เมนู

8. อรรถกถาพรหมนารทชาดก

1

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ในสวนตาลหนุ่มทรงปรารภถึงการทรง
ทรมานท่านอุรุเวลกัสสปตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อหุ ราชา
วิเทหานํ ดังนี้
ดังจะกล่าวโดยพิศดาร ในกาลที่พระศาสดาทรงประกาศพระธรรมจักร
อันประเสริฐ ทรงทรมานชฎิล 3 คนพี่น้อง มีอุรุเวลกัสสปชฎิลเป็นต้น แวด
ล้อมไปด้วยปุราณชฎิล 1,000 คน เสด็จไปยังสวนตาลหนุ่ม เพื่อพระประสงค์
จะทรงเปลื้องปฏิญญา ที่ได้ทรงให้ไว้แก่พระเจ้าพิมพิสาร ผู้เป็นเจ้าแผ่นดินแห่ง
มคธรัฐ ในกาลนั้นเมื่อพระเจ้าพิมพิสารพระเจ้าแผ่นดินมคธรัฐ พร้อมด้วย
บริษัทประมาณ 12 นหุต เสด็จมาถวายบังคมพระทศพลแล้วประทับนั่งอยู่
ขณะนั้น พวกพราหมณ์คหบดีในภายในราชบริษัท เกิดความปริวิตกขึ้นว่า
ท่านพระอุรุเวลกัสสป ประพฤติพรหมจรรย์ในพระมหาสมณโคดม หรือ
พระมหาสมณโคดมประพฤติพรหมจรรย์ในท่านพระอุรุเวลกัสสป.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทราบความปริวิตกแห่งใจของ
พวกบริษัทเหล่านั้นด้วยพระทัย จึงทรงพระดำริว่า จักต้องประกาศภาวะที่
กัสสปมาบวชในสำนักของเราให้พวกนี้รู้ ดังนี้แล้วจึงตรัสพระคาถาว่า
กัสสปผู้อยู่ในอุรุเวลประเทศท่านเคยเป็นอาจารย์
สั่งสอนหมู่ชฎิลผู้ผอมเพราะกำลังประพฤติพรต ท่าน
เห็นอะไรจึงได้ละไฟที่เคยบูชาเสีย เราถามเนื้อความ
นั้นละท่าน อย่างไร ท่านจึงละการบูชาเพลิงของท่าน
เสีย.


1. บาลีเป็น มหานารทกัสสปชาดก.

ฝ่ายพระเถระ ก็ทราบพระพุทธประสงค์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ใคร่
จะแสดงเหตุ จึงกราบทูลว่า
ยัญทั้งหลายย่อมกล่าวสรรเสริญรูป เสียง กลิ่น
รส และหญิงที่น่าใคร่ทั้งหลาย ข้าพระองค์รู้ว่า ของ
น่ารักใคร่นั้น ๆ เป็นมลทินตกอยู่ในอุปกิเลสทั้งหลาย
เพราะเหตุนั้นข้าพระองค์จึงมิได้ยินดีในการเซ่นสรวง
และการบูชาเพลิง ข้าพระองค์ได้เห็นธรรมอันระงับ
แล้วไม่มีกิเลสเครื่องเศร้าหมอง อันเป็นเหตุก่อให้เกิด
ทุกข์ ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล ไม่ติดข้องอยู่ในกามภพ
มิใช่วิสัยที่ผู้อื่นจะนำมาให้ผู้อื่นรู้ได้ ไม่แปรปรวน
กลายเป็นอย่างอื่น เพราะเหตุนั้น ข้าพระองค์จึงไม่
ยินดีในการเซ่นสรวงและการบูชาไฟ.

ครั้นพระอุรุเวลกัสสปกล่าวคาถาเหล่านี้แล้ว เพื่อจะประกาศภาวะที่ตน
เป็นพุทธสาวก จึงซบศีรษะลงที่หลังพระบาทของพระตถาคต ทูลประกาศว่า
ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า จงเป็นศาสดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เป็นสาวก
ของพระองค์ ดังนี้แล้วเหาะขึ้นสู่เวหาส 7 ครั้ง คือครั้งที่ 1 สูงชั่วลำตาล 1
ครั้งที่ 2 สูงชั่ว 2 ลำตาล จนถึงครั้งที่ 7 สูง 7 ชั่วลำตาล แล้วลงมาถวาย
บังคมพระตถาคต นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง มหาชนเห็นปาฏิหาริย์ดังนั้น
ก็ได้กล่าวสรรเสริญคุณของพระศาสดาว่า น่าอัศจรรย์จริง พระพุทธเจ้ามีอานุ-
ภาพมาก ธรรมดาผู้มีความเห็นผิดที่มีกำลังถึงอย่างนี้ เมื่อสำคัญตนว่า เป็น
พระอรหันต์ แม้ท่านพระอุรุเวลกัสสป พระองค์ก็ทรงทำลายข่ายคือทิฏฐิ
ทรมานเสียได้.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงสดับดังนั้นแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อน
อุบาสกทั้งหลาย การที่เราถึงซึ่งสัพพัญญุตญาน ทรมานอุรุเวลกัสสปนี้ ในบัดนี้
ไม่น่าอัศจรรย์เท่ากับครั้งก่อน แม้ในเวลาที่เรายังมีราคะโทสะและโมหะ เป็น
พรหมชื่อว่า นารทะ ทำลายข่ายคือทิฏฐิของเธอ กระทำเธอให้หมดพยศ
ดังนี้แล้วก็ทรงดุษณีภาพ อันบริษัทนั้นกราบทูลอาราธนาจึงทรงนำอดีตนิทาน
มาดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล ยังมีพระราชาพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระเจ้า-
อังคติราช
เสวยราชสมบัติในกรุง มิถิลามหานคร ณ วิเทหรัฐ พระองค์
ทรงตั้งอยู่ในธรรม เป็นพระธรรมราชา พระองค์มีพระราชธิดาองค์หนึ่ง ทรง
พระนามว่า พระนางรุจาราชกุมารี มีพระรูปโฉมสวยงาม ชวนดู ชวนชม
มีบุญมาก ได้ทรงตั้งปณิธานความปรารถนาไว้สิ้นแสนกัป จึงได้มาเกิดในพระ-
ครรภ์ของพระอัครมเหสี ส่วนพระเทวีนอกนั้นของพระองค์ 16,000 คน ได้
เป็นหญิงหมันพระนางรุจาราชกุมารีนั้น จึงเป็นที่โปรดปรานของพระองค์ยิ่งนัก
พระองค์ได้ทรงจัดผ้าเนื้อละเอียดอย่างยิ่ง หาค่ามิได้พร้อมกับผอบดอกไม้ 25
ผอบ อันเต็มไปด้วยบุปผาชาตินานาชนิด ส่งไปพระราชทานพระราชธิดา ทุกๆ
วัน ด้วยทรงพระประสงค์จะให้พระราชธิดาทรงประดับพระองค์ด้วยของเหล่านี้
และของเสวยที่จัดส่งไปประทานนั้นเป็นขาทนียะและโภชนียะอันหาประมาณ
มิได้ ทุกกึ่งเดือนได้ทรงส่งพระราชทานทรัพย์ 1,000 ไปพระราชทาน
พระราชธิดา โดยตรัสสั่งว่า ส่วนนี้ลูกจงให้ทานเถิด และพระองค์มีอำมาตย์อยู่
3 นาย คือ วิชยอำมาตย์ 1 สุนามอำมาตย์ 1 อลาตอำมาตย์ 1
ครั้นถึงคืนกลางเดือน 12 ดอกโกมุทบานเทศกาลมหรพ มหาชนพากัน
ตบแต่งพระนครและภายในพระราชฐานไว้อย่างตระการปานประหนึ่งว่าเทพนคร
จึงพระเจ้าอังคติราชเข้าโสรจสรงทรงลูบไล้พระองค์ ประหนึ่งเครื่องราชอลังการ

เสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว เสด็จประทับนั่งเหนือราชอาสน์ บนพื้นปราสาท
ใหญ่ริมสีหบัญชรไชยมีหมู่อำมาตย์แวดล้อม ทอดพระเนตรดูจันทมณฑลอัน
ทรงกรดหมดราคีลอยเด่นอยู่ ณ พื้นคัดนานต์อากาศ จึงมีพระราชดำรัสถาม
เหล่าอำมาตย์ว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ราตรีอันบริสุทธิ์เช่นนี้น่ารื่นรมย์หนอ
วันนี้เราพึงเพลิดเพลินกันด้วยเรื่องอะไรดี.
พระศาสดาเมื่อทรงประกาศเนื้อความนั้นได้ตรัสว่า
พระเจ้าอังคติผู้เป็นพระราชาของชนชาววิเทหรัฐ
พระองค์มีช้างม้าพลโยธามากมายเหลือที่จะนับ ทั้ง
พระราชทรัพย์ก็เหลือหลาย ก็คืนหนึ่งในวันเพ็ญขึ้น
15 ค่ำ กลางเดือน 12 ดอกโกมุทบาน ตอนปฐมยาม
พระองค์ทรงประชุมเหล่าอำมาตย์ราชบัณฑิต ผู้เป็น
พหูสูตเฉลียวฉลาด ผู้ทรงเคยรู้จัก ทั้งอำมาตย์ผู้ใหญ่
อีก 3 นาย คือวิชัยอำมาตย์ 1 สุนามอำมาตย์ 1
อลาตอำมาตย์ 1 แล้วจึงตรัสถามตามลำดับว่า เธอจง
แสดงความเห็นของตนมาว่า ในวันกลางเดือน 12
เช่นนี้ พระจันทร์แจ่มกระจ่าง กลางคืนวันนี้ พวกเรา
จะยังฤดูเช่นนี้ให้เป็นไปด้วยความยินดีอะไร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปหูตโยโค ความว่า พระองค์ ประกอบ
ด้วยพลช้างมากมายเป็นต้น. บทว่า อนนฺตพลโปริโส ได้แก่ พระองค์มี
พลโยธามากมายเหลือที่นับ. บทว่า อนาคเต ความว่า ยังไม่ถึง คือ ยังไม่ล่วง
ถึงที่สุด. บทว่า จาตุมาสา ได้แก่ ในราตรีอันเป็นวันสุดท้าย แห่งเดือนอัน

มีในฤดูฝน 4 เดือน. บทว่า โกมุทิยา เมื่อดอกโกมุทบาน. บทว่า มิตปุพฺเพ
ความว่า มีปกติกระทำยิ้มแย้มก่อนแล้วกล่าวในภายหลัง. บทว่า ตมนุปุจฺฉิ
ความว่า ตรัสถามตามลำดับกะอำมาตย์แต่ละคนในบรรดาอำมาตย์เหล่านั้น.
บทว่า ปจฺเจกํ พฺรูถ สํรุจึ ความว่า พวกเธอทั้งหมด จงแสดงเรื่องที่
เหมาะสมแก่อัธยาศัยของตน ๆ อันน่าชอบใจของตนแต่ละอย่างแก่เรา. บทว่า
โกมุทชฺชา ตัดเป็น โกมุที อชฺช. บทว่า ชุณฺหํ ความว่า ดวงจันทร์
อันมีในคืนเดือนหงายโผล่ขึ้นแล้ว. บทว่า พฺยปหตํ ตมํ ความว่า แสง
จันทร์นั้นกำจัดมืดทั้งปวงเสียได้. บทว่า อุตุํ ความว่า วันนี้ เราจะยังราตรี
คือฤดูเห็นปานนี้ ให้เป็นอยู่ด้วยความยินดีอย่างไรหนอ.
ลำดับนั้น พระราชาจึงตรัสถามพวกอำมาตย์ทั้งหลาย อำมาตย์เหล่า
นั้น ถูกพระองค์ตรัสถามแล้ว จึงกราบทูลถ้อยคำอันสมควรแก่อัธยาศัยของ
ตน ๆ.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศความนั้น จึงตรัสว่า
ลำดับนั้น อลาตเสนาบดีได้กราบทูลแด่พระ
ราชาว่า ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พึงจัดพลช้าง พล-
ม้า พลเสนา จะนำชายฉกรรจ์ออกรบ พวกใดยังไม่
มาสู่อำนาจ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็จะนำมาสู่อำนาจ
นี่เป็นความเห็นของข้าพระพุทธเจ้า เราทั้งหลายจะได้
ชัยชนะผู้ที่เรายังไม่ชนะ (ขอเดชะ ขอพระองค์จงทรง
รื่นรมย์ด้วยการรบ นี้เป็นเพียงความคิดของข้าพระ
พุทธเจ้า).
สุนามอำมาตย์ ได้ฟังคำของอลาตเสนาบดีแล้ว
ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชา พวกศัตรูของ

พระองค์มาสู่พระราชอำนาจหมดแล้ว ต่างพากันวาง
ศาสตรา ยอมสวามิภักดิ์แล้วทั้งหมด วันนี้เป็นวัน
มหรสพ สนุกสนานยิ่ง การรบข้าพระพุทธเจ้าไม่ชอบ
ใจ ชนทั้งหลายจงรีบนำข้าวน้ำ และของควรเคี้ยวมา
เพื่อพระองค์เถิด ขอเดชะ ขอพระองค์จงทรงรื่นรมย์
ด้วยกามคุณ และการฟ้อนรำ ขับร้อง การประโคม
เถิดพระเจ้าข้า.
วิชยอำมาตย์ ได้ฟังคำของสุนามอำมาตย์แล้วได้
กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชา กามคุณทุกอย่าง
บำเรอพระองค์อยู่เป็นนิตย์แล้ว การทรงเพลิดเพลิน
ด้วยกามคุณทั้งหลาย พระองค์ทรงหาได้โดยไม่ยาก
เลย ทรงปรารถนาก็ได้ทุกเมื่อ การรื่นรมย์ด้วยกามคุณ
ทั้งหลายนี้ ไม่ใช่เป็นความคิดของข้าพระบาท วันนี้
เราทั้งหลายควรพากันไปหาสมณะหรือพราหมณ์ ผู้
เป็นพหูสูต รู้แจ้งอรรถธรรม ผู้แสวงหาคุณ ซึ่งท่าน
จะพึงกำจัดความสงสัยของพวกเราดีกว่า.
พระเจ้าอังคติราช ได้ทรงสดับคำของวิชยอำ-
มาตย์แล้ว ได้ตรัสว่า ตามที่วิชยอำมาตย์พูดว่า วันนี้
เราทั้งหลายควรพากันเข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์ ผู้
เป็นพหูสูต รู้แจ้งอรรถธรรม ผู้แสวงหาคุณซึ่งท่าน
จะพึงกำจัดความสงสัยของพวกเราดีกว่านั้น แม่เราก็
ชอบใจ ท่านที่อยู่ ณ ที่นี้ทุกท่านจงลงมติว่า วันนี้
เราทั้งหลายควรจะเข้าไปหา ใครผู้เป็นบัณฑิต รู้แจ้ง

อรรถธรรม ผู้แสวงหาคุณ ที่ท่านพึงกำจัดความสงสัย
ของพวกเราได้.
อลาตเสนาบดี ได้ฟังพระราชดำรัสของพระเจ้า
วิเทหราชแล้ว ได้กราบทูลว่า มีอเจลกที่โลกสมมติว่า
เป็นนักปราชญ์อยู่ในมฤคทายวัน อเจลกผู้นี้ชื่อว่าคุณะ
ผู้กัสสปโคตรเป็นพหูสูต พูดจาไพเราะ เป็นเจ้าหมู่
เจ้าคณะ ขอเดชะ เราทั้งหลายควรเข้าไปหาเธอ เธอ
จักขจัดความสงสัยของเราทั้งหลายได้.
พระราชา ได้ทรงสดับคำของอลาตเสนาบดีแล้ว
ได้ตรัสสั่งสารถีว่า เราจะไปยังมฤคทายวัน ท่านจงนำ
ยานเทียมม้ามาที่นี่.

บทว่า หฏฺฐํ แปลว่า ยินดีร่าเริง. บทว่า โอชินามเส ความว่า
พวกเราจะเอาชัยชนะ ผู้ที่พวกเราไม่ชนะ นี้เป็นอัธยาศัยของเราแล พระราชา
ทรงทราบถ้อยคำท่าน ไม่ทรงคัดค้าน ไม่ทรงยินดี. บทว่า เอตทพฺรวิ ความว่า
สุนามอำมาตย์ ได้เห็นพระราชาผู้ไม่ทรงยินดี ไม่ทรงคัดค้านคำของอลาต
เสนาบดีคิดว่า นี้ไม่เป็นอัธยาศัยของนักรบ เราจะยึดเอาความคิดของท่าน แล้ว
จักสรรเสริญความยินดียิ่งในกามคุณ จึงได้กล่าวคำนี้มีอาทิว่า กามทั้งหมด
เป็นของท่าน. บทว่า วิชโย เอตทพฺรวิ ความว่า พระราชาทรงสดับคำของ
สุนามอำมาตย์แล้ว ก็ไม่ทรงยินดี ไม่ทรงคัดค้าน. ลำดับนั้นวิชัยอำมาตย์จึงคิด
ว่าพระราชานี้สดับคำของท่านทั้งสองนี้แล้ว ได้ยืนนิ่งอยู่ทีเดียว ธรรมดาบัณฑิต
ทั้งหลาย เป็นนักฟังธรรม เราจะสรรเสริญการฟังธรรมแก่พระองค์ ดังนี้แล้ว
จึงกล่าวคำมีอาทิว่า สพฺเพ กามา กามทั้งปวงดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า ตวมุปฏฺฐิตา แปลว่า บำรุงบำเรอพระองค์. บทว่า โมทิตุํ

ความว่า เมื่อท่านมีความปรารถนาจะบันเทิง ยินดียิ่ง พระองค์จะได้กามคุณ
เหล่านี้โดยไม่ยากเลย. บทว่า เนตํ จิตฺตมตํ มม ความว่า ชื่อว่า ความ
อภิรมย์ด้วยกามคุณของท่านนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงมติของข้าพระองค์ ความคิด
ของข้าพระองค์มิได้มุ่งไปในข้อนี้. บทว่า โย นชฺชา ตัดบทเป็น โย โน
อชฺช.
บทว่า อตฺถธมฺมวิทู ได้แก่ รู้ซึ่งอรรถแห่งบาลีและธรรมแห่งบาลี.
บทว่า อิเส ได้แก่ ฤาษี คือผู้มีคุณอันแสวงหาแล้ว. บทว่า องฺคติมพฺรวิ
ตัดบทเป็น องฺคติ อพฺรวิ. บทว่า มยฺหํ เจตํว รุจฺจติ ความว่า แม้
ข้าพเจ้าก็ชอบใจข้อนั้นเหมือนกัน. บทว่า สพฺเพว สนฺตา ความว่า พวก
ท่านทั้งหมดมีอยู่ในที่นี้ จงกระทำ คือจงคิดซึ่งมติ. บทว่า อลาโต เอตทพฺรวิ
ความว่า อลาตเสนาบดี ฟังถ้อยคำของพระราชานั้นแล้ว คิดว่า อาชีวก ผู้
ชื่อว่า คุณะ ผู้เข้าสู่ตระกูลของเรานี้ อยู่ในราชอุทยาน เราจะสรรเสริญ อาชีวก
นั้น กระทำให้เป็นผู้เข้าถึงราชตระกูล จึงได้กล่าวคำนี้มีอาทิว่า อตฺถายํ ดังนี้.
บทว่า ธีรสมฺมโต แปลว่า สมมติว่าเป็นบัณฑิต. บทว่า กสฺสปโคตฺตาย
ความว่า ผู้นี้เป็นกัสสปโคตร. บทว่า สุโต ได้แก่ มีพุทธพจน์อันสดับแล้ว
มาก. บทว่า คณี แปลว่า หมู่มาก. บทว่า โจเทสิ แปลว่า ได้สั่งบังคับ
แล้ว.
พระราชา เมื่อจะทรงประกาศความนั้น จึงตรัสว่า
พวกนายสารถีได้จัดพระราชยาน อันล้วนแล้ว
ไปด้วยงา มีกระพองเป็นเงิน และจัดรถพระที่นั่งรอง
อันขาวผุดผ่อง ดังพระจันทร์ในราตรี ที่ปราศจาก
มลทินโทษ มาถวายแก่พระราชา รถนั้นเทียมด้วยม้า
สินธพสี่ตัว ล้วนมีสีดังสีดอกโกมุท เป็นม้ามีฝีเท้าเร็ว
ดังลมพัด วิ่งเรียบ ประดับด้วยดอกไม้ทอง พระกลด

ราชรถม้า และวีชนี ล้วนมีสีขาว พระเจ้าวิเทหราช
พร้อมด้วยหมู่อำมาตย์ เสด็จออกย่อมงดงามดังพระ-
จันทร์ หมู่พลราชบริพารผู้กล้าหาญ ขี่บนหลังม้าถือ
หอกดาบตามเสด็จ พระเจ้าวิเทหราชมหากษัตริย์พระ
องค์นั้น เสด็จถึงมฤคทายวันโดยครู่เดียว เสด็จลง
จากราชยานแล้ว ทรงดำเนินเข้าไปหาคุณาชีวก พร้อม
ด้วยหมู่อำมาตย์ ก็ในกาลนั้น มีพราหมณ์และคฤหบดี
มาประชุมกันอยู่ในพระราชอุทยานนั้น พราหมณ์และ
คฤหบดีเหล่านั้น พระราชามิให้ลุกหนีไป.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตสฺส ยานํ ความว่า พวกนาย
สารถี ได้จัดพระราชยาน ถวายแด่พระราชานั้น. บทว่า ทนฺตํ ได้แก่ อัน
ล้วนแล้วไปด้วยงา. บทว่า รูปิยปกฺขรํ แปลว่า มีกระพองเป็นเงิน. บทว่า
สุกฺกมฏฺฐปริวารํ ความว่า มีรถอันบริสุทธิ์ เกลี้ยงเกลา ไม่หยาบเป็น
เครื่องแห่แหน. บทว่า โทสินา มุข ความว่า เป็นเสมือนพระจันทร์เพ็ญ
ประหนึ่งหน้าแห่งราตรี ที่ปราศจากมลทินโทษ. บทว่า ตตฺราสุํ แปลว่า
ได้มีในรถนั้น. บทว่า กุมุทา แปลว่า เป็นเสมือนสีแห่งโกมุท. บทว่า
สินฺธวา ได้แก่ ม้าที่มีฝีเท้าเร็วเชื่อชาติม้าสินธพ. บทว่า อนีลุปฺปสมุปฺ-
ปาตา
ได้แก่ ม้าที่มีกำลังเสมือนกับกำลังลม. บทว่า เสตจฺฉตฺตํ แม้
ฉัตรที่เขายกขึ้นไว้บนรถนั้นก็มีสีขาว. บทว่า เสตรโถ ความว่า แม้รถนั้น
ก็มีสีขาวเหมือนกัน. บทว่า เสตสฺสา ความว่า แม้ม้าก็มีสีขาว บทว่า
เสตวีชนี ความว่า แม้พัดวีชนีก็ขาว. บทว่า นียํ ความว่า พระเจ้าวิเทหราช
แวดล้อมไปด้วยหมู่อำมาตย์ เสด็จไปด้วยรถเงินนั้น ย่อมงดงามดังจันทเทพ
บุตร. บทว่า นรา นรวราธิปํ ความว่า เป็นอธิบดีแห่งนรชนผู้ประเสริฐ
เป็นพระราชา ยิ่งกว่าพระราชา. บทว่า โส มุหุตฺตํว ยายิตฺวา ความว่า

พระราชานั้น เสด็จไปสู่พระราชอุทยาน โดยครู่เดียวเท่านั้น. บทว่า ปตฺติ-
คุณมุปาคมิ
ความว่า ทรงพระราชดำเนินเข้าไปหาคุณาชีวก. บทว่า เยปิ
ตตฺถ ตทา อาสุํ
ความว่าในกาลนั้น พวกพราหมณ์คฤหบดีทั้งหลายไปก่อน
ไปในอุทยานนั้น เข้าไปนั่งใกล้อาชีวกนั้น. บทว่า น เต อปนยี ความว่า
พระราชาตรัสว่า โทษเป็นของพวกเราเท่านั้น พวกเรามาภายหลัง อย่าวิตกไป
เลย จึงไม่ให้พวกพราหมณ์และคฤหบดี กระทำโอกาส คือลุกขึ้นหลีกไป
เพื่อประโยชน์แก่พระราชา. บทว่า ภูมิมาคเต ความว่า เขาเหล่านั้น ผู้มาสู่
พื้นที่ประชุม อันพระราชามิให้ลุกขึ้นแล้วหนีไป.
พระเจ้าอังคติราชนั้น แวดล้อมไปด้วยบริษัท ผสมกันนั้นแล้วประทับ
นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วทรงกระทำปฏิสันถาร.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศความนั้น จึงตรัสว่า
ลำดับนั้น พระเจ้าอังคติราชนั้น เสด็จเข้าไป
ประทับนั่งบนอาสนะ อันปูลาดพระยี่ภู่ มีสัมผัสอัน
อ่อนนุ่ม ณ ส่วนข้างหนึ่งแล้วได้ทรงปราศรัย ถามทุกข์
สุขว่า ผู้เป็นเจ้าสบายดีอยู่หรือ ลมมิได้กำเริบเสียดแทง
หรือ ผู้เป็นเจ้าเลี้ยงชีวิตโดยมิฝืดเคืองหรือ ได้บิณฑ-
บาตพอเยียวยาชีวิตให้เป็นไปอยู่หรือ ผู้เป็นเจ้ามีอา-
พาธน้อยหรือ จักษุมิได้เสื่อมไปจากปรกติหรือ.
คุณาชีวก ทูลปราศรัยกับพระเจ้าวิเทหราช ผู้ทรง
ยินดีในวินัยว่า ข้าแต่มหาราชา ข้าพระพุทธเจ้าสบาย
ดีทุกประการ บ้านเมืองของพระองค์ไม่กำเริบหรือ
ช้างม้าของพระองค์หาโรคมิได้หรือ พาหนะยังพอเป็น
ไปแหละหรือ พยาธิไม่มีมาเบียดเบียนพระสรีระของ
พระองค์แลหรือ.

เมื่อคุณาชีวกทูลปราศรัยแล้ว ลำดับนั้น พระ-
ราชาผู้เป็นจอมทัพทรงใคร่ธรรม ได้ตรัสถามอรรถ-
ธรรมและเหตุว่า ท่านกัสสป นรชนพึงประพฤติธรรม
ในมารดาและบิดาอย่างไร พึงประพฤติธรรมในอาจารย์
อย่างไร พึงประพฤติธรรมในบุตรและภรรยาอย่างไร
พึงประพฤติธรรมในวุฒิบุคคลอย่างไร พึงประพฤติ
ธรรมในพลนิกายอย่างไร และพึงประพฤติธรรมใน
ชนบทอย่างไร ชนทั้งหลายประพฤติธรรมอย่างไร ละ
โลกนี้ไปแล้วจึงไปสู่สุคติ ส่วนคนบางพวกผู้ไม่ตั้งอยู่
ในธรรมไฉนจึงตกลงไปใต้นรก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มุทุกา ภิสิยา ความว่า ด้วยพระยี่ภู่
ซึ่งมีสัมผัสสบายอ่อนนุ่ม. บทว่า มุทุจิตฺตกสณฺฐเต ความว่า บนเครื่อง
ลาดอันวิจิตร มีสัมผัสสบาย. บทว่า มุทุปจฺจตฺถเต ความว่า อันลาดด้วย
เครื่องลาดอันอ่อนนุ่ม. บทว่า สมฺโมทิ ความว่า ได้กระทำสัมโมทนียกถา
กับอาชีวก. บทว่า ตโต ความว่า ถัดจากการนั่งนั่นแล ได้กล่าวสาราณียกถา.
บทว่า กจฺจิ ยาปนียํ ความว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านอยู่ดีหรือ ท่าน
สามารถยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยปัจจัยอันประณีตอยู่หรือ. บทว่า วาตานม-
วิยตฺตตา
ความว่า วาโยธาตุในร่างกายของท่านเป็นไปอย่างสบายอยู่หรือ โรค
ลมมิได้กำเริบหรือ อธิบายว่า ลมที่เกิดขึ้นเป็นพวกในร่างกายนั้น ๆ ของท่าน
ไม่เบียดเบียนท่านหรือ. บทว่า อกสิรา ได้แก่ หมดทุกข์. บทว่า วุตฺติ
ได้แก่ ความเป็นไปแห่งชีวิต. บทว่า อปฺปาพาโธ ความว่า เว้นจาก
อาพาธอันหักรานอิริยาบถ. ด้วยบทว่า จกฺขุ นี้ ท่านถามว่า อินทรีย์มี

จักขุนทรีย์เป็นต้นของท่านไม่เสื่อมหรือ. บทว่า ปฏิสมฺโมทิ ความว่า ท่าน
กล่าวตอบด้วยสัมโมทนียกถา. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สพฺพเมตํ คำที่
ท่านกล่าวว่า ลมมิได้กำเริบเสียดแทงเป็นต้น ทั้งหมดนั้นย่อมเป็นอย่างนั้นนั่นแล.
บทว่า ตทูภยํ ความว่า แม้คำที่ท่านกล่าวว่า ท่านมีอาพาธน้อย จักษุไม่
เสื่อมหรือ ทั้ง 2 นั้น ก็เป็นอย่างนั้น เหมือนกัน. บทว่า น พลียเร ได้แก่
ไม่ครอบงำ ไม่กำเริบ ด้วยบทว่า อนนฺตรา นี้ ท่านถามปัญหาในลำดับ
แต่ปฏิสันถาร. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อตฺถํ ธมฺมญฺจ ญายญฺจ ได้แก่
อรรถแห่งบาลี ธรรมแห่งบาลี และอรรถธรรมอันประกอบไปด้วยเหตุ ก็
อำมาตย์นั้นเมื่อถามว่า กถํ ธมฺมญฺจเร จึงถามอรรถธรรมและความประพฤติ
ดีนี้ว่า ขอท่านจงบอก อรรถแห่งบาลี ธรรมแห่งบาลี และอรรถธรรมอัน
สมควรแก่เหตุ อันแสดงการปฏิบัติในมารดาและบิดาเป็นต้นแก่ข้าพเจ้า. บทว่า
กถญฺเจเก อธมฺมฏฺฐา ความว่า ชนบางพวกตั้งอยู่ในอธรรม อย่างไรคน
บางพวกจึงเอาหัวลงตกสู่นรก และเอาเท้าขึ้น ตกไปในอบาย.
ก็ปัญหานั้นเป็นปัญหาที่พระราชาควรจะตรัสถามผู้มีศักดิ์ใหญ่คน
หลังๆ เพราะไม่ได้คำตอบจากคนก่อน ๆ ในบรรดาพระสัพพัญญูพุทธเจ้า
พระปัจเจกพุทธเจ้า พระพุทธสาวก และพระมหาโพธิสัตว์ แต่กลับตรัสถาม
คุณาชีวก ผู้เปลือยกาย หาสิริมิได้ เป็นคนอันธพาล ไม่รู้ปัญหาอะไรเลย.
คุณาชีวกนั้น ครั้นถูกถามแล้วอย่างนี้ จึงไม่เห็นทางพยากรณ์อันเหมาะสมแก่
ราชปุจฉา ซึ่งเป็นประหนึ่งเอาท่อนไม้ตีโคที่กำลังเที่ยวไปอยู่ หรือเหมือน
คราดหยากเยื่อทั้งด้วยจวักฉะนั้น แต่ได้ทูลขอโอกาสว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า
ขอพระองค์จงสดับเถิด แล้วเริ่มตั้งมิจฉาวาทะของตน.
พระศาสดาเธอจะทรงประกาศความนั้นจึงตรัสว่า

คุณาชีวกกัสสปโคตร ได้ฟังพระดำรัสของพระ-
เจ้าวิเทหราช ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชา ขอ
พระองค์ทรงสดับทางที่จริงแท้ของพระองค์ ผลแห่ง
ธรรมที่ประพฤติแล้วเป็นบุญเป็นบาปไม่มี ขอเดชะ
ปรโลกไม่มี ใครเล่าจากปรโลกนั้นมาโลกนี้ ปู่ย่าตายาย
ไม่มี มารดาบิดาจะมีที่ไหน ขึ้นชื่อว่าอาจารย์ไม่มี
ใครจักฝึกผู้ที่ฝึกไม่ได้ สัตว์เสมอกันหมด ผู้ประพฤติ
อ่อนน้อมต่อท่านผู้เจริญไม่มี กำลังหรือความเพียรไม่มี
บุรุษผู้มีความหมั่นจักได้รับผลแต่ที่ไหน สัตว์ที่เกิดตาม
กันมา เหมือนเรือน้อยห้อยท้ายเรือใหญ่ สัตว์ย่อมได้
สิ่งที่ควรได้ ในข้อนั้น ผลทานจักมีแต่ที่ไหน ผลทาน
ไม่มี ความเพียรไม่มีอำนาจ ทานคนโง่บัญญัติไว้
คนฉลาดรับทาน คนโง่สำคัญตัวว่าฉลาด เป็นผู้ไม่มี
อำนาจ ย่อมให้ทานแก่นักปราชญ์ทั้งหลาย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิธาคโต ความว่า ชื่อว่าผู้จากปรโลกนั้น
มาสู่โลกนี้ย่อมไม่มี. บทว่า ปิตโร วา ความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ
เฉพาะปิยชนทั้งหลาย มีปู่ย่าตายายเป็นต้นย่อมไม่มี เมื่อท่านเหล่านั้นไม่มี
มารดาจะมีแต่ที่ไหน บิดาจะมีแต่ที่ไหน ?. บทว่า ยถา โหถ วิโย ตถา
ความว่า พวกสัตว์เป็นเหมือนเรือน้อยห้อยท้ายตามเรือใหญ่ไปฉะนั้น. ท่าน
กล่าวว่า เรือน้อยที่ผูกห้อยท้ายตามหลังเรือใหญ่ไปฉันใด สัตว์เหล่านี้ก็ฉันนั้น
เหมือนกัน ย่อมติดตามไปอย่างแน่นอนทีเดียวถึง 84 กัป. บทว่า อวโส
เทว วีริโย
ความว่า เมื่อผลของทานไม่มีด้วยอาการอย่างนี้ คนพาลคนใด

คนหนึ่งย่อมชื่อว่าให้ทาน ท่านแสดงไว้ว่าคนพาลนั้นไม่มีอำนาจไม่มีความเพียร
ย่อมให้ทานโดยอำนาจ คือโดยกำลังของตนหาได้ไม่ แต่ย่อมเชื่อต่อคนอันธ-
พาลเหล่าอื่น จึงให้ด้วยสำคัญว่า ผลทานย่อมมี. บทว่า พาเลหิ ทานํ
ปญฺญฺตฺตํ
ความว่า คนพาลเท่านั้นย่อมให้ ทานนั้นบัณฑิตย่อมคอยรับทานที่
คนอันธพาลบัญญัติไว้ คืออนุญาตไว้ว่า ควรให้ทานแล.
ครั้นคุณาชีวกทูลพรรณนาภาวะที่ทานเป็นของไม่มีผลอย่างนี้แล้ว บัดนี้
เพื่อพรรณนาถึงบาปที่ไม่มีผล จึงกล่าวว่า
รูปกายอันเป็นที่รวม ดิน น้ำ ลม ไฟ สุข
ทุกข์และชีวิต 7 ประการนี้ เป็นของเที่ยง ไม่ขาดสูญ
ไม่กำเริบ รูปกาย 7 ประการนี้ ของสัตว์เหล่าใด
ชื่อว่าขาดไม่มี ผู้ที่ถูกฆ่าหรือถูกตัด หรือเบียดเบียน
ใด ๆ ไม่มี ศาสตราทั้งหลายพึงเป็นรูปในระหว่างรูปกาย
7 ประการนี้ ผู้ใดตัดศีรษะของผู้อื่นด้วยดาบอันคม
ผู้นั้นไม่ชื่อว่าตัดร่างกายเหล่านั้น ในการทำเช่นนั้น
ผลบาปจะมีแต่ที่ไหน สัตว์ทุกจำพวกท่องเที่ยวอยู่ใน
วัฏสงสาร 84 มหากัป ย่อมบริสุทธิ์ได้เอง เมื่อยังไม่
ถึงกาลนั้น แม้จะสำรวมด้วยดีก็บริสุทธิ์ไม่ได้ เมื่อยัง
ไม่ถึงกาลนั้นแม้จะประพฤติความดีมากมาย ก็บริสุทธิ์
ไม่ได้ ถ้าแม้กระทำบาปมากมาย ก็ไม่ล่วงขณะนั้นไป
ในวาทะของเราทั้งหลาย ความบริสุทธิ์ย่อมมีได้โดย
ลำดับเมื่อถึง 84 กัป พวกเราไม่ล่วงเลยเขตอันแน่นอน
นั้นเหมือนคลื่นไม่ล่วงฝั่งไปฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กายา แปลว่า หมู่. บทว่า อวิโกปิโน
ได้แก่ ไม่อาจจะแยกออกจากกันได้. บทว่า ชีเว จ ได้แก่ ชีวะ (ชีวิต) ปาฐะ
ว่า ชีโว จ ดังนี้ก็มีอรรถเป็นอันเดียวกัน. บทว่า สตฺติเม กายา ได้แก่ หมู่
สัตว์เหล่านี้. บทว่า หญฺญเร วาปิ โกจินํ ความว่า ผู้ใดพึงเบียดเบียน
แม้ผู้นั้นก็ไม่จัดว่าเป็นผู้ทำร้าย. บทว่า สตฺถานิ วินิวตฺตเร ความว่า
ศาสตราทั้งหลายเที่ยวไปอยู่ในภายในกายทั้ง 7 นี้ ไม่สามารถจะตัดได้. บทว่า
สิรมาทาย ความว่า จับศีรษะของชนเหล่าอื่น. บทว่า นิสิตาสินา ความว่า ท่าน
กล่าวว่า ตัดด้วยดาบอันคม ท่านแสดงไว้ว่า แม้ผู้นั้นตัดพวกนั้นด้วยกาย ธาตุดิน
ก็จัดเป็นปฐวีธาตุ ธาตุลมเป็นต้น ก็จัดเข้าเป็นอาโปธาตุเป็นต้น สุขทุกข์และ
ชีวิต ย่อมแล่นไปสู่อากาศ. บทว่า สํสรํ ความว่า ดูก่อนมหาราชเจ้า
สัตว์เหล่านี้จะทำแผ่นดินนี้ให้เป็นลานเนื้ออันหนึ่งก็ดี ท่องเที่ยวไปตลอดกัปมี
ประมาณเท่านี้ก็ดี ก็หาบริสุทธิ์ได้ไม่ จริงอยู่ ชื่อว่าผู้สามารถจะชำระเหล่า
สัตว์ให้บริสุทธิ์จากสงสารย่อมไม่มี สัตว์ทั้งหมดนั้น ย่อมบริสุทธิ์ด้วยสงสาร
นั่นเอง. บทว่า อนาคเต ตมฺหิ กาเล ความว่า ก็เมื่อกาลหนึ่งตามที่กล่าว
แล้ว ยังไม่ถึงอนาคตกาล ผู้ที่สำรวมดีก็ดี ผู้มีศีลบริสุทธิ์ก็ดีในระหว่าง ย่อม
ไม่บริสุทธิ์. บทว่า ตํ ขณํ ได้แก่ ตลอดกาลมีประการดังกล่าวแล้วนั้น.
บทว่า อนุปุพฺเพน โน สุทฺธิ ความว่า ความหมดจดย่อมมีโดยลำดับ
ในวาทะของเรา อธิบายว่า ความหมดจดโดยลำดับแห่งเราทั้งปวงก็มี. บทว่า
ตํ เวลํ ได้แก่ ตลอดกาลมีประการดังกล่าวแล้วนั้น.
คุณาชีวกผู้มีวาทะว่าขาดสูญ เมื่อจะยังวาทะของตนให้สำเร็จตามกำลัง
ของตน จึงกราบทูลโดยหาหลักฐานมิได้.
อลาตเสนาบดี ได้ฟังคำของคุณาชีวกกัสสปโคตร
แล้ว ได้กล่าวคำนี้ว่า ท่านผู้เจริญกล่าวฉันใด คำนั้น

ข้าพเจ้าชอบใจฉันนั้น แม้ข้าพเจ้าก็ระลึกชาติหนหลัง
ของตนได้ชาติหนึ่ง คือในชาติก่อนข้าพเจ้าเกิดในเมือง
พาราณสีอันเป็นเนืองมั่งคั่ง เป็นนายพรานฆ่าโค ชื่อว่า
ปิงคละ ข้าพเจ้าได้ทำบาปธรรมไว้มาก ได้ฆ่าสัตว์ที่
มีชีวิต คือ กระบือ สุกร แพะ เป็นอันมาก ข้าพเจ้า
จุติจากชาตินั้นแล้ว มาเกิดในตระกูลเสนาบดีอันบริ-
สุทธิ์นี้ บาปไม่มีผลแน่ ข้าพเจ้าจึงไม่ต้องไปนรก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อลาโต เอตทพฺรวิ ความว่า ได้ยิน
ว่า อลาตเสนาบดีนั้น กระทำการบูชาด้วยพวงดอกอังกาบที่เจดีย์ ในกาลแห่ง
พระทศพลทรงพระนามกัสสปะในกาลก่อน ในมรณสมัยถูกกรรมอื่นซัดไปตาม
อานุภาพ ท่องเที่ยวไปในสงสาร ด้วยผลแห่งบาปกรรมอันหนึ่ง จึงบังเกิดใน
ตระกูลแห่งโคฆาต ได้กระทำกรรมเป็นอันมาก ครั้นในเวลาที่เขาจะตาย
บุญกรรมอันนั้นที่ตั้งอยู่ตลอดกาลประมาณเท่านี้ได้ให้โอกาส เหมือนไฟที่เอา
ขี้เถ้าปิดไว้ฉะนั้น. ด้วยอานุภาพแห่งกรรมนั้นเขาจึงบังเกิดในที่นี้ ได้รับสมบัติ
เช่นนั้น และระลึกชาติได้ เมื่อไม่อาจระลึกถึงกรรมอื่นจากอนันตรกรรมใน
อดีต จึงสนับสนุนวาทะของคุณาชีวกนั้นด้วยสำคัญว่า เราได้กระทำกรรมคือ
การฆ่าโคจึงบังเกิดในที่นี้ จึงได้กล่าวคำนี้มีอาทิว่า ยถา ภทฺทนฺโต ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สเร สํสริตตฺตโน ความว่า ระลึกถึงชาติที่ตน
ท่องเที่ยวอยู่ได้. บทว่า เสนาปติกุเล แปลว่า เกิดในตระกูลแห่งเสนาบดี
ครั้งนั้น ในมิถิลานครนี้ มีคนเข็ญใจเป็นทาส
เขาผู้หนึ่ง ชื่อว่าวีชกะ รักษาอุโบสถศีล ได้เข้าไป
ยังสำนักของคุณาชีวก ได้ฟังคำของกัสสปคุณาชีวก
และอลาตเสนาบดีกล่าวกันอยู่ ถอนหายใยฮึดฮัด ร้อง
ไห้น้ำตาไหล.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อเถตฺถ ความว่า ครั้งนั้นในเมืองมิถิลา
นั้น. บทว่า ปฏจฺฉรี ได้แก่ คนเข็ญใจกำพร้า. บทว่า คุณสนฺติกวุปาคมิ
ความว่า ได้ไปยังสำนักของคุณาชีวก พึงทราบความว่า เข้าไปใกล้ด้วย
ตั้งใจว่า ข้าพระองค์จักฟังเหตุอะไรนั่นแล.
พระเจ้าวิเทหราช ได้ตรัสถามนายวีชะนั้นว่า
สหายเอ๋ย เจ้าร้องไห้ทำไม เจ้าได้ฟังได้เห็นอะไรมา
หรือเจ้าได้รับทุกขเวทนาอะไร จงบอกให้เราทราบ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กึ มํ เวเทสิ เวทนํ ความว่า เจ้า
ได้รับเวทนาทางกาย หรือทางจิตอะไรหรือเป็นอย่างไร เจ้าจึงร้องไห้อย่างนี้
จงบอกให้เราทราบ เจ้ากระทำคนให้ลำบากอย่างไรหรือ จงบอกเรา.
นายวีชกะได้ฟังพระดำรัสของพระเจ้าวิเทหราช
แล้ว ได้กราบทูลว่า ข้าพระองค์ไม่มีทุกขเวทนาเลย
ข้าแต่พระมหาราชา ขอได้ทรงพระกรุณาฟังข้าพระ-
พุทธเจ้า แม้ข้าพระพุทธเจ้าก็ยังระลึกถึงความสุขสบาย
ของตนในชาติก่อนได้ คือ ในชาติก่อนข้าพระพุทธเจ้า
เกิดเป็นภาวเศรษฐี ยินดีในคุณธรรม อยู่ในเมือง
สาเกต ข้าพระพุทธเจ้านั่นอบรมตนดีแล้ว ยินดีใน
การบริจาคทานแก่พราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย มี
การงานอันสะอาด ข้าพระพุทธเจ้าระลึกถึงบาปกรรม
ที่ตนกระทำแล้วไม่ได้เลย ข้าแต่พระเจ้าวิเทหราช
ข้าพระพุทธเจ้าจุติจากชาตินั้นแล้ว มาเกิดในครรภ์ของ
นางกุมภทาสีหญิงขัดสนในมิถิลามหานครนี้ จำเดิม
แต่เวลาที่เกิดแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าก็ยากจนเรื่อยมา

แม้ข้าพระพุทธเจ้าจะเป็นคนยากจนอย่างนี้ ก็ตั้งมั่นอยู่
ในความประพฤติชอบ ได้ให้อาหารกึ่งหนึ่งแก่ท่านที่
ปรารถนา ได้รักษาอุโบสถศีลในวัน 14 ค่ำ 15 ค่ำทุก
เมื่อ ไม่ได้เบียดเบียนสัตว์และไม่ได้ลักทรัพย์เลย
กรรมทั้งปวงที่ข้าพระพุทธเจ้าประพฤติดีแล้วนั้น ไร้
ผลเป็นแน่ ศีลนี้เห็นจะไร้ประโยชน์ เหมือนอลาต
เสนาบดีกล่าว ข้าพระพุทธเจ้ากำเอาแต่ความปราชัยไว้
เหมือนนักเลงผู้ไม่ได้ฝึกหัดฉะนั้นเป็นแน่ ส่วนอลาต
เสนาบดีย่อมกำเอาแต่ชัยชนะไว้ ดังนักเลงผู้ชำนาญ
การพนัน ฉะนั้น ข้าพระพุทธเจ้า ไม่เห็นประตู
อันเป็นเหตุสุคติเลย ข้าแต่พระราชา เพราะเหตุนั้น
ข้าพระพุทธเจ้าได้ฟังคำของกัสสปคุณาชีวกแล้วจึงร้อง
ไห้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภาวเสฏฺฐี ความว่า เศรษฐีผู้มีสมบัติ 80
โกฏิ ผู้มีชื่ออย่างนี้. บทว่า คุณรโต แปลว่า ผู้ยินดีในคุณ. บทว่า สมฺ-
มโต
ความว่า อันตนอารมดีแล้ว. บทว่า สุจิ ได้แก่ ผู้มีกรรมอันสะอาด.
บทว่า อิธ ชาโต ทุริตฺถิยา ความว่า ข้าพเจ้าเกิดในท้องกุมภทาสี ผู้เป็น
หญิงขัดสนเข็ญใจ กำพร้า ในมิถิลานครนี้.
ดังได้สดับมา ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า กัสสปะ ใน
ปางก่อน. นายวีชกบุรุษนั้นเกิดเป็นนายโคบาล แสวงหาโคพลิพัททะ ที่หาย
ไปในป่า ถูกภิกษุรูปหนึ่งผู้หลงทางถามถึงหนทางได้นิ่งเสีย ถูกท่านถามอีก ก็
โกรธแล้วกล่าวว่า ขึ้นชื่อว่า สมณขี้ข้านี้ปากแข็ง ชะรอยว่าท่านนี้จะเป็นขี้ข้า
เขาจึงปากแข็งยิ่งนัก. กรรมหาได้ให้ผลในชาตินั้นไม่ ตั้งอยู่เหมือนไฟ ที่มีเถ้า

ปิดไว้ ฉะนั้น ถึงเวลาตาย กรรมอื่นก็ปรากฏ. เขาจึงท่องเที่ยวอยู่ในวัฎสงสาร
ตามลำดับของกรรม เพราะผลแห่งกุศลกรรมอย่างหนึ่ง เขาจึงเป็นเศรษฐี มี
ประการดังกล่าวแล้ว ในเมืองสาเกต ได้กระทำบุญมีทานเป็นต้น. ก็กรรมที่
เขาด่าภิกษุผู้หลงทางนั้นตั้งอยู่ ประหนึ่งขุมทรัพย์ที่ฝังไว้ในแผ่นดิน ได้โอกาส
จึงให้ผลแก่เขาในอัตภาพนั้น. เขาเมื่อไม่รู้จึงกล่าวอย่างนั้นด้วยสำคัญว่า ด้วย
กรรมอันดีงามนอกนี้ เราจึงเกิดในท้องของนางกุมภทาสี. บทว่า ยโต ชาโต
สุทุคฺคโต
ท่านแสดงว่า ข้าพเจ้านั้น ตั้งแต่เกิดมา เป็นคนเข็ญใจอย่างยิ่ง.
บทว่า สมจริยมธิฏฺฐิโต ความว่า ข้าพเจ้าตั้งอยู่ในความประพฤติสม่ำเสมอ
ทีเดียว. บทว่า นูเนตํ แก้เป็น เอกํเสเนตํ เป็นอย่างนั้นโดยส่วนเดียว.
บทว่า มญฺญิทํ สีลํ ความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ธรรมดาว่า ศีลนี้
เห็นจะไร้ประโยชน์. บทว่า อลาโต ความว่า อลาตเสนาบดีนี้กล่าวว่า เรา
กระทำกรรมชั่ว ต่อปาณาติบาตไว้มากในภพก่อนจึงได้ตำแหน่งเสนาบดี เพราะ
เหตุใด เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงสำคัญว่า ศีลไร้ประโยชน์. บทว่า กลิเมว
ความว่า ผู้ไม่มีศิลปะไม่ได้ศึกษา เป็นนักเลงสะกา ถือเอาการปราชัย ฉันใด
ข้าพเจ้าย่อมถือเอาฉันนั้นแน่ พึงให้สมบัติของตนในภพก่อนฉิบหายไป บัดนี้
ข้าพเจ้าจึงเสวยทุกข์. บทว่า กสฺสปภาสิตํ ท่านกล่าวว่า ได้ฟังภาษิตของ
อเจลกกัสสปโคตร.
พระเจ้าอังคติราชสดับคำของนายวีชกะแล้ว ได้
ตรัสว่า ประตูสุคติไม่มี ยังสงสัยอยู่อีกหรือวีชกะ ได้
ยินว่าสุขหรือทุกข์สัตว์ย่อมได้เองแน่นอน สัตว์ทั้งปวง
หมดจดได้ด้วยการเวียนเกิดเวียนตาย เมื่อยังไม่ถึงเวลา
อย่ารีบด่วนไปเลย เมื่อก่อนแม้เราก็เป็นผู้กระทำความ
ดี ขวนขวายในพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย

อนุศาสน์ราชกิจอยู่เนือง ๆ งดเว้นจากความยินดี ใน
กามคุณตลอดกาลประมาณเท่านี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า องฺคติมพฺรวิ ความว่า พระเจ้าอังคติราช
สดับคำของคนทั้ง 3 คือของ 2 คนนอกนี้ก่อน และของวีชกะในภายหลัง
ยึดมั่นมิจฉาทิฏฐิ แล้วกล่าวคำมีอาทิว่า ประตูไม่มี. บทว่า นิยตํ กงฺขา
ความว่า ดูก่อนวีชกะผู้สหาย ท่านจงตรวจดูแต่ความแน่นอนเท่านั้น. พระเจ้า
อังคติราช ตรัสอย่างนี้โดยอธิบายว่า ความจริง กาลมีประมาณ 84 มหา-
กัปเท่านั้น ย่อมยังสัตว์ทั้งหลายให้บริสุทธิ์ได้ ท่านอย่ารีบด่วนนักเลย. บทว่า
อนาคเต ความว่า ท่านอย่ารีบด่วนว่า เมื่อยังไม่ถึงกาลนั้นแล้ว เราจะไปสู่
เทวโลกในระหว่างได้. บทว่า ปาวโฏ ความว่า อย่าได้มีความขวนขวายด้วย
การกระทำมีการกระทำการขวนขวายทางกายเป็นต้นแก่ชนทั้งหลายนั้น คือใน
พวกพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย. บทว่า โวหารํ ความว่า นั่งในที่เป็นที่
วินิจฉัยแล้วพร่ำสอนตามบัญญัติแห่งราชกิจ. บทว่า รติหิโน ตทนฺตรา
ความว่า ละจากความยินดีในกามคุณตลอดกาลมีประมาณเท่านี้.
ก็แลครั้นพระราชาตรัสอย่างนี้แล้ว ก็ตรัสบอกลาคุณาชีวกว่า ท่าน
กัสสปโคตร พวกข้าพเจ้าประมาทมาแล้วสิ้นกาลเท่านี้ แต่บัดนี้พวกข้าพเจ้าได้
อาจารย์แล้ว ตั้งแต่นี้ไปพวกข้าพเจ้าจะเพลิดเพลินยินดีแต่ในกามคุณเท่านั้น
แม้การฟังธรรมในสำนักของท่าน ให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก ก็เป็นกาลเนิ่นช้าของ
พวกข้าพเจ้าเปล่า ท่านจงหยุดเถิด พวกข้าพเจ้าจักลาไปละดังนี้ จึงตรัสคาถาว่า
ปุนปิ ภนฺเต ทกฺเขมุ สงฺคติ เจ ภวิสฺสติ
ถ้าการสมาคมจักมีผล พวกข้าพเจ้าจักมาหาท่านอีก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สงฺคติ เจ ความว่า ถ้าการสมาคมของ
พวกข้าพเจ้า ในที่แห่งหนึ่งจักไม่เกิดผล คือเมื่อผลบุญไม่มี จะประโยชน์อะไร
ด้วยท่านที่เราจะมาเยี่ยม.

อิทํ วตฺวาน เวเทโห ปจฺจคา สนฺนิเวสนํ.
ครั้นพระเจ้าวิเทหราชตรัสดังนี้แล้ว ก็เสด็จกลับ
ไปยังพระราชนิเวศน์ของพระองค์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สนฺนิเวสนํ ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้ง
หลาย พระเจ้าวิเทหราชครั้นตรัสคำนี้แล้ว จึงเสด็จขึ้นสู่รถพระที่นั่ง กลับไป
ยังพื้นจันทกปราสาทอันเป็นพระราชนิเวศน์ของพระองค์.
ตอนแรกพระราชาเสด็จไปยังสำนักของคุณาชีวก ทรงนมัสการแล้วจึง
ได้ตรัสถามปัญหา ก็แล เมื่อเสด็จกลับหาได้ทรงนมัสการไม่ ก็เพียงแต่การทรง
นมัสการคุณาชีวกยังไม่ได้รับเพราะเป็นผู้ไม่มีคุณ ไฉนจะได้รับพระราชทาน
สักการะมีก้อนข้าวเป็นต้น. ส่วนพระราชาทรงยังคืนนั้นให้ผ่านไป วันรุ่งขึ้นจึง
ให้ประชุมเหล่าอำมาตย์แล้วตรัสว่า พวกท่านจงบำเรอกามคุณกันเถิด นับแต่
วันนี้ไปเราจะเสวยความสุขในกามคุณเท่านั้น อย่าพึงรายงานกิจการอื่นให้เรา
ทราบเลย ผู้ใดผู้หนึ่งจงกระทำการวินิจฉัยเถิด ครั้นตรัสดังนี้แล้ว ทรงมัวเมา
เพลิดเพลินยินดีอยู่แต่ในกามคุณเท่านั้น.
พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า
ตั้งแต่รุ่งสว่าง พระเจ้าอังคติราชรับสั่งให้ประชุม
เหล่าอำมาตย์ ในที่ประทับสำราญพระองค์แล้วตรัสว่า
จงจัดกามคุณทั้งหลายเพื่อเราไว้ในจันทกปราสาทของ
เราทุกเมื่อ เมื่อข้อราชการลับและเปิดเผยเกิดขึ้น ใคร ๆ
อย่าเข้ามาหาเรา อำมาตย์ผู้ฉลาดในราชกิจ 3 นายคือ
วิชยอำมาตย์ 1 สุนามอำมาตย์ 1 อลาตเสนาบดี 1
จงนั่งพิจารณาข้อราชการเหล่านั้น พระเจ้าวิเทหราช
ตรั้นตรัสดังนี้แล้วจึงตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงใส่ใจกาม

คุณให้มาก ไม่ต้องขวนขวายในพราหมณ์ คฤหบดี
และกิจการอะไรเลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปฏฺฐานมฺหิ ได้แก่ ในที่ประทับสำราญ
พระองค์. บทว่า จนฺทเก เม ได้แก่ ในจันทกปราสาทอันเป็นสำนักของ
เรา. บทว่า วิเธนฺตุ เม ความว่า จงจัดคือจงบำรุงบำเรอกามคุณทั้งหลาย
แก่เราเป็นนิตย์. บทว่า คุยฺหปากาสิเยสุ ความว่า เมื่อเรื่องราวทั้งลับ
ทั้งเปิดเผยเกิดขึ้น ใคร ๆ อย่าเข้ามาหาเรา. บทว่า อตฺเถ ได้แก่ ในที่เป็น
ที่วินิจฉัยเหตุผล. บทว่า นิสีทนฺตุ ความว่า จงนั่งกับด้วยอำมาตย์ที่เหลือ
เพื่อกระทำกิจที่เราพึงกระทำ.
ตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงวันที่ 14 ราชกัญญาพระ
นามว่ารุจา ผู้เป็นพระธิดาที่โปรดปรานของพระเจ้า-
วิเทหราช ได้ตรัสกะพระพี่เลี้ยงว่า ขอท่านทั้งหลาย
ช่วยประดับให้ฉันด้วย และหญิงสหายทั้งหลายของเรา
จงประดับ พรุ่งนี้ 15 ค่ำ เป็นวันทิพย์ ฉันจะไป
เฝ้าพระชนกนาถ. พระพี่เลี้ยงทั้งหลายได้จัดมาลัย
แก่นจันทน์ แก้วมณี สังข์ แก้วมุกดาและผ้าต่าง ๆ สี
อันมีค่ามาก มาถวายแก่พระนางรุจาราชกัญญา หญิง
บริวารเป็นอันมาก ห้อมล้อมพระนางรุจาราชธิดาผู้มี
พระฉวีวรรณงามผุดผ่อง ประทับนั่งอยู่บนตั่งทอง
งามโสภาราวกะนางเทพกัญญา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตโต ความว่า จำเดิมแต่ที่พระราชาติด
ข้องอยู่ในเปือกตมคือกามคุณนั้น. บทว่า เทวสตฺรตตฺสฺส แปลว่า ในวัน
ที่ 14. บทว่า ธาติมาตมาทพฺรวี ความว่า เป็นผู้ใคร่จะไปยังสำนักของ
พระบิดา จึงกล่าวกะพี่เลี้ยงทั้งหลาย.

ดังได้สดับมา ในวันที่ 14 พระนางรุจาราชธิดา ทรงผ้าสีต่าง ๆ แวด
ล้อมไปด้วยหมู่กุมารี 500 พาหมู่พระพี่เลี้ยงนางนม ลงจากปราสาท 7 ชั้น
ด้วยสิริวิลาสอันใหญ่ยิ่ง เสด็จไปยังจันทกปราสาท เพื่อเฝ้าพระชนกนาถ.
ลำดับนั้น พระเจ้าวิเทหราช ทอดพระเนตรเห็นพระธิดา ทรงมีพระทัยยินดี
ชื่นบาน ให้จัดมหาสักกาหะต้อนรับ เมื่อจะส่งกลับ จึงได้พระราชทานทรัพย์
1,000 แล้วส่งไปด้วย ตรัสว่า นี่ลูก เจ้าจงให้ทาน พระนางรุจานั้นเสด็จ
กลับไปยังนิเวศน์ของตนแล้ว วันรุ่งขึ้นจึงทรงรักษาอุโบสถศีล ทรงให้ทาน
แก่คนกำพร้าคนเดินทางไกล ยาจกและวนิพกเป็นอันมาก.
ได้ยินว่า ชนบทหนึ่ง พระเจ้าวิเทหราช ได้พระราชทานแก่พระธิดา
พระนางรุจาได้ทรงกระทำกิจทั้งปวง ด้วยรายได้จากชนบทนั้น ก็ในกาลนั้น
เกิดลือกันขึ้นทั่วพระนครว่า พระราชาทรงอาศัยคุณาชีวก จึงทรงถือมิจฉา
ทิฏฐิ. พวกพระพี่เลี้ยงนางนม ได้ยินเขาลือกันดังนั้น จึงมาทูลพระนางรุจาว่า
ข้าแต่พระแม่เจ้า เขาลือกันว่า พระชนกของพระองค์ ทรงสดับถ้อยคำของ
อาชีวกแล้วทรงถือมิจฉาทิฏฐิ และได้ยินว่า พระราชานั้น ตรัสสั่งให้รื้อโรงทาน
ที่ประตูเมืองทั้ง 4 และทรงข่มขืนหญิงและเด็กหญิงที่ผู้อื่นหวงห้าม มิได้ทรง
พิจารณาถึงพระราชกรณียกิจเลย ทรงมัวเมาอยู่แต่ในกามคุณ. พระนางรุจานั้น
ได้ทรงสดับคำของพระพี่เลี้ยงนางนมเหล่านั้น ก็ทรงสลดพระหฤทัย จึงทรง
พระดำริว่า เพราะเหตุอะไรหนอ พระชนกของเราจึงเสด็จเข้าถามปัญหากะ
คุณาชีวก ผู้ปราศจากคุณธรรม ไม่มีความละอาย ผู้เปลือยกายเช่นนั้น สมณ-
พราหมณ์ผู้มีธรรมเป็นกรรมวาที ควรที่จะเข้าไปถามมีอยู่มิใช่หรือ แต่เว้น
เราเสียแล้ว คนที่จะปลดเปลื้องมิจฉาทิฏฐิพระชนกของเรา ให้กลับตั้งอยู่ใน
สัมมาทิฏฐิอีก คงจะไม่มีใครสามารถ ก็เราระลึกถึงชาติได้ถึง 14 ชาติ คือ

ที่เป็นอดีต 7 ชาติ ที่เป็นอนาคต 7 ชาติ เพราะฉะนั้น เราจะทูลแสดง
กรรมชั่ว ที่ตนทำในชาติก่อน และแสดงผลแห่งกรรม ปลุกพระชนกของเรา
ให้ทรงตื่น ก็ถ้าเราจักเฝ้าในวันนี้ไซร้ พระชนกของเราคงจะท้วงเราว่า เมื่อ
ก่อนลูกเคยมาทุกกึ่งเดือน เพราะเหตุไรวันนี้จึงรีบมาเล่า ถ้าเราจะทูลว่า
กระหม่อมฉันมาในวันนี้นั้น เพราะได้ทราบข่าวเล่าลือกันว่า พระองค์ทรงถือ
มิจฉาทิฏฐิ ดังนี้ คำของเราจะไม่ยึดคุณค่าอันหนักแน่นได้นัก เพราะฉะนั้น
วันนี้เราอย่าไปเฝ้าเลย ถึงวัน 14 ค่ำ จากนี้ไป เฉพาะในวัน 14 ค่ำ
ในกาฬปักข์ เราจะทำเป็นไม่รู้ เข้าไปเฝ้าโดยอาการที่เคยเข้าไปเฝ้าในกาล
ก่อน ๆ ครั้นเวลากลับ เราจักทูลขอพระราชทรัพย์พันหนึ่งมาทำงาน เมื่อนั้น
พระชนกของเราจักแสดงการถือมิจฉาทิฏฐิแก่เรา ลำดับนั้น เราจักมีโอกาส
ให้พระองค์ทรงละทิ้งมิจฉาทิฏฐินั้นเสียได้ด้วยกำลังของตน. เพราะฉะนั้นใน
วัน 14 ค่ำ พระนางรุจาราชธิดาจึงทรงใคร่จะไปเฝ้าพระชนก จึงตรัสอย่างนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สขิโย ใจความว่าหญิงสหายกับทั้งกุมาริกา
ประมาณ 500 ของเราทั้งหมด จงประดับด้วยเครื่องประดับต่าง ๆ แต่ละอย่าง
ไม่เหมือนกัน คือด้วยดอกไม้ของหอม และเครื่องลูบไล้มีสีต่าง ๆ. บทว่า
ทิพฺโย แปลว่า วันทิพย์. ที่ชื่อว่า ทิพย์ เพราะประชุมกันประดับอย่างเทวดา
ก็มี. บทว่า คจฺฉํ ความว่า ฉันจักไปเฝ้าพระเจ้าวิเทหราชผู้เป็นพระชนกนาถ
เพื่อให้นำทานวัตรของเรามา. บทว่า อภิหรึสุ ความว่า เล่ากันมาว่าให้อาบ
ด้วยหม้อน้ำหอม 16 หม้อ แล้วนำไปเพื่อประดับนางกุมาริกา. บทว่า ปริ-
กีริย
แปลว่า แวดล้อมแล้ว. บทว่า อโสภึสุ ความว่า วันนั้นหญิงบริวาร
พากันแวดล้อมพระนางรุจาราชธิดา งามยิ่งนักราวกะนางเทพกัญญา.

ก็พระนางรุจาราชธิดานั้น ประดับด้วยเครื่อง
อาภรณ์ทั้งปวง เสด็จไป ณ ท่ามกลางหญิงสหาย
เพียงดังสายฟ้าแลบออกจากกลีบเมฆ เสด็จเข้าสู่
จันทกปราสาท พระนางรุจาราชธิดาเสด็จเข้าไปเฝ้า
พระเจ้าวิเทหราช ถวายบังคมพระชนกนาถ ผู้ทรงยินดี
ในวินัย แล้วประทับอยู่ ณ ตั้งอันวิจิตรด้วยทองคำ
ส่วนหนึ่ง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สเตริตา แปลว่า เหมือนสายฟ้าแลบ.
บทว่า อพฺภมิว ได้แก่ แลบออกจากภายในกลีบเมฆ. บทว่า ปาวิสิ ความว่า
เสด็จเข้าไปสู่จันทกปราสาท อันเป็นที่ประทับของพระชนกนาถ. บทว่า
สุวณฺณขจิเต ได้แก่ ที่ตั่งอันล้วนแล้วด้วยทองคำ อันวิจิตรด้วยรัตนะ 7.
ก็พระเจ้าวิเทหราช ทอดพระเนตรเห็นพระนาง
รุจาราชธิดา ผู้ประทับอยู่ท่ามกลางหญิงสหาย ซึ่งเป็น
ดังสมาคมแห่งนางเทพลอัปสร จึงตรัสถามว่า ลูกหญิง
ยังรื่นรมย์อยู่ในปราสาท และยังประพาสอยู่ในอุทยาน
เล่นน้ำในสระโบกขรณีเพลิดเพลินอยู่หรือ เขายังนำ
เอาของเสวยมากอย่างมาให้ลูกหญิงเสมอหรือ ลูก
หญิงและเพื่อนหญิงของลูก ยังเก็บดอกไม้ต่าง ๆ ชนิด
มาร้อยพวงมาลัย และยังช่วยกันทำเรือนหลังเล็ก ๆ
เล่นเพลิดเพลินอยู่หรือ ลูกหญิงขาดแคลนอะไรบ้าง
เขารีบนำสิ่งของมาให้ ทันใจลูกอยู่หรือ ลูกรักผู้มี
พักตร์อันผ่องใส จงบอกความชอบใจแก่พ่อเถิด แม้
สิ่งนั้นจะเสมอดวงจันทร์ พ่อก็จักให้เกิดแก่ลูกจนได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อจฺฉรานํว สงฺคมํ ความว่า ทอด
พระเนตรเห็นสมาคมนั้น เหมือนสมาคมแห่งนางเทพอัปสร. บทว่า ปาสาเท
ความว่า ดูก่อนลูก เจ้าย่อมยินดีเพลิดเพลินใน รติวัฑฒปราสาท อันเสมอ
เวชยันตปราสาท ซึ่งพ่อสร้างไว้เพื่อเจ้าอยู่หรือ. บทว่า อนฺโต โปกฺขรณึ ปติ
ความว่า เฉพาะเรื่องภายในนี้ลูกยังประพาสสระโบกขรณี อันมีส่วนเปรียบด้วย
นันทโบกขรณีซึ่งพ่อสร้างไว้เพื่อลูก เจ้ายังเล่นน้ำรื่นรมย์ยินดีอยู่หรือ. บทว่า
มาลยํ ความว่า พระเจ้าวิเทหราชตรัสว่า ลูกเอ๋ย พ่อจะส่งผอบดอกไม้ 25
กล่องแก่เจ้าทุกวันๆพวกเจ้าผู้เป็นกุมาริกาทั้งหมด ยังเก็บดอกไม้ร้อยพวงมาลัย
นั้นเล่นเพลิดเพลินอยู่เป็นนิตย์หรือ ยังทำเรือนเฉพาะหลังเล็ก เล่นเพลิดเพลิน
อยู่หรือ พวกเจ้ายังกระทำเรือนดอกไม้ ห้องดอกไม้ ที่นั่งดอกไม้และที่นอน
ดอกไม้ เหมือนอย่างแข็งขันกันโดยเฉพาะอย่างนี้ว่า เราจะทำให้ดีกว่าอยู่หรือ.
บทว่า วิกลํ แปลว่า ขาดแคลน. บทว่า มนํ กรสฺสุ ความว่า จงยังจิตให้เกิด.
บทว่า กุฏมุขี ความว่า พระเจ้าวิเทหราชตรัสกะพระนางรุจานั้นอย่างนั้น
เพราะพระนางเป็นผู้มีพักตร์อันผ่องใส ด้วยปลายเมล็ดพันธุ์ผักกาด จริงอยู่
หญิงทั้งหลายทำสีหน้าให้ผ่องใส ทาหน้าด้วยปลายเมล็ดพันธุ์ผักกาดก่อน เพื่อ
กำจัดย่อมที่หน้าที่มีโลหิตเสีย ประทุษร้าย แต่นั้นย่อมฉาบทาด้วยผงดิน เพื่อ
กระทำโลหิตให้สม่ำเสมอ แต่นั้นด้วยปลายเมล็ดงา เพื่อทำผิวให้ผ่องใส. บทว่า
จนฺทสมํ หิ เต ความว่า ชื่อว่าหน้าอันงดงามกว่าดวงจันทร์หาได้ยาก ย่อม
ไม่มี เจ้าชอบใจในของเช่นนั้นจงบอกพ่อ พ่อจะได้ให้จัดแจงให้แก่ลูก.
พระนางรุจาราชธิดา ได้สดับพระดำรัส ของ
พระเจ้าวิเทหราชแล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชา
กระหม่อมฉันย่อมได้ของทุก ๆ อย่าง ในสำนักของ
ทูลกระหม่อม พรุ่งนี้ 15 ค่ำ เป็นวันทิพย์ ขอราช-

บุรุษทั้งหลายจงนำพระราชทรัพย์หนึ่งพันมาให้ กระ-
หม่อมฉัน จักให้ทานแก่วนิพกทั้งปวงตามที่ให้มาแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สพฺพวนิสฺวหํ ความว่า กระหม่อม
ฉันจักให้ทานในบรรดาวนิพกทั้งปวง.
พระเจ้าอังคติราชได้สดับพระดำรัส ของพระ-
นางรุจาราชธิดาแล้วตรัสว่า ลูกหญิงทำทรัพย์ให้พินาศ
เสียเป็นอันมาก หาผลประโยชน์มิได้ ลูกหญิงยังรัก-
ษาอุโบสถศีล ไม่บริโภคข้าวน้ำเป็นนิตย์ ลูกหญิงไม่
บริโภคข้าวน้ำเป็นนิตย์ บุญไม่มี แก่ผู้ไม่บริโภค.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า องฺคติมพฺรวิ ความว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย พระเจ้าอังคติราชนั้น แม้พระราชธิดา เคยทูลขอ ก็ได้ให้ทรัพย์
หนึ่งพัน ด้วยตรัสว่า ลูกเอ๋ย เจ้าจงให้ทาน แม้ถูกพระราชธิดาทูลขอในวันนั้น
ก็ไม่ให้ เพราะถือมิจฉาทิฏฐิ จึงได้ตรัสคำนี้มีอาทิว่า ลูกหญิงทำให้ฉิบหายเสีย
เป็นอันมาก. บทว่า นิยเตตํ อภุตฺตพฺพํ ความว่า ชรอยว่าเจ้าไม่บริโภค
อาหารนี้แน่นอน ผู้บริโภคก็ดี ไม่บริโภคก็ดี บุญย่อมไม่มี คนทั้งปวงพึง
บริสุทธิ์ได้โดยไม่ล่วงเลย 84 มหากัปแล.
แม้วีรบุรุษได้ฟังคำของคุณาชีวกกัสสปโคตร
ในกาลนั้นแล้ว ถอนหายใจฮึดฮัดร้องไห้น้ำตาไหล
ลูกหญิงรุจาเอ๋ย ตราบที่ลูกยังมีชีวิตอยู่ อย่าอดอาหาร
เลย ปรโลกไม่มี ลูกหญิงจะลำบากไปทำไม ไร้
ประโยชน์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วีชโกปิ ความว่า พระเจ้าอังคติราช
ทรงนำแม้เรื่องแห่งวีชกบุรุษมาเป็นอุทาหรณ์แก่พระราชธิดาว่า แม้วีชกบุรุษ

กระทำกัลยาณกรรมในกาลก่อน เพราะผลแห่งกรรมนั้นจึงบังเกิดในท้องของ
นางทาสี. บทว่า นตฺถิ ภทฺเท ความว่า ดูก่อนนางผู้เจริญ คุณาจารย์
กล่าวอย่างนี้ว่า โลกนี้ไม่มี โลกอื่นไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี สัตว์ทั้งหลาย
ผู้ผุดเกิดไม่มี สมณพราหมณ์ผู้ยินดีในความพร้อมเพรียงกัน ผู้ปฏิบัติชอบย่อม
ไม่มี เพราะเหตุนั้น เมื่อปรโลกมีโลกนี้ชื่อว่าพึงมี โลกนี้นั้นนั่นแลย่อมไม่มี
และเมื่อมารดาบิดามี บุตรธิดาที่ชื่อว่าจะพึงมีนั้นนั่นแลย่อมไม่มี เมื่อธรรมมี
สมณพราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในธรรมที่จะพึงมีนั้นนั่นแลย่อมไม่มี ลูกจะให้ทานไป
ทำไมจะรักษาศีลไปทำไม เดือดร้อนไปทำไมไร้ประโยชน์.
พระนางรุจาราชธิดา ผู้มีพระฉวีวรรณงดงาม
ทรงทราบกฎธรรมดาในอดีต 7 ชาติ ในอนาคต 7
ชาติ ได้สดับพระดำรัสของพระเจ้าวิเทหราชแล้ว
กราบทูลพระชนกนาถว่า แต่ก่อนกระหม่อมฉันได้ฟัง
มาเท่านั้น กระหม่อมฉันเห็นประจักษ์เองข้อนี้ว่า ผู้
ใดเข้าไปเสพคนพาล ผู้นั้นก็เป็นพาลไปด้วย ผู้หลง
อาศัยคนหลงย่อมถึงความหลงยิ่งขึ้น อลาตเสนาบดี
และนายวีชกะสมควรจะหลง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุพฺพาปรํ ธมฺมํ ความว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย พระนางรุจาราชธิดา ได้ทรงสดับพระดำรัสของพระชนกนาถ
ทรงรู้ธรรมในก่อนคือในอดีต 7 ชาติ และธรรมที่ยังไม่มาถึงคืออนาคต 7
ชาติ ทรงพระประสงค์จะปลดเปลื้องพระชนกนาถจากมิจฉาทิฏฐิ จึงตรัสคำนี้
มีอาทิว่า สุตเมว ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมุปชฺชถ ความว่า
ผู้ใดคบคนพาล ผู้นั้นก็สำเร็จเป็นคนพาลไปด้วย ดังนี้ คำนี้หม่อมฉันได้ยินมา
ก่อนแล้วทีเดียว แต่วันนี้หม่อมฉันเห็นประจักษ์แล้ว. บทว่า มุฬฺโห หิ

ความว่า แม้คนหลงด้วยอำนาจทิฏฐิ อาศัยคนหลงด้วยอำนาจทิฏฐิ ย่อมถึง
ความหลงยิ่งขึ้น หลงหนักขึ้น เหมือนคนหลงทางอาศัยคนหลงทาง ฉะนั้น.
บทว่า อลาเตน ความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ การที่พระองค์อาศัย
คุณาชีวกผู้เป็นพาลไม่มีความละอายเช่นกับเด็กชาวบ้าน แล้วมาหลงกับอลาต-
เสนาบดีผู้เสื่อมจากชาติ โคตร ตระกูล ประเทศ ความเป็นใหญ่ บุญและ
ปัญญา และกับวีชกทาส ผู้มีปัญญา ผู้ไม่มีปัญญาทราม ผู้เสื่อมแล้วโดยส่วน
เดียว เป็นการไม่สมควร เป็นการไม่เหมาะสมเลย เหตุไฉนพระองค์จึงไป
หลงกับคนเช่นนั้นเล่า.
พระนางรุจาราชธิดาทรงติเตียนชนทั้ง 2 นั้นอย่างนี้แล้ว เมื่อจะทรง
สรรเสริญพระชนกนารถ ด้วยทรงประสงค์จะปลดเปลื้องจากมิจฉาทิฏฐิจึง
กราบทูลว่า
ขอเดชะ ก็พระองค์มีพระปรีชา ทรงเป็นนัก
ปราชญ์ ทรงฉลาดรู้ซึ่งอรรถ จะทรงเป็นเช่นกับพวก
คนพาล เข้าถึงซึ่งทิฏฐิอันเลวได้อย่างไร ก็ถ้าสัตว์จะ
บริสุทธิ์ได้ด้วยการท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏ การบวช
ของคุณาชีวกก็ไม่มีประโยชน์ คุณาชีวกเป็นคนหลง
งมงาย ย่อมถึงความเป็นคนเปลือย เหมือนตั๊กแตน
หลงบินเข้ากองไฟ ฉะนั้น คนเป็นอันมากไม่รู้อะไร
ได้ฟังคำของกัสสปคุณาชีวกว่า ความหมดจดย่อมไม่มี
ด้วยสังสารวัฏ ก็เชื่อมั่นเสียก่อนทีเดียว จึงพากัน
ปฏิเสธกรรมและผลของกรรม โทษคือความฉิบหายที่
ยึดไว้ผิดในเบื้องต้นก็ยากที่จะเปลื้องได้ เหมือนปลา
ติดเบ็ดยากที่จะเปลื้องตนออกจากเบ็ดได้ฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สปฺปญฺโญ ความว่า ก็พระองค์เป็นผู้
มีปัญญาด้วยปัญญา อันได้ด้วยการใส่ใจถึงยศวัยและปัญญาเครื่องทรงจำ และ
การสนทนาธรรม ชื่อว่า เป็นนักปราชญ์ เพราะเหตุนั้นเหมือนกัน ชื่อว่า
เป็นผู้ฉลาดในเหตุ เพราะเหตุแห่งประโยชน์และมิใช่ประโยชน์โดยเป็นนัก-
ปราชญ์. บทว่า พาเลหิ สทิโส ความว่า พระองค์เป็นผู้เข้าถึงทิฏฐิอัน
เลวเหมือนคนเหล่านั้นอย่างไรจึงเป็นคนพาล. บทว่า อปาปตํ ตัดเป็น
อปิ อาปตํ อธิบายว่าตกไปอยู่ พระราชธิดาตรัสอธิบายไว้ว่า ข้าแต่พระ-
ชนกนาถ เมื่อความบริสุทธิ์ด้วยสงสารมี แม้คุณาชีวกก็ละกามคุณ 5 แล้ว
ถึงความเป็นคนเปลือยกายไม่มีสิริ ไม่มีความละอาย ไม่มีความแช่มชื่น
เพราะความหลงด้วยสามารถแห่งโมหะ เหมือนตั๊กแตนเห็นไฟโพลงในส่วน
แห่งราตรี ไม่รู้ถึงทุกข์อันมีกองไฟนั้นเป็นปัจจัย ตกไปในกองไฟนั้นถึงความ
ทุกข์ใหญ่ฉะนั้น. บทว่า ปุเร นิวิฏฐา ความว่า ข้าแต่พระชนกนาถ ชนเป็น
อันมาก ฟังคำของกัสสปโคตรว่า บริสุทธิ์ด้วยสงสาร เชื่อมั่นลงไปก่อนทีเดียว
เพราะถือว่าผลของกรรมที่ทำดีและทำชั่วย่อมไม่มี เมื่อไม่รู้ก็ยึดเอาสิ่งที่ไม่เป็น
ประโยชน์ด้วยความเห็นผิด จึงปฏิเสธกรรม อธิบายว่า เมื่อปฏิเสธกรรมนั้น
ก็ชื่อว่าปฏิเสธผลแห่งกรรม เมื่อพวกเขายึดถือเอาโทษอันเป็นความปราชัยแห่ง
พวกเขาในชั้นต้นอย่างนี้ก็เป็นอันชื่อว่ายึดถือผิด. บทว่า ทุมฺโมจยา พลิสา
อมฺพุโช ว ความว่า ชนพาลเหล่านั้นเมื่อไม่รู้อย่างนี้ ยึดถือความฉิบหายด้วย
การเห็นผิดดำรงอยู่ ย่อมชื่อว่าปลดเปลื้องออกจากความฉิบหายนั้นได้โดยยาก
เหมือนปลาที่กลืนเบ็ดเข้าไป ปลดเปลื้องออกจากเบ็ดได้ยากฉะนั้น.
พระนางรุจาราชธิดา ครั้นตรัสดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงพร่ำสอนพระ
ราชาให้ยิ่งขึ้นไป จึงตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า

ข้าแต่พระราชา กระหม่อมฉันจักยกตัวอย่างมา
เปรียบถวาย เพื่อประโยชน์แก่ทูลกระหม่อมบัณฑิตทั้ง
หลายในโลกนี้บางพวกย่อมรู้เนื้อความได้ด้วยอุปมา
เปรียบเหมือนเรือของพ่อค้า บรรทุกสินค้าหนักเกิน
ประมาณ ย่อมนำสินค้าอันหนักยิ่งไปจมลงในมหา-
สมุทรฉันใด นรชนสั่งสมบาปกรรมทีละน้อยๆ ก็ย่อม
พาเอาบาปอันหนักยิ่งไปจมลงในนรกฉันนั้น ทูลกระ-
หม่อมเพคะ อกุศลอันหนักของอลาตเสนาบดียังไม่
บริบูรณ์ก่อน อลาตเสนาบดียังสั่งสมบาปอันเป็นเหตุ
ให้ไปสู่ทุคติอยู่ ขอเดชะการที่อลาตเสนาบดีได้รับ
ความสุขอยู่ในบัดนี้ เป็นผลบุญที่ตนทำไว้แล้วในปาง
ก่อนนั่นเอง บุญของอลาตเสนาบดีนั้นจะหมดสิ้น
อลาตเสนาบดีจึงมายินดีในอกุศลกรรมอันไม่ใช่คุณ
หลีกละทางตรงเดินไปตามทางอ้อม นรชนสั่งสมบุญ
ไว้แม้ทีละน้อย ๆ ย่อมไปสู่เทวโลก เหมือนวีชกบุรุษ
เป็นทาสยินดีในกรรมอันงาม ย่อมมุ่งไปสู่สวรรค์ได้
เปรียบเหมือนตาชั่งที่กำลังชั่งของ ย่อมต่ำลงข้างหนึ่ง
เมื่อเอาของหนักออกเสีย ข้างที่ต่ำก็จะสูงขึ้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิรเย ได้แก่ มหานรก 8 ขุม อุสสทนรก
16 ขุมและโลกันตนรก. บทว่า ภาโร ความว่า ข้าแต่ทูลกระหม่อม ท่าน
อลาตเสนาบดีนั้น มีอกุศลภาระยังไม่เพียบก่อน. บทว่า ตสฺส ความว่า ข้อ
ที่ท่านอลาตเสนาบดีนั้น ได้ความสุขเพราะบุญ นั่นเป็นปัจจัยนั้นเป็นผลแห่ง

บุญกรรมที่ตนทำไว้ในชาติก่อน ข้าแต่ทูลกระหม่อม ความจริงผลแห่งการฆ่าโค
อันชื่อว่าเป็นบาปอกุศลจักเป็นผลที่น่าปรารถนา น่าใคร่ก็หาไม่ นั่นไม่ใช่ฐานะ
ที่จะมีได้เลย. บทว่า อคุเณ รโต ความว่า จริงอย่างนั้น บัดนี้เขาย่อมยินดี
แต่ในอกุศลกรรม. บทว่า อุชุมคฺคํ ความว่า ละทางกุศลกรรมบถ 10. บทว่า
กุมฺมคฺคํ ความว่า แล่นไปสู่ทางอกุศลกรรมบถ 10 อันเป็นทางไปนรก.
บทว่า โอหิเต ตุลมณฺฑเล ความว่า เมื่อเอาตราชั่งคล้องไว้เพื่อรับสิ่งของ.
บทว่า อุนนฺเมติ ความว่า ย่อมยกให้สูงขึ้นข้างบน. บทว่า อาจินํ ความว่า
เมื่อนรชนสั่งสมบุญทีละน้อย ๆ ปลดบาปที่หนักลง ยกกัลยาณกรรมขึ้นบนศีรษะ
แล้วไปสู่เทวโลก. บทว่า สคฺคาติมาโน ความว่า มุ่งไปในสวรรค์ยินดียิ่ง
ในกัลยาณกรรม อันเป็นสุขสำราญยังสัตว์ให้ถึงสวรรค์. บาลีว่า สคฺคาธิมาโน
ดังนี้ก็มี อธิบายว่า มีจิตตั้งมั่นกระทำสวรรค์ไว้เป็นเบื้องหน้า. บทว่า สาตเว
รโต
ความว่า วีชกทาสนั้น ยินดีในกุศลกรรมอันน่าสำราญใจ มีผลชื่นใจ
เวลาบาปกรรมนี้สิ้นไป เขาจักบังเกิดในเทวโลก เพราะผลแห่งกัลยาณกรรม
แต่บัดนี้เขาเข้าถึงความเป็นทาส ได้มีบาปกรรมที่เขาทำไว้ในกาลก่อน อันเป็น
ทางเป็นไปเช่นนั้นเพราะผลแห่งกัลยาณกรรมหามิได้ ในข้อนี้พึงถึงความตกลง
ดังว่ามานี้แล.
พระนางรุจาราชธิดาเมื่อจะทรงประกาศความนี้จึงได้ตรัสว่า
นายวีชกะผู้เป็นทาส เห็นทุกข์ในตนวันนี้ เพราะ
ได้เสพบาปกรรมที่ตนทำไว้ในปางก่อน บาปกรรม
ของเขาจะหมดสิ้น เขาจึงมายินดีในวินัยอย่างนี้ ทูล-
กระหม่อมอย่าคบหากัสสปคุณาชีวก ทรงดำเนินทาง
ผิดเลยเพคะ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มา เหวุปฺปถมาคมา ความว่า พระนาง-
รุจาราชธิดาทูลว่า ข้าแต่ทูลกะหม่อม ทูลกระหม่อมเข้าไปหากัสสปคุณาชีวก
คนเปลือยนี้ ทูลกระหม่อมอย่าเข้าไปสู่ทางผิดอันเป็นทางไปนรก อย่าได้กระทำ
บาปเลยเพคะ.
บัดนี้พระนางรุจาราชธิดา เมื่อจะทรงแสดงโทษในการซ่องเสพบาป
และคุณในการคบหากับกัลยาณมิตรแก่พระราชาจึงตรัสว่า
ข้าแต่พระราชบิดา บุคคลคบบุคคลใด ๆ จะ
เป็นสัตบุรุษก็ตามอสัตบุรุษก็ตาม ผู้มีศีลก็ตาม ผู้ไม่
มีศีลก็ตาม เขาย่อมตกไปสู่อำนาจของนั้น บุคคลทำ
บุคคลเช่นใดให้เป็นมิตร และเข้าไปคบหาคนเช่นใด
แม้เขาก็ย่อมเป็นคนเช่นนั้น เพราะการอยู่ร่วมกันก็
ย่อมเป็นเช่นนั้น ผู้เสพย่อมติดนิสัยผู้ที่ตนเสพ ผู้ติดต่อ
ย่อมติดนิสัยผู้ที่ตนติดต่อ เหมือนลูกศรอาบยาพิษย่อม
เปื้อนแล่งฉะนั้น นักปราชญ์ไม่ควรเป็นผู้มีคนลามก
เป็นสหาย เพราะกลัวจะแปดเปื้อน การเสพคนพาล
ย่อมเป็นเหมือนบุคคลเอาใบไม้ห่อปลาเน่า แม้ใบไม้
ก็มีกลิ่นเหม็นฟุ้งไป ฉะนั้น ส่วนการคบหาสมาคมกับ
นักปราชญ์ ย่อมเป็นเหมือนบุคคลเอาใบไม้ห่อของ
หอม แม้ใบไม้ก็มีกลิ่นหอมฟุ้งไป ฉะนั้น เพราะฉะนั้น
บัณฑิตรู้ความเป็นบัณฑิตของตนดังใบไม้สำหรับห่อ
จึงไม่คบหาสมาคมอสัตบุรุษ คบหาสมาคมสัตบุรุษ
อสัตบุรุษย่อมนำไปสู่นรก สัตบุรุษย่อมให้ถึงสุคติ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สนฺตํ วา ได้แก่ สัตบุรุษก็ดี
บทว่า ยทิ วา อสํ ได้แก่ อสัตบุรุษก็ดี. บทว่า สโร ทุฏฺโฐ กลาปํว

ความว่า ข้าแต่พระราชบิดา มิตรชั่ว เมื่อเสพคบหากับคนอื่น และสนิท
ชิดเชื้อกับคนอื่น ย่อมจะทำบุรุษผู้ไม่ได้แปดเปื้อนกับบาป ให้มีอัธยาศัย
เป็นเช่นเดียวกับตน เข้าไปเปื้อนคือ กระทำให้แปดเปื้อนบาปเหมือนกัน.
บทว่า วายนฺติ ความว่า แม้หญ้าคาเหล่านั้นที่ห่อของนั้นก็ย่อมมีกลิ่นเหม็น
ฟุ้งขจรไป. บทว่า ตครญฺจ ความว่า ใบไม้ห่อกฤษณาและคันธชาตที่
สมบูรณ์ด้วยกลิ่นอย่างอื่น ย่อมมีกลิ่นหอมไปด้วย. บทว่า เอวํ ความว่า เข้า
ไปคบกับนักปราชญ์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน จริงอยู่นักปราชญ์กระทำผู้คบกับตนให้
เป็นนักปราชญ์เหมือนกัน. บทว่า ตสฺมา ปตฺตปุฏสฺเสว ความว่า เพราะ
เหตุที่ใบไม้ที่ห่อของหอมมีกฤษณาเป็นต้น ย่อมพลอยมีกลิ่นหอมไปด้วย ฉะนั้น
พึงรู้อย่างนี้ว่า แม้เราก็เป็นบัณฑิต เพราะการช่องเสพกับบัณฑิต เหมือน
ใบไม้สำหรับห่อฉะนั้น . บทว่า สมฺปากมตฺตโน ความว่า ครั้นรู้ความแก่
กล้า ความแปรไป ความเป็นบัณฑิตของตนแล้ว พึงละอสัตบุรุษคบหาแต่
สัตบุรุษผู้เป็นบัณฑิต. ในบทว่า นิรยํ เนนฺติ นี้ บัณฑิตพึงนำอุทาหรณ์
ด้วยอำนาจนิทานว่า ชื่อว่านำนรกมาด้วยเรื่องพระเทวทัตเป็นต้น และนำสุคติ
มาด้วยเรื่องพระสารีบุตรเถระเป็นต้น.
พระราชธิดา ครั้นทรงแสดงธรรมแก่พระชนกนาถด้วย 6 คาถาอย่าง
นี้แล้ว บัดนี้เมื่อจะทรงแสดงถึงทุกข์อันตนเคยเสวยมาในอดีตจึงตรัสว่า
แม้กระหม่อมฉันก็ระลึกชาติที่ตนท่องเที่ยวมา
แล้วได้ 7 ชาติ และระลึกชาติที่ตนจุติจากชาตินี้แล้ว
จักไปเกิดในอนาคตอีก 7 ชาติ ข้าแต่พระจอมประชา-
ชน ชาติที่ 7 ของกระหม่อมฉันในอดีต กระหม่อม-
ฉันเกิดเป็นบุตรนายช่างทองในแคว้นมคธ ราชคฤห์
มหานคร กระหม่อมฉันได้คบหาสหายผู้ลามก ทำบาป

กรรมไว้มาก เที่ยวคบชู้ภรรยาของชายอื่นเหมือนจะ
ไม่ตาย กรรมนั้นยังไม่ให้ผล เหมือนไฟอันเถ้าปกปิด
ไว้ ในกาลต่อมาด้วยกรรมอื่น ๆ กระหม่อมฉันนั้นได้
เกิดในวังสรัฐเมืองโกสัมพี เป็นบุตรคนเดียวในสกุล
เศรษฐีผู้สมบูรณ์มั่งคั่ง มีทรัพย์มากมาย คนทั้งหลาย
สักการะบูชาอยู่เป็นนิตย์ ในชาตินั้น กระหม่อมฉัน
ได้คบหาสมาคมมิตรสหายผู้ยินดีในกรรมอันงาม ผู้
เป็นบัณฑิต เป็นพหูสูต เขาได้แนะนำให้กระหม่อม-
ฉันรักษาอุโบสถศีลในวัน 14 ค่ำ 15 ค่ำ ตลอดราตรี
เป็นอันมาก กรรมนั้นยังไม่ได้ให้ผล ดังขุมทรัพย์ที่ฝัง
ไว้ใต้น้ำ ครั้นภายหลัง บรรดากรรมทั้งหลาย ปรทารก
กรรมอันใดที่กระหม่อมฉันได้กระทำไว้ในมคธรัฐ ผล
แห่งกรรมนั้นมาถึงกระหม่อมฉันแล้วเหมือนดื่มยาพิษ
อันร้ายแรงฉะนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้ครองวิเทหรัฐ กระ-
หม่อมฉันจุติจากตระกูลเศรษฐีนั้นแล้ว ต้องหมกไหม้
อยู่ในโรรุวนรกสิ้นกาลนานเพราะกรรมของตน กระ-
หม่อมฉันได้ระลึกถึงทุกข์ที่ได้เสวยในนรกนั้น ไม่ได้
ความสุขเลย กระหม่อมฉันยังทุกข์เป็นอันมาก ให้สิ้น
ไปในนรกนั้นนานปี แล้วเกิดเป็นลาถูกเขาตอนอยู่ใน
ภิณณาคตนคร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สตฺต ความว่า ข้าแต่ทูลกระหม่อม
ชื่อว่า โลกนี้และโลกหน้า และผลแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีและทำชั่ว ย่อมมี แต่

สงสารไม่สามารถจะชำระสัตว์ทั้งหลายให้หมดจดได้ ด้วยว่าสัตว์ทั้งหลายย่อม
หมดจดด้วยกรรมเท่านั้น อลาตเสนาบดีและวีชกะผู้เป็นทาส ย่อมระลึกได้เพียง
ชาติเดียวเท่านั้น มิใช่แต่ท่านเหล่านั้นเท่านั้นที่ระลึกชาติได้ แม้กระหม่อม
ฉันก็ระลึกถึงความที่ตนท่องเที่ยวในอดีตได้ถึง 7 ชาติ ทั้งย่อมระลึกถึงชาติที่
จะพึงไปจากนี้แม้ในอนาคตถึง 7 ชาติเหมือนกัน. บทว่า ยา เม สา ความว่า
ชาติที่ 7 ในอดีตของหม่อมฉันก็มีอยู่. บทว่า กมฺมารปุตฺโต ความว่า
ในชาติที่ 7 นั้นหม่อมฉันเกิดเป็นบุตรช่างทองในกรุงราชคฤห์ มคธรัฐ. บทว่า
ปรทารสฺส เหเฐนฺตา ได้แก่ เบียดเบียนภรรยาของคนอื่น คือผิดในภัณฑะ
ที่คนเหล่าอื่นรักษาคุ้มครองไว้. บทว่า อฏฺฐ เพราะกรรมชั่วนั้นที่หม่อมฉัน
ทำในเวลานั้นไม่ได้โอกาสได้ตั้งเก็บไว้ แต่เมื่อได้โอกาสจึงให้ผล เหมือนไฟ
อันเถ้าปิดไว้ฉะนั้น . บทว่า วํสภูมิยํ แปลว่า ในวังสรัฐ. บทว่า เอกปตฺโต
ความว่า หม่อมฉันได้เป็นบุตรคนเดียว ในตระกูลเศรษฐี มีสมบัติถึง 80 โกฏิ.
บทว่า สาตเว รตํ ความว่า ยินดียิ่งในกัลยาณกรรม. บทว่า โส มํ ได้แก่
เขาได้เป็นสหาย ได้ชักนำหม่อมฉันให้ตั้งอยู่ในสิ่งเป็นประโยชน์คือในกุศล
กรรม. บทว่า ตํ กมฺมํ ความว่า กัลยาณกรรมของหม่อมฉันแม้นั้น ยังไม่ได้
โอกาสในกาลนั้น ครั้นเมื่อได้โอกาสจึงให้ผล. บทว่า อุทกนฺติเก ความว่า
ได้เป็นขุมทรัพย์ฝังไว้ในน้ำ บทว่า ยเมตํ ความว่า ลำดับในบรรดากรรมชั่วมี
ประมาณเท่านี้ของหม่อมฉัน กรรมใดที่หม่อมฉันกระทำแล้วในภรรยาของ
คนอื่นในมคธรัฐ ผลแห่งกรรมนั้นจึงติดตามมาถึงหม่อมฉัน. ถามว่า เหมือน
อะไร ? แก้ว่า เหมือนบุคคลบริโภคยาพิษฉะนั้น อธิบายว่า กรรมนั้นย่อม
ถึงหม่อมฉัน เหมือนยาพิษที่ชั่วช้า กล้าแข็ง ร้ายกาจ กำเริบแก่บุคคลผู้
บริโภคโภชนะอันมียาพิษฉะนั้น. บทว่า ตโต ได้แก่ จากตระกูลเศรษฐี
ในกรุงโกสัมพีนั้น. บทว่า ตํ สรํ ความว่า หม่อมฉันเมื่อระลึกถึงทุกข์ที่

หม่อมฉันเสวยในนรกนั้น ย่อมไม่ได้รับความสบายใจเลย หม่อมฉันย่อมเกิด
แต่ความกลัวเท่านั้น. บทว่า ภินฺนาคเต ความว่า ในภินนาคตรัฐ หรือ
ในนครชื่อว่า ภินนาคตะ. บทว่า อุทฺธตปฺผโล ได้แก่ พืชที่ถูกเขาตอน
ก็แพะนั้นได้เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยกำลัง. คนทั้งหลายแม้ขึ้นขี่หลังแพะน้ำแพะนั้น
ไป เทียนแพะนั้นแม้ที่ยานน้อย.
พระนางรุจาราชธิดา เมื่อประกาศความนั้นจึงกล่าวว่า
กระหม่อมฉันพาลูกผู้ดีทั้งหลายไปด้วยหลังบ้าง
ด้วยรถบ้าง นั่นเป็นผลแห่งกรรมคือการที่หม่อมฉัน
คบชู้กับภรรยาของคนอื่น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สาตปุตฺตา ได้แก่ บุตรแห่งอำมาตย์
ทั้งหลาย. บทว่า ตสฺส กมฺมสฺส ความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ
การที่หม่อมฉันหมกไหม้อยู่ในมหาโรรุวนรก และกรรมที่หม่อมฉันถูกตอนใน
กาลเป็นแพะ ทั้งหมดนั่น เป็นผลของกรรมนั้น คือกรรมที่หม่อมฉันคบชู้กับ
ภรรยาของคนอื่น.
ก็แล ครั้นหม่อมฉันจุติจากชาติเป็นลานั้นแล้ว ก็ถือปฏิสนธิในกำเนิด
ลิงในป่า ครั้นในวันที่หม่อมฉันเกิด พวกลิงเหล่านั้นนำหม่อมฉันไปแสดงแก่
ลิงผู้เป็นนายฝูง ลิงผู้เป็นนายฝูงกล่าวว่า จงนำบุตรมาให้เรา ดังนี้แล้วจับไว้
มั่นแล้วกัดลูกอัณฑะของลิงนั้นถึงจะร้องเท่าไรก็ไม่ปล่อย.
เมื่อพระนางรุจาราชธิดาประกาศความนั้นจึงกราบทูลว่า
ข้าแต่พระชนกนาถผู้ปกครองวิเทหรัฐ กระ-
หม่อมฉันจุติจากชาติลานั้นแล้ว ก็ไปเป็นลิงอยู่ในป่า
สูง ถูกลิงนายฝูงคนองปากขบกัดลูกอัณฑะ นั่นเป็น
ผลของการที่เป็นชู้กับภรรยาของผู้อื่น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิลุจฺฉิตผโลเยว ความว่า หม่อมฉัน
ถูกลิงนายฝูงคนองปากในป่านั้น ขบกัดลูกอัณฑะเอาทีเดียว.
เมื่อพระนางรุจาราชธิดาจะทรงแสดงชาติอื่น ๆ จึงทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้ครองวิเทหรัฐ กระหม่อมฉัน
จุติจากชาติเป็นลิงนั้นแล้ว ได้เกิดเป็นโคในทสันนรัฐ
ถูกเขาตอน มีกำลังแข็งแรง กระหม่อมฉันต้องเทียม
ยานอยู่สิ้นกาลนาน นั่นเป็นผลของกรรม คือ การที่
กระหม่อมฉันคบชู้ภรรยาผู้อื่น ข้าแต่พระองค์ผู้ครอง
วิเทหรัฐ กระหย่อมฉันจุติจากชาติเป็นโคนั้นแล้ว มา
บังเกิดเป็นกระเทยในตระกูลที่มีโภคสมบัติมากในแคว้น
วัชชี จะได้เกิดเป็นมนุษย์ยากจริงๆ นั่นเป็นผลแห่ง
กรรม คือ การที่กระหม่อมฉันคบชู้ภรรยาผู้อื่น ข้า
แต่พระองค์ผู้ครองวิเทหรัฐ กระหม่อมฉันจุติจากชาติ
เป็นกระเทยนั้นแล้ว ได้ไปบังเกิดเป็นนางอัปสรใน
นันทนวัน ณ ดาวดึงส์พิภพ มีวรรณะน่าใคร่ มีผ้าและ
อาภรณ์อันวิจิตร สวมกุณฑลแก้วมณี เป็นผู้ฉลาดใน
การฟ้อนรำขับร้อง เป็นบาทบริจาริกาของท้าวสักกะ
ข้าแต่พระองค์ผู้ครองวิเทหรัฐ เมื่อกระหม่อนฉันอยู่ใน
ดาวดึงส์พิภพนั้น ระลึกชาติแม้ในอนาคตได้อีก 7 ชาติ
ที่กระหม่อมฉันจุติจากดาวดึงส์พิภพนั้นแล้ว จักไปเกิด
ต่อไป กุศลที่กระหม่อมฉันทำไว้ในเมืองโกสัมพีตาม
มาให้ผล กระหม่อมฉันจุติจากดาวดึงส์พิภพนั้นแล้ว
ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ ข้าแต่พระมหาราชา

กระหม่อมฉันเป็นผู้อันชนทั้งหลายสักการะแล้วเป็น
นิตย์ตลอด 7 ชาติ กระหม่อมฉันไม่พ้นจากความเป็น
หญิงตลอด 6 ชาติ ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐชาติที่ 7
กระหม่อมฉันจักได้เกิดเป็นเทวดาผู้ชาย เป็นเทพบุตร
ผู้มีฤทธิ์มาก เป็นผู้สูงสุดในหมู่เทวดา แม้วันนี้นาง
อัปสรทั้งหลายก็ยังร้อยดอกไม้เป็นพวงมาลัย อยู่ใน
นันทนวัน เทพบุตรนามว่าชวะสามีกระหม่อมฉัน ยัง
รับพวงมาลัยอยู่ 16 ปีในมนุษย์นี้ราวครู่หนึ่งของ
เทวดา 100 ปีในมนุษย์เป็นคืนหนึ่งวันหนึ่งของเทวดา
ดังที่ได้กราบทูลให้ทรงทราบมานี้ กรรมทั้งหลายย่อม
ติดตามไปทุก ๆ ชาติ แม้ตั้งอสงไขยด้วยว่ากรรมจะ
เป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม (ยังไม่ให้ผลแล้ว) ย่อม
ไม่พินาศไป.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทสนฺเนสุ แปลว่า ในทสันนรัฐ. บทว่า
ปสุ แปลว่า เป็นโค. บทว่า อหุํ แก้เป็น อโหสิ แปลว่า ได้เป็นแล้ว.
บทว่า นิลุจฺฉิโต ความว่า ในกาลที่หม่อมฉันเป็นลูกโคนั้นเองพวกเขาได้
ตอนพืชของหม่อมฉันด้วยคิดว่าจักเป็นที่ชอบใจด้วยประการฉะนี้ หม่อมฉันนั้น
ถูกเขาตอนแล้ว คือเป็นเหมือนคนมีกำลังดีถูกถอนพืชฉะนั้น. บทว่า วชฺชีสุ
กุลมาคโต นี้พระนางรุจาราชธิดาแสดงว่า หม่อนฉันจุติจากกำเนิดโคแล้ว
บังเกิดในตระกูลคนผู้มีโภคะมากตระกูลหนึ่งในแคว้นวัชชี. ด้วยบทว่า หม่อมฉัน
น ปุมา นี้ท่านกล่าวหมายถึงกระเทย. ภวเน ตาวตึสาหํ ความว่า หม่อมฉัน
เกิดในภพดาวดึงส์. บทว่า ตตฺถ ฐิตาหํ เวเทห สรามิ ชาติโย อิมา
ความว่า ได้ยินว่า พระนางรุจานั้นอยู่ในเทวโลกนั้นตรวจดูอยู่ว่า เรา

มาสู่เทวโลกเห็นปานนี้ มาจากไหนหนอ ? เห็นแล้วซึ่งความเกิดในเทวโลกนั้น
เพราะจุติจากความเป็นกระเทยในตระกูลที่มีโภคะมาก ในแคว้นวัชชี จากนั้น
พระนางรุจาราชธิดาตรวจดูว่า เพราะกรรมอะไรหนอ เราจึงบังเกิดในที่อันน่า
รื่นรมย์เช่นนี้ เห็นแล้วซึ่งกุศลมีทานที่ตนทำแล้วเป็นต้น ทำให้บังเกิดใน
ตระกูลเศรษฐีในกรุงโกสัมพี ตรวจดูว่า เราบังเกิดในอัตภาพเป็นกระเทย ใน
ภพอดีตเป็นลำดับ มาแต่ที่ไหน ดังนี้ ได้รู้แล้วว่าตนเคยเสวยทุกข์ใหญ่ใน
กำเนิดโค ในทสันนรัฐ เมื่อหวลระลึกถึงชาติต่อจากนั้น ได้เห็นตนถูกตอน
ในกำเนิดลิง เมื่อหวลระลึกชาติถัดจากนั้น จึงหวลระลึกถึงภาวะที่ตนถูกตอน
พืชในกำเนิดแพะ ในภินนาคตะรัฐ เมื่อหวลระลึกถัดจากชาตินั้นได้ระลึกถึง
ภาวะที่ตนบังเกิดในโรรุวนรก ลำดับนั้นเมื่อพระนางรุจาราชธิดาระลึกถึงภาวะ
ที่ตนหมกไหม้ในนรก และทุกข์ที่ตนเสวยในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ความกลัว
จึงเกิดขึ้น. ลำดับนั้น พระนางรุจาราชธิดา เมื่อหวลระลึกถึงชาติที่ 6 ว่า เรา
เสวยทุกข์เห็นปานนี้เพราะกรรมอะไรหนอ จึงเห็นกัลยาณกรรมที่ตนกระทำใน
กรุงโกสัมพีในชาตินั้น แล้วทรงตรวจดู ชาติที่ 7 ได้เห็นกรรมคือ การคบชู้
กับภรรยาคนอื่นที่ตนทำเพราะอาศัยมิตรชั่วในมคธรัฐ จึงได้รู้ว่าเราเสวยทุกข์
ใหญ่นั้น เพราะผลแห่งกรรมนั้น. ลำดับนั้นพระนางจึงตรวจดูว่า เราจุติจาก
ชาตินี้แล้ว จักบังเกิดในภพไหนในอนาคต ได้รู้ว่า เราจักบังเกิดเป็นบาท
บริจาริกาของท้าวสักกเทวราชนั่นแลอีก ดำรงอยู่ตลอดชีวิต. เมื่อพระนางได้
ตรวจดูบ่อยๆ อย่างนี้ ได้ทราบว่าในอัตภาพที่ 3 จักบังเกิดเป็นบาทบริจาริกา
ของท้าวสักกเทวราชนั่นแล. ส่วนชาติที่ 4 และ 5 ก็เหมือนกัน รู้ว่าเราจัก
บังเกิดเป็นอัครมเหสีของชวนะเทพบุตรในเทวโลกนั้นนั่นเอง แล้วตรวจดูถัด
จากชาตินั้นไป รู้ว่าในอัตภาพที่ 6 เราจุติจากภพดาวดึงส์นี้แล้ว จักบังเกิดใน
พระครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระเจ้าอังคติราช เราจักมีนามว่า รุจา ดังนี้

จึงตรวจดูว่า ถัดจากชาตินั้นจักบังเกิด ณ ที่ไหน รู้ว่าในชาติที่ 7 จุติจากชาติ
นั้นแล้ว จักบังเกิดเป็นเทพบุตร ผู้มีฤทธิ์มากในภพดาวดึงส์ จักพ้นจากความเป็น
หญิง เพราะเหตุนั้น พระนางรุจาราชธิดาจึงตรัสว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงครอบ
ครองวิเทหรัฐ หม่อมฉันอยู่ที่นั้นระลึกชาติได้ 7 ชาติ แม้ในอนาคตจุติจากชาติ
นี้ไปก็ระลึกได้ 7 ชาติเหมือนกัน. บทว่า ปริยาคตํ ความว่า โดยปริยาย ท่อง
เที่ยวไปมาตามวาระของตน. บทว่า สตฺต ชจฺจา ความว่า พระนางตรัสว่า
7 ชาติ คือในเทวโลก 5 ชาติกับชาติที่เป็นกระเทยในแคว้นวัชชี และในชาติ
ที่ 6 นี้พระนางทรงแสดงไว้ว่า หม่อมฉันเป็นผู้อันเขาบูชาสักการะเป็นนิตย์
ตลอด 7 ชาตินั้น. บทว่า ฉฏฺฐา ว คติโย นี้ พระนางกล่าวว่า เราจักไม่พ้น
ความเป็นหญิง ตลอด 6 คติเหล่านี้ คือในเทวโลก 5 คติ และในชาตินี้ 1 คติ.
บทว่า สตฺตมี จ ความว่า จุติต่อจากนั้นแล้ว เป็นชาติที่ 7. บทว่า
สนฺตานมยํ ความว่า มีความสืบต่อที่ตนทำด้วยอำนาจขั้วเดียวกันเป็นต้น.
บทว่า คนฺเถนฺติ ความว่า เป็นเหมือนสืบต่อด้วยกัน. เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้ทุก
วันนี้นางบำเรอของเรา ก็ไม่รู้ความจุติของเราในนันทนวัน ย่อมร้อยพวงมาลัย
เพื่อประโยชน์แก่เราเท่านั้น. บทว่า โส เม มาลํ ปฏิจฺฉติ ความว่า ดูก่อน
มหาราชเจ้า โดยชาติอันเป็นลำดับเทพบุตรนามว่า ชวะ ผู้เป็นสวามีของหม่อม
ฉันย่อมรับพวงดอกไม้ที่หล่นจากต้น. บทว่า โสฬส ความว่า ข้าแต่พระมหา-
ราชเจ้า ว่าโดยชาติของหม่อมฉันจนบัดนี้ได้ 16 ปี แต่กาลประมาณเท่านี้
เหมือนกับกาลครู่หนึ่งของเทวดา ก็เพราะเหตุนั้นหญิงบำเรอเหล่านั้น จึงไม่รู้
แม้ถึงการจุติของหม่อมฉัน ยังคงร้อยพวงมาลัยเพื่อ หม่อมฉันอยู่เชียว. บทว่า
มานุสึ ความว่า อาศัยการนับปีของมนุษย์. บทว่า สรโทสตํ ความว่า เป็น
100 ปี (ของมนุษย์) เทวดาทั้งหลายมีอายุยืนอย่างนี้. ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติ
เทพ ด้วยเหตุนี้ ขอพระองค์จงทรงทราบปรโลก กรรมดีและกรรมชั่วว่ามีอยู่.
บทว่า อนฺเวนฺติ ความว่า กรรมดีและกรรมชั่วย่อมติดตามเราไปทุก ๆ ชาติ

อย่างนี้. บทว่า น หิ กมฺมํ วินสฺสติ ความว่า ทิฏฐเวทนียกรรม ย่อมให้ผล
ในอัตภาพนั้นนั่นเอง อุปปัชชเวทนียกรรม ย่อมให้ผลในอัตภาพถัดไป ส่วน
อปราปรเวทนียกรรมไม่ให้ผล จักไม่พินาศไป พระนางรุจาราชธิดาทรงหมาย
เอาอปราปรเวทนีกรรมนั้น จึงตรัสว่า กรรมจักไม่พินาศไปแล ดังนี้แล้ว
จึงตรัสว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ เพราะผลแห่งกรรมที่หม่อมฉันทำชู้กับ
ภรรยาของคนอื่น หม่อมฉันจึงหมกไหม้ในนรก แล้วเสวยทุกข์อย่างใหญ่ใน
กำเนิดสัตว์เดียรฉาน ถ้าแม้บัดนี้ พระองค์ทรงเชื่อถ้อยคำของคุณาชีวก จัก
กระทำอย่างนี้ พระองค์ก็จักเสวยทุกข์ เหมือนที่หม่อมฉันเสวยแล้วนั่นแล
เพราะเหตุนั้นพระองค์อย่าได้ทรงกระทำอย่างนั้นเลย.
ลำดับนั้น พระนางรุจาราชธิดา เมื่อจะทรงแสดงธรรมให้ยิ่งขึ้นไป
แก่พระราชบิดานั้นจึงตรัสว่า
ชายใดปรารถนาเป็นบุรุษทุก ๆ ชาติไป ก็พึงเว้น
ภรรยาผู้อื่นเสีย เหมือนบุคคลล้างเท้าสะอาดแล้วเว้น
จากเปือกตม ฉะนั้น หญิงใดปรารถนาเป็นบุรุษทุก ๆ
ชาติไป ก็พึงยำเกรงสามี เหมือนนางเทพอัปสรผู้เป็น
บาทบริจาริกายำเกรงพระอินทร์ ฉะนั้น ผู้ใดปรารถนา
โภคทรัพย์ อายุ ยศและสุขอันเป็นทิพย์ก็พึงเว้นบาป
ทั้งหลายประพฤติแต่สุจริตธรรม 3 อย่าง สตรีก็ตาม
บุรุษก็ตาม ควรเป็นผู้ไม่ประมาทด้วยกาย วาจา ใจ
มีปัญญาเครื่องพิจารณาเพื่อประโยชน์ของตน นรชน
เหล่าใดเหล่าหนึ่งในโลกนี้ ที่เป็นคนมียศ มีโภคทรัพย์
บริบูรณ์ทุกอย่าง นรชนเหล่านั้นได้สั่งสมกรรมดีไว้
ในปางก่อนแล้วโดยไม่ต้องสงสัย สัตว์ทั้งปวงล้วนมี
กรรมเป็นของตัว ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ขอพระ-

องค์ทรงพระราชดำริด้วยพระองค์เองเถิด ข้าแต่
พระจอมชน พระสนม (ผู้ทรงโฉมงดงาม) ปานดัง
นางเทพอัปสรผู้ประดับประดาคลุมกายด้วยตาข่ายทอง
เหล่านี้ พระองค์ทรงได้มาเพราะผลแห่งกรรมอะไร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โหตุํ แปลว่า เพื่อเป็น. บทว่า
สพฺพสมนฺตโภคา แปลว่า มีโภคะทุกอย่างบริบูรณ์. บทว่า สุจิณฺณํ ได้แก่
สั่งสมไว้ด้วยดีคือกระทำกัลยาณกรรม. บทว่า กมฺมสฺสกา เส ความว่า มี
กรรมเป็นของแห่งตน คือเสวยผลของกรรมที่ตนทำนั่นเอง ไม่ใช่กรรมที่
มารดาบิดาทำแล้วให้ผลแก่บุตรธิดา ไม่ใช่กรรมที่บุตรธิดาเหล่านั้นทำแล้วให้
ผลแก่มารดาบิดา กรรมที่คนนอกนั้นกระทำจะให้ผลแก่คนนอกนั้นอย่างไร ?
ศัพท์ว่า อิงฺฆ เป็นนิบาต ใช้ในอรรถว่าประท้วง. บทว่า อนุจินฺเตสิ แปลว่า
พึงคิดบ่อยๆ. บทว่า ยา เม อิมา ความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ อัน
ดับแรกพึงคิดด้วยตนเองดังนี้ว่า หญิงที่บำรุงบำเรอพระองค์ผู้สมมติเทพ อัน
พระองค์นอนหลับได้ หรือได้มาเพราะกระทำการปล้นในหนทาง หรือตัด
ช่องย่องเบาเป็นต้นได้มา หรือได้มาเพราะอาศัยกัลยาณกรรมเป็นต้น.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศความนั้นจึงตรัสว่า
พระนางรุจาราชกัญญา ยังพระเจ้าอังคติราช
ชนกนาถให้ทรงยินดี พระราชกุมารีผู้มีวัตรอันดีงาม
กราบทูลทางสุคติแก่พระชนกนาถ ประหนึ่งบอกทาง
ให้แก่คนหลงทาง และได้กราบทูลข้อธรรมถวายโดย
นัยต่าง ๆ ด้วยประการฉะนี้แล.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิจฺเจวํ ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พระราชกัญญานั้น ทรงยังพระราชบิดา ให้ทรงยินดีด้วยถ้อยคำอันไพเราะ
เห็นปานนี้ ด้วยประการฉะนี้. ทูลบอกทางสุคติแด่พระชนกนาถนั้น เหมือน

คนบอกหนทางแก่คนหลงทางฉะนั้น. และเมื่อจะทรงกล่าวธรรมแก่พระชนก-
นาถนั่นแหละได้ทรงกล่าวสุจริตธรรมด้วยนัยต่าง ๆ. บทว่า สุพฺพตา แปลว่า
ผู้มีวัตรอันดีงาม.
พระนางรุจาราชธิดา ได้ทูลเล่าถึงชาติที่ตนเกิดมาแล้วในอดีต และ
แสดงธรรมถวายแด่พระชนกนาถ ตั้งแต่เช้าตลอดคืนยังรุ่งแล้วกราบทูลว่า ข้า
แต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พระองค์อย่าทรงถือถ้อยคำของคนเปลือยกาย ผู้เป็น
มิจฉาทิฏฐิเลย โลกนี้มี โลกหน้ามี สมณพราหมณ์มี ผลของความดีความชั่ว
ก็มี ขอพระองค์จงทรงเชื่อฟังคำของกัลยาณมิตร เช่นกระหม่อมฉันกล่าวนี้เถิด
อย่าได้ทรงแล่นไปในที่มิใช่ท่าเลย แม้เมื่อพระนางรุจาราชธิดา กราบทูลถึง
อย่างนี้ ก็ไม่อาจปลดเปลื้องพระชนกจากมิจฉาทิฏฐิได้ ส่วนพระเจ้าอังคติราช
ทรงสดับวาจาอันไพเราะ ของพระราชธิดานั้นแล้ว ทรงปลื้มพระราชหฤทัย
จริงอยู่ มารดาบิดา ย่อมรักเอ็นดูถ้อยคำของบุตรที่รัก แต่คำพูดนั้นหาทำให้บิดา
ละมิจฉาทิฏฐิได้ไม่. แม้ชาวพระนครก็ลือกระฉ่อนกันว่า พระนางรุจาราชธิดา
ทรงแสดงธรรมหวังจะให้พระชนกละมิจฉาทิฏฐิ มหาชนพากันดีใจว่า พระราช
ธิดาเป็นบัณฑิต ปลดเปลื้องมิจฉาทิฏฐิพระชนกได้แล้ว จักถึงความสวัสดีแก่ชาว
พระนครทั้งหลาย. พระนางรุจาราชธิดา เมื่อไม่อาจปลุกพระชนกให้ตื่นได้ก็ไม่
ทรงละความพยายามเลย ทรงดำริหาช่องทางต่อไปว่า จักหาอุบายอย่างใดอย่าง
หนึ่ง มากระทำความสวัสดีแก่พระชนก แล้วประคองอัญชลีกรรมขึ้นเหนือพระ-
เศียร นมัสการทิศทั้ง 10 แล้วทรงอธิษฐานว่า ในโลกนี้ ย่อมมีสมณพราหมณ์ผู้
ตั้งอยู่ในธรรม มีท้าวโลกบาล ท้าวมหาพรหมเป็นผู้บริหารโลก ข้าพเจ้าขอเชิญ
ท่านเหล่านั้นมาปลดเปลื้องมิจฉาทิฏฐิของพระชนกนาถของข้าพเจ้าด้วยกำลัง
ตน เมื่อพระคุณของพระชนกนาถไม่มี ขอเชิญด้วยคุณด้วยกำลังและด้วยความ
สัจของข้าพเจ้า จงมาช่วยปลดเปลื้องความเห็นผิดนี้ จงได้มาทำความสวัสดีแก่
สากลโลก.

ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์ได้เป็นมหาพรหมนามว่า นารทะ ก็ธรรมดา
พระโพธิสัตว์ มีอัธยาศัยใหญ่ด้วยเมตตาภาวนา เที่ยวตรวจดูโลกตามกาลอัน
สมควร เพื่อจะดูเหล่าสัตว์ผู้ปฏิบัติดีและปฏิบัติชั่ว ในวันนั้น ท่านตรวจดูโลก
เห็นพระนางรุจาราชธิดานั้น กำลังนมัสการเหล่าเทวดาผู้บริหารโลก เพื่อจะปลด
เปลื้องพระชนกนาถจากมิจฉาทิฏฐิ จึงมาดำริว่า คนอื่นเว้นเราเสีย ย่อมไม่
สามารถเพื่อจะปลดเปลื้องมิจฉาทิฏฐิ พระเจ้าอังคติราชนั้นได้ วันนี้เราควรจะ
ไปกระทำการสงเคราะห์ราชธิดาและกระทำความสวัสดี แก่พระราชาพร้อมด้วย
บริวารชนแต่จะไปด้วยเพศอะไรดีหนอ เห็นว่า เพศบรรพชิตเป็นที่รักเป็นที่
เคารพ มีวาจาเป็นที่เชื่อฟัง ยึดถือของพวกมนุษย์ เพราะฉะนั้น เราจะไปด้วย
เพศบรรชิต ครั้นตกลงใจฉะนี้แล้ว ก็แปลงเพศเป็นมนุษย์ มีวรรณะดังทองคำ
น่าเลื่อมใสผูกชฏามณฑลอันงามจับใจ ปักปิ่นทองไว้ในระหว่างชฎา นุ่งผ้าพื้น
แดงไว้ภายใน ทรงผ้าเปลือกไม้ ย้อมฝาดไว้ภายนอก กระทำเฉวียงบ่าผ้าหนังเสือ
อันแล้วไปด้วยเงิน ซึ่งขลิบด้วยดาวทอง แล้วเอาภิกขาภาชนะทองใส่สาแหรก
อันประดับด้วยมุกดาช้าง 1 เอาคนโทน้ำแก้วประพาฬใส่ในสาแหรกอีกข้าง 1
เสร็จแล้วก็ยกคานทองอันงามงอนขึ้นวางเหนือบ่า แล้วเหาะมาโดยอากาศ ด้วย
เพศแห่งฤาษีนี้ ไพโรจน์โชติช่วง ประหนึ่งพระจันทร์ (เพ็ญ) ลอยเด่นบน
พื้นอากาศ เข้าสู่พื้นใหญ่แห่งจันทกปราสาท ได้ยื่นอยู่ ณ เบื้องพระพักตร์พระ
เจ้าอังคติราช.
พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศความนั้นจึงตรัสว่า
ในกาลนั้น นารทมหาพรหมตรวจดูชมพูทวีป
ได้เห็นพระเจ้าอังคติราชผู้ทรงมีความเห็นผิด จึงมา
จากพรหมโลกถึงถิ่นมนุษย์ ลำดับนั้น นารทมหา-
พรหมได้ยินอยู่ที่ปราสาทเบื้องพระพักตร์แห่งพระเจ้า

วิเทหราช ก็พระนางรุจาราชธิดาเห็นนารทฤาษีนั้นมา
ถึง จึงนมัสการ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อทฺทส ความว่า นารทมหาพรหม ผู้
สถิตอยู่ในพรหมโลกนั่นแล ได้เพ่งดูชมพูทวีป ได้เห็นพระเจ้าอังคคิราช ผู้ยึด
ถือความเห็นผิด ในสำนักของคุณาชีวก อธิบายว่า เพราะเหตุนั้นจึงมา. บทว่า
ตโต ปติฏฺฐา ความว่า แต่นั้น พรหมนั้นเมื่อจะแสดงรอย ในที่ไม่มี
รอยนั้น ในปราสาทนั้น เบื้องพระพักตร์ของพระราชานั้น ผู้แวดล้อมไปด้วย
หมู่อำมาตย์ประทับอยู่ จึงยืนอยู่บนอากาศ. บทว่า อนุปฺปตฺตํ แปลว่า ถึง
แล้ว ต่อมาถึงแล้ว. บทว่า อิสึ ความว่า พระศาสดาตรัสเรียกว่า อิสึ
เพราะมาด้วยเพศแห่งฤาษี. บทว่า อวนฺทถ ความว่า พระนางรุจาราชธิดา
นั้น ทรงยินดีร่าเริงว่า ท้าวเทวราชนั้น จักมาทำความกรุณาในพระชนกนาถ
ของเรา ด้วยความอนุเคราะห์แก่เรา ดังนี้จึงน้อมกายลงนมัสการนารทมหา-
พรหม เหมือนต้นกล้วยทองที่ถูกลมพัดต้องฉะนั้น.
ฝ่ายพระราชา พอเห็นนารทมหาพรหม ถูกเดชแห่งพรหมคุกคามแล้ว
ไม่สามารถจะทรงดำรงอยู่บนราชอาสน์ของพระองค์ได้ จึงเสด็จลงจากราชอาสน์
ประทับยืนอยู่ที่พื้น แล้วตรัสถามพระนารทะถึงเหตุที่เสด็จมา และนามและโคตร.
พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศความนั้นจึงตรัสว่า
ครั้งนั้น พระราชาทรงหวาดพระทัยเสด็จลง
จากราชอาสน์ เมื่อจะตรัสถามนารทฤาษี ได้ตรัส
พระดำรัสนี้ว่า ท่านมีผิวพรรณงามดังเทวดา ส่องรัศมี
สว่างไสวไปทั่วทิศ ดังพระจันทร์ ท่านมาจากไหน
หนอ ข้าพเจ้าถามแล้ว ขอท่านจงบอกนามและใคร
แก่ข้าพเจ้า คนในมนุษยโลกย่อมรู้จักท่านอย่างไรหนอ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พฺยมฺหิตมานโส ได้แก่ เป็นผู้มีจิต
คิดกลัว. บทว่า กุโต นุ ความว่า พระราชาทรงสำคัญว่า ผู้นี้ชรอยว่า เป็น
วิชาธรบ้างหรือหนอ จึงไม่ทรงไหว้เลย ถามอย่างนี้.
ลำดับนั้น นารถฤาษี คิดว่า พระราชานี้สำคัญว่า ปรโลกไม่มี
เราจักถามเฉพาะปรโลกแก่พระราชานั้นก่อน ดังนี้แล้วจึงกล่าวคาถาว่า
อาตมภาพมาจากเทวโลกเดี๋ยวนี้เอง ส่องรัศมี
สว่างจ้าไป ทั่วทิศดังพระจันทร์ มหาบพิตรตรัสถาม
แล้ว อาตมภาพขอถวายพระพรนามและโคตรให้ทรง
ทราบ คนทั้งหลายเขารู้จักอาตมภาพ โดยนามว่า
นารทะ และโดยโคตรว่ากัสสปะ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เทวโต แปลว่า จากเทวโลก. บทว่า
นารโท กสฺสโป จ ความว่า คนทั้งหลายรู้จักอาตมภาพโดยชื่อว่า นารทะ
และโดยโคตรว่า กัสสปะ.
ลำดับนั้น พระเจ้าอังคติราชทรงพระดำริว่า เรื่องปรโลกเราจักไว้
ถามภายหลัง เราจักถามถึงเหตุที่เธอได้ฤทธิ์เสียก่อน แล้วจึงตรัสคาถาว่า
สัณฐานของท่าน การที่ท่านเหาะไป และยืน
อยู่บนอากาศได้น่าอัศจรรย์ ดูก่อนท่านนารทะ ข้าพ-
เจ้าขอถามความนี้กะท่าน เออ เพราะเหตุอะไร ท่าน
จึงมีฤทธิ์เช่นนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยาทิสญฺจ ความว่า สัณฐานของท่าน
เป็นเช่นใด ท่านเหาะไป และยืนอยู่บนอากาศได้อย่างไร นี้น่าอัศจรรย์.
ลำดับนั้น ท่านนารทฤาษีจึงทูลว่า

คุณธรรม 4 ประการนี้คือ สัจจะ 1 ธรรมะ 1
ทมะ 1 จาคะ 1 อาตมภาพได้ทำไว้ในภพก่อน เพราะ
คุณธรรมที่อาตมภาพเสพมาดีแล้วนั้นนั่นแล อาตม-
ภาพจึงไปไหน ๆ ได้ตามความปรารถนาเร็วทันใจ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สจฺจํ ได้แก่ วจีสัจจะ. บทว่า ธมุโม จ
ได้แก่ สุจริตธรรม 3 ประการ และฌานธรรมอันเกิดแต่การบริกรรมกสิณ.
บทว่า ทโม ได้แก่ การฝึกอินทรีย์. บทว่า จาโค ได้แก่ การสละกิเลส
และการสละไทยธรรม. ด้วยบทว่า ปกตา ปุราณา ท่านแสดงว่า เราได้
กระทำไว้ในภพก่อน. บทว่า เตเหว ธมฺเมหิ สุเสวิเตหิ ความว่า ด้วย
คุณธรรมทั้งปวงนั้น ซึ่งอาตมภาพได้เสพดีแล้ว คือได้อบรมมาแล้ว. บทว่า
มโนชโว แปลว่า เร็วทันใจ. บทว่า เยน กามํ คโตสฺมิ ความว่า
อาตมภาพจะไปในแดนของเทวดา และแดนของมนุษย์ได้ตามความปรารถนา.
แม้เมื่อพระโพธิสัตว์กราบทูลอย่างนี้ พระเจ้าอังคติราชก็ไม่ทรงเชื่อ
ปรโลก เพราะทรงยึดถือมิจฉาทิฏฐิเสียมั่นดีแล้ว จึงตรัสคาถาว่า ผลของบุญ
มีอยู่หรือ แล้วจึงตรัสคาถานี้ว่า
เมื่อท่านบอกความสำเร็จแห่งบุญ ชื่อว่าท่านบอก
ความอัศจรรย์ ถ้าแลเป็นจริงอย่างท่านกล่าว ดูก่อน
ท่านนารทะ ข้าพเจ้าขอถามเนื้อความนี้กะท่าน ข้าพ-
เจ้าถามแล้ว ขอท่านจงพยากรณ์ให้ดี.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุญฺญสิทฺธึ ความว่า ท่านเมื่อจะบอก
ความสำเร็จแห่งบุญ คือความที่บุญให้ผล ชื่อว่าท่านย่อมบอกความอัศจรรย์.
นารทฤาษีจึงทูลว่า

ขอถวายพระพร ข้อใดพระองค์ทรงสงสัย เชิญ
มหาบพิตรตรัสถามข้อนั้นกะอาตมภาพเถิด อาตมภาพ
จะถวายวิสัชนาให้มหาบพิตรทรงสิ้นสงสัยด้วยนัย
ด้วยญายธรรม และด้วยเหตุทั้งหลาย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตเวส อตฺโถ ความว่า อันข้อความที่
พระองค์จะพึงถามนั้น. บทว่า ยํ สํสยํ ความว่า พระองค์สงสัยในอรรถข้อ
ใดข้อหนึ่ง พระองค์จงถามความข้อนั้นกะอาตมภาพเถิด. บทว่า นิสฺสํสยตํ
ความว่า อาตมภาพจะนำให้พระองค์หมดความสงสัย. บทว่า นเยหิ ได้แก่
ด้วยคำอันเป็นเหตุ. บทว่า ญาเยหิ ได้แก่ ด้วยญาณ. บทว่า เหตุภิ ได้แก่
ด้วยปัจจัย. อธิบายว่า อาตมภาพจะไม่กราบทูลโดยเหตุ เพียงปฏิญาณไว้เท่า
นั้น จักกระทำให้พระองค์หมดความสงสัย ด้วยการกำหนดด้วยญาณแล้วกล่าว
เหตุ และด้วยปัจจัยอันเป็นเหตุให้ธรรมเหล่านั้นตั้งขึ้น.
ดูก่อนท่านนารทะ ข้าพเจ้าขอถามเนื้อความนี้
กะท่าน ท่านถูกถามแล้วอย่าได้กล่าวมุสากะข้าพเจ้า ที่
คนพูดกันว่า เทวดามี มารดาบิดามี ปรโลกมีนั้น
เป็นจริงหรือ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ชโน ยมาห ความว่า พระเจ้าอังคติ-
ราชถามว่า ข้อที่พูดกันอย่างนี้ว่า เทวดามี มารดาบิดามี ปรโลกมี ทั้งหมด
มีอยู่จริงหรือ ?.
พระนารทฤาษีจึงกราบทูลว่า
ที่เขาพูดกันว่า เทวดามี มารดาบิดามี และ
ปรโลกมีนั้น เป็นจริงทั้งนั้นแต่นรชนผู้หลงงมงายใคร่
ในกามทั้งหลาย จึงไม่รู้ปรโลก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อตฺเถว ความว่า ดูก่อนมหาบพิตร
เทวดามี มารดาบิดามี. ที่นรชนพูดกันว่า ปรโลกมี แม้นั้นก็อยู่จริงทีเดียว.
บทว่า น วิทู ความว่า นรชนผู้ติดอยู่ในกามและหลงงมงายเพราะโมหะ
จึงไม่รู้ คือย่อมไม่ทราบปรโลก.
พระเจ้าอังคติราชได้ทรงสดับดังนั้น จึงทรงพระสรวลตรัสว่า
ดูก่อนนารทะ ถ้าท่านเชื่อว่าปรโลกมีจริง สถาน
ที่อยู่ในปรโลกของเหล่าสัตว์ผู้ตายไปแล้วก็ต้องมี ท่าน
จงให้ทรัพย์ 500 กหาปณะแก่ข้าพเจ้าในโลกนี้ ข้าพ-
เจ้าจะใช้ให้ท่านหนึ่งพันกหาปณะในปรโลก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิเวสนํ ได้แก่ สถานที่เป็นที่อยู่
อาศัย. บทว่า ปญฺจสตานิ แปลว่า 500 กหาปณะ.
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ เมื่อจะกล่าวติเตียนในท่ามกลางบริษัทจึง
ทูลว่า
ถ้าอาตมภาพรู้ว่ามหาบพิตรทรงมีศีลทรงรู้ความ
ประสงค์ของสมณพราหมณ์ อาตมภาพก็จะให้มหา
บพิตรทรงยืมสัก 500 แต่มหาบพิตรหยาบช้า ทรง
จุติจากโลกนี้แล้ว จะต้องไปอยู่ในนรกใครจะไปทวง
ทรัพย์พันหนึ่งในปรโลกเล่า ผู้ใดในโลกนี้เป็นผู้ไม่มี
ศีลธรรม ประพฤติชั่วเกียจคร้าน มีกรรมอันหยาบช้า
บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมไม่ให้หนี้ในผู้นั้น เพราะจะไม่ได้
ทรัพย์คืนจากคนเช่นนั้น ส่วนบุคคลผู้ขยันหมั่นเพียร
มีศีล รู้ความประสงค์ คนทั้งหลายรู้แล้ว ย่อมเอา
โภคทรัพย์มาเชื้อเชิญเอง ด้วยคิดว่า ผู้นี้ทำการงาน
เสร็จแล้ว พึงนำมาใช้ให้.

บรรดาบทเหล่านั้นบทว่า ชญฺญาม เจ ความว่า ถ้าอาตมภาพรู้ว่า
มหาบพิตรเป็นผู้มีศีล รู้ความประสงค์ คือรู้ว่า สมณพราหมณ์ผู้ทรงธรรมมี
ความต้องการด้วยสิ่งนี้ ในเวลานี้ เป็นผู้กระทำกิจนั้น ๆ ชื่อว่ารู้ความประสงค์
เมื่อเช่นนี้อาตมภาพจึงยอมให้ทรัพย์แก่ท่าน 500 กหาปณะ แต่มหาบพิตรเป็น
คนหยาบช้า ทารุณ ยึดถือมิจฉาทิฏฐิกำจัดทานและศีล ผิดในภรรยาของคน
อื่น จุติจากโลกนี้แล้วจักเกิดในนรก ใครจะไปในนรกนั้นทวงเอาทรัพย์กะ
มหาบพิตร ผู้หยาบช้าผู้อยู่ในนรกว่า ท่านจงให้ทรัพย์ 1,000 กหาปณะ ด้วย
อาการอย่างนี้. บทว่า ตถาวิธมฺหา ความว่า คนเช่นนั้นชื่อว่าจะมาทวงหนี้ที่
ให้แล้วย่อมไม่มี. บทว่า ทกฺขํ ได้แก่ ฉลาดในการยังทรัพย์ให้เกิด บทว่า
ปุนมาหเรสิ ความว่า ท่านทำกรรมของตนแล้วยังทรัพย์ให้เกิด แล้วนำ
ทรัพย์ที่มีอยู่มาให้เราอีก. บทว่า นิมนฺตยนฺติ ความว่า คนทั้งหลายย่อม
เชื้อเชิญด้วยโภคทรัพย์แม้ด้วยตนเอง.
พระเจ้าอังคติราชอันพระนารทฤาษีกล่าวข่มขู่ด้วยประการฉะนี้ ก็หมด
ปฏิภาณที่จะตรัสโต้ตอบ. มหาชนต่างพากันร่าเริงยินดี เล่าลือกันทั่วพระนคร
ว่า วันนี้ท่านนารทฤาษีผู้เป็นเทพมีฤทธิ์มาก ปลดเปลื้องมิจฉาทิฏฐิพระเจ้า-
อยู่หัวได้. ด้วยอานุภาพของพระมหาสัตว์ ชนชาวมิถิลาผู้อยู่ไกลแม้ตั้งโยชน์
ก็ได้ยินพระธรรมเทศนาของพระมหาสัตว์ในขณะนั้นสิ้นด้วยกันทุกคน. ลำดับ
นั้น พระมหาสัตว์จึงคิดว่า พระราชานี้ยึดมิจฉาทิฏฐิเสียมั่นแล้ว จำเราจะ
ต้องคุกคามด้วยภัยในนรก ให้ละมิจฉาทิฏฐิแล้วให้ยินดีในเทวโลกอีกภาย
หลัง ดังนี้แล้วจึงกราบทูลว่า ขอถวายพระพร ถ้าพระองค์ยังไม่ทรงละทิฎฐิ
ไซร้ ก็จักต้องเสด็จสู่นรกซึ่งเต็มไปด้วยทุกขเวทนา แล้วเริ่มกล่าวนิรยกถาว่า

ขอถวายพระพร มหาบพิตรเสด็จไปจากที่นี่แล้ว
จักทอดพระเนตรเห็นพระองค์เองอยู่ในนรกนั้น ซึ่งถูก
ฝูงการุมยื้อแย่งฉุดคร่าอยู่ ใครเล่าจะไปทวงทรัพย์พัน
หนึ่งในปรโลก กะมหาบพิตรผู้ตกอยู่ในนรก ถูกฝูง
กา ฝูงแร้ง ฝูงสุนัข รุมกัดกิน ตัวขาด กระจัด-
กระจาย เลือดไหลโทรม.

ก็แล ครั้นพระนารทฤาษี พรรณนาถึงนรกอันเต็มไปด้วยฝูงกาและ
นกเค้าแก่ท้าวเธอแล้ว จึงกราบทูลว่า ถ้าพระองค์ไม่ไปเกิดในที่นั้น ก็จัก
บังเกิดในโลกันตนรก เพื่อจะทูลชี้แจงโลกันตนรกนั้นถวายจึงกล่าวคาถาว่า
ในโลกกันตนรกนั้นมืดที่สุด ไม่มีพระจันทร์และ
พระอาทิตย์ โลกันตรกมืดตื้ออยู่ทุกเมื่อน่ากลัว กลาง
คืนกลางวัน ไม่ปรากฏ ผู้ต้องการทรัพย์คนไรเล่า จะ
พึงเที่ยวไปในสถานที่เช่นนั้นได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนฺธตมํ ความว่า ดูก่อนมหาบพิตร
มิจฉาทิฎฐิบุคคลบังเกิดในโลกันตนรกใด ในโลกันตนรกนั้นมืดที่สุด เป็นที่
ห้ามการเกิดขึ้นแห่งจักษุวิญญาณ. บทว่า สทา ตุมุโล ความว่า นรกนั้น มี
ความมืดตื้ออยู่เป็นนิจ. บทว่า โฆรรูโป ความว่า นรกนั้นเป็นที่หวาดกลัว
อย่างยิ่ง. บทว่า สา เนว รตฺติ น ทิวา ความว่า ในนรกนั้นกลางคืน
กลางวันก็ไม่ปรากฏเลย. บทว่า โก วิจเร ความว่า ใครจักเที่ยวไป ยังความ
พยายามให้สำเร็จเล่า.
ครั้นพระนารทฤาษีพรรณนาโลกันตนรกนั้นถวายแล้ว จึงทูลชี้แจงต่อ
ไปว่า ขอถวายพระพร ถ้าพระองค์ยังไม่ทรงละมิจฉาทิฏฐิ ก็จักต้องได้รับ
ทุกขเวทนาแม้อื่น ๆ อีกไม่สิ้นสุด แล้วกล่าวคาถานี้ว่า

ในโลกันตนรกนั้น มีสุนัขอยู่ 2 เหล่า คือด่าง
เหล่า 1 ดำเหล่า 1 ล้วนมีร่างกายกำยำล่ำสันแข็งแรง
ย่อมพากันมากัดกิน ผู้ที่จุติจากมนุษยโลกนี้ ไปตกอยู่
ในโลกันตนรกด้วยเขี้ยวเหล็ก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิโต ปนฺณฺณํ ความว่า ผู้จุติจาก
มนุษยโลกนี้. แม้ในนรกอื่นก็นัยนี้เหมือนกัน. เพราะเหตุนั้น บัณฑิตทั้งหลาย
พึงให้สถานที่นรกทั้งหมดนั้นพิศดาร โดยนัยที่กล่าวแล้วในหนหลังพร้อมกับ
ความพยายามของนายนิรยบาลนั้นแล แล้วพึงพรรณนาบทที่ยังไม่ง่ายแห่งคาถา
นั้น ๆ ว่า
ใครเล่าจะไปทวงทรัพย์พันหนึ่งในปรโลกกะ
มหาบพิตร ผู้ตกอยู่ในนรก ถูกสุนัขอันทารุณร้ายกาจ
นำทุกข์มาให้ รุมกัดกินตัวขาดกระจัดกระจาย เลือด
ไหลโทรมได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ลุทฺเทหิ แปลว่า ทารุณ. บทว่า พาเลหิ
แปลว่า ผู้ร้ายกาจ. บทว่า อฆมฺมิเกหิ ความว่า ผู้นำความคับแค้นมาให้ คือ
นำความทุกข์มาให้.
และในนรกอันร้ายกาจ พวกนายนิรยบาลชื่อ
กาลูปกาละ ผู้เป็นข้าศึก พากันเอาดาบและหอกอัน
คมกริบทิ่มแทงนรชนผู้ทำกรรมชั่วไว้ในภพก่อน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หนนฺติ วิชฺฌนฺติ จ ความว่า พวก
นายนิรยบาล เอาดาบและหอกสับฟันและทิ่มแทงกระทำร่างกายทั้งสิ้น ให้เป็น
ชิ้นเล็กชิ้นน้อยให้ตกไปบนแผ่นดินเหล็กอันไฟลุกโชน. บทว่า กาลูปกาลา

ได้แก่ นายนิรยบาลทั้งหลายผู้มีชื่ออย่างนี้. บทว่า นิรยมฺหิ ความว่า นาย
นิรยบาล กล่าวคือ กาปลูปกาลา ผู้อยู่ในนรกนั้นนั่นเอง. บทว่า ทุกฺกฏกมฺม-
การึ
ได้แก่ ผู้กระทำกรรมชั่วด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ.
ใครเล่าจะไปทวงทรัพย์พันหนึ่งในปรโลกกะ
มหาบพิตรผู้ถูกทิ่มแทงที่ท้องที่สีข้าง พระอุทรพรุนวิ่ง
วุ่นอยู่ในนรก ตัวขาดกระจัดกระจายเลือดไหลโทรมได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตํ ความว่า กะมหาบพิตร ผู้ถูกสับฟัน
ทิ่มแทงอยู่อย่างนั้นในนรกนั้น. บทว่า วชนฺตํ ความว่า ผู้วิ่งไปข้างโน้น
ข้างนี้. บทว่า กุจฺฉิสฺมึ ความว่า ถูกทิ่มแทงที่ท้องและที่สีข้าง.
ในโลกันตนรกนั้น มีห่าฝนต่าง ๆ ชนิด คือ
หอก ดาบ แหลน หลาวมีประกายวาวดังถ่านเพลิง
ตกลงบนศีรษะ สายอัสนีศิลาอันแดงโชนตกต้องสัตว์
นรกผู้มีกรรมหยาบช้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า องฺคารมิวจฺจิมนฺโต ความว่า ฝน
อาวุธมีประกายวาว ดังถ่านเพลิงที่ลุกโชนตกบนศีรษะ. บทว่า ลุทฺทกมฺเม
ความว่า ห่าฝนสายอัสนีศิลาอันลุกโชนตั้งขึ้นบนอากาศ แล้วตกกระหน่ำลง
บนศีรษะของผู้ทำกรรมชั่วเหล่านั้น เหมือนสายอัสนีตกลงในเมื่อฝนตก.
และในนรกนั้นมีลมร้อนยากที่จะทนได้ สัตว์ใน
นรกนั้น ย่อมไม่ได้รับความสุขแม้แต่น้อย ใครเล่าจะ
พึงไปทวงทรัพย์พันหนึ่งในปรโลก กะมหาบพิตรซึ่ง
ทรงกระสับกระส่ายวิ่งไปมาหาที่ซ่อนเร้นมิได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิตรํปิ แปลว่า แม้นิดน้อย. บทว่า
ธาวนฺตํ แปลว่า แล่นไปอยู่.

ใครเล่า จะไปทวงทรัพย์พันหนึ่งในปรโลก กะ
มหาบพิตรผู้ถูกเทียมในรถวิ่งไปวิ่งมา ต้องเหยียบแผ่น
ดินอันลุกโพลง ถูกแทงด้วยประตักอยู่ได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รเถสุ ยุตฺตํ ความว่า เทียมที่รถอัน
แล้วด้วยโลหะ อันลุกโชนนั้นๆ ตามวาระโดยวาระ. บทว่า กมนฺตํ แปลว่า
ก้าวไปอยู่. บทว่า สุโจทยนฺตํ แปลว่า ไปทวงอยู่ด้วยดี.
ใครเล่า จะไปทวงทรัพย์พันหนึ่งในปรโลก จะ
มหาบพิตรซึ่งทนไม่ได้ วิ่งไปขึ้นภูเขาอันดาดไปด้วย
ขวากกรด ลุกโชนน่าสยดสยองอย่างยิ่ง ตัวขาดกระจัด
กระจายเลือดไหลโทรมได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตมารุหนฺตํ ความว่า กะมหาบพิตร
ผู้อดทนการประหารด้วยอาวุธอันลุกโชนไม่ได้ แล้ววิ่งขึ้นสู่ภูเขาอันล้วนแล้ว
ด้วยโลหะอันลุกโชน ดารดาษไปด้วยคนตาบหอกอันลุกโชน.
ใครเล่า จะไปทวงทรัพย์พันหนึ่งในปรโลก กะ
มหาบพิตร ซึ่งต้องวิ่งเหยียบกองถ่านเพลิงเท่าภูเขา ลุก
โพลงน่ากลัว มีตัวถูกไฟไหม้ทนไม่ไหว ร้องครวญ
ครางอยู่ได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สนฺพฑฺฒคตฺตํ ได้แก่ ร่างกายที่ถูก
ไฟไหม้ด้วยดี.
ต้นงิ้วสูงเทียมเมฆ เต็มไปด้วยหนามเหล็กคม
กริบ กระหายเลือดคน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กณฺฏกาหิ จิตา แปลว่า เต็มไปด้วย
หนามอันลุกโพลง. บทว่า อโยมเยหิ นี้ ท่านกล่าวเพื่อแสดงถึงหนามอัน
เต็มไปด้วยเหล็ก.
หญิงผู้ประพฤติล่วงสามี และชายผู้กระทำชู้กับ
ภรรยาของผู้อื่น ถูกนายนิรยบาลผู้ทำตามคำสั่งของ
พระยายม ถือหอกไล่ทิ่มแทงให้ขึ้นต้นงิ้วนั้น.

บรรดาเหล่านั้น บทว่า ตมารุหนฺติ ความว่า ย่อมขึ้นต้นงิ้ว
เห็นปานนั้น. บทว่า ยมนิทฺเทสการิภิ ความว่า อันนายนิรบาลผู้กระทำ
ตามคำของพระยายม.
ใครเล่าจะไปทวงทรัพย์จำนวนนั้นกะมหาบพิตร
ซึ่งต้องขึ้นต้นงิ้วในนรกเลือดไหลเปรอะเปื้อน มีกาย
เหี้ยมเกรียม หนึ่งปอกเปิกกระสับกระส่าย เสวยเวทนา
อย่างหนัก ใครเล่าจะไปขอทรัพย์จำนวนเท่านั้นกะ
พระองค์ผู้หอบแล้วหอบอีก อันเป็นโทษของบุรพธรรม
หนึ่งปอกเปิก เดินทางผิดได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิททฺธกายํ แปลว่า มีกายถูกกำจัด
แล้ว. บทว่า วิตจํ ความว่า เหมือนดอกทองหลางและดอกทองกวาว เพราะ
ถูกตัดหนังและเนื้อ.
ต้นงิ้วสูงเทียมเมฆ เต็มไปด้วยใบเหล็กคมกริบ
กระหายเลือดคน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสิปตฺตจิตา แปลว่า เต็มไปด้วยใบ
ดาบเหล็กอันคมกริบ.

ใครเล่า จะไปทวงทรัพย์พันหนึ่งในปรโลก กะ
มหาบพิตร ซึ่งขึ้นอยู่บนต้นงิ้วนั้น ก้าวไปเหยียบใบ
เหล็กอันคมดังดาบ ก็ถูกใบงิ้วอันคมนั้นบาด มีตัว
ขาดกระจัดกระจายเลือกไหลโทรมได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตมานุปตฺตํ ความว่า กะมหาบพิตร
ผู้ซึ่งขึ้นอยู่บนต้นงิ้วนั้น ทนไม่ไหวต่ออาวุธเครื่องประหารของนายนิรยบาล.
ใครเล่า จะไปทวงทรัพย์จำนวนเท่านั้น กะมหา-
บพิตร ซึ่งเดินหนีออกจากขุมนรกไม้งิ้ว มีใบเป็นดาบ
ไปพลัดตกลงในแม่น้ำเวตรณีได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมฺปติตํ แปลว่า ตกลง.
แม่น้ำเวตรณี น้ำเป็นกรด เผ็ดร้อน ยากที่จะ
ข้ามได้ ดาดาษไปด้วยบัวเหล็กใบคมกริบไหลอยู่.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ขรา แปลว่า หยาบ คือ เผ็ดร้อน.
บทว่า อโยโปกฺขรสญฺฉนฺนา ความว่า ปิดด้วยใบบัวเหล็ก อันคม
กริบอยู่โดยรอบ บทว่า ปตฺเตหิ ความว่า แม่น้ำนั้นคมกริบไหลออกจาก
ใบเหล่านั้น.
ใครเล่า จะไปทวงทรัพย์นั้นกะมหาบพิตร ซึ่ง
มีตัวขาดกระจัดกระจาย เปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิต
ลอยอยู่ในเวตรณีนที่นั้น หาที่เกาะมิได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เวตรญฺเญ ความว่า ในเวตรณีนที คือ
แม่น้ำกรดเวตรณี.
จบนิรยกัณฑ์

ส่วนพระเจ้าอังคติราช ได้ทรงสดับนิรยกถาของพระมหาสัตว์นี้ ก็มี
พระหฤทัยสลด เมื่อจะทรงแสวงหาที่พึ่งกะพระมหาสัตว์ จึงตรัสว่า
ข้าพเจ้าแทบจะล้มเหมือนต้นไม้ที่ถูกตัด ข้าพเจ้า
หลงสำคัญผิดจึงไม่รู้จักทิศ ท่านฤาษี ข้าพเจ้าได้ฟัง
คาถาภาษิตของท่านแล้ว ย่อมร้อนใจ เพราะกลัว-
มหาภัย ท่านฤาษี ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า
ประหนึ่งน้ำสำหรับแก้กระหายในเวลาร้อน เกาะเป็น
ที่อาศัยในห้วงมหาสมุทร และประทีปสำหรับส่องสว่าง
ในที่มืดฉะนั้นเถิด ท่านฤาษี ขอท่านจงสอนอรรถและ
ธรรมแก่ข้าพเจ้า ในกาลก่อนข้าพเจ้าได้กระทำความ
ผิดไว้ส่วนเดียว ข้าแต่พระนารทะ ขอท่านจงบอก
ทางบริสุทธิ์แก่ข้าพเจ้า โดยข้าพเจ้าจะไม่พึงตกไปใน
นรกด้วยเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภยสานุตปฺปามิ ความว่า ตามเดือด-
ร้อนเพราะภัยแห่งบาปที่ตนทำไว้. บทว่า มหา จ เม ภยา ความว่า และ
นิรยภัยใหญ่อันบังเกิดแก่ข้าพเจ้า. บทว่า ทีปํโวเฆ ความว่า เป็นดังเกาะ
ในห้วงน้ำฉะนั้น ท่านอธิบายไว้ว่า เป็นดังท่ามกลางน้ำในกายที่ไม่ติดทั่ว
เหมือนเกาะของบุคคลผู้ไม่ได้ที่พึ่งแห่งเรือที่อัปปางในห้วงน้ำหรือในมหาสมุทร
ท่านจงเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า เหมือนแสงสว่างที่โชติช่วงแก่ผู้ไปในที่มืด. บทว่า
อตีตมทฺธา อปราธิตํ มยา ความว่า ข้าพเจ้าได้กระทำความผิดอันเป็น
กรรมชั่วไว้ในอดีต ล่วงกุศลทำแต่อกุศลเท่านั้น.
ครั้นเมื่อพระมหาสัตว์ ทูลบอกทางอันบริสุทธิ์แก่พระเจ้าอังคติราชนั้น
เมื่อจะแสดงซึ่งข้อปฏิบัติชอบของพระราชาในปางก่อน โดยยกเป็นอุทาหรณ์
จึงกล่าวว่า

พระราชา 6 พระองค์นี้ คือ ท้าวธตรฐ ท้าว
เวสสามิตร ท้าวอัฏฐกะ ท้าวยมทัตติ ท้าวอุสสินนระ
ท้าวสิวิราชและพระราชาพระองค์อื่น ๆ ได้ทรงบำรุง
สมณพราหมณ์ทั้งหลายแล้วเสด็จไปยังสวรรค์ ฉันใด
ดูก่อนมหาบพิตรผู้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน แม่มหาบพิตร
ก็ฉันนั้น จงทรงเว้นอธรรม แล้วทรงประพฤติธรรม
ราชบุรุษทั้งหลายจงถืออาหารไปประกาศภายในพระ-
ราชนิเวศน์ และภายในพระนครว่า ใครหิว ใคร
กระหาย ใครปรารถนามาลา ใครปรารถนาเครื่องลูบ-
ไล้ ใครไม่มีผ้านุ่งห่ม จงนุ่งห่มผ้าสีต่าง ๆ ตามปรารถนา
ใครต้องการร่ม ใครต้องการรองเท้า อย่างเนื้ออ่อน
อย่างดี ราชบุรุษทั้งหลายจงประกาศดังนี้ ในพระนคร
ของพระองค์ทั้งเวลาเย็นเวลาเช้า มหาบพิตรอย่าได้ใช้
คนแก่เฒ่า และโคม้าอันแก่ชราเหมือนดังก่อน และ
จงทรงพระราชทาน เครื่องบริหารแก่บุคคลที่เป็นกำลัง
เคยกระทำความดีไว้เท่าเดิมเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอเต จ ความว่า พระราชาทั้ง 6 เหล่า
นั้นคือ ท้าวธตรฐ ท้าวเวสสามิตร ท้าวอัฏฐกะ ท้าวยมทัตติ ท้าวอุสสินนระ
ท้าวสิวิราช และพระราชาอื่น ๆ ได้ประพฤติธรรม อันเป็นวิสัยแห่งท้าวสักกะ
ฉันใด แม้พระองค์ก็พึงเว้นอธรรม พึงประพฤติธรรมฉันนั้น. บทว่า
โก ฉาโต ความว่า ดูก่อนมหาบพิตร พวกราชบุรุษผู้ถืออาหารจงประกาศไป
ในวิมาน ในบุรี ในราชนิเวศน์ และในพระนครของพระองค์ว่า ใครหิว

ใครกระหาย ดังนี้เพื่อประสงค์จะให้แก่พวกเหล่านั้น. บทว่า โก มาลํ
ความว่า จงโฆษณาว่า ใครปรารถนามาลา ใครปรารถนาเครื่องลูบไล้ ใคร
ปรารถนาสีแดงต่าง ๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง จงให้ผ้าสีนั้น ๆ ใครเป็นคนเปลือย
กายจักนุ่งห่ม. บทว่า โก ปนฺเถ ฉตฺตมาเทติ ความว่า ใครจะกั้นร่มใน
ในหนทาง. บทว่า ปาทุกา จ ความว่า และใครจะปรารถนารองเท้าอ่อน-
นุ่มและสวยงาม. บทว่า ชิณฺณํ โปสํ ความว่า ผู้ใดเป็นอุปัฏฐากของท่าน
จะเป็นอำมาตย์ หรือ ผู้อื่นที่ทำอุปการะไว้ก่อน ในเวลาที่คร่ำคร่าเพราะชรา
ไม่สามารถจะทำการงานได้เหมือนในก่อน. แม้โคและม้าเป็นต้น ในเวลาแก่
ก็ไม่สามารถจะทำการงานได้. แม้ในบรรดาโคและม้าเป็นต้น แม้ตัวเดียว
ท่านก็อย่าใช้ในการงานทั้งหลายเช่นในก่อน. จริงอยู่ ในเวลาแก่ สัตว์เหล่านั้น
ไม่สามารถจะทำการงานเหล่านั้นได้ การบริหารในบทว่า ปริหารญฺจ นี้ท่าน
กล่าว สักการะ. ท่านอธิบายไว้ว่า ก็ผู้ใดเป็นกำลังของท่าน คือเป็นการกระทำ
อุปการะมาก่อนโดยเป็นเจ้าหน้าที่ ท่านพึงให้การบริหารแก่เขาเหมือนก่อนมา.
จริงอยู่ อสัตบุรุษในเวลาที่บุคคลสามารถเพื่อจะทำอุปการะแก่ตนย่อมทำความ
นับถือ ในเวลาที่เขาไม่สามารถก็ไม่แลดูบุคคลผู้นั้นเลย ส่วนสัตบุรุษใน
เวลาสามารถก็ดี ในเวลาไม่สามารถก็ดี ย่อมสามารถกระทำสักการะเหมือน
อย่างนั้นแก่เขาเหล่านั้น เพราะฉะนั้น แม้พระองค์ก็พึงกระทำอย่างนั้นแล.
ดังนั้น พระมหาสัตว์ครั้นแสดงทานกถาและศีลกถาแล้ว บัดนี้เพราะ
เหตุที่พระราชานี้ ย่อมยินดีในพรรณนาโดยเปรียบเทียบด้วยรถในอัตภาพ
ของตน เพราะเหตุดังนี้นั้นเมื่อจะแสดงธรรมโดยเปรียบเทียบด้วยรถอันให้
ความใคร่ทั้งปวงจึงกล่าวว่า
มหาบพิตรจงทรงสำคัญพระวรกายของพระองค์
ว่าเป็นดังรถ อันมีใจเป็นสารถี กระปรี้กระเปร่า

(เพราะปราศจากถิ่นมิทธะ) อันมีอวิหิงสาเป็นเพลาที่
เรียบร้อยดี มีการบริจารเป็นหลังคา มีการสำรวมเท้า
เป็นกง มีการสำรวมมือเป็นกระพอง มีการสำรวม
ท้องเป็นน้ำมันหยอด มีการสำรวมวาจาเป็นความเงียบ
สนิท มีการกล่าวคำสัตย์เป็นองค์รถอันบริบูรณ์ มีการ
กล่าวคำไม่ส่อเสียดเป็นการเข้าหน้าไม้สนิท มีการ
กล่าวคำอ่อนหวานเป็นเครื่องรถอันเกลี้ยงเกลา มีการ
กล่าวพอประมาณเป็นเครื่องผูกรัด มีศรัทธาและ
อโลภะเป็นเครื่องประดับ มีการถ่อมตนและกราบไหว้
เป็นทูบ มีความไม่กระด้างเป็นงอนรถ มีการสำรวม
ศีลเป็นเชือกขันชะเนาะ มีความไม่โกรธเป็นอาการไม่
กระเทือน มีกุศลกรรมเป็นเศวตฉัตร มีพาหุสัจจะ
เป็นสายทาบ มีการตั้งจิตมั่นเป็นที่มั่น มีความคิด
เครื่องรู้จักกาลเป็นไม้แก่น มีความแกล้วกล้าเป็นไม้ค้ำ
มีความประพฤติถ่อมตนเป็นเชือกขันแอก มีความ
ไม่เย่อหยิ่งเป็นแอกเบา มีจิตไม่หดหู่เป็นเครื่องลาด
มีการเสพบุคคลผู้เจริญเป็นเครื่องกำจัดธุลี มีสติของ
นักปราชญ์เป็นประตัก มีความเพียรเป็นสายบังเหียน
มีใจที่ฝึกฝนดีแล้วเช่นดังม้าที่หัดไว้เรียบเป็นเครื่องนำ
ทาง ความปรารถนาและความโลภเป็นทางคด ส่วน
ความสำรวมเป็นทางตรง ขอถวายพระพร ปัญญาเป็น
เครื่องกระตุ้นเตือนม้า ในรถคือพระวรกายของมหา-
บพิตรที่กำลังแล่นไปในรูป เสียง กลิ่น รส พระองค์

นั้นแลเป็นสารถี ถ้าความประพฤติชอบและความ
เพียรมั่นมีอยู่ด้วยยานนี้ รถนั้นจะให้สิ่งที่น่าใคร่ทุก
อย่าง จะไม่นำไปบังเกิดในนรก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รถสญฺญาโต ความว่า ดูก่อนมหา-
บพิตร พระองค์ทรงสำคัญว่า พระวรกายของพระองค์ว่าเป็นดังรถ. บทว่า
มโนสารถิโก ความว่า ประกอบด้วยกุศลจิตคือใจเป็นนายสารถี. บทว่า ลหุ
ได้แก่ เป็นผู้เบาเพราะปราศจากถิ่นมิทธะ. บทว่า อวิหึสาสาริตกฺโข ความ
ว่า ประกอบด้วยเพลาอันเป็นเครื่องแล่นอันสำเร็จเรียบร้อยแล้วไปด้วยอวิหึสา.
บทว่า สํวภาคปฏิจฺฉโท ความว่า ประกอบด้วยหลังคา อันสำเร็จด้วยการ
จำแนกทาน. บทว่า ปาทสญฺญมเนมิโย แปลว่า ประกอบด้วยกงอันสำเร็จ
ด้วยการสำรวมเท้า. บทว่า หตฺถสญฺญมปกฺขโร แปลว่า ประกอบด้วย
กระพองอันสำเร็จด้วยการสำรวมมือ. บทว่า กุจฺฉิสญฺญมนพฺภนฺโต ความว่า
หยอดด้วยน้ำมัน อันสำเร็จด้วยโภชนะพอประมาณ กล่าวคือการสำรวมท้อง.
บทว่า วาจาสญฺญมกูชโน แปลว่า มีการสำรวมวาจาเป็นการเงียบสนิท.
บทว่า สจฺจวากฺยสมตตงฺโค ความว่า มีการกล่าวคำสัตย์เป็นองค์รถบริบูรณ์
ไม่บกพร่อง. บทว่า อเปสุญฺญสุสญฺญโต ความว่า มีการไม่กล่าวคำส่อ
เสียดเป็นการสำรวมสัมผัสอย่างสนิท. บทว่า คิราสขิลเนลงฺโค ความว่า
มีการกล่าวคำอ่อนหวานน่าคบเป็นสหาย ไม่มีโทษเป็นเครื่องรถอันเกลี้ยงเกลา.
บทว่า มิตภาณิสิเลสิโต ความว่า มีการกล่าวพอประมาณอันสละสลวยเป็น
เครื่องผูกรัดด้วยดี. สทฺธาโลภสุสงฺขาโร ความว่า ประกอบด้วยเครื่อง
ประดับอันงาม อันสำเร็จด้วยศรัทธา กล่าวคือการเชื่อกรรมและผลแห่งกรรม
และสำเร็จด้วยอโลภะ. บทว่า นิวาตญฺชลิกุพฺพโร ความว่า ประกอบด้วย

ทูบรถอันสำเร็จด้วยความประพฤติอ่อนน้อม และสำเร็จด้วยอัญชลีกรรมแก่ผู้
มีศีล. บทว่า อถทฺธตานตีสาโก ความว่า ไม่มีความกระด้างหน่อยหนึ่งเป็น
งอนรถ เพราะไม่มีความกระด้างกล่าวคือ ความเป็นผู้มีวาจาน่าคบเป็นสหาย
และมีวาจานำมาซึ่งความบันเทิงใจ. บทว่า สีลสํวรนทฺธโน ความว่า ประกอบ
ด้วยเชือกขันชะเนาะ กล่าวคือการสำรวมจักขุนทรีย์และมีศีล 5 ไม่ขาดเป็นต้น
บทว่า อกฺโกธนมนุคฺฆาฏี ความว่า ประกอบด้วยการไม่กระทบกระทั่ง
กล่าวคือความเป็นผู้ไม่โกรธ. บทว่า ธมฺมปณฺฑรฉตฺตโก ได้แก่ ประกอบ
ด้วยเศวตฉัตรอันขาวผ่อง กล่าวคือ กุศลกรรมบถธรรม 10 ประการ. บทว่า
พาหุสจฺจมุปาลมฺโพ ได้แก่ประกอบด้วยสายทาบ อันสำเร็จด้วยความเป็น
พหูสูตอันอิงอาศัยประโยชน์. บทว่า ฐิติจิตฺตมุปาธิโย ความว่า ประกอบ
ด้วยเครื่องลาดอันยอดเยี่ยมหรือด้วยราชอาสน์อันตั้งมั่น กล่าวถึงความเป็นผู้มี
อารมณ์เป็นหนึ่ง อันตั้งมั่นด้วยดี โดยภาวะไม่หวั่นไหว. บทว่า กาลลญฺญุ-
ตาจิตฺตสาโร
ความว่า ประกอบด้วยจิตคือด้วยกุศลจิตอันเป็นสาระ อันรู้จัก
กาลแล้วจึงกระทำ กล่าวคือความเป็นผู้รู้จักกาลอย่างนี้ว่า นี้กาลที่ควรให้ทาน
นี้กาลที่ควรรักษาศีล. ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า ดูก่อนมหาบพิตร พระองค์ควร
ปรารถนาทัพสัมภาระทั้งหมด ตั้งต้นแต่ลิ่มแห่งรถและสิ่งอันบริสุทธิ์ สำเร็จแต่
สิ่งอันเป็นสาระฉันใด รถนั้นก็ควรแก่การตั้งอยู่ได้นานฉันนั้น แม้รถคือกายของ
พระองค์ก็เหมือนกัน จึงมีจิตอันหมดจดรู้จักกาลแล้วจึงกระทำ จงประกอบด้วย
กุศลสาระมีทานเป็นต้น. บทว่า เวสารชฺชติทณฺฑโก ความว่า แม้เมื่อแสดง
ในท่ามกลางบริษัท จงประกอบด้วยไม้สามขากล่าวคือความเป็นผู้แกล้วกล้า.
บทว่า นิวาตวุตฺติโยตฺตงฺโค ความว่า ประกอบด้วยเชือกผูกแอกอันอ่อนนุ่ม
กล่าวคือความประพฤติในโอวาท จริงอยู่ม้าสินธพย่อมนำรถอันผูกได้ด้วยเชือก
ผูกแอกอันอ่อนนุ่มไปได้สะดวกพระวรกายของพระองค์ก็เหมือนกัน อันผูกมัด

ด้วยความประพฤติในโอวาทของบัณฑิตทั้งหลาย ย่อมแล่นไปได้อย่างสะดวก.
บทว่า อนติมานยุโค ลหุ ความว่า ประกอบด้วยแอกเบากล่าวคือความไม่
ทนงตัว. บทว่า อลีนจิตฺตสนฺถาโร ความว่า รถคือพระวรกายของพระองค์
จงมีจิตไม่ท้อถอยไม่คดโกงด้วยกุศลมีทานเป็นต้น ย่อมงามด้วยเครื่องลาดอัน
โอฬารสำเร็จด้วยงา เช่นเดียวกับเครื่องลาดจิตของพระองค์ ที่ไม่หดหู่ย่อหย่อน
ด้วยกุศลกรรมมีทานเป็นต้นฉะนั้น. บทว่า วุฑฺฒิเสวี รโชหโต ความว่า รถ
เมื่อแล่นตามทางที่มีธุลี อันไม่เสมอ เกลื่อนกล่นไปด้วยธุลี ย่อมไม่งาม เมื่อ
แล่นโดยหนทางสม่ำเสมอปราศจากธุลี ย่อมงดงามฉันใด แม้รถคือกายของ
พระองค์ก็ฉันนั้น ดำเนินไปตามทางตรงมีพื้นสม่ำเสมอเพราะเสพกับบุคคลผู้
เจริญด้วยปัญญา จงเป็นผู้ขจัดธุลี. บทว่า สติ ปโตโท ธีรสฺส ความว่า
พระองค์มีนักปราชญ์คือบัณฑิต จงมีสติตั้งมั่นอยู่ที่รถเป็นประตัก. บทว่า ธิติ
โยโค จ รสฺมิโย
ความว่า พระองค์มีความตั้งมั่น กล่าวคือมีความเพียรไม่
ขาดสาย และจงมีความพยายาม กล่าวคือความประกอบในข้อปฏิบัติอันเป็น
ประโยชน์ และจงมีบังเหียนอันมั่นคงที่ร้อยไว้ในรถของพระองค์นั้น. บทว่า
มโน ทนฺตํ ปถํ เนติ สมทนฺเตหิ วาชิภิ ความว่า รถที่แล่นไปนอกทางด้วย
ม้าที่ฝึกไม่สม่ำเสมอ ย่อมแล่นผิดทาง แต่เทียมด้วยม้าที่ฝึกดีแล้ว ศึกษาดีแล้ว
ย่อมแล่นไปตามทางตรงทีเดียว ฉันใด แม้ใจของพระองค์อันฝึกแล้วก็ฉันนั้น
ย่อมละพยศไม่เสพทางผิด ถือเอาแต่ทางถูกฉะนั้น. เพราะฉะนั้น จิตที่ฝึกดีแล้ว
สมบูรณ์ด้วยอาจาระ จึงยังกิจแห่งม้าสินธพ แห่งรถคือพระวรกายของพระองค์
ให้สำเร็จ. บทว่า อิจฺฉา โลโภ จ ความว่า ความปรารถนาในวัตถุที่ยังไม่มาถึง
และความโลภที่มาถึงเข้า เพราะฉะนั้นความปรารถนาและความโลภนี้ จึงชื่อว่า
เป็นทางผิดเป็นทางคดโกง เป็นทางไม่ตรง ย่อมนำไปสู่อบายถ่ายเดียว แต่การ
สำรวมในศีล อันเป็นไปด้วยอำนาจแห่งกุศลกรรมบถ 10 หรือมรรคมีองค์ 8

ชื่อว่าทางตรง. บทว่า รูเป ความว่า พระองค์จงมีเป็นปัญญาเป็นเครื่องรถคือ
พระวรกายของพระองค์ผู้ถือเอานิมิตในกามคุณมีรูปเป็นต้นอันเป็นที่ชอบใจ
เหล่านั้น เหมือนประตักสำหรับเคาะห้ามม้าสินธพแห่งราชรถที่แล่นออกนอก
ทาง ก็ปัญญานั้นคอยห้ามรถคือพระวรกายนั้นจากการแล่นไปนอกทาง ให้ขึ้น
สู่ทางตรงคือทางสุจริต. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อตฺตนาว ความว่า ก็
ชื่อว่า นายสารถีอื่น ย่อมไม่มีในรถคือพระวรกายของพระองค์นั้น พระองค์
นั้นแหละเป็นสารถีของพระองค์เอง. บทว่า สเจ เอเตน ยาเนน ความว่า
ถ้ารถใดมียานเป็นเครื่องแล่นไปเห็นปานนั้นมีอยู่. บทว่า สมจริยา ทฬฺหา
ธิติ
ความว่า รถคือกายใด ย่อมมีความประพฤติสม่ำเสมอ และมีความตั้ง
มั่นคงถาวร รถนั้นก็จะไปด้วยยานนั้น เพราะเหตุที่รถนั้นย่อมให้ความใคร่
ทั้งปวง คือย่อมให้ความใคร่ทั้งปวงตามที่มหาบพิตรปรารถนา เพราะเหตุนั้น
พระองค์ไม่ต้องไปนรกแน่นอน พระองค์ทรงยานนั้นไว้โดยส่วนเดียว พระ-
องค์ไม่ไปสู่นรกด้วยยานนั้น มหาบพิตร จะตรัสข้อใดกะอาตมภาพว่า นารทะ
ขอท่านจงบอกทางแห่งวิสุทธิ ตามที่อาตมาจะไม่พึงตกนรกด้วยประการฉะนี้
แล้ว ความข้อนั้นอาตมภาพได้บอกแก่พระองค์แล้วโดยอเนกปริยายแล.
ครั้นพระนารทฤาษีแสดงธรรมถวายพระเจ้าอังคติราช ให้ทรงละ
มิจฉาทิฏฐิ ให้ตั้งอยู่ในศีลอย่างนี้แล้ว จึงถวายโอวาทกะพระราชาว่า ตั้งแต่นี้ไป
พระองค์จงละปาปมิตร เข้าไปใกล้กัลยาณมิตร อย่าทรงประมาทเป็นนิตย์ ดังนี้
แล้วพรรณนาคุณของพระนางรุจาราชธิดา ให้โอวาทแก่ราชบริษัทและทั้งนาง
ใน เมื่อมหาชนเหล่านั้นกำลังดูอยู่นั่นแลได้กลับไปสู่พรหมโลก ด้วยอานุภาพ
อันใหญ่.
พระเจ้าอังคติราช ทรงตั้งอยู่ในโอวาทของพรหมนารทะ ละมิจฉา
ทิฏฐิ บำเพ็ญบารมีทานเป็นต้น ได้เป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วจึงตรัสว่า ภิกษุทั้ง
หลาย ไม่ใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อนเราก็ทำลายข่ายคือ ทิฏฐิแล้ว
จึงทรมานอุรุเวลกัสสปะนั่นเอง เมื่อจะประชุมชาดก จึงได้ตรัสพระคาถาเหล่า
นี้ในตอนจบว่า
อลาตเสนาบดีเป็นพระเทวทัต สุนามอำมาตย์
เป็นพระภัททชิ วิชยอำมาตย์เป็นสารีบุตร คุณา
ชีวกผู้อเจลกเป็นสุนักขัตตะ ลิจฉวีบุตร พระนางรุจา
ราชธิดา ผู้ทรงยังพระราชาให้เลื่อมใสเป็นพระอานนท์
พระเจ้าอังคติราช ผู้มีทิฏฐิชั่วในกาลนั้นเป็นพระอุรุเวล
กัสสปะ มหาพรหมโพธิสัตว์เป็นเราตถาคต ท่านทั้ง
หลายจงทรงจำชาดกไว้ด้วยประการฉะนี้แล.
จบอรรถกถากมหานาทกัสสปชาดกที่ 8

9. วิธุรชาดก


พระวิธุรบัณฑิตบำเพ็ญสัจบารมี


ท้าววรุณนาคราชตรัสว่า
[893] เธอมีผิวพรรณเหลือง ซูบผอม ถอย
กำลัง เมื่อก่อนรูปพรรณของเธอมิได้เป็นเช่นนี้เลย
ดูก่อนพระน้องวิมลา พี่ถามแล้ว ขอเธอจงบอก เวทนา
ในร่างกายของเธอเป็นเช่นไร.
พระนางวิมลาเทวีทูลว่า
[894] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมหมู่นาค ชื่อว่า
ความอยากได้โน่นอยากได้นี่ เขาเรียกกันว่าเป็นธรรมดา
ของหญิงทั้งหลายในหมู่มนุษย์ ข้าแต่พระองค์ผู้ประ-
เสริฐสุดในหมู่นาค หม่อมฉันปรารถนาดวงหทัยของ
ของวิธุรบัณฑิต ที่บุคคลนำมาได้โดยชอบเพคะ.
ท้าววรุณนาคราชตรัสว่า
[895 ] ดูก่อนพระน้องวิมลา เธอปรารถนาหทัย
ของวิธุรบัณฑิต ดังจะปรารถนาพระจันทร์ พระอาทิตย์
หรือลม เพราะว่าวิธุรบัณฑิตยากที่บุคคลจะเห็นได้
ใครจักนำวิธุรบัณฑิตมาในนาคพิภพมิได้.
พระนางอิรันทตีทูลถามว่า
[896] ข้าแต่สมเด็จพระบิดา เหตุไรหนอสม-
เด็จพระบิดาจึงทรงซบเซา พระพักตร์ของสมเด็จ-