เมนู

[2123] ดูก่อนนายพราน เราให้ทองคำ 100
แท่ง กุณฑลแก้วมณีอันมีค่ามาก เตียง 4 เหลี่ยม
มีสีคล้ายดอกสามหาว และภรรยาผู้ทัดเทียมกันสองคน
กับโค 100 ตัวแก่ท่าน เราจักปกครองราชสมบัติโดย
ธรรม ท่านเป็นผู้มีอุปการะแก่เรามาก ดูก่อนนายพราน
ท่านจงเลี้ยงดูบุตรและภรรยาด้วยกสิกรรม พาณิชย-
กรรม การให้กู้หนี้และด้วยการประพฤติเลี้ยงชีพ
โดยสัมมาอาชีวะเถิด อย่าได้กระทำบาปอีกเลย.

จงโรหนมิคชาดกที่ 5

อรรถกถาโรหนมิคชาดก



พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภ
การเสียสละชีวิตของท่านพระอานนท์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
เอเต ยูเถ ปฏิยนฺติ ดังนี้.
ก็การเสียสละชีวิตของท่านพระอานนท์นั้น จักปรากฏชัดเจนในเรื่อง
ทรมานช้างชื่อว่าธนบาล ในจุลลหังสชาดก อสีตินิบาต. เมื่อท่านพระอานนท์
นั้นสละชีวิตเพื่อป้องกันพระศาสดาอย่างนี้แล้ว ภิกษุทั้งหลายจึงสนทนากันใน
โรงธรรมว่า อาวุโสทั้งหลาย ท่านพระอานนท์เป็นเสกขบุคคล บรรลุปฏิสัม-
ภิทา ยอมสละชีวิตเพื่อประโยชน์แก่พระทศพล. พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัส
ถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อ

ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่
ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในปางก่อน อานนท์ก็เคยสละชีวิตเพื่อประโยชน์แก่เรา
เหมือนกัน ดังนี้แล้ว ทรงนำอดีตนิทานมาตรัสดังต่อไปนี้
ในอดีตกาลเมื่อพระเจ้าพรหมทัต เสวยราชสมบัติ ณ พระนคร-
พาราณสี
พระองค์มีอัครมเหสีทรงพระนามว่า " เขมา " ในครั้งนั้น
พระโพธิสัตว์ได้บังเกิดในกำเนิดมฤคชาติ มีผิวพรรณเหมือนสีทอง อยู่ใน
หิมวันตประเทศ แม้เนื้อน้องชายของพระโพธิสัตว์ชื่อจิตตมิคะ ก็เป็นสัตว์
ถึงความเป็นเยี่ยมด้วยความงาม มีผิวพรรณเสมอด้วยสีทองเหมือนกัน แม้เนื้อ
น้องสาวของพระโพธิสัตว์ ที่ชื่อว่า สุตตนานั้น ก็เป็นสัตว์มีผิวพรรณปาน
ทองคำเหมือนกัน. ส่วนพระมหาสัตว์ได้เป็นพญาเนื้อ ชื่อโรหนมฤคราช
พญาเนื้อนั้น มีเนื้อแปดหมื่นเป็นบริวาร สำเร็จนิวาสถานอยู่อาศัยสระชื่อโรหนะ
ระหว่างชั้นที่ 3 เลยเทือกเขาสองลูกไปในหิมวันตประเทศ. พญาเนื้อโรหนะ
เลี้ยงดูมารดาบิดา ผู้ชรา ตาบอด.
ครั้งนั้น มีบุตรพรานคนหนึ่ง อยู่ในเนสาทคามไม่ห่างจากพระนคร
พาราณสีนัก เขาเข้าไปสู่หิมวันตประเทศพบมหาสัตว์เจ้า แล้วกลับมาบ้าน
ของตน ต่อมาเมื่อจะทำกาลกิริยาจึงบอกแก่บุตรชายว่า พ่อคุณ ในที่ชื่อโน้น
ณ ภาคนี้สถานที่ทำกินของพวกเรา มีเนื้อสีทองอาศัยอยู่ ถ้าพระราชาตรัสถาม
พึงกราบทูลให้ทรงทราบ.
อยู่มาวันหนึ่ง พระนางเขมา บรมราชเทวี ทรงพระสุบินในเวลา
ใกล้รุ่ง. พระสุบินนั้น ปรากฏอย่างนี้ว่า
มีพญาเนื้อสีเหมือนทอง ยืนอยู่บนแท่นทอง แสดงธรรมแด่พระเทวี
ด้วยเสียงอันไพเราะ เหมือนบุคคลเคาะกระดิ่งทอง พระนางประทานสาธุการ
แล้วสดับพระธรรมเทศนาอยู่. เมื่อธรรมกถายังไม่ทันจบ เนื้อทองนั้นก็ลุกเดิน

ไปเสีย. ส่วนพระนางเทวีก็มีพระเสาวนีย์ตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงช่วยกันจับเนื้อ
ท่านทั้งหลายจงช่วยกันจับเนื้อดังนี้ อยู่จนตื่นพระบรรทม. พวกนางสนมได้ยิน
เสียงพระนาง พากันขบขันว่า ประหน้าต่างห้องบรรทมก็ปิดหมดแล้ว แม้คน
ก็ไม่มีโอกาสจะเข้าไปได้ พระแม่เจ้ายังรับสั่งให้จับเนื้อในเวลานี้ได้ ขณะนั้นพระ
เทวีทรงรู้พระองค์ว่า นี้เป็นความฝัน จึงทรงพระดำริว่า ถ้าเราจักกราบทูลพระ-
ราชาว่า เราฝันเห็นดังนี้ พระองค์ก็จักไม่ทรงสนพระทัย แต่เมื่อเรากราบทูลว่า
แพ้พระครรภ์ พระองค์ก็จักช่วยแสวงหามาให้ด้วยความสนพระทัยเราจักได้ฟัง
ธรรมของพญามฤคตัวมีสีเหมือนทอง พระนางจึงทรงบรรทม ทำมายาว่า
ประชวร.
พระราชาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนพระนางผู้มีพักตร์อันเจริญ
เธอไม่สบาย เป็นอะไรไปหรือ ? พระเทวีกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ทรง
พระคุณอันประเสริฐ โรคอย่างอื่นไม่มีดอกเพคะ แต่กระหม่อมฉันเกิด
แพ้ท้อง. พระราชาตรัสถามว่า เธออยากได้อะไร ? พระนางจึงกราบทูลว่าขอ
เดชะ กระหม่อมฉันปรารถนาจักฟังธรรมของพญาเนื้อมีสีเหมือนทองพะยะค่ะ
พระราชาตรัสว่า ดูก่อนพระนางผู้มีพักตร์อันเจริญ สิ่งใดไม่มี เจ้าก็เกิดแพ้
ท้องต้องประสงค์สิ่งนั้นหรือ ขึ้นชื่อว่าเนื้อสีทองไม่มีดอก. พระนางกราบทูลว่า
ถ้าไม่ได้หม่อมฉันจักนอนตายในที่นี้แหละ แล้วผินเบื้องพระปฤษฏางค์ให้พระ-
ราชา ทรงบรรทมเฉยเสีย พระราชาทรงปลอบโยนว่า ถ้าหากมีอยู่เจ้าก็จักได้
แล้วประทับนั่งท่ามกลางบริษัท ตรัสถามพวกอำมาตย์และพวกพราหมณ์ ตาม
นัยที่กล่าวแล้วในโมรชาดกนั่นเอง ทรงสดับว่า เนื้อที่มีสีเหมือนทองมีอยู่จึงมี
พระบรมราชโองการให้พวกนายพรานประชุมกัน ตรัสถามว่า เนื้อสีเหมือนทอง
เห็นปานนี้ ใครเคยเห็น เคยได้ยินมาบ้าง ? เมื่อบุตรนายเนสาทกราบทูล
โดยทำนองที่ตนได้ยินมาจากสำนักบิดาแล้วจึงตรัสว่า ดูก่อนสหาย เมื่อเจ้านำ
เนื้อนั้นมาได้ เราจักทำสักการะใหญ่แก่เจ้า ไปเถิด จงไปนำเนื้อนั้นมา พระ-

ราชทานเสบียงแล้ว ทรงส่งเขาไป. ฝ่ายบุตรนายเนสาทก็กราบทูลว่า ขอเดชะ
พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ถ้าหากข้าพระพุทธเจ้าไม่สามารถจะนำ
เนื้อทองนั้นมาถวายได้ ข้าพระพุทธเจ้าจักนำหนังของมันมาถวาย เมื่อไม่อาจ
นำหนังมาถวายได้ ก็จักนำแม้ขนของมันมาถวาย ขอพระองค์อย่าทรงวิตกเลย
แล้วไปเรือนมอบเสบียงแก่ลูกและเมีย แล้วไปที่หิมวันตประเทศนั้นพบพญา
เนื้อนั้นแล้ว ดำริว่า เราจะดักบ่วง ณ ที่ไหนหนอจึงจักสามารถจับเนื้อนี้ได้
เมื่อพิจารณาไปจึงเห็นช่องทางที่ท่าน้ำ เขาจึงฟั่นเชือกหนังทำเป็นบ่วงให้มั่นคง
แล้วปักหลักดักบ่วงไว้ในสถานที่พระมหาสัตว์เจ้าลงดื่มน้ำ.
ในวันรุ่งขึ้น พระมหาสัตว์พร้อมด้วยเนื้อบริวารแปดหมื่น เที่ยวไป
แสวงหาอาหาร คิดว่า เราจักดื่มน้ำที่ท่าเดิมนั่นแหละ จึงไปที่ท่านั้น พอก้าวลง
ไปเท่านั้นก็ติดบ่วง พระมหาสัตว์ดำริว่า ถ้าหากเราจักร้องว่าติดบ่วงเสียใน
บัดนี้ทีเดียว หมู่ญาติของเราจักไม่ดื่มน้ำ จักพากันตกใจกลัวแตกหนีไป จึง
แอบหลัก เบี่ยงไว้ข้างตัว ทำทีเหมือนดื่มน้ำอยู่ ครั้นเวลาที่เนื้อทั้งแปดหมื่น
ดื่มน้ำขึ้นไปแล้ว คิดว่า เราจักตัดบ่วงให้ขาด จึงกระชากมา 3 ครั้ง ในวาระ
แรกหนังขาดไป วาระที่สองเนื้อหลุด วาระที่สามเอ็นขาด บ่วงบาดลึก
จดแนบกระดูก. เมื่อพระมหาสัตว์ไม่สามารถจะตัดให้ขาดได้ จึงร้องขึ้นว่า
เราติดบ่วง. หมู่เนื้อทั้งหลายตกใจกลัว พากันแยกหลบหนีไปเป็น 3 ฝูง
จิตตมฤคไม่เห็นพระมหาสัตว์ ในระหว่างฝูงเนื้อทั้ง 3 แล้วจึงคิดว่า เมื่อภัย
นี้เกิด คงจักเกิดแก่พี่ชายของเรา จึงมายังสำนักของพญาเนื้อนั้น เห็นพระ-
มหาสัตว์ติดบ่วงอยู่.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เห็นจิตตมฤค จึงพูดว่า พ่อน้องชาย เธออย่า
มายืนอยู่ที่นี่ สถานที่นี้น่ารังเกียจ เมื่อจะส่งกลับไป จึงกล่าวคาถาที่ 1 ความว่า

ดูก่อนน้องจิตตกะ ฝูงเนื้อเหล่านี้ กลัวความตาย
จึงพากันหนีกลับไป ถึงเธอก็จงไปเสียเถิด อย่าห่วง
พี่เลย เนื้อทั้งหลาย จักมีชีวิตอยู่ร่วมกับเธอ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอเต พญาเนื้อกล่าวหมายถึงฝูงเนื้อที่
หนีล่วงคลองจักษุของตนไปไกล. บทว่า ปฏิยนฺติ แปลว่า กลับไป อธิบายว่า
แตกหนีไป. พระโพธิสัตว์เรียกเนื้อน้องชายว่า " จิตตกะ ". บทว่า ตยา สห
ความว่า (พระโพธิสัตว์) กล่าวว่า จิตตกะ เธอจงเป็นราชาแห่งเนื้อเหล่านั้น
ดำรงอยู่ในตำแหน่งแทนพี่ เนื้อเหล่านี้ จักอยู่ร่วมกับเจ้าต่อไป.
ต่อจากนั้น เป็นคาถาที่เนื้อทั้งสองสนทนาโต้ตอบกัน รวม 3 คาถา
เป็นลำดับกันดังต่อไปนี้
พี่โรหนะ ฉันไม่ไป ถึงใครจักมาคร่าเอาหัวใจ
ของฉันไป ฉันก็จักไม่ทิ้งพี่ไป ฉันจักยอมสละชีวิตอยู่
ในที่นี้.

ก็มารดาบิดาทั้งสองเรานั้น ท่านตาบอดเมื่อไม่มี
ผู้นำจักต้องตายแน่ เธอจงไปเถิดอย่าห่วงใยพี่เลย
เนื้อทั้งหลายจักมีชีวิตอยู่ร่วมกับเธอ.

พี่โรหนะ ฉันไม่ยอมไป ถึงใครจักมาคร่าเอา
ดวงใจของฉันไป ฉันจักไม่ทิ้งพี่ผู้ถูกมัดไป ฉันจัก
ยอมสละชีวิตไว้ในที่นี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โรหน ความว่า จิตตมฤคเรียกพระ-
มหาสัตว์โดยชื่อว่า " โรหนะ." บทว่า อวกสฺสติ ความว่า ใคร ๆ จะมาฉุด
คือคร่าเอาดวงใจไป หรือดวงใจถูกความโศกฉุดคร่าไป. บทว่า เต หิ นูน

ความว่า มารดาบิดาของเราเหล่านั้น เมื่อเราทั้งสองต้องตายรวมกันอยู่ในที่นี้
จะขาดผู้ช่วยเหลือนำทาง เมื่อไม่มีใครปฏิบัติ ก็จักซูบผอมตายไป เพราะฉะนั้น
น้องจิตตกะเจ้าจงไปเสียเถิด เนื้อทั้งหลายเหล่านั้น จักได้มีชีวิตอยู่ร่วมกับเจ้า.
บทว่า อิธ เหสฺสามิ ความว่า ฉันจักทิ้งชีวิตไว้ในสถานที่นี้ทีเดียว.
ครั้นจิตตมฤคกล่าวดังนี้แล้ว ก็เดินไปยืนพิงแนบข้างเบื้องขวาของพระ-
โพธิสัตว์ ปลอบโยนให้ดำรงกาย สบายใจ ฝ่ายนางสุตตนามฤคี หนีไปไม่เห็น
พี่ชายทั้งสองในระหว่างฝูงเนื้อ คิดว่า ภัยนี้จักเกิดแก่พี่ชายทั้งสองของเรา จึง
หวนกลับมายังสำนักของเนื้อทั้งสองนั้น พระมหาสัตว์เห็นนางสุตตนามฤคีกําลัง
เดินทางจึงกล่าวคาถาที่ 5 ความว่า
เจ้าเป็นผู้ขลาด จงหนีไปเสียเถิด พี่ติดอยู่ใน
หลักเหล็ก เธอจงไปเสียเถิด อย่าห่วงใยพี่เลย เนื้อ
ทั้งหลายจักมีชีวิตอยู่กับเธอ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภีรุ ความว่า ขึ้นชื่อว่ามาตุคามย่อมกลัว
แม้ด้วยเหตุเพียงเล็กน้อย ด้วยเหตุนั้น พระโพธิสัตว์จึงกล่าวกะน้องสาวอย่างนี้.
บทว่า กูเฏ ได้แก่ บ่วงที่เขาปกปิดไว้. บทว่า อายเส ความว่า ก็บ่วงนั้น
เขาวางซี่เหล็กไว้ภายในน้ำ แล้วผูกหลักไม้แก่นดักแช่ไว้ในน้ำนั้น เพราะเหตุนั้น
พระมหาสัตว์จึงกล่าวอย่างนี้. บทว่า ตยา สห ความว่า เนื้อทั้งแปดหมื่น
เหล่านั้น จักมีชีวิตอยู่ร่วมกับเจ้า.
เบื้องหน้าแต่นั้น มีคาถา 3 คาถา ซึ่งเนื้อสองพี่น้องโต้ตอบกันโดย
นัยก่อนนั่นแหละ ดังนี้.
พี่โรหนะ ฉันจะไม่ไป ถึงใครจะมาคร่าเอา
หัวใจของฉันไป ฉันก็จักไม่ละทิ้งพี่ ฉันจักยอมทิ้ง
ชีวิตไว้ในที่นี้.

ก็มารดาบิดาทั้งสองของเรานั้น ท่านตาบอด
ขาดผู้ปรนนิบัตินำทาง จักต้องตายแน่ เธอจงไปเถิด
อย่าห่วงใยพี่เลย เนื้อทั้งหลายจักมีชีวิตอยู่กับเธอ.

พี่โรหนะ ฉันจะไม่ไป ถึงใครจะมาคร่าเอาหัวใจ
ของฉันไป ฉันจะไม่ละทิ้งพี่ผู้ถูกมัด ฉันจักยอมทิ้ง
ชีวิตไว้ในที่นี้แหละ.

บรรดาบทเหล่านั้น แม้ในบทว่า เต หิ นูน นี้ พระโพธิสัตว์
กล่าวไว้หมายถึง มารดาบิดาเท่านั้น.
แม้นางสุตตนามฤคีนั้น ครั้นปฏิเสธอย่างนั้นแล้ว ไปยืนพิงข้างเบื้อง
ซ้ายของพระมหาสัตว์ผู้พี่ชายปลอบใจอยู่ ฝ่ายนายพรานเห็นเนื้อเหล่านั้นหนีไป
และได้ยินเสียงร้องแห่งเนื้อที่ติดบ่วง คิดว่าพญาเนื้อคงจักติดบ่วง แล้วนุ่งผ้า
หยักรั้งมั่นคง ถือหอกสำหรับฆ่าเนื้อ วิ่งมาโดยเร็ว พระมหาสัตว์เห็นนายพราน
กำลังวิ่งมาจึงกล่าวคาถาที่ 9 ความว่า
วันนี้นายพรานคนใด จักฆ่าเราด้วยลูกศรหรือ
หอก นายพรานคนนี้นั้น มีรูปร่างร้ายกาจ ถืออาวุธ
เดินมาแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ลุทฺทรูโป แปลว่า เหี้ยมโหดทารุณ.
บทว่า สตฺติยามปิ ความว่า นายพรานคนใดจักประหัตประหารฆ่าเราด้วย
ลูกศรก็ดี ด้วยหอกก็ดี นายพรานนั้นมีรูปร่างเหี้ยมโหดทารุณ ถืออาวุธมา
เพราะเหตุนั้น เจ้าทั้งสองจงพากันหนีไป ก่อนที่เขายังมาไม่ถึง.
จิตตมฤคแม้เห็นพรานนั้นแล้วก็มิได้หนีไป ส่วนนางสุตตนามฤคี
ไม่อาจดำรงอยู่โดยภาวะของตนได้ มีความกลัวต่อมรณภัย หนีไปหน่อยหนึ่ง
แล้วกลับคิดว่า เราจักทิ้งพี่ชายทั้งสองคนหนีไปไหน จึงยอมสละชีวิตของตน
กล้ำกลืนความกลัวตาย ย้อนกลับมาใหม่ ยืนอยู่เคียงข้างซ้ายพี่ชายของตน.

เมื่อจะประกาศความนั้น พระศาสดาจึงตรัสพระคาถาที่ 10 ความว่า
นางสุตตนามฤคีนั้น ถูกภัยบีบคั้นคุกคามหนี
ไปครู่หนึ่ง แล้วย้อนกลับมาเผชิญหน้ามฤตยู ถึงจะมี
ขวัญอ่อนก็ได้กระทำกรรมที่ทำได้แสนยาก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มรณายูปนิวตฺตถ แปลว่า ย้อน
กลับมาเพื่อเผชิญหน้าความตาย.
ฝ่ายนายพรานเห็นสัตว์ทั้ง 3 ยืนเผชิญหน้ากันอยู่ก็เกิดเมตตาจิต มี
ความสำคัญประหนึ่งว่า เป็นพี่น้องเกิดร่วมท้องเดียวกัน จึงคิดว่า พญาเนื้อ
ติดบ่วงเราก่อน แต่เนื้อทั้งสองนี้ คิดอยู่ด้วยหิริโอตตัปปะ สัตว์ทั้งสองนี้เป็น
อะไรกันกับพญาเนื้อนี้หนอ ครั้นคิดดังนี้แล้ว เมื่อจะถามเหตุนั้นจึงกล่าวคาถา
ความว่า
เนื้อทั้งสองนี้เป็นอะไรกับท่านหนอ พ้นไปแล้ว
ยังย้อนกลับมาหาเครื่องผูกอีก ไม่ปรารถนาจะละทิ้ง
ท่านไป แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กินฺนุ เตเม ตัดบทเป็น กึ นุ เต อิเม
แปลว่า เนื้อทั้งสองนี้เป็นอะไรกับท่านหนอ. บทว่า อุปาสเร แปลว่า ยัง
เข้าไปใกล้.
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์จึงบอกแก่นายพรานว่า
ดูก่อนนายพราน เนื้อทั้งสองนี้ เป็นน้องชาย
น้องสาวของข้าพเจ้า ร่วมท้องมารดาเดียวกัน ไม่
ปรารถนาละข้าพเจ้าไป แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต.

นายพรานได้ฟังคำของพระโพธิสัตว์แล้ว เป็นผู้มีจิตอ่อนลงไปเป็น
อันมาก. จิตตมฤคราชรู้ว่านายพรานมีจิตอ่อนแล้ว จึงกล่าวว่า ดูก่อนนายพราน

ผู้สหาย ท่านอย่าสำคัญพญาเนื้อนี้ว่า เป็นเพียงเนื้อสามัญเท่านั้น แท้จริง
พญาเนื้อนี้ เป็นราชาแห่งเนื้อแปดหมื่น ถึงพร้อมด้วยศีลและมรรยาท มีจิต
อ่อนโยนในสรรพสัตว์ มีปัญญามาก เลี้ยงดูมารดาบิดาผู้ชราตาบอด ถ้าหาก
ท่านฆ่าเนื้อผู้ตั้งอยู่ในธรรมเห็นปานนี้ให้ตายลง ชื่อว่าฆ่าพวกเราให้ตายถึง 5
ชีวิต คือ มารดาบิดาของเรา ตัวเรา และน้องสาวของเราทีเดียว แต่เมื่อท่าน
ให้ชีวิตแก่พี่ชายของเรา เป็นอันได้ชื่อว่าให้ชีวิตแก่พวกเราแม้ทั้ง 5 แล้ว
กล่าวคาถาความว่า
ข้าแต่นายพราน มารดาบิดาของเราเหล่านั้น
ตาบอด หาผู้ปรนนิบัตินำทางไม่ได้ คงจักต้องตาย
แน่แท้ โปรดให้ชีวิตแก่พวกเราทั้ง 5 เถิด โปรดปล่อย
พี่ชายเสียเถิด.

นายพรานได้ฟังธรรมกถาของจิตตมฤคแล้ว มีจิตเลื่อมใสแล้วกล่าวว่า
ท่านอย่ากลัวเลย แล้วกล่าวคาถาเป็นลำดับไปว่า
ข้าพเจ้าจะปล่อยเนื้อผู้เลี้ยงมารดาบิดาแน่นอน
มารดาบิดาได้เห็นพญาเนื้อหลุดจากบ่วงแล้ว จงยินดี
เถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โว เป็นเพียงนิบาต. บทว่า ทิสฺวา
ความว่า เห็นพญาเนื้อหลุดแล้วจากบ่วง.
ก็แลนายพรานครั้นกล่าวอย่างนี้แล้วจึงคิดว่า ยศที่พระราชาพระ-
ราชทานแล้ว จักช่วยอะไรเราได้ ถ้าหากเราจักฆ่าพญาเนื้อนี้เสีย แผ่นดินนี้
จักแยกออกให้ช่องแก่เรา หรือสายอสนีบาตจักฟาดลงบนกระหม่อมของเรา
เราจักปล่อยพญาเนื้อนั้น. เขาจึงเข้าไปหาพระมหาสัตว์เจ้า แล้วกล่าวว่า
ข้าพเจ้าจักโยกหลักบ่วงให้ล้มลง แล้วตัดเชือกหนังออกดังนี้แล้ว ประคอง

พญาเนื้อให้นอนลงที่ชายน้ำ ค่อย ๆ แก้บ่วงออกด้วยมุทิตาจิต ทำเส้นเอ็น
ให้ประสานกับเส้นเอ็น เนื้อให้ประสานกับเนื้อ หนังให้ประสานกับหนัง แล้ว
เอาน้ำล้างเลือด ลูบคลำไปมาด้วยมุทิตาจิต. ด้วยอานุภาพแห่งเมตตาจิตของ
นายพราน และด้วยอานุภาพแห่งบารมีที่พระมหาสัตว์ได้บำเพ็ญมา เอ็น หนัง
และเนื้อทั้งหมด ก็สมานติดสนิทดังเดิม. เท้าก็ได้มีหนังและขนปกปิดสนิทดี
ในอวัยวะที่มีแผลเก่าไม่ปรากฏว่า มีแผลติดอยู่เลย. พระมหาสัตว์ถึงความสบาย
ปลอดภัยลุกขึ้นยืนแล้ว จิตตมฤคเห็นดังนั้นแล้ว เกิดความโสมนัสเมื่อจะทำ
อนุโมทนาต่อนายพราน จึงกล่าวคาถาความว่า
ข้าแต่นายพราน ท่านจงยินดีเพลิดเพลินกับ
พวกญาติทั้งปวง เหมือนข้าพเจ้าเห็นพญาเนื้อที่หลุด
จากบ่วงแล้ว ชื่นชมยินดีในวันนี้ ฉะนั้น.

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เจ้าคิดว่า นายพรานนี้เมื่อจะจับเรา จับโดย
งานอาชีพของตน หรือว่าจับโดยการบังคับของผู้อื่น จึงถามเหตุที่จับ. บุตร
นายพรานตอบว่า ดูก่อนพญาเนื้อ ข้าพเจ้าจะมีกิจกรรมเกี่ยวกับท่านก็หามิได้
แต่พระอัครมเหสีของพระราชา ซึ่งมีพระนามว่า พระนางเขมาราชเทวี มี
พระประสงค์จะฟังธรรมกถาของท่าน ท่านจึงถูกข้าพเจ้าจับโดยพระราชโองการ
เพื่อประโยชน์แก่พระเทวีนั้น. พระมหาสัตว์กล่าวว่า สหายเอ๋ย เมื่อเป็นเช่นนั้น
ท่านปล่อยเราเสีย ชื่อว่าทำสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง มาเถิด จงนำเราไปแสดงแก่
บรมกษัตริย์เถิด เราจักแสดงธรรมถวายพระนางเทวี. นายพรานกล่าวว่า
ดูก่อนพญาเนื้อ ธรรมดาพระราชาทั้งหลายมีพระเดชานุภาพร้ายกาจ ใครจักรู้
ว่า จักมีอะไรเกิดขึ้น ข้าพเจ้าไม่ยินดียศศักดิ์ที่ทรงพระราชทานดอก เชิญ
ท่านไปตามสบายของท่านเถิด. พระมหาสัตว์คิดว่า พรานนี้เมื่อปล่อยเราไป

ชื่อว่าทำกิจที่ทำได้ยากอย่างยิ่ง เราจักทำอุบายให้พรานนั้นได้รับยศศักดิ์ แล้ว
จึงกล่าวว่า ดูก่อนสหาย ท่านจงเอามือลูบหลังเราก่อนเถิด. นายพรานจึงเอา
มือลูบหลังพญาเนื้อ มือของเขาก็เต็มไปด้วยขนมีสีเหมือนทองคำ. เขาจึงถามว่า
ดูก่อนพญาเนื้อ ข้าพเจ้าจักทำอย่างไรกับขนเหล่านี้ พญาเนื้อจึงบอกว่า
ดูก่อนสหาย ท่านจงเอาขนเหล่านั้นไปถวายแด่พระราชา และพระราชเทวี ทูลว่า
นี้เป็นขนของสุวรรณมฤคนั้น ดังนี้ ตั้งอยู่ในฐานะตัวแทนของเรา แสดง
ธรรมถวายพระบรมราชเทวี ด้วยคาถาเหล่านี้ การแพ้พระครรภ์ของพระนาง
ก็จักสงบ เพราะทรงสดับธรรมกถานั้นแล ดังนี้แล้ว ให้นายพรานเรียน
ราชธรรมคาถา 10 คาถา มีอาทิว่า ธมฺมญฺจร มหาราช ซึ่งแปลว่า ข้าแต่
มหาราชเจ้า พระราชาพึงประพฤติธรรมดังนี้แล้วให้เบญจศีล กล่าวสอนด้วย
ความไม่ประมาทแล้วส่งไป.
บุตรของนายพราน ยกย่องพระมหาสัตว์ไว้ในตำแหน่งอาจารย์ กระทำ
ประทักษิณสามครั้ง แล้วไหว้ในฐานะสี่ เอาใบบัวห่อขนทองทั้งหลายแล้วลา
หลีกไป. เนื้อทั้งสามตามไปส่งนายพรานหน่อยหนึ่ง แล้วเอาปากคาบอาหาร
และน้ำ พากันกลับไปยังสำนักของมารดาบิดา. มารดาบิดาทั้งสองเมื่อจะถามว่า
โรหนะลูกรัก ได้ยินว่า เจ้าติดบ่วง แล้วพ้นมาได้อย่างไร จึงกล่าวคาถา
ความว่า
ลูกรัก เมื่อชีวิตเข้าไปใกล้ความตายแล้ว เจ้า
หลุดมาได้อย่างไร ไฉนนายพรานจึงปล่อยจากบ่วง
เหล็กมาเล่า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปนีตสฺมิ ความว่า เมื่อชีวิตสถิตอยู่
เฉพาะหน้ามฤตยู เจ้ารอดตายมาได้อย่างไร.

พระโพธิสัตว์ฟังคำนั้นแล้ว กล่าวคาถา 3 คาถา ความว่า
น้องจิตตกะกล่าววาจาไพเราะหู เป็นที่จับใจ
ดื่มด่ำในหฤทัย ช่วยให้ข้าพเจ้าหลุดมาได้ ด้วยวาจา
สุภาษิต น้องสุตตนาได้กล่าววาจาไพเราะหู จับใจ
ดื่มด่ำในหฤทัย ช่วยข้าพเจ้าให้หลุดมาได้ด้วยวาจา
สุภาษิต นายพรานได้ฟังวาจาไพเราะหู เป็นที่จับใจ
ดื่มด่ำในหฤทัย แล้วปล่อยข้าพเจ้า เพราะฟังวาจา
สุภาษิตของน้องทั้งสองนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภณํ แปลว่า กล่าวอยู่. บทว่า หทยงฺคํ
แปลว่า ดื่มด่ำในหฤทัย. บทว่า ภณํ ในคาถาที่ 2 เท่ากับ ภณมานา แปลว่า
เมื่อน้องนางสุตตนากล่าวอยู่. บทว่า สุตฺวา ความว่า นายพรานนั้นฟังวาจา
ของเนื้อทั้งสองเหล่านั้นแล้ว.
ลำดับนั้น เมื่อมารดาบิดาพระโพธิสัตว์จะอนุโมทนา จึงกล่าวว่า
ก็เราทั้งหลายเห็นลูกโรหนะมาแล้ว พากันชื่นชม
ยินดี ฉันใด ขอนายพรานพร้อมด้วยลูกเมีย จงชื่นชม
ยินดี ฉันนั้นเถิด.

ฝ่ายนายพรานออกจากป่าแล้วไปสู่ราชตระกูล ถวายบังคมพระราชา
แล้วยืน ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง. พระราชาเห็นเขาแล้วตรัสพระคาถาว่า
แน่ะนายพราน เจ้าได้บอกไว้ว่า จะนำเนื้อหรือ
หนังเนื้อมามิใช่หรือ เออก็เหตุอะไรเล่า เจ้าจึงไม่นำ
เอาเนื้อหรือหนังเนื้อมา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มิคจมฺมานิ ได้แก่ เนื้อหรือหนัง. บทว่า
อาหรึ แปลว่า จักนำมา. ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ว่า ดูก่อนพ่อพรานผู้เจริญ

เจ้าได้กล่าวไว้อย่างนี้มิใช่หรือว่า เมื่อไม่สามารถจะนำเนื้อมา ก็จะนำหนังมา
หรือเมื่อไม่สามารถจะนำหนังมา ก็จักนำขนมา ด้วยเหตุไร เจ้าจึงมิได้นำเนื้อ
หรือหนังของมันมาเลย.
นายพรานได้ฟังพระดำรัสแล้วกล่าวคาถา ความว่า
เนื้อนั้นได้มาติดบ่วงเหล็กถึงมือแล้ว แต่มีเนื้อ
สองตัวไม่ได้ติดบ่วง มายืนอยู่ใกล้เนื้อตัวนั้น ข้า-
พระองค์ได้เกิดความสังเวชใจ ความอัศจรรย์ใจ
ขนพองสยองเกล้าว่า ถ้าเราฆ่าเนื้อตัวนี้ เราจักต้อง
ละทิ้งชีวิต ในสถานที่นี้แหละในวันนี้ทีเดียว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาคมํ ความว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ก็
เนื้อนั้นมาสู่เงื้อมมือ ทั้งมาสู่บ่วงที่ข้าพระพุทธเจ้าดักไว้ด้วย ได้ติดอยู่ในบ่วง
นั้น. บทว่า ตญฺจ มุตฺตา อุปาสเร ความว่า แต่ว่าเนื้อสองตัวพ้นบ่วง
ไปแล้ว คือไม่ได้เข้ามาติดบ่วงเลย ได้เข้ามายืนพิงเนื้อนั้นปลอบใจอยู่. บทว่า
อพฺภูโต แปลว่า ไม่เคยเป็นมาก่อนเลย. บทว่า อิมญฺจาหํ ตัดบทเป็น
อิมํ อหํ แปลว่า ก็ข้าพระองค์นั้น. อธิบายว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าพระองค์
ผู้มีความสังเวชสลดใจ ได้มีความปริวิตกนี้ว่า ถ้าเราจักฆ่าเนื้อนี้เสีย เราจัก
ต้องละทิ้งชีวิตในสถานที่นี้แหละในวันนี้ทีเดียว.
พระราชาสดับคำนั้นแล้ว ตรัสว่า
ดูก่อนนายพราน เนื้อนั้นเป็นเช่นไร เป็นเนื้อ
มีกรรมอย่างไร มีสีสรรอย่างไร มีศีลอย่างไร ท่าน
จึงได้สรรเสริญเนื้อเหล่านั้นนัก.

พระราชาตรัสถามเช่นนี้บ่อย ๆ ด้วยสามารถทรงพิศวงพระทัย.

นายพรานได้ฟังพระดำรัสนั้นแล้ว กล่าวคาถาความว่า
เนื้อเหล่านั้นมีเขาขาว ขนสะอาด หนังเปรียบ
ด้วยทองคำ เท้าแดง ตาสุกสะกาว เป็นที่น่ารื่นรมย์ใจ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โอทาตสิงฺคา ความว่า เนื้อเหล่านั้น
มีเขาเช่นเดียวกับพวงเงิน. บทว่า สุจิพาลา ความว่า ประกอบด้วยขนอ่อน
สะอาดเช่นกับขนจามรี. บทว่า โลหิตกา ความว่า เช่นเดียวกับปลาโลมา
และปลาวาฬแดง. บทว่า ปาทา ได้แก่ ปลายกีบเท้า. บทว่า อญฺชิตกฺขา
ความว่า ประกอบด้วยนัยน์ตามีประสาททั้ง 5 หมดจด เหมือนไล้ทาไว้.
เมื่อนายพรานกราบทูลอยู่อย่างนี้แล ได้วางโลมชาติทั้งหลายมีสี
เหมือนทองของพระโพธิสัตว์ ไว้ในพระหัตถ์ของพระราชา เมื่อจะประกาศสีกาย
แห่งเนื้อเหล่านั้น จึงกล่าวคาถา ความว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ เนื้อเหล่านั้นเป็น
เช่นนี้ เป็นเนื้อมีธรรมเช่นนี้ เป็นเนื้อเลี้ยงมารดาบิดา
ข้าพระพุทธเจ้า จึงมิได้นำเนื้อเหล่านั้นมาถวาย
พระองค์ พระเจ้าข้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มาตาเปติภรา ความว่า เนื้อเหล่านั้น
ช่วยกันเลี้ยงมารดาบิดาแก่ชราตาบอด จึงชื่อว่าตั้งอยู่ในธรรมเช่นนี้. บทว่า
น เต โส อภิหารยุํ ความว่า พญาเนื้อนั้น ใคร ๆ ไม่อาจจะนำมาเพื่อ
เป็นเครื่องบรรณาการแก่พระองค์ได้. ปาฐะว่า อภิหารยึ ดังนี้ก็มี. ความก็ว่า
ข้าพระพุทธเจ้าหาได้นำพญาเนื้อนั้นมาถวาย เพื่อเป็นบรรณาการแก่พระองค์
ไม่ คือมิได้นำมาเลย.
นายพรานกล่าวพรรณนาคุณความดี ของพระโพธิสัตว์จิตตมฤค
และนางมฤคีโปติกาชื่อสุตตนา ด้วยประการฉะนี้แล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่

มหาราชเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าอันพญาเนื้อนั้นให้ขนของตนมาแล้ว ให้ศึกษา
บทธรรมสั่งบังคับว่า ท่านพึงตั้งอยู่ในฐานะเป็นตัวแทนของเรา แสดงธรรม
ถวายพระราชเทวี ด้วยคาถาราชธรรมจรรยา 10 ประการเถิด.
พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้ว ตรัสสั่งให้นายพรานนั่งเหนือราชบัลลังก์
อันขจิตด้วยรัตนะ 7 ประการ พระองค์เองกับพระบรมราชเทวี ประทับนั่ง
บนพระราชอาสน์ที่ต่ำ ณ ที่อันควรส่วนข้างหนึ่ง ทรงประคองอัญชลี เชื้อ
เชิญนายพราน.
เมื่อนายพรานนั้นจะแสดงธรรมถวาย จึงทูลว่า
ข้าแต่บรมขัตติยมหารา ขอพระองค์จงทรง
ประพฤติให้เป็นธรรม ในพระราชมารดาบิดา ข้าแต่
องค์ราชันย์ พระองค์ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว
จักได้ไปสู่สวรรค์.

ข้าแต่บรมขัตติยมหาราช ขอพระองค์จงทรง
ประพฤติให้เป็นธรรม ในพระราชบุตร และพระราช
ชายาทั้งหลาย ข้าแต่องค์ราชันย์ พระองค์ประพฤติ
ธรรมในโลกนี้แล้ว จักได้ไปสู่สวรรค์.

ข้าแต่บรมขัตติยมหาราช ขอพระองค์จงทรง
ประพฤติให้เป็นธรรม ในมิตรและอำมาตย์ทั้งหลาย
ข้าแต่องค์ราชันย์ พระองค์ประพฤติธรรมในโลกนี้
แล้ว จักได้ไปสู่สวรรค์.

ข้าแต่บรมขัตติยมหาราช ขอพระองค์จงทรง
ประพฤติให้เป็นธรรมในพาหนะ และพลทั้งหลาย

ข้าแต่องค์ราชันย์ พระองค์ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้
แล้ว จักได้ไปสู่สวรรค์.

ข้าแต่มหาราชเจ้า ขอพระองค์จงทรงประพฤติ
ให้เป็นธรรมในบ้านและนิคมทั้งหลาย ข้าแต่องค์
ราชันย์ พระองค์ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว
จักได้ไปสู่สวรรค์.

ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ขอพระองค์จงทรงประ-
พฤติธรรม ในแว่นแคว้นและชนบททั้งหลาย ข้าแต่
องค์ราชันย์ พระองค์ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว
จักได้ไปสู่สวรรค์.

ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ขอพระองค์จงทรง
ประพฤติให้เป็นธรรม ในสมณะและพราหมณ์ทั้งหลาย
ข้าแต่องค์ราชันย์ พระองค์ทรงประพฤติธรรมในโลก
นี้แล้ว จักได้ไปสู่สวรรค์.

ข้าแต่มหาราชเจ้า ขอพระองค์จงทรงประพฤติ
ให้เป็นธรรม ในหมู่มฤคและปักษีทั้งหลาย ข้าแต่องค์
ราชันย์ พระองค์ทรงประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว จัก
ได้ไปสู่สวรรค์.

ข้าแต่มหาราชเจ้า ขอพระองค์จงทรงประพฤติ
ธรรม เพราะธรรมอันบุคคลประพฤติดีแล้ว ย่อมนำ
สุขมาให้ ข้าแต่องค์ราชันย์ พระองค์ทรงประพฤติ
ธรรมในโลกนี้แล้ว จักได้ไปสู่สวรรค์.

ข้าแต่มหาราชเจ้า ขอพระองค์จงทรงประพฤติ
ธรรม พระอินทร์ เทพยเจ้าทั้งหลายพร้อมทั้งพระ-
พรหม ได้เสวยทิพยสมบัติ เพราะธรรมอันประพฤติ
ดีแล้ว ข้าแต่องค์ราชันย์ ขอพระองค์อย่าได้ทรง
ประมาทธรรม ธรรมเหล่านั้นเป็นวัตตบทในทศราช
ธรรมนั่นเอง ข้อนี้แล เป็นอนุสาสนีที่พร่ำสอนกันมา
กัลยาณชนมาซ่องเสพผู้มีปัญญา พระองค์ทรงประพฤติ
อย่างนี้แล้ว จะได้ไปสู่ไตรทิพยสถาน ด้วยประการ
ฉะนี้.

บุตรนายพรานแสดงธรรมด้วยพุทธลีลา โดยนิยามอันพระมหาสัตว์
ทรงแสดงแล้วนั่นเอง เหมือนเทวดาผู้วิเศษยังแม่น้ำในอากาศ ให้ตกลงมา
ฉะนั้น ด้วยประการฉะนี้. มหาชนยังสาธุการให้เป็นไปนับเป็นพัน ความแพ้
พระครรภ์ของพระบรมราชเทวีก็ระงับไป เพราะทรงสดับธรรมกถานั่นเอง.
พระราชาทรงดีพระทัย เมื่อจะทรงปูนบำเหน็จชุบเลี้ยงบุตรนายพราน ด้วย
ยศใหญ่ ได้ตรัสพระคาถา 3 คาถาความว่า
ดูก่อนนายพราน เราให้ทองคำ 100 แท่ง
กุณฑลแก้วมณีอันมีค่ามาก เตียงสี่เหลี่ยมมีสีคล้าย
ดอกสามหาว และภรรยาผู้ทัดเทียมกันสองคน กับ
โค 100 ตัวแก่ท่าน เราจักปกครองราชสมบัติโดยธรรม
ท่านเป็นผู้มีอุปการะแก่เรามา ดูก่อนนายพราน ท่าน
จงเลี้ยงดูบุตรและภรรยาด้วยกสิกรรม พาณิชยกรรม
การให้กู้หนี้ และด้วยการประพฤติเลี้ยงชีพโดยสัมมา
อาชีวะเถิด อย่าได้กระทำบาปอีกเลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ถูลํ ความว่า เราจักให้เครื่องประดับ
คือมณีและแก้วกุณฑลมีค่ามาก แก่ท่าน. บทว่า จตุรสฺสํ ได้แก่ บัลลังก์สูง
สี่เหลี่ยม อธิบายว่า มีด้านศีรษะสูงสี่เหลี่ยม. บทว่า อุมฺมารปุปฺผ สิรินฺนิภํ
ได้แก่ บัลลังก์ที่สำเร็จด้วยไม้แก่นสีดำ ประกอบด้วยโอภาส มีรัศมีเช่นเดียว
กับดอกสามหาว เพราะลาดด้วยเครื่องลาดสีเขียว. บทว่า สาทิสิโย ความว่า
ทัดเทียมกันด้วยรูปสมบัติ และโภคสมบัติ. บทว่า อุสภญฺจ ควํ สตํ ความว่า
และเราจะให้โคฝูงร้อยตัว มีโคผู้เป็นหัวหน้าแก่ท่าน.
บทว่า กาเรสฺสํ ความว่า เราจะไม่ยังทศพิธราชธรรมให้กำเริบ
จักเสวยราชสมบัติโดยธรรมเท่านั้น. บทว่า พหุกาโร เมสิ ความว่า
แม้ท่านก็ชื่อว่าเป็นผู้มีอุปการะแก่เรามากเพราะเป็นผู้ตั้งอยู่ในฐานะเป็นตัวแทน
แห่งพญาเนื้อตัวมีสีเหมือนทอง แล้วแสดงธรรมแก่เรา เราเป็นผู้อันท่านให้
ประดิษฐานอยู่ในเบญจศีล โดยนิยามดังพญาเนื้อกล่าวแล้วนั่นแล.
บทว่า กสิวณิชฺชา ความว่า ดูก่อนนายพรานผู้สหาย เรามิได้เห็น
พญาเนื้อ ฟังแต่ถ้อยคำของพญาเนื้อเท่านั้น ยังตั้งอยู่ในเบญจศีลได้ แม้ท่าน
ก็จงเป็นคนมีศีลตั้งแต่บัดนี้ไป จงกระทำกสิกรรม และพาณิชยกรรม และ
อิณทานกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง. บทว่า อุญฺฉาจริยา ความว่า อันเป็นหลัก
ของการครองชีพ อธิบายว่า ท่านจงเลี้ยงดูบุตรภรรยาของท่าน ด้วยกสิกรรม
และพาณิชยกรรมเป็นต้นนี้ อันเป็นสัมมาอาชีวะเถิด อย่าได้กระทำบาปอีกเลย.
นายพรานฟังพระดำรัสของพระราชาแล้ว กราบทูลว่าข้าพระพุทธเจ้า
ไม่มีความประสงค์จะอยู่ครอบครองเรือน ขอพระองค์โปรดทรงอนุญาตการ
บรรพชา แก่ข้าพระพุทธเจ้าด้วยเถิด ครั้นได้พระบรมราชานุญาตแล้ว ก็มอบ

ทรัพย์สมบัติที่พระราชาทรงพระราชทานแก่ตน แก่บุตรภรรยา แล้วเข้าไปสู่
หิมวันตประเทศ บวชเป็นฤาษี ยังสมาบัติ 8 ให้บังเกิด เป็นผู้มีพรหมโลก
เป็นที่ไปในเบื้องหน้า. ฝ่ายพระราชาทรงดำรงอยู่ในโอวาทของพระมหาสัตว์เจ้า
แล้วทรงบำเพ็ญทางแห่งสวรรค์ให้เต็มบริบูรณ์ โอวาทของพระมหาสัตว์นั้น
ก็ดำเนินติดต่อมาเป็นเวลาพันปี.
พระบรมศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้วตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ในชาติก่อน พระอานนท์ก็ได้สละชีวิต เพื่อประโยชน์
แก่เรา ด้วยประการอย่างนี้เหมือนกัน แล้วทรงประชุมชาดกว่า นายพราน
ในครั้งนั้นได้มาเป็นพระฉันนะในบัดนี้ พระราชาได้มาเป็นพระสารีบุตร
พระเทวี
ได้มาเป็นเขมาภิกษุณี มารดาบิดาได้มาเป็นตระกูลมหาราช
สุตตนามฤคีได้มาเป็นอุบลวรรณาเถรี จิตตมฤคได้มาเป็นพระอานนท์
เนื้อแปดหมื่นได้มาเป็นหมู่สากิยราช ส่วนพญาเนื้อได้มาเป็นเราตถาคตแล.
จบอรรถกถาโรหนมิคชาดก

6. หังสชาดก



ว่าด้วยหงส์สุมุขะผู้ภักดี



[2124] ฝูงหงส์เหล่านั้น มีผิวกายอร่าม งาม
เรืองรองดังทองคำ ถูกภัยคุกคามแล้ว มีตัวงอบินหนี
ไป ดูก่อนสุมุขะ ท่านจงหลบหลีกไปตามใจปรารถนา
เถิด.

หมู่ญาติทั้งหลายละทิ้งเราผู้ติดบ่วงไว้ผู้เดียว ไม่
ห่วงใย พากันบินหนีไป ท่านผู้เดียว จะมัวห่วงอยู่
ทำไม.

ดูก่อนสุมุขะผู้ประเสริฐ จะมัวพะวงอยู่ทำไม
ท่านควรบินหนีเอาตัวรอด เพราะความเป็นสหายใน
เราผู้ติดบ่วงไม่มี ท่านหลบหลีกไปเสียเถิด อย่ายังความ
เพียรให้เสื่อมเสีย เพราะความไม่มีทุกข์เลย จงรีบบิน
หนีไปตามใจปรารถนาเถิด.

[2125] ข้าแต่ท้าวธตรฐมหาราช ถึงพระองค์
จะถูกทุกข์ภัยครอบงำ ข้าพระพุทธเจ้าก็จักไม่ละทิ้ง
พระองค์ไป จักเป็นหรือตายข้าพระพุทธเจ้าก็จักอยู่
ร่วมกับพระองค์.

[2126] ดูก่อนสุมุขเสนาบดี ท่านกล่าวคำใด
คำนั้น เป็นคำดีงามของพระอริยเจ้า อนึ่ง เราเมื่อจะ
ทดลองท่านดู จึงพูดว่าจงหลบไปเสีย.