่เสา หรือที่ไม้นอกนั้นเลย จักรีดเอาไตรทิพย์อันเป็นสิ่งให้ความ
ใคร่ทั้งปวงได้แต่ที่ไหน คำของพวกนั้น ไม่จริงทั้งนั้นแม้โดยประการทั้งปวง.
บทว่า สฐา จ ลุทฺทา ปลุทฺธพาลา ความว่า ดูก่อนอริฏฐะ. ขึ้นชื่อว่า
พราหมณ์เหล่าที่เป็นผู้หลอกลวง ไร้กรุณาปราณี คนพาลเหล่านั้น ล่อลวงโลก

ตลบตะแลงยื่นหน้าไปด้วยเหตุต่างๆ. บทว่า สพฺพกาเม ความว่า ท่านจง
เอาไฟบูชา และให้สิ่งเครื่องปลื้มใจแก่เรา. บทว่า ตโต สุขี ความว่า
ท่านจงให้สิ่งซึ่งน่าใคร่ทั้งปวงแล้วจงมีความสุข. บทว่า ตมคฺคิหุตฺตํ สรณํ
ปวิสฺส ความว่า จงพาพระราชา หรือมหาอำมาตย์แห่งพระราชา. เข้าไปโรงบูชา
ไฟ เข้าไปยังที่มิใช่เรือน. บทว่า โอโรปยิตฺวา ความว่า พรรณนาเหตุ
ต่างๆ โกนผมโกนหนวดตัดเล็บ. บทว่า อติคาฬฺหยนฺติ ความว่า อาศัย
เวท 3 ตามที่กล่าวแล้ว พลางกล่าวว่า สิ่งนี้ควรให้ สิ่งนี้ควรทำ ปราบปราม
ทำให้พินาศ คือกำจัดทรัพย์เครื่องปลื้มใจอันเป็นของผู้นั้น. บทว่า อนฺนานิ
โภตฺวา กหุกา กุหิตฺวา ความว่า ผู้หลอกลวงเหล่านั้น กระทำกรรมคือ
การหลอกลวงมีประการต่างๆ มาประชุมร่วมกันพรรณนายัญ หลอกลวงผู้ให้
บริโภคโภชนะดี ๆ มีรสเลิศ อันเป็นของผู้นั้น ครั้นแล้วทำผู้นั้นให้เป็นคนโล้น
แล้วปล่อยเข้าไปในทางยัญ อธิบายว่า พาไปยังหลุมยัญในภายนอก. บทว่า
โยคโยเคน ความว่า พราหมณ์เหล่านั้นประชุมกันเป็นอันมากแล้ว หลอก
ลวงผู้นั้นได้คนหนึ่ง ด้วยความพยายามนั้น ๆ คือการประกอบนั้น ๆ พรรณนา
หลอกลวงทรัพย์ของผู้นั้นที่เห็นประจักษ์ และเทวโลกที่ไม่เห็น ด้วยเทวโลกที่
ไม่เห็น ทำให้เป็นสถานเทวดา. บทว่า อกาสิยา ราชูหิ วานุสิฏฺฐา
ความว่า ถูกพระราชาหรืออำมาตย์ของพระราชา พร่ำสอนว่า พวกท่านจงถือ
เอาพลีกรรมของเรานี้และนี้ เป็นเหมือนราชบุรุษ กล่าวคือคนผู้เก็บส่วย
บทว่า ตทสฺส ความว่า ได้ถือเอาทรัพย์ของผู้นั้นไป. บทว่า โจรสฺมา
ความว่า ผู้ถือเอาพลีที่ไม่เป็นจริง เป็นเหมือนโจรตัดที่ต่อ. บทว่า วชฺฌา
ความว่า บาปธรรมเห็นปานนี้ควรฆ่า แต่ไม่ถูกฆ่าในโลกเหล่านี้. บทว่า
พาหารสิ ตัดเป็นพาหา อสิ ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ว่า ดูก่อนอริฏฐะ ท่านจงดู
มุสาวาทของพราหมณ์แม้นี้ เล่ากันมาว่า พราหมณ์เหล่านั้น กล่าวกำใบไม้ใหญ่

ในยัญทั้งหลาย ว่าท่านเป็นแขนขวาของพระอินทร์จึงตัดเสีย หากคำของ
พราหมณ์เหล่านั้น นั้นเป็นความจริง เมื่อเป็นเช่นนั้น จะเป็นมีผู้แขนขาด
พระอินทร์ชนะอสูร เพราะกำลังแขนได้อย่างไร. บทว่า สมงฺคี ความว่า
ผู้พรั่งพร้อมด้วยแขน ไม่ขาดแขนไม่มีโรคเลย. บทว่า หนฺตฺวา ได้แก่ ฆ่าพวก
อสูร. บทว่า ปรโม ความว่า เป็นผู้สูงสุด คือประกอบด้วยบุญฤทธิ์ ไม่
ฆ่าคนเหล่าอื่น. บทว่า พฺราหฺมณา ได้แก่มนต์ของพราหมณ์ทั้งหลาย.
บทว่า ตุจฺฉรูปา ได้แก่ ความว่างเปล่า คือไม่มีผล. บทว่า วญฺจนา ได้แก่
ความล่อลวงที่เห็นกันได้ในโลกนี้ ชื่อว่าเป็นมนต์ของพราหมณ์เหล่านั้น. บทว่า
ยถาปการานิ ความว่า พราหมณ์บูชายัญถือเอาอิฐอย่างใดอย่างหนึ่งก่อสร้าง
การทำไว้. บทว่า ทิฏฺฐเสลา ความว่า จริงอยู่ ภูเขาทั้งหลาย ไม่หวั่นไหว
เห็นได้เองไม่มีใครก่อสร้างขึ้น เป็นแท่งทึบ และล้วนแล้วด้วยหิน ไม่กลาย
เป็นอย่างอื่น อิฐทั้งหลายหวั่นไหว ไม่เป็นแท่งทึบ ไม่ล้วนแล้วแต่หิน.
บทว่า ปริวณฺณยนฺตา ความว่า พราหมณ์ทั้งหลายพรรณาถึงยัญนี้. บทว่า
สมนฺตเวเท ได้แก่พวกพราหมณ์ผู้มีเวทบริบูรณ์. บทว่า วหนฺติ ความว่า
ย่อมพัดผู้ที่ตกไปในกระแสน้ำก็ดี ในแม่น้ำวนก็ดีไปสู่แม่น้ำ ให้จมลง ให้ถึง
ความสิ้นชีวิต. น อักษร ศัพท์หนึ่งในบทว่า น เตน พฺยาปนฺนรสูทกานิ
นี้ เป็นนิบาต ใช้ในอรรถว่าเข้าไปตัด. จริงอยู่เมื่อถามท่านว่า แม่น้ำมีน้ำมีรส
วิบัติเพราะเหตุนั้นมิใช่หรือจึงกล่าวอย่างนั้น . บทว่า กสฺมา ความว่า ดูก่อน
เพราะเหตุไร น้ำในมหาสมุทรจึงทำให้ดื่มไม่ได้ มหาพราหมณ์ไม่สามารถจะทำ
น้ำในแม่น้ำทั้งหลายมีแม่น้ำยมุนาเป็นต้นให้ดื่มไม่ได้เท่านั้นหรือ หรือว่าสามารถ
แต่ในมหาสมุทรเท่านั้น. บทว่า ทิรสญฺญราหุ ความว่า เป็นน้ำรู้รส 2 อย่าง.
บทว่า ปเร ปุรตฺถ ความว่า ก่อนแต่นี้ คือประโยชน์ในเบื้องหน้าเขาทั้งปวง
ได้แก่ ในกาลแห่งปฐมกัป. บทว่า กา กสฺส ภริยา ความว่า เป็นภรรยา

ของใครชื่อไร ? จริงอยู่ในกาลนั้น ไม่มีเพศหญิงและเพศชายเลย ภายหลัง
เกิดชื่อว่ามารดาและบิดา ด้วยอำนาจอสัทธรรม. บทว่า มโน มนุสฺสํ ความ
ว่า ก็ในกาลนั้นให้เกิดเป็นมนุษย์ อธิบายว่า สัตว์ทั้งหลายสำเร็จด้วยใจบังเกิด
ขึ้น. บทว่า เตนาปิ ธมฺเมน ความว่า ด้วยเหตุแม้นั้นคือโดยสภาวะนั้น
ใครๆ ชื่อว่า เลวโดยชาติย่อมไม่มี จริงอยู่ในกาลนั้นความต่างแห่งกษัตริย์
เป็นต้น หามีไม่ เพราะเหตุนั้น พราหมณ์ทั้งหลายกล่าวคำใดไว้ว่า พราหมณ์
เท่านั้นประเสริฐโดยชาติ คนนอกนั้นเลว เพราะเหตุนั้นคำนั้นจึงชื่อว่าผิด.
บทว่า เอวมฺปิ ความว่า เมื่อโลกเป็นไปอย่างนี้ กษัตริย์เป็นต้นจึงแบ่งเป็น
4 ส่วนด้วยอำนาจละวัตรอันเป็นของโบราณ ภายหลังจึงกำหนดตัดขาดกระทำ
ด้วยตนเอง. บทว่า เอวํปิ โวสฺสคฺควิภงฺคมาหุ ความว่า พราหมณ์กล่าว
จำแนกไว้อย่างนี้ว่า ด้วยการสละธรรมที่ตนกระทำไว้บรรดาสัตว์เหล่านั้น
บางพวกเกิดเป็นกษัตริย์ บางพวกเป็นพราหมณ์เป็นต้น เพราะฉะนั้นคำว่า
พวกพราหมณ์เท่านั้นประเสริฐจึงผิดทีเดียว. บทว่า สตฺตธา ความว่า ถ้าว่า
มหาพรหมให้ไตรเพทแก่พวกพราหมณ์เท่านั้น ไม่ให้แก่พวกอื่น ศีรษะของ
จัณฑาลผู้กล่าวมนต์จะพึงแตก 7 เสี่ยง แต่ก็ไม่แตก เพราะฉะนั้น พราหมณ์
เหล่านี้ สร้างมนต์ขึ้นเพื่อฆ่าตนเอง ประกาศความที่ตนกล่าวมุสาแก่พวกนั้น
จึงชื่อว่า กระทำการฆ่าคุณ. บทว่า วาจา กตา ความว่า ชื่อว่ามนต์เหล่า
นี้อันพวกพราหมณ์คิดทำด้วยมุสาวาท. บทว่า คิทฺธิ กตา คหิตา
ความว่า ชื่อว่าอันพวกพราหมณ์ยึดถือ โดยความเป็นผู้ติดอยู่ในลาภ. บทว่า
ทุมฺโมจยา ความว่า เปลื้องได้ยาก เหมือนปลาติดเบ็ดฉะนั้น. บทว่า
กาพฺยาปถานุปนฺนา ความว่า ดำเนินตามคือเข้าถึงทางแห่งถ้อยคำของพวก
พราหมณ์ผู้แต่งกาพย์กลอน พวกพราหมณ์เหล่ากล่าวมุสาผูกขึ้นโดยประการ
ที่ตนปรารถนา. บทว่า พาลานํ ความว่า ก็จิตของคนโง่เหล่านั้น ยังตั้งไว้ผิด

ลุ่ม ๆ ดอนๆ พวกไม่มีปัญญาเหล่าอื่นย่อมเชื่อคำของคนโง่นั้น. บทว่าโปริสยพเลน
ความว่าด้วยกำลังกล่าวคือความเป็นบุรุษ ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ว่า ราชสีห์เป็น
ต้น ผู้ประกอบด้วยกำลังซึ่งเป็นของบุรุษ กล่าวคือเรี่ยวแรงแห่งบุรุษ ย่อมไม่มี
แก่พราหมณ์. คนพาลทั้งหมดเลวกว่า แม้กว่าพวกเดียรัจฉานเหล่านี้ทีเดียว.
บทว่า มนุสฺสภาโว จ ควํว เปกฺโข ความว่า ก็อีกอย่างหนึ่งภาวะแห่ง
ความเป็นมนุษย์ของพวกพราหมณ์เหล่านั้นพึงเห็นเหมือนฝูงโค. ถามว่า เพราะ
เหตุอะไร ? แก้ว่า เพราะชาติของพราหมณ์เหล่านั้นไม่เสมอกัน อธิบายว่า
ชาติของผู้เสมอกับพวกพราหมณ์เหล่านั้นไม่เสมอกัน เพราะพวกพราหมณ์
เหล่านั้นมีปัญญาทราม ความจริง สัณฐานของพวกโคก็อย่างหนึ่ง ของพวก
พราหมณ์เหล่านั้นก็อย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น ท่านจึงไม่กระทำพราหมณ์เหล่า
นั้นแม้ให้เสมอกัน ในจำพวกเดียรัจฉานมีสีหะเป็นต้น กระทำให้เสมอกันกับ
โคเท่านั้น. บทว่า สเจ ราชา ความว่า ดูก่อนอริฏฐะ ถ้าว่า
กษัตริย์เท่านั้น ปกครองแผ่นดิน โดยภาวะที่มหาพรหมให้ไซร้. บทว่า
สชีววา ความว่า ประกอบด้วยอำมาตย์เป็นอยู่ร่วมกัน. บทว่า อสฺสวา
ปาริสชฺโช ความว่า พึงเป็นผู้ใช้คนผู้ทำตามโอวาทของตน เมื่อเป็นเช่นนั้น
บริษัทของพระราชา ชื่อว่าพึงรบแล้วให้ราชสมบัติแก่พระราชา ไม่พึงมี. พระ
ราชาพระองค์นั้นผู้เดียวเท่านั้นพึงชนะหมู่ศัตรูด้วยพระองค์เท่านั้น เมื่อการรบ
มีอยู่อย่างนี้ ประชาราษฎร์ของพระองค์ พึงมีความสุขเป็นนิตย์ เพราะไม่มี
ความทุกข์ และข้อนั้นไม่เป็นความจริง แม้เพราะเหตุนั้น คำของพวก
พราหมณ์เหล่านั้น ย่อมผิด. บทว่า ขตฺติยมนฺตา ความว่า ราชศาสตร์และ
ไตรเพทเหล่านั้นที่เป็นไปตามอำนาจราชอาณาตามความชอบใจของตนว่าสิ่งนี้
เท่านั้นควรทำ ย่อมมีความหมายเสมอกัน. อวินิจฺฉินิตฺวา ความว่า กษัตริย์
ไม่วินิจฉัยความหมายของมนต์แห่งกษัตริย์เหล่านั้น และความหมายของเวท

ทั้งหลาย ถือเอาด้วยอำนาจอาชญาเท่านั้นย่อมหยั่งรู้ถึงความหมายนั้น เหมือน
ทางที่ถูกห้วงน้ำตัดขาดฉะนั้น. บทว่า อตฺเถน เอเต ความว่า ราชศาสตร์
และเวทเหล่านั้น ย่อมเสมอกันด้วยความหมายว่า หลอกลวง. เพราะเหตุไร ?
เพราะพวกพราหมณ์กล่าวว่า พวกพราหมณ์เท่านั้นเป็นผู้ประเสริฐ วรรณะ
เหล่าอื่นเลว ก็โลกธรรมมีลาภเป็นต้นเหล่านั้นใด ทั้งหมดนั้นเป็นธรรมของ
วรรณะทั้ง 4 ทั้งหมด จริงอยู่ แม้สัตว์คนหนึ่งชื่อว่าพ้นไปจากโลกธรรมเหล่านี้
ย่อมไม่มี. ดังนั้น พวกพราหมณ์จึงกล่าวมุสาวาทว่า เราผู้ไม่พ้นไปจากโลก
ธรรมนั่นแลประเสริฐ. บทว่า อิพฺภา ได้แก่คฤหบดี. บทว่า เตวิชฺชสํฆาปิ
ความว่า ฝ่ายพวกพราหมณ์ ย่อมทำกรรมเป็นอันมากมีกสิกรรมและโครักข-
กรรมเป็นต้นอย่างนั้นเหมือนกัน. บทว่า นิจฺจุสฺสุกา ความว่า เกิดความ
ขวนขวายความพอใจเป็นนิตย์. บทว่า ตทปฺปปญฺญฺา ทิรสญฺญุรา เต
ความว่า ดูก่อนน้องชายผู้รู้รสทั้ง 2 เพราะเหตุนั้น พวกพราหมณ์ผู้รู้รส 2 อย่าง
เป็นผู้ไม่มีปัญญา พราหมณ์เหล่านั้นเป็นผู้ไกลจากธรรม ก็ธรรมของพวก
พราหมณ์แต่โบราณ ย่อมปรากฏในสุนัขในบัดนี้แล.
พระมหาสัตว์ ครั้นทำลายวาทะของพราหมณ์เหล่านั้นแล้ว ให้ตั้ง
วาทะของพระองค์ด้วยประการฉะนี้ นาคบริษัททั้งหมดนั้น ได้ฟังธรรมกถา
ของพระมหาสัตว์แล้ว ก็พากันเกิดโสมนัส ฝ่ายพระมหาสัตว์จึงสั่งให้นาค
บริษัท นำพราหมณ์เนสาทออกไปจากนาคพิภพ แม้เพียงการบริภาษก็มิได้
การทำแก่พราหมณ์นั้น.
จบยัญญเภทกัณฑ์

ฝ่ายพระเจ้าสาครพรหมทัต มิได้ล่วงเลยวันที่ทรงกำหนดไว้ เสด็จไปยัง
พระตำหนักของพระราชบิดา พร้อมด้วยจตุรงคเสนา ส่วนพระมหาสัตว์ก็สั่งให้ตี
กลองร้องประกาศว่า เราจะไปเฝ้าสมเด็จพระเจ้าลุง และพระเจ้าตาของเรา
แล้วก็เสด็จขึ้นจากแม่น้ำยมุนาด้วยสิริอันงามเลิศ มุ่งไปยังอาศรมบทนั้น พี่
น้องนอกนั้นกับชนกชนนี ก็ติดตามไปเบื้องหลัง ในขณะนั้น พระเจ้าสาคร
พรหมทัต ทอดพระเนตรเห็นพระมหาสัตว์ ผู้มากับนาคบริษัทเป็นอันมาก
ทรงจำไม่ได้ เมื่อจะทูลถามพระราชบิดา จึงตรัสว่า
กลอง ตะโพน สังข์ บัณเฑาะว์ และมโหรทึก
ของใคร มาข้างหน้า ทำให้พระราชา จอมทัพทรง
หรรษา ใครมีสีหน้าสุกใส ด้วยแผ่นทองคำอันหนา
มีพรรณดังสายฟ้า ชันษายังหนุ่มแน่น สอดสวมแล่ง
ธนู รุ่งเรืองด้วยสิริมาอยู่ นั่นเป็นใคร ใครมีพักตร์
ผ่องใสเพียงดังทองคำ เหมือนถ่านไฟไม่ตะเคียนซึ่ง
ลุกโชนอยู่ที่ปากเบ้า รุ่งเรืองด้วยสิริมาอยู่ ใครนั่นมี
ฉัตรทองชมพูนุชมีซี่น่ารื่นรมย์ใจ สำหรับกันรัศมีพระ
อาทิตย์ รุ่งเรืองด้วยสิริมาอยู่ ใครนั่นมีปัญญาประเสริฐ
มีพัดวาลวิชนีอย่างยอดเยี่ยม อันคนใช้ประคอง ณ
เบื้องบนเศียรทั้งสองข้าง คนทั้งหลายถือกำหางนักยูง
อันวิจิตร อ่อนสลวย มีด้ามล้วนแล้วด้วยทอง และ
แก้วมณี จรลีมาทั้งสองข้าง ข้างหน้าของใคร กุณฑล
อันกลมเกลี้ยง มีรัศมีดังสีถ่านไม้ตะเคียนซึ่งลุกโชน
อยู่ปากเบ้า งดงามอยู่ทั้งสองข้าง ข้างหน้าของใคร

เส้นผมของใครต้องลมอยู่ไหว ๆ ปลายสนิทละเอียด
ดำ งามจดนลาต ดังสายฟ้าพุ่งขึ้นจากท้องฟ้า ใครมี
เนตรซ้ายขวากว้างและใหญ่ งาม มีพักตร์ผ่องใส ดัง
คันฉ่องทอง ใครมีโอฐสะอาดเหมือนสังข์อันขาวผ่อง
เมื่อเจรจา (แลเห็น) ฟันขาวสะอาด งามดังดอกมณ-
ฑารพตูม ใครมีมือและเท้าทั้งสองมีสีเสมอด้วยน้ำครั่ง
ตั้งอยู่ในที่สบาย มีริมฝีปากเปล่งปลั่ง ดังผลมะพลับ
งามดังดวงอาทิตย์ ใครนั่นมีเครื่องปกคลุมขาวสะอาด
ดังหนึ่งต้นสาละใหญ่ ดอกบานสะพรั่ง ข้างเขาหิม-
วันต์ในฤดูหิมะตก งามปานดังพระอินทร์ผู้ได้ชัย-
ชนะ ใครนั่น นั่งอยู่ท่ามกลางบริษัท คล้องพระแสง
ขรรค์คร่ำทอง วิจิตรด้วยด้ามแก้วมณีที่อังสา ใคร
นั่นสวมรองเท้าทอง อันวิจิตร เย็บเรียบร้อย สำเร็จ
เป็นอันดี ข้าพเจ้าขอนอบน้อมต่อท่านผู้แสวงหาคุณ
อันยิ่งใหญ่.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปฏิปนฺนานิ ความว่า ดนตรีเหล่านี้
เป็นของใคร ดำเนินมาข้างหน้า. บทว่า หาสยนฺตา ความว่า ทำให้พระ
ราชานี้ทรงหรรษา. บทว่า กสฺส กาญฺจนปฏฺเฏน ความว่า พระราชาตรัส
ถามว่า ใครมีสีหน้าโชติช่วงด้วยแผ่นกรอบหน้าที่นลาต เหมือนก้อน
เมฆโชติช่วงด้วยสายฟ้าฉะนั้น. บทว่า ยุวา กลาปสนฺนทฺโธ แปลว่า ยัง
เป็นหนุ่ม สอดสวมแล่งธนู. บทว่า อุกฺกามุเข ปหฏฺฐิว ความว่า
เหมือนทองคำที่ลุกโชน ที่เตาไฟของช่างทอง. บทว่า ขทิรงฺคารสนฺนิภํ

แปลว่า เสมือนถ่านไม้ตะเคียนที่ลุกโชน. บทว่า ชมฺโพนทํ ความว่า ล้วน
แล้วด้วยทองคำมีสีสุกปลั่ง. บทว่า องฺคปริคฺคยฺห ความว่า อันคนใช้ถือ
แส้จามรประคองมาอยู่. บทว่า วาลวิชนึ แปลว่า พัดวาลวีชนีอันแล้วด้วย
แก้วมณี. บทว่า อุตฺตมํ แปลว่า อันยอดเยี่ยม. บทว่า เปกฺขุณหตฺถานี
แปลว่า ต่างถือกำหางนกยูง. บทว่า จิตฺรานิ แปลว่า วิจิตรด้วยแก้ว 7
ประการ. บทว่า สุวณฺณมณิทณฺฑานิ ความว่า มีด้ามขจิตด้วยทองที่
สุกปลั่ง และด้วยแก้วมณี. บทว่า อุภโต มุขํ ความว่า เที่ยวไปข้างหน้า
ทั้งสองข้าง. บทว่า วาเตน ฉุปิตา แปลว่า อันลมรำเพยพัด. บทว่า
สินิทฺธคฺคา แปลว่า มีปลายสนิท. บทว่า นลาตนฺตํ ความว่า เส้นผม
เห็นปานนี้ นี่ของโครงดงามจดที่สุดนลาต. บทว่า นภา วิชฺชุริวุคฺคตา
ความว่า ดุจดังสายฟ้าขึ้นจากท้องฟ้า ฉะนั้น. บทว่า อุณฺณชํ ความว่า
บริสุทธิ์ ดุจคันฉ่องทองคำ. บทว่า ลปนชาตา แปลว่า ปาก. บทว่า
กุปฺปิลสาทสา แปลว่า เสมือนดอกมณฑารพตูม. บทว่า สุเข ฐิตา
ความว่า ยิ้มแย้มได้สบาย. บทว่า ชยํ อินฺโทว ความว่า ดุจดังพระอินทร์
ได้ชัยชนะ. บทว่า สุวณฺณปีลกากิณฺณํ แปลว่า เกลื่อนไปด้วยไฝทอง.
บทว่า มณิทณฺฑวิจิตฺตกํ ความว่า วิจิตรไปด้วยแก้วมณีอังสา. บทว่า
สุวณฺณขจิตา แปลว่า ขจิตไปด้วยทอง. บทว่า จิตฺรา ได้แก่ วิจิตรไป
ด้วยแก้ว 7 ประการ. บทว่า สุกตา ความว่า สำเร็จเรียบร้อยแล้ว. บทว่า
จิตฺรสิพฺพินี แปลว่า เย็บอย่างสวยงาม. ด้วยบทว่า ปาทา นี้ ท่านถามว่า
ใครนั่นสวมรองเท้าทอง เห็นปานนี้โดยเท้า.
พระดาบสผู้มีฤทธิ์ ได้อภิญญา ถูกพระเจ้าสาครพรหมทัต ผู้เป็น
โอรสทูลถามอย่างนี้ เมื่อจะบอกว่า ดูก่อนพ่อ ผู้ที่มาเหล่านั้น คือนาคลูก
ท้าวธตรฐ หลานของเจ้า จึงกล่าวคาถาว่า

ผู้ที่มาเหล่านั้น เป็นนาคที่มีฤทธิ์เรื่องยศ เป็น
ลูกของท้าวธตรฐ เกิดแต่นางสมุททชา นาคเหล่านี้มี
ฤทธิ์มาก.

เมื่อพระราชฤาษี และพระเจ้าสาครพรหมทัต ตรัสอยู่อย่างนี้ นาค
บริษัททั้งหลาย จึงพากันถวายบังคมบาทพระดาบส แล้วนั่ง ณ ที่อันสมควร
ส่วนข้างหนึ่ง. ฝ่ายนางสมุททชาก็ถวายบังคมพระราชบิดา และพระราชภาดา
แล้ว ก็ปริเทวนากรรแสงไห้ แล้วก็พานาคบริษัทกลับไปยังนาคพิภพ. ฝ่าย
พระเจ้าสาครพรหมทัตประทับ ณ ที่นั้นนั่นเอง สองสามวันจึงถวายบังคมลา
ขมาพระราชบิดาแล้วก็กลับยังกรุงพาราณสี. นางสมุททชาเทวีก็สิ้นชีพในนาค
พิภพนั้นนั่นเอง.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ ก็รักษาศีลอยู่จนตลอดชีวิต ในที่สุดแห่งชนมายุ
ก็ได้ดำเนินไปในทางสวรรค์ กับนาคบริษัท.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อน
อุบาสกทั้งหลาย โบราณบัณฑิต เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติขึ้น. ก็ยัง
ทรงสละนาคสมบัติเห็นปานนี้ กระทำอุโบสถกรรมดังนี้ จึงประชุมชาดกว่า
มารดาบิดา (ของพระภูริทัต) ในกาลนั้น ได้มาเป็นสากยราชตระกูล พราหมณ์
เนสาทมาเป็นพระเทวทัต โสมทัตมาเป็นพระอานนท์ นางอัจจิมุขี มาเป็นนาง
อุบลวรรณา สุทัสสนะเป็นพระสารีบุตร สุโภคะมาเป็นพระโมคคัลลานะ
กาณาริฏฐะ มาเป็นสุนักขัตตลิจฉวี ภูริทัตมาเป็นเราผู้ตรัสรู้ชอบด้วยตนเอง.
จบอรรถกถาภูริทัตชาดกที่ 6

7. จันทกุมาร


พระจันทกุมารทรงบำเพ็ญขันติบารมี


[775] พระราชาพระนามว่าเอกราช เป็นผู้มี
กรรมอันหยาบช้า อยู่ในพระนครปุบผวดี ท้าวเธอ
ตรัสถามขัณฑหาลปุโรหิต ผู้เป็นเผ่าพันธุ์ พราหมณ์ เป็น
คนหลงว่า ดูก่อนพราหมณ์ ท่านเป็นผู้ฉลาดใน
ธรรมวินัย ขอจงบอกทางสวรรค์แก่เรา เหมือนอย่าง
นรชนทำบุญแล้วไปจากภพนี้สู่สุคติภพ ฉะนั้นเถิด.
[776] ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ นรชนให้
แล้วซึ่งทานอันล่วงล้ำทาน ฆ่าแล้วซึ่งบุคคลอันไม่พึง
ฆ่า ชื่อว่าทำบุญแล้วย่อมไปสู่สุคติด้วยประการฉะนี้.
[777] ก็ทานอันล่วงล้ำทานนั้นคืออะไร และ
คนจำพวกไหน เป็นผู้อันบุคคลไม่พึงฆ่าในโลกนี้ ขอ
ท่านจงบอกข้อนั้นแก่เรา เราจักบูชายัญ จักให้ทาน.
[778] ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ยัญพึงบูชา
ด้วยพระราชโอรส พระราชธิดา พระมเหสี ชาวนิคม
โคอุสุภราช ม้าอาชาไนย อย่างละ 4 ข้าแต่พระองค์
ผู้ประเสริฐ ยัญพึงบูชาด้วยหมวด 4 แห่งสัตว์ทั้งปวง.
[779] ในพระราชวังมีเสียงระเบ็งเซ็งแซ่เป็น
อันเดียวน่าหวาดกลัว เพราะได้ฟังคำว่า พระกุมาร
พระกุมารและพระมเหสีจะต้องถูกฆ่า.