เมนู

อรรถกถาวีสตินิบาต



อรรถกถามาตังคชาดก



พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภ
อุเทนราชวงศ์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้มีคำเริ่มต้นว่า กุโต นุ อาคจฺฉสิ
ทุมฺมวาสี
ดังนี้.
ความพิสดารว่า ในกาลครั้งนั้น ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ
เหาะมาจากพระเชตวันมหาวิหารทางอากาศ ไปสู่พระราชอุทยานของพระเจ้า
อุเทน ในเมืองโกสัมพี เพื่อพักผ่อนในเวลากลางวันโดยมาก. ได้ยินว่า
ในภพก่อน ๆ พระเถรเจ้าเคยเสวยราชย์ ครอบครองสมบัติมีบริวารเป็นอันมาก
ในพระราชอุทยานนั้นตลอดกาลนาน. ด้วยบุรพจรรยาที่ได้เคยสั่งสมมา พระ-
เถระจึงมักไปนั่งพักผ่อนกลางวันในพระราชอุทยานนั้นเสมอมา ในกาลเวลา
ล่วงไป ด้วยสุขอันเกิดแต่ผลสมาบัติโดยมาก วันหนึ่ง เมื่อพระเถระไปนั่งพักผ่อน
อยู่ที่โคนต้นรังอันมีดอกบานสะพรั่งดี ในพระราชอุทยานนั้น พระเจ้าอุเทน
ทรงพระดำริว่า เราจักดื่มน้ำจัณฑ์ฉลองใหญ่ แล้วเล่นอุยยานกีฬา ตลอด
7 วัน แล้วจึงเสด็จไปยังพระราชอุทยาน พร้อมด้วยราชบริพารเป็นอันมาก
ทรงซบพระเศียรลงบนตักของนางสนมคนหนึ่ง บนแท่นมงคลศิลาอาสน์ แล้ว
ทรงนิทราหลับสนิท เพราะความเมามายในการเสวยน้ำจัณฑ์ เหล่านางสนม
ที่นั่งขับกล่อม ต่างวางเครื่องดุริยางคดนตรีไว้แล้ว เข้าไปสู่พระราชอุทยาน
กำลังเลือกเก็บดอกไม้ และผลไม้เป็นต้นอยู่ เห็นพระเถระแล้ว พากันไป
กราบไหว้แล้วนั่งอยู่. พระเถระจึงนั่งแสดงธรรมกถาแก่หญิงเหล่านั้น. ฝ่าย

นางสนม ที่นั่งให้พระเจ้าอุเทนหนุนตัก จึงสั่นพระเพลาให้กระเทือน เตือน
พระราชาให้ตื่นบรรทม เมื่อพระองค์ตรัสถามว่า หญิงถ่อยเหล่านั้นไปไหน
กันหมด ? จึงกราบทูลว่า หญิงเหล่านั้นไปนั่งล้อมสมณะรูปหนึ่งอยู่. ท้าวเธอ
สดับดังนั้น ก็ทรงพระพิโรธ เสด็จไปด่า บริภาษพระเถระ แล้วตรัสว่า เอาเถิด
เราจักให้มดแดงรุมต่อยสมณะรูปนี้ แล้วตรัสสั่งให้เอารังมดแดง มาแกล้งทำ
ให้กระจายลงที่ร่างกายพระเถระ ด้วยอำนาจแห่งความพิโรธ. พระเถระเหาะขึ้น
ไปยืนในอากาศ ให้โอวาทพระราชา แล้วเหาะลอยไปลงตรงประตูพระคันธกุฏี
ที่พระเขตวันนั่นเอง เมื่อพระตถาคตเจ้าตรัสถามว่า เธอมาจากไหนจึงกราบทูล
เนื้อความนั้นให้ทรงทราบ. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภารทวาชะ พระเจ้า
อุเทนเบียดเบียนบรรพชิตทั้งหลาย แต่ในชาตินี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในชาติก่อน
ก็เบียดเบียนมาแล้วเหมือนกัน พระปิณโฑลภารทวาชะทูลอาราธนา จึงทรงนำ
อดีตนิทานมาแสดงดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาลเมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ ณ พระนคร-
พาราณสี พระมหาสัตว์
บังเกิดในกำเนิดตระกูลคนจัณฑาลภายนอก
พระนคร. มารดาบิดาขนานนามเขาว่า มาตังคมาณพ. ในเวลาต่อมา
มาตังคมาณพ เจริญวัยแล้ว ได้มีนามปรากฏว่ามาตังคบัณฑิต. ในกาลนั้น
ธิดาเศรษฐีในเมืองพาราณสี ชื่อ ทิฏฐมังคลิกา เมื่อถึงวาระเดือนหนึ่ง หรือ
กึ่งเดือน ก็พร้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก จะไปยังอุทยานเพื่อเล่นสนุกสนาน
กัน. อยู่มาวันหนึ่ง พระมหาสัตว์มาตังคบัณฑิต เดินทางเข้าไปยังพระนคร
ด้วยกิจธุระบางประการ ได้เห็นนางทิฎฐมังคลิกา ระหว่างประตู จึงหลบไป
ยืนแอบอยู่ ณ เอกเทศหนึ่ง. นางทิฏฐมังคลิกา มองดูตามช่องม่าน เห็น
พระโพธิสัตว์จึงถามว่า นั่นเป็นใคร ? เมื่อบริวารชนตอบว่า ข้าแต่แม่เจ้า

ผู้นั้นเป็นคนจัณฑาล จึงคิดว่า เราเห็นคนที่ไม่สมควรจะเห็นแล้วหนอ ดังนี้
แล้ว จึงล้างตาด้วยน้ำหอม กลับแค่นั้น. ส่วนมหาชนที่ออกไปกับธิดาของ
ท่านเศรษฐี บริภาษว่า เฮ้ยไอ้คนจัณฑาลชาติชั่ว เพราะอาศัยเจ้าแท้ ๆ วันนี้
พวกเราจึงไม่ได้ลิ้มสุราและกับแกล้มที่ไม่ต้องซื้อหา อันความโกรธครอบงำ
แล้ว จึงรุมซ้อมมาตังคบัณฑิต ด้วยมือและเท้า จนถึงสลบแล้วหลีกไป.
มาตังคบัณฑิตสลบไปชั่วครู่ กลับฟื้นขึ้นรู้ตัว คิดว่า บริวารชนของนาง
ทิฏฐมังคลิกา โบยตีเราผู้ไม่มีความผิด โดยหาเหตุมิได้ เราได้นางทิฏฐมังคลิกา
เป็นภรรยาแล้วนั่นแหละ. จึงจะยอมลุกขึ้น ถ้าไม่ได้จักไม่ยอมลุกขึ้นเลย
ครั้นตั้งใจดังนี้แล้ว จึงเดินไปนอนที่ประตูเรือนบิดาของนางทิฏฐมังคลิกานั้น.
เมื่อเศรษฐีผู้บิดาของนางทิฎฐมังคลิกา มาถามว่า เพราะเหตุไร เจ้าจึงมานอน
ที่นี่ ? มาตังคบัณฑิตจึงตอบว่า เหตุอย่างอื่นไม่มี แต่ข้าพเจ้าต้องการนาง
ทิฏฐมังคลิกาเป็นภรรยา. ล่วงมาได้วันหนึ่ง เศรษฐีนั้นก็มาถามอีก พระ-
โพธิสัตว์ก็ตอบยืนยันอยู่อย่างนั้น จนล่วงมาถึงวันที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และ
ที่ 6 พระโพธิสัตว์ก็ยังคงนอนและตอบยืนยันอย่างนั้น. ธรรมดาว่าการ
อธิษฐานของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายย่อมสำเร็จ เพราะเหตุนั้น เมื่อครบ 7 วัน
คนทั้งหลายมีท่านเศรษฐีเป็นต้น จึงนำนางทิฏฐมังคลิกามามอบให้มาตังค-
บัณฑิต. ลำดับนั้น นางทิฏฐมังคลิกา กล่าวกะมาตังคบัณฑิตว่า ข้าแต่ท่าน
ผู้เป็นสามี เชิญท่านลุกขึ้นเถิด เราจะไปเรือนของท่าน. มาตังคบัณฑิตจึง
กล่าวว่า นางผู้เจริญ เราถูกบริวารชนของเจ้าโบยตีเสียยับเยิน จนทุพลภาพ
เจ้าจงยกเราขึ้นหลังแล้วพาไปเถิด. นางก็ทำตามสั่ง เมื่อชาวพระนครกำลัง
มองดูอยู่นั่นแล ก็พามาตังคบัณฑิตออกจากพระนครไปสู่จัณฑาลคาม.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ มิได้ล่วงเกินนางให้ผิดประเพณีแห่งเผ่าพันธุ์
วรรณะ ให้นางพักอยู่ในเรือนสอง-สามวัน แล้วคิดว่า เมื่อตัวเราจักกระทำให้

นางถึงความเป็นผู้เลิศด้วยลาภยศ จำต้องบวชเสียก่อน จึงจักสามารถกระทำได้
นอกจากนี้แล้วไม่มีทาง. ลำดับนั้น พระมหาสัตว์จึงเรียกนางมากล่าวว่า
ดูก่อนนางผู้เจริญ เมื่อเรายังไม่ได้นำอะไร ๆ ออกมาจากป่า การครองชีพ
ของเราทั้งสองย่อมเป็นไปไม่ได้ เจ้าอย่ากระสันวุ่นวายไปจนกว่าเราจะกลับมา
เราจักเข้าไปสู่ป่าดังนี้แล้ว กล่าวเตือนบริวารว่า แม้พวกเจ้าผู้อยู่เฝ้าเรือน
ก็อย่าละเลย ช่วยดูนางผู้เป็นภรรยาของเราด้วย ดังนี้ แล้วก็เข้าไปสู่ป่าบรรพชา
เพศเป็นสมณะ มิได้ประมาทมัวเมา บำเพ็ญสมาบัติ 8 และอภิญญา 5 ให้
เกิดขึ้นในวันที่ 7 คิดว่า บัดนี้เราจักสามารถเป็นที่พึ่ง แก่นางทิฏฐมังคลิกาได้
จึงเหาะมาด้วยฤทธิ์ไปลงตรงประตูจัณฑาลคาม แล้วได้เดินไปสู่ประตูเรือนของ
นางทิฏฐมังคลิกา. นางได้ยินข่าวการมาของมาตังคบัณฑิตแล้วจึงออกจากเรือน
แล้วร้องไห้คร่ำครวญว่า ข้าแต่ท่านผู้เป็นสามี เหตุไฉนท่านจึงไปบวช ทิ้ง
ฉันไว้ไร้ที่พึ่งเล่า. ลำดับนั้น มาตังคดาบสจึงปลอบโยนนางว่า ดูก่อนน้องนาง
ผู้เจริญ เจ้าอย่าเสียใจไปเลย คราวนี้เราจักกระทำให้เจ้ามียศใหญ่ยิ่งกว่ายศที่
มีอยู่เก่าของเจ้า ก็แต่ว่า เจ้าจักสามารถประกาศแม้ข้อความเพียงเท่านี้ ใน
ท่ามกลางบริษัทได้ไหมว่า มาตังคบัณฑิตไม่ใช่สามีของเรา ท้าวมหาพรหม
เป็นสามีของเรา ดังนี้. นางรับคำว่า ข้าแต่ท่านผู้เป็นสามี ดิฉันสามารถ
ประกาศได้. มาตังคดาบสจึงกล่าวว่า คราวนี้ถ้ามีผู้ถามว่า สามีของเธอไปไหน?
ก็จงตอบว่า ไปพรหมโลก เมื่อเขาถามว่าเมื่อไรจักมา จงบอกเขาว่า นับแต่
วันนี้ไปอีก 7 วัน ท้าวมหาพรหมผู้เป็นสามีของเราจักแหวกพระจันทร์มาใน
วันเพ็ญ. ครั้นมหาสัตว์เจ้ากล่าวกะนางอย่างนี้แล้ว ก็เหาะกลับไปสู่หิมวันต
ประเทศทันที ฝ่ายนางทิฏฐมังคลิกาก็เที่ยวไปยืนประกาศข้อความตามที่
พระโพธิสัตว์สั่งไว้ ในที่ทุกหนทุกแห่งท่ามกลางมหาชน ในพระนครพาราณสี.

มหาชนชาวพาราณสีพากันเชื่อว่า ท้าวมหาพรหมของเรามีอยู่จริง จะยังไม่ได้
เป็นอะไรกันกับนางทิฏฐมังคลิกา ข้อนั้นจักเป็นความจริงอย่างนี้แน่.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ ครั้นถึงวัน บุรณมีดิถีเพ็ญ 15 ค่ำ ในยามเมื่อ
พระจันทร์ตั้งอยู่ท่ามกลางทิฆัมพร ก็เนรมิตอัตภาพเป็นท้าวมหาพรหม
บันดาลแว่นแคว้นกาสิกรรัฐทั้งสิ้น ซึ่งมีอาณาเขต กว้างยาว 12 โยชน์ ให้
รุ่งโรจน์สว่างไสวเป็นอันเดียวกัน แล้วแหวกมณฑลแห่งพระจันทร์ เหาะลง
มาเวียนวนเบื้องบน พระนครพาราณสี 3 รอบ เมื่อมหาชนบูชาอยู่ ด้วยเครื่อง
สักการะ มีของหอม และระเบียบดอกไม้เป็นต้น ได้บ่ายหน้าไปหมู่บ้าน
จัณฑาลคาม. บรรดาประชาชนที่นับถือพระพรหม ก็ประชุมกัน พากันไป
ยังหมู่บ้านจัณฑาลคาม ช่วยกันเอาผ้าขาวที่บริสุทธิ์สะอาด ปิดบังเรือนของ
นางทิฏฐมังคิกา แล้วไล้ทาพ่นเรือนด้วยของหอมจตุรชาติ โปรยดอกไม้
เรี่ยรายไว้ จัดแจงปักไม้ดาดเพคานเบื้องบน แต่งตั้งที่นอนใหญ่ไว้แล้วจุดตาม
ประทีปด้วยน้ำมันหอม แล้วช่วยกันขนทรายขาวราวกับแผ่นเงินมาโปรยไว้ที่
ประตูเรือน แล้วแขวนพวงดอกไม้ ผูกธงทิวปลิวไสวงดงาม. เมื่อมหาชน
ตกแต่งบ้านเรือนอย่างนี้เสร็จแล้ว พระมหาสัตว์เจ้าจึงเลื่อนลอยลงจากนภากาศ
เข้าไปภายใน แล้วนั่งบนที่นอนหน่อยหนึ่ง. ในกาลนั้น นางทิฏฐมังคลิกา
กำลังมีระดู. ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์ เอาหัวแม่มือเบื้องขวาลูบคลำนาภีของนาง.
นางตั้งครรภ์ทันที ต่อมาพระมหาสัตว์ จึงเรียกนางมาบอกว่า น้องนางผู้เจริญ
เจ้าตั้งครรภ์แล้ว จักคลอดบุตรเป็นชาย ทั้งตัวเจ้าและบุตรจักเป็นผู้สมบูรณ์
ด้วยลาภยศอันเลิศล้ำ น้ำสำหรับล้างเท้าของเจ้าจักเป็นน้ำอภิเษก สรง ของ
พระราชาในชมพูทวีปทั้งสิ้น สำหรับน้ำอาบของเจ้า จักเป็นโอสถอมตะ ชน
เหล่าใดนำน้ำอาบของเจ้าไปรดศีรษะ ชนเหล่านั้นจักหายจากโรคทุก ๆ อย่าง

ทั้งปราศจากเสนียดจัญไร กาลกรรณี อนึ่ง ผู้คนที่วางศีรษะลงบนหลังเท้า
ของเจ้า กราบไหว้อยู่ จักให้ทรัพย์พันหนึ่ง ผู้ที่ยืนไหว้ในระยะทางที่ฟังเสียง
ได้ยิน จักให้ทรัพย์แก่เจ้าหนึ่งร้อย ผู้ทียืนไหว้ในชั่วคลองจักษุ จักให้ทรัพย์
หนึ่งกหาปณะ เจ้าจงเป็นผู้ไม่ประมาท ครั้นให้โอวาทนางแล้ว ก็ออกจากเรือน
เมื่อมหาชนกำลังมองดูอยู่นั่นเทียว ก็เหาะลอยเข้าไปสู่จันทรมณฑล.
ประชาชนที่นับถือพระพรหม ต่างยืนประชุมกันอยู่จนเวลารัตติกาล
ผ่านไป ครั้นเวลาเช้า จึงเชิญนางทิฏฐมังคลิกา ขึ้นสู่วอทอง แล้วยกขึ้นด้วย
เศียรเกล้า พาเข้าไปสู่พระนคร. มหาชนต่างพากันหลั่งไหลเข้าไปหานาง ด้วย
สำคัญว่าเป็นภรรยาของท้าวมหาพรหม แล้วบูชาด้วยเครื่องสักการะ มีของ
หอมระเบียบดอกไม้เป็นต้น. คนทั้งหลายผู้ได้ซบศีรษะ บนหลังเท้า กราบ
ไหว้ ได้ให้ถุงกหาปณะพันหนึ่ง ผู้ที่ยืนไหว้อยู่ในระยะโสตสดับเสียงได้ยิน
ให้ร้อยกหาปณะ ผู้ที่ยืนไหว้ ในชั่วระยะคลองจักษุ ให้หนึ่งกหาปณะ ประ-
ชาชนผู้พานางทิฏฐมังคลิกา เที่ยวไปในพระนครพาราณสี อันมีอาณาเขต 12
โยชน์ ได้ทรัพย์นับได้ 18 โกฏิ ด้วยอาการอย่างนี้. ลำดับนั้น ประชาชน
ทั้งหลาย ครั้นพานางทิฏฐมังคลิกา เที่ยวไปรอบพระนครแล้ว จึงนำเอาทรัพย์
นั้นมาสร้างมหามณฑปใหญ่ท่ามกลางพระนคร แวดวงด้วยม่าน ปูลาดที่นอน
ใหญ่ไว้ แล้วเชิญนางทิฏฐมังคลิกา ให้อยู่อาศัยในมณฑปนั้น ด้วยสิริโสภาค
อันใหญ่ยิ่ง แล้วเริ่มจัดการก่อสร้างปราสาท 7 ชั้น มีประตูซุ้มถึง 7 แห่ง ไว้
ณ ที่ใกล้มหามณฑปนั้น การก่อสร้างอย่างมโหฬารได้มีแล้วในครั้งนั้น. นาง
ทิฎฐมังคลิกา ก็คลอดบุตรในมณฑปนั่นเอง. ต่อมาในวันที่จะตั้งชื่อกุมาร
พราหมณ์ทั้งหลายจึงมาประชุมกันขนานนามกุมารว่า มัณฑัพยกุมาร
เพราะเหตุที่คลอดในมณฑป. แม้ปราสาทนั้น ก็สร้างสำเร็จ โดยเวลา 10
เดือน พอดี จำเดิมแต่นั้นมา นางก็อยู่ในปราสาทนั้น ด้วยยศบริวารเป็นอัน

มาก. แม้มัณฑัพยกุมาร ก็เจริญวัย พรั่งพร้อมด้วยหมู่บริวารเป็นอันมาก.
ในเวลาที่มัณฑัพยกุมาร มีอายุได้ 7 - 8 ปี อาจารย์ผู้อุดมด้วยวิทยาการทั้ง
หลาย ในพื้นชมพูทวีป จึงประชุมกันให้กุมารนั้น เรียนไตรเพท 3 พระ-
คัมภีร์. มัณฑัพยมาณพนั้นนับแต่ อายุครบ 16ปีบริบูรณ์ ก็เริ่มตั้งนิตยภัตสำหรับ
พวกพราหมณ์ทั้งหลาย. พราหมณ์หมื่นหกพันคน ก็ได้บริโภคอาหารในสำนัก
ของมัณฑัพยมาณพเป็นประจำ เขาถวายทานแก่พราหมณ์ทั้งหลายที่ซุ้มประตู
ที่ 4. ต่อมาในวันประชุมใหญ่คราวหนึ่ง มัณฑัพยมาณพให้จัดเตรียมข้าวปายาส
ไว้ในเรือนเป็นอันมาก. พราหมณ์ทั้งหมื่นหกพัน ก็นั่ง ณ ซุ้มประตูที่ 4
บริโภคข้าวปายาสอันปรุงดีแล้ว ด้วยเนยข้น เนยใส และน้ำผึ้ง น้ำตาลกรวด
ที่เขาจัดมาถวาย ด้วยถาดทองคำ. แม้มัณฑัพยมาณพ ก็ประดับประดาตกแต่ง
ด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง สวมรองเท้าทอง มือถือไม้เท้าทอง เที่ยวตรวจ
ตราการเลี้ยงดู สั่งบริวารชนว่า ท่านทั้งหลายจงให้เนยใสในสำรับนี้ จงให้
น้ำผึ้งที่สำหรับนี้ ดังนี้.
ขณะนั้น มาตังคบัณฑิต นั่งอยู่ที่อาศรมบท ในหิมวันตประเทศ
ตรวจดูว่า ความประพฤติแห่งบุตรของนางทิฏฐมังคลิกา เป็นอย่างไร ? เห็น
การกระทำของเขา โน้มเอียง ไปในลัทธิอันไม่สมควร แล้วคิดว่า วันนี้แหละ
เราจักไปทรมานมาณพ ให้บริจาคทาน ในเขตที่บุคคลให้แล้วมีผลมาก แล้ว
จึงจักกลับมา ดังนี้แล้ว เหาะไปสู่สระอโนดาตโดยทางอากาศ ทำกิจวัตรมีการ
ล้างหน้าเป็นต้นแล้ว ยืนอยู่ที่พื้นมโนศิลา ครองจีวรสองชั้น คาดรัดประคด
มั่น แล้วห่มผ้าสังฆาฏิ อันเป็นผ้าบังสุกุล เสร็จแล้วถือเอาบาตรดินเหาะมาทาง
อากาศ เลื่อนลอยลงตรงโรงทานที่ซุ้มประตูที่ 4 แล้วยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง
มัณฑัพยมาณพกำลังตรวจตราดูแลทางโน้นทางนี้อยู่ แลเห็นพระดาบสนั้นแต่
ไกล คิดว่า บรรพชิตรูปนี้ มีรูปร่างคล้ายยักษ์ปีศาจ เปื้อนฝุ่น เห็นปานนี้ มาสู่

ที่นี่ ท่านมาจากที่ไหนหนอ ดังนี้แล้ว เมื่อจะสนทนา ปราศรัยกับมาตังคดาบส
นั้น จึงกล่าวคาถาที่ 1 ความว่า
ท่านมีปกตินุ่งห่มไม่สมควร ดุจปีศาจเปรอะ
เปื้อนด้วยฝุ่นละออง สวมใส่ผ้าขี้ริ้วที่ได้จากกองขยะ
ไว้ที่คอ มาจากไหน ท่านเป็นใคร เป็นผู้ไม่สมควร
แก่ทักษิณาทานเลย
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุมฺมวาสี ความว่า ท่านเป็นผู้นุ่งห่ม
ผ้าเก่าขาดเป็นรอยต่อ ไม่ได้ซักชำระสะสางเลย. บทว่า โอคลฺลโก ความว่า
เป็นผู้สกปรกลามก ครองผ้าเห็นเส้นด้ายมากมาย หลุดลุ่ยห้อยย้อยลง. บทว่า
ปํสุปีสาจโกว ความว่า คล้ายกับปีศาจยืนอยู่ที่กองขยะ. บทว่า สงฺการโจฬํ
ได้แก่ ผ้าท่อนเก่าที่เก็บได้ในกองหยากเยื่อ. บทว่า ปฏิมุญฺจ แปลว่า
สวมใส่. บทว่า อทกฺขิเณยฺโย ความว่า ท่านเป็นผู้ไม่สมควรแก่ทักษิณาทาน
มาสู่สถานที่นั่งของพระทักขิเณยยบุคคลชั้นเยี่ยมเหล่านั้น แต่ที่ไหนเล่า ?
พระมหาสัตว์ได้ฟังดังนั้น เมื่อจะสนทนากับมัณฑัพยมาณพ ด้วยจิต
ที่เยือกเย็นอ่อนโยน จึงกล่าวคาถาที่ 2 ความว่า
ข้าวน้ำนี้ท่านจัดไว้เพื่อท่านผู้เรืองยศ พราหมณ์
ทั้งหลาย ย่อมขบเคี้ยวบริโภค และดื่มข้าวน้ำของท่าน
นั้น ท่านรู้จักข้าพเจ้าว่า เป็นผู้อาศัยโภชนะที่ผู้อื่นให้
เลี้ยงชีวิต แม้ถึงจะเป็นคนจัณฑาล ก็ขอจงได้ก้อน
ข้าวบ้างเถิด
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปกตํ แปลว่า จัดแจงไว้. บทว่า ยสสฺสินํ
แปลว่า สมบูรณ์ด้วยบริวาร. บทว่า ตํ ขชฺชเร ความว่า พราหมณ์ทั้งหลาย

ขบเคี้ยว บริโภค และ ดื่มกิน ของนั้นอยู่ทีเดียว เพราะเหตุไร ท่านจึงโกรธ
เคืองข้าพเจ้า.
บทว่า อุตฺติฏฺฐปิณฺฑํ ได้แก่ก้อนข้าว อันจำต้องยืนขอจึงได้ หรือ
ก้อนข้าว อันคนทั้งหลายลุกขึ้นยืนให้ จะพึงได้ ก็เพราะยืนอยู่ข้างหลัง.
บทว่า ลภตํ สปาโก ความว่า แม้จะเป็น สปากจัณฑาล ก็ขอ
จึงได้ เพราะว่าพราหมณ์ผู้สมบูรณ์ด้วยชาติ ย่อมได้โภชนะทุกแห่งหน แต่
สำหรับสปากจัณฑาลเล่า ใครเขาจักให้ ข้าพเจ้าหาปิณฑะได้อย่างแร้นแค้น
เพราะฉะนั้น ดูก่อนกุมาร ท่านจงบอกให้โภชนะแก่เรา เพื่อเป็นเครื่องยัง
ชีพให้เป็นไปเถิด.
ลำดับนั้น มัณฑัพยกุมารจึงกล่าวคาถา ความว่า
ข้าวน้ำของเรานี้ เราจัดไว้เพื่อพราหมณ์ทั้งหลาย
ทานวัตถุนี้ เราเชื่อว่า ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่
ตน ท่านจงหลีกไปเสียจากที่นี่ จะมายืนอยู่ที่นี่เพื่อ
อะไร เจ้าคนเลว คนอย่างเราย่อมไม่ให้ทานแก่เจ้า

ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อตฺตตฺถาย ความว่า เพื่อประโยชน์แก่
ความเจริญของตน. บทว่า อเปหิ เอโต ความว่า ท่านจงหลีกไปเสียจาก
ที่นี่. บทว่า น มาทิสา ความว่า ดูก่อนท่านผู้มีเชื้อชาติเลวทราม คน
เช่นเราย่อมถวายทานแก่พราหมณ์อุทิจจโคตรทั้งหลาย ผู้สมบูรณ์ด้วยชาติ
ย่อมไม่ให้ทานแก่ท่านผู้เป็นคนจัณฑาล ท่านจงไปเสียเถิด.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ กล่าวคาถาความว่า

ชาวนาทั้งหลายเมื่อหวังผลในข้าวกล้า ย่อม
หว่านพืชพันธุ์ธัญญาหารลงในที่ดอนบ้าง ในที่ลุ่มบ้าง
ในที่เสมอไม่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ บ้างฉันใด ท่านจงให้ทาน
แก่ปฏิคาหกทั้งหลาย ด้วยศรัทธานี้ฉันนั้นเหมือนกัน
เมื่อให้ทานอยู่อย่างนี้ ไฉนจะพึงได้ทักขิเณยบุคคล
ที่น่ายินดีเล่า
ดังนี้.
คาถานั้น มีอรรถาธิบายดังนี้ ดูก่อนกุมาร ชาวนาทั้งหลาย เมื่อ
หวังผลข้าวกล้า ย่อมหว่านพืชพันธุ์ธัญญาหารลงในเนื้อที่นา แม้ทั้ง 3 อย่าง
ในกาลที่ฝนตกมากเกินไป ข้าวกล้าในนาดอนนั้น ย่อมสำเร็จผล ข้าวกล้าใน
นาลุ่มย่อมเสียหาย ส่วนข้าวกล้าที่อาศัยแม่น้ำและพึงกระทำในที่เสมอ ไม่ลุ่ม
ไม่ดอน ย่อมถูกห้วงน้ำพัดไปเสีย ในเมื่อฝนตกเล็กน้อย ข้าวกล้าในนาดอน
ย่อมเสียหายไม่ได้ผล ข้าวกล้าในนาลุ่มย่อมได้ผลเล็กน้อย ส่วนข้าวกล้าในนา
ที่ไม่ลุ่มไม่ดอน คงได้ผลดีทีเดียว ในกาลที่ฝนตกสม่ำเสมอไม่มากไม่น้อย
ข้าวกล้าในนาดอนได้ผลเล็กน้อย แต่ข้าวกล้าในนานอกนี้ ย่อมได้ผลบริบูรณ์
ดี เพราะฉะนั้น ชาวนาทั้งหลาย เมื่อหวังผลข้าวกล้า ย่อมเพาะหว่านในเนื้อ
นาทั้ง 3 อย่างฉันใด แม้ท่านก็จงบริจาคทานแก่ปฏิคาหกทั้งหลายผู้มาแล้ว ๆ
ทั้งหมด ด้วยศรัทธาคือผลนี้ ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อท่านบริจาคทานอยู่อย่างนี้
ไฉนเล่าจะพึงให้ยินดี คือได้ทักขิเณยบุคคลที่ดี ดังนี้.
ลำดับนั้น มัณฑัพยมาณพจึงกล่าวคาถาต่อไปความว่า
เราย่อมตั้งไว้ ซึ่งพืชทั้งหลายในเขตเหล่าใด
เขตเหล่านั้นเรารู้แจ้งแล้วในโลก พราหมณ์เหล่าใด
สมบูรณ์ด้วยชาติแลมนต์ พราหมณ์เหล่านั้นชื่อว่าเป็น
เขต มีศีลเป็นที่รักในโลกนี้
ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เยสาหํ ตัดบทเป็น เยสุ อหํ. บทว่า
ชาติมนฺตูปนฺนา ความว่า พราหมณ์เหล่าใดเป็นผู้เข้าถึง ด้วยชาติและมนต์
ทั้งหลาย.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ได้กล่าวคาถา 2 คาถา ความว่า
กิเลสทั้งหลายเหล่านี้ คือ ชาติมทะ ความเมา
เพราะชาติ 1 อติมานะ ความดูหมิ่นท่าน 1 โลภะ
ความโลภอยากได้ของเขา 1 โทสะ ความคิดประทุษ-
ร้าย 1 มทะ ความประมาทมัวเมา 1 โมหะ ความหลง 1
ทั้งหมดเป็นโทษมิใช่คุณ ย่อมมีในเขตเหล่าใด เขต
เหล่านั้นไม่ใช่เขตอันดีมีศีลเป็นที่รักในโลกนี้ กิเลส
ทั้งหลายเหล่านี้คือ ชาติทะ อติมานะ โลภะ โทสะ
มทะ และโมหะ ทั้งหมดเป็นโทษมิใช่คุณ ไม่มีใน
เขตเหล่าใด เขตเหล่านั้นจัดว่าเป็นเขตมีศีล เป็นที่รัก
ในโลกนี้
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มโท ได้แก่ความเมาเพราะชาติอันบังเกิด
ขึ้นแล้วอย่างนี้ว่า เราเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยชาติ.
บทว่า อติมานตา ได้แก่ ความประพฤติดูหมิ่นว่าคนอื่นที่จะเสมอ
กับเราโดยชาติเป็นต้นไม่มี. กิเลสทั้งหลายมีความโลภเป็นต้น เป็นเพียงความ
อยากได้ ความคิดประทุษร้าย ความมัวเมา และความหลงเท่านั้น.
บทว่า อเปสลานิ ความว่า ก็บุคคลทั้งหลายเห็นปานนี้ เป็นผู้มิใช่
มีศีลเป็นที่รัก ราวกะว่าจอมปลวกอันเต็มไปด้วยอสรพิษฉะนั้น ทานที่บุคคล
ให้แล้วแก่บุคคลเห็นปานนี้ ย่อมไม่มีผลมาก เพราะฉะนั้น ท่านอย่าสำคัญ

ความที่ชนทั้งหลายผู้มิใช่มีศีลเป็นที่รักเหล่านั้นว่า เป็นเขตอันดี เพราะว่า
พราหมณ์ ผู้มีชาติและมนต์มิใช่ผู้จะไปสวรรค์ได้ ส่วนชนเหล่าใด เป็นอริยชน
เว้นจากการถือชาติและมานะเป็นต้นได้ อริยชนเหล่านั้น เป็นเขตอันดีมีศีล
เป็นที่รัก ทานที่บุคคลให้แล้วในอริยชนเหล่านั้นมีผลมาก ทั้งอริยชนเหล่านั้น
ย่อมเป็นผู้ให้ไปสวรรค์ได้ ดังนี้.
เมื่อพระมหาสัตว์กล่าวอยู่บ่อย ๆ เช่นนี้ มัณฑัพยมาณพนั้น ขุ่นเคือง
จึงพูดว่า ดาบสผู้นี้พูดเพ้อเจ้อมากเกินไป คนรักษาประตูเหล่านี้ ไปไหนหมด
จงมานำเอาคนจัณฑาลนี้ออกไป แล้วกล่าวคาถา ความว่า
คนเฝ้าประตูทั้งสามคือ อุปโชติยะ อุปวัชฌะ
และภัณฑกุจฉิ ไปไหนกันเสียหมดเล่า ท่านทั้งหลาย
จงลงอาญา และเฆี่ยนตีคนจัณฑาลนี้ แล้วลากคอคน
ลามกนี้ไสหัวไปให้พ้น
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กวตฺถ คตา มีอธิบายว่าโทวาริกบุรุษ
ทั้ง 3 คือ อุปโชติยะ อุปวัชฌะ และภัณฑกุจฉิซึ่งยืนเฝ้าประตูทั้ง 3 อยู่นี้
ไปไหนกันเสียหมดเล่า.
ฝ่ายคนเฝ้าประตูเหล่านั้น ได้ยินถ้อยคำของมัณฑัพยมาณพแล้วก็รีบมา
ไหว้แล้ว กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้ประเสริฐจะสั่งให้พวกผมทำอะไร ? มัณฑัพย-
มาณพจึงบอกว่า ท่านทั้งหลายเห็นคนจัณฑาลชาติชั่วคนนี้ที่ไหน ? พวกนาย
ประตูกล่าวว่า ท่านผู้ประเสริฐ พวกกระผมไม่เห็นเลย จึงไม่รู้ว่า เขามาจาก
ที่ไหน ? เขาดำริว่า ชะรอยมันจะเป็นนักเล่นกล หรือโจรวิชาธรบางคนเป็นแน่
ดังนี้ กล่าวสำทับพวกนายประตูว่า บัดนี้พวกเจ้ายังจะยืนเฉยอยู่ทำไม ? นาย
ประตูทั้งสามจึงถามว่า ข้าแต่ท่านผู้ประเสริฐ จะโปรดให้พวกผมทำอะไร ?

มัณฑัพยมาณพ ตอบว่า พวกท่านจงโบยตี ตบ ต่อย ปากเจ้าคนถ่อยจัณฑาล
ผู้นี้ทีเดียว แล้วเอาเรียวไม้ไผ่สำหรับลงอาญา. โบยถลกหนังมันขึ้น แล้วฆ่า
มันเสียจับคอลากเจ้าคนลามกนี้ไป ให้พ้นจากที่นี่ เมื่อนายประตูทั้ง 3 ยังไม่
ทันมาใกล้ชิด พระมหาสัตว์ก็เหาะลอยในไปยืนอยู่บนอากาศกล่าวคาถาความว่า
ผู้ใดบริภาษฤาษี ผู้นั้นชื่อว่าขุดภูเขาด้วยเล็บ
ชื่อว่าเคี้ยวกินก้อนเหล็กด้วยฟัน ชื่อว่าพยายามกลืนกิน
ไฟ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ชาตเวทํ ปทหสิ ความว่า ย่อม
พยายามเพื่อจะกลืนกินซึ่งไฟ.
ก็แล ครั้นพระมหาสัตว์กล่าวดังนี้แล้ว เมื่อมาณพและพราหมณ์ทั้งหลาย
กำลังแลดูอยู่ นั่นแล ได้แล่นลอยไปในอากาศ.
เมื่อจะประกาศความข้อนี้ พระศาสดาจึงตรัสว่า
มาตังคฤาษี ผู้มีสัจจะเป็นเครื่องก้าวไปเบื้องหน้า
เป็นสภาพ ครั้นกล่าวคาถานี้แล้ว เมื่อพราหมณ์ทั้งหลาย
แลดูอยู่ ได้เหาะหลีกผ่านไปในอากาศ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สจฺจปรกฺกโม ความว่า มีความบากบั่น
มุ่งก้าวไปข้างหน้าเป็นสภาพ.
มาตังคดาบสนั้นแล บ่ายหน้ามุ่งสู่ทิศปราจีน เหาะไปลง ณ ถนน
สายหนึ่ง แล้วอธิษฐานว่า ขอรอยเท้าของเราจงปรากฏ แล้วบิณฑบาตใกล้
ประตูด้านทิศปราจีน รวบรวมอาหารที่เจือปนกัน แล้วไปนั่งฉันภัตตาหาร
ที่เจือปนกัน ณ ศาลาแห่งหนึ่ง. เทพยดาผู้รักษาพระนครทั้งหลาย กล่าวกันว่า
มัณฑัพยกุมารผู้นี้ พูดก้าวร้าวเบียดเบียนพระผู้เป็นเจ้าของเราทั้งหลาย ดังนี้

อดทนไม่ได้ จึงมาประชุมกัน ลำดับนั้น ยักขเทวดาผู้เป็นหัวหน้า ก็พากัน
จับคอของมัณฑัพยกุมารบิดกลับเสีย. เทวดาที่เหลือ ก็พากันจับคอของพราหมณ์
ที่เหลือทั้งหลาย บิดกลับเสียอย่างนั้นเหมือนกัน แต่เพราะเทวดาเหล่านั้น
มีจิตอ่อนน้อมในพระโพธิสัตว์ จึงไม่ฆ่ามัณฑัพยมาณพเสีย ด้วยคิดว่าเป็น
บุตรของพระโพธิสัตว์ เพียงแต่ทำให้ทรมานลำบากอย่างเดียวเท่านั้น. ศีรษะ
ของมัณฑัพยมาณพ บิดกลับไป มีหน้าอยู่เบื้องหลัง มือและเท้าเหยียดตรง
แข็งทื่อตั้งอยู่ กระดูกทั้งหลายก็กลับกลายเป็นเหมือนกระดูกของคนที่ตายแล้ว.
เขามีร่างกายแข็งกระด้างนอนแซ่วอยู่. ถึงพราหมณ์ทั้งหลายก็สำรอกน้ำลายไหล
ออกทางปาก กระเสือกกระสนไปมา. คนทั้งหลายรีบไปแจ้งเรื่องราวแก่นาง
ทิฎฐมังคลิกาว่า ข้าแต่แม่เจ้า บุตรของท่านเกิดเป็นอะไรไปไม่ทราบได้ ?
นางทิฏฐมังคลิการีบมาโดยเร็ว เห็นบุตรแล้วกล่าวว่า นี่อะไรกัน ? แล้ว กล่าว
คาถาความว่า
ศีรษะของลูกเรา บิดกลับไปอยู่เบื้องหลัง แขน
เหยียดตรงไม่ไหวติง นัยน์ตาขาวเหมือนคนตาย ใคร
มาทำบุตรของเราให้เป็นอย่างนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาเวลิตํ แปลว่า บิดกลับไป. ลำดับนั้น
คนผู้ยืนอยู่ในที่นั้น เพื่อจะแจ้งให้นางทราบ จึงกล่าวคาถานี้ ความว่า
สมณะรูปหนึ่ง มีปกตินุ่งห่มไม่สมควรสกปรก
ดุจปีศาจ เปรอะเปื้อนด้วยฝุ่นละออง สวมใส่ผ้าขี้ริ้ว
ที่ได้จากกองขยะไว้ที่คอ ได้มา ณ ที่นี้ สมณะรูปนั้น
ได้ทำบุตรของท่านให้เป็นอย่างนี้.

นางทิฎฐมังคลิกาได้ฟังคำนั้นแล้ว คิดว่า นี้ไม่ใช่พลังของผู้อื่น คงจัก
เป็นมาตังคบัณฑิตสามีของเราโดยไม่ต้องสงสัย ก็แต่ว่า ท่านมาตังคบัณฑิตนั้น
เป็นนักปราชญ์ สมบูรณ์ด้วยเมตตาภาวนา คงจักทรมานคนพวกนี้ให้ลำบาก
แล้วไปเสีย และท่านจักไปทิศไหนเล่าหนอ. แต่นั้น เมื่อนางจะถามถึงมาตัง-
คบัณฑิต จึงกล่าวคาถาความว่า
ดูก่อนมาณพทั้งหลาย สมณะผู้มีปัญญาเสมอด้วย
แผ่นดิน ได้ไปแล้วสู่ทิศใด ท่านทั้งหลายจงบอก
เนื้อความนั้นแก่เรา เราจักไปยังสำนักของท่าน ขอให้
ท่านอดโทษนั้นเสีย ไฉนหนอ เราจะพึงได้ชีวิตบุตร
คืนมา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า คนฺตฺวาน ความว่า ไปสู่สำนักของ
ดาบสนั้น. บทว่า ตํ ปฏิกเรมุ อจฺจยํ ความว่า เราจักกระทำคืน คือ
แสดงโทษนั้น ได้แก่ ขอให้ท่านอดโทษนั้นให้. บทว่า ปุตฺตํ ลเภมุ ความว่า
ชื่อแม้ไฉน เราพึงได้ชีวิตบุตรคืนมา.
ลำดับนั้น มาณพทั้งหลาย ผู้ยืนอยู่ในที่นั้น เมื่อจะบอกความนั้น
แก่นาง ได้กล่าวคาถา ความว่า
ฤาษีผู้มีปัญญาเสมอด้วยแผ่นดิน ได้ไปแล้วใน
อากาศวิถี ราวกะว่าพระจันทน์ในวันเพ็ญ 15 ค่ำ
อันตั้งอยู่ท่ามกลางระหว่างอากาศ อนึ่ง พระฤๅษีผู้มี
ปฏิญาณมั่นในสัจจะ ทรงคุณธรรมอันดีงามนั้น ได้ไป
ทางทิศบูรพา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปถทฺธุโน ความว่า ดุจพระจันทร์ใน
วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ ตั้งอยู่ท่ามกลางระหว่างอากาศ กล่าวคือทางสัญจรใน
อากาศ. บทว่า อปิจาปิ โส ความว่า ก็อีกประการหนึ่งแล พระฤาษีนั้น
ไปสู่ทิศบูรพา.
นางทิฏฐมังคลิกานั้น สดับคำของมาณพเหล่านั้นแล้ว จึงคิดว่า
เราจักไปค้นหาสามีของเรา จึงใช้ให้ทาสีถือเอาน้ำเต้าทองคำกับขันน้ำทองคำ
แวดล้อมด้วยหมู่ทาสี เดินไปจนถึงสถานที่ที่พระโพธิสัตว์อธิษฐานเหยียบ
รอยเท้าไว้ จึงเดินตามรอยเท้านั้นไป เมื่อพระโพธิสัตว์กำลังนั่งฉันภัตตาหาร
อยู่บนตั่งที่ศาลานั้น นางจึงเดินเข้าไปสู่ที่ใกล้พระมหาสัตว์ ทำความเคารพ
แล้วยืนอยู่. พระโพธิสัตว์เห็นนางแล้ว จึงเหลือข้าวสุกไว้ในบาตรหน่อยหนึ่ง.
นางทิฎฐมังคลิกาจึงถวายน้ำ แก่พระโพธิสัตว์ด้วยน้ำเต้าทอง. พระโพธิสัตว์
จึงล้างมือบ้วนปากลงในบาตรนั้นเอง. ลำดับนั้น นางทิฏฐมังคลิกา เมื่อจะถาม
พระโพธิสัตว์ว่า ใครกระทำบุตรของตนให้ถึงอาการอันแปลกประหลาดนั้น
จึงกล่าวคาถาความว่า
ศีรษะของลูกเราบิดกลับไปอยู่เบื้องหลัง แขน
เหยียดตรงไม่ไหวติง นัยน์ตาขาวเหมือนคนตาย
ใครมาทำบุตรของเราให้เป็นอย่างนี้.

ชื่อว่าคาถาอันเป็นคำถามและคำตอบของชนทั้งสอง ที่ยิ่งไปกว่านั้น
มีดังนี้ พระโพธิสัตว์ได้สดับแล้ว จึงตอบนางทิฏฐมังคลิกา โดยคาถาว่า
ยักษ์ทั้งหลายผู้มีอานุภาพมากมีอยู่แล ยักษ์
เหล่านั้น พากันติดตามพระฤาษี มีคุณธรรม มาแล้ว
รู้ว่าบุตรของท่าน มีจิตคิดประทุษร้าย โกรธเคือง
จึงทำบุตรของท่านให้เป็นอย่างนี้แล.

นางทิฏฐมังคลิกา กล่าวว่า
ถ้ายักษ์ทั้งหลายได้ทำบุตรของดิฉันให้เป็นอย่างนี้
ขอท่านผู้เป็นพรหมจารีเท่านั้น อย่าได้โกรธบุตร
ดิฉันเลย ดิฉันขอถึงฝ่าเท้าของท่านนั่นแหละเป็นที่พึ่ง
ข้าแต่ท่านผู้เป็นภิกษุ ดิฉันตามมาก็เพราะความ
เศร้าโศกถึงบุตร.

พระมหาสัตว์ มาตังคบัณฑิต กล่าวตอบว่า
ในคราวที่บุตรของท่านด่าเราก็ดี และเมื่อท่าน
มาอ้อนวอนอยู่ ณ บัดนี้ ก็ดี จิตคิดประทุษร้ายแม้
หน่อยหนึ่งมิได้มีแก่เราเลย แต่บุตรของท่านเป็นคน
ประมาท เพราะความมัวเมา ว่าเรียนจบไตรเพท แม้จะ
เรียนจบไตรเพทแล้ว ก็ยังไม่รู้จักสิ่งที่เป็นประโยชน์.

นางทิฏฐมังคลิกา ได้สดับดังนั้นแล้ว จึงกล่าวต่อไปว่า
ข้าแต่ท่านผู้เป็นภิกษุ ความจำของบุรุษ ย่อม
หลงลืมได้โดยครู่เดียวเป็นแน่แท้ ท่านผู้มีปัญญาเสมอ
ด้วยแผ่นดิน ขอได้โปรดอดโทษสักครั้งเถิด บัณฑิต
ทั้งหลาย ย่อมไม่เป็นผู้มีความโกรธเป็นกำลัง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยกฺขา ได้แก่ ยักษ์ทั้งหลายผู้รักษา
พระนคร. บทว่า อนฺวาคตา ความว่า ยักษ์ทั้งหลาย มาแล้วรู้อย่างนี้ว่า
พระฤาษีทั้งหลาย มีคุณธรรมดี ถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติ. บทว่า เต ความว่า
ยักษ์เหล่านั้น ครั้นรู้คุณความดีของพระฤาษีแล้ว ก็รู้แจ้งซึ่งบุตรของท่าน
อันเป็นผู้กำเริบจิตคิดประทุษร้าย.

บทว่า ตวญฺเญว เม ความว่า ถ้าหากว่ายักษ์ทั้งหลายโกรธเคือง
แล้ว ได้กระทำอย่างนี้ ก็จงทำเถิด ขึ้นชื่อว่าเทวดาทั้งหลาย ใคร ๆ อาจทำ
ให้สงบระงับ (หายโกรธ) ได้ด้วยดี ด้วยวิธีสักว่าเอาน้ำจอกหนึ่งให้ดื่ม เพราะ
เหตุนั้น ดิฉันจึงไม่กลัวเทวดาเหล่านั้น ขออย่างเดียวท่านเท่านั้น ซึ่งเป็นผู้
ประพฤติพรหมจรรย์ อย่าโกรธเคืองบุตรชายของดิฉันเลย. บทว่า อนฺวาคตา
ความว่า ดิฉันเป็นผู้ติดตามมา. นางทิฎฐมังคลิกาเรียกพระมหาสัตว์ว่า ภิกษุ
วิงวอนขอร้องให้ไว้ชีวิตบุตร.
บทว่า ตเทว ความว่า ดูก่อนนางทิฏฐมังคลิกา ในกาลเมื่อบุตร
ของท่านด่าเราอยู่ในคราวนั้นก็ดี และเมื่อท่านมาอ้อนวอนขอโทษ อยู่ในคราว
นี้ก็ดี โทสจิตคิดประทุษร้ายมิได้มีแก่เราเลย. บทว่า เวทมเทน ความว่า
เพราะความเมา ว่าเราเรียนจบไตรเพทแล้ว. บทว่า อธิจฺจ ความว่า แม้จะ
เรียนจบไตรเพทแล้ว ก็ยังไม่รู้จักสิ่งที่เป็นประโยชน์ และมิใช่ประโยชน์.
บทว่า มุหุตฺตเกน ความว่า เรียนวิชาอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ย่อมหลงลืมได้
โดยครู่เดียวเท่านั้น
พระมหาสัตว์ ผู้อันนางทิฏฐมังคลิกา อ้อนวอนขอโทษบุตรชายอยู่
อย่างนี้ จึงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นเราจักให้อมฤตโอสถไปเพื่อขับไล่ยักษ์ทั้งหลาย
เหล่านั้น ให้หนีไป แล้วกล่าวคาถา ความว่า
มัณฑัพยมาณพ บุตรของท่านผู้มีปัญญาน้อย
จงบริโภคก้อนข้าวที่เราฉันเหลือนี้เถิด ยักษ์ทั้งหลาย
จะไม่พึงเบียดเบียนบุตรของท่านเลย อนึ่ง บุตรของ
ท่านจะหายโรคในทันที.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุตฺติฏฺฐปิณฺฑํ ได้แก่ ก้อนข้าวที่ฉัน
เหลือ. ปาฐะเป็น อุจฺฉิฏฺฐปิณฺฑํ ดังนี้ก็มี.

นางทิฏฐมังคลิกา ฟังถ้อยคำของมหาสัตว์แล้ว จึงน้อมขันทองเข้าไป
กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เป็นสามี ท่านได้โปรดให้อมฤตโอสถเถิด. พระมหาสัตว์
จึงเทข้าวสุกที่ฉันเหลือกับน้ำล้างมือลงในขันทองนั้น แล้วสั่งว่า ท่านจงหยอด
น้ำครึ่งหนึ่งจากส่วนนี้ ใส่ในปากบุตรของท่านก่อนทีเดียว ส่วนที่เหลือจงเอา
น้ำผสมใส่ไว้ในตุ่มให้หยอดลงในปากพราหมณ์ที่เหลือทั้งหลาย ชนเหล่านั้น
ทั้งหมด ก็จะเป็นผู้หายโรคภัยไข้เจ็บทันที ครั้นกล่าวดังนี้แล้ว ก็เหาะลอย
กลับไปสู่หิมวันตประเทศในทันที. ฝ่ายนางทิฏฐมังคลิกา ก็เอาศีรษะทูนขันทอง
นั้น กล่าวว่า เราได้อมฤตโอสถแล้ว รีบไปยังนิเวศน์ของตน หยอดน้ำข้าว
ล้างมือใส่ในปากบุตรชายของตนก่อน. ยักษ์ผู้เป็นหัวหน้ารักษาพระนคร
ก็หนีไป มัณฑัพยมาณพ ลุกขึ้นปัดฝุ่นที่เปื้อนกายแล้วถามว่า ข้าแต่คุณแม่
นี่อะไรกัน นางจึงกล่าวกะบุตรชายว่า เจ้านั่นแหละจักรู้สิ่งที่ตนทำไว้ มาเถิด
พ่อคุณ เจ้าจงไปดูความวิบัติแห่งทักขิเณยยชนของเจ้าบ้าง. มัณฑัพยมาณพ
เห็นพราหมณ์เหล่านั้น เสือกสนสลบอยู่. ก็ได้เป็นผู้มีวิปฏิสาร เดือดร้อนใจ
ลําดับนั้น นางทิฏฐมังคลิกา ผู้มารดาจึงกล่าวกะมัณฑัพยมาณพว่า พ่อมัง-
ฑัพยกุมาร เจ้าเป็นคนโง่เขลา ไม่รู้จักสถานที่จะให้ทานมีผลมาก ขึ้นชื่อว่า
ทักขิเณยยบุคคลทั้งหลาย มิใช่ผู้มีสภาพเห็นปานนี้ ต้องเป็นเช่นกับมาตังค-
บัณฑิต นับแต่นี้ต่อไป เจ้าอย่าให้ทานแก่คนทุศีลจำพวกนี้เลย จงให้ทาน
แก่ผู้มีศีลทั้งหลายเถิด ดังนี้ แล้วกล่าวคาถาความว่า
พ่อมัณฑัพยะ เจ้ายังเป็นคนโง่เขลามีปัญญาน้อย
เจ้าเป็นผู้ไม่ฉลาดในเขตบุญทั้งหลาย ได้ให้ทานใน
หมู่ชนผู้ประกอบด้วยกิเลส ดุจน้ำฝาดใหญ่ มีกรรม
เศร้าหมอง ไม่สำรวม บรรดาทักขิเณยยบุคคลของเจ้า
บางพวกเกล้าผมเป็นเซิง นุ่งห่มหนังเสือ ปากรกรุงรัง

ไปด้วยหนวดเครา ดังปากบ่อน้ำเก่ารกไปด้วยกอหญ้า
เจ้าจงดูหมู่ชนที่มีรูปร่างน่าเกลียดนี้ การเกล้าผมผูก
เป็นเซิง หาป้องกันผู้มีปัญญาน้อยได้ไม่ ท่านเหล่าใด
สำรอก ราคะ โทสะ และอวิชชาแล้ว หรือเป็นพระ-
อรหันตผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว ทานที่บุคคลถวายในท่าน
เหล่านั้น ย่อมมีผลมาก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มหกฺกสาเวสุ ความว่า ในบรรดาหมู่ชน
ผู้ประกอบด้วยกิเลส ดุจน้ำฝาดใหญ่ทั้งหลายได้ให้ทาน ในบุคคลผู้ประกอบ
ด้วยกิเลสดุจน้ำฝาด มีราคะเป็นต้นใหญ่.
บทว่า ชฏา จ เกสา ความว่า ดูก่อนพ่อมัณฑัพยะ ในทักขิเณยย-
บุคคลทั้งหลายของเจ้า บางเหล่าก็เกล้าผมผูกเป็นเซิง. บทว่า อชินา นิวตฺถา
ความว่า นุ่งผ้าหนังเสือระคายปลายขนแหลม. บทว่า ชรูทปานํ ว ความว่า
ปากรกรุงรัง เพราะมีหนวดเครายาว ราวกะปากบ่อน้ำเก่า รกรุงรังด้วยกอหญ้า.
บทว่า ปชํ อมํ ความว่า เจ้าจงพิจารณาดูหมู่ชน ผู้มีรูปร่างหน้าเกลียด
ยินดีประดับเพศตน ด้วยเครื่องอันเศร้าหมองนี้ คือเห็นปานฉะนี้.
บทว่า ชฏาชินํ ความว่า การที่มุ่นเกล้าทำเป็นชฎาเห็นปานนี้ ไม่
อาจเป็นที่พึ่งต้านทานบุคคลผู้มีปัญญาน้อยได้ กุศลกรรม คือ ศีล ญาณ แล
ตบะเท่านั้น จึงจะเป็นที่พึ่งของหมู่สัตว์เหล่านั้นได้. บทว่า เยสํ ความว่า
กิเลสทั้งหลายมีราคะเป็นต้น อันมีความยินดียินร้าย และความหลงเป็นภาพ
และอวิชชามีวัตถุ 8 ประการเหล่านี้ แห่งทักขิเณยยบุคคลทั้งหลายเหล่าใดไป
ปราศแล้ว หรือทักขิเณยยบุคคลเหล่าใด ได้นามว่าเป็นพระอรหันต์สิ้นอาสวะ
เพราะกิเลสเหล่านั้นไปปราศแล้ว ทานที่บุคคลให้แล้วในทักขิเณยยบุคคล
เหล่านั้น มีผลมาก.

นางทิฏฐมังคลิกากล่าวต่อไปว่า ดูก่อนลูกรัก เพราะเหตุนั้น จำเดิม
แต่นี้ไป เจ้าอย่าได้ให้ทานแก่บุคคลผู้ทุศีลเห็นปานนี้ จงให้ทานแก่สมณ-
พราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในธรรม ผู้ได้อภิญญา 5 และสมาบัติ 8 และแก่พระปัจเจก-
พุทธเจ้าทั้งหลายซึ่งมีอยู่ในโลกเหล่านั้น มาเถิดลูกรัก เราจักให้พวกพราหมณ์
ทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้คุ้นเคยชอบพอของเจ้า ดื่มอมฤตโอสถแล้วทำให้หายโรค
เสียให้หมด ดังนี้แล้ว จึงให้เอาข้าวสุกที่เป็นเดนเทใส่ลงในตุ่มน้ำ แล้วให้
หยอดลงในปากของพราหมณ์ทั้งหลาย ทั้งหมื่นหกพันคน. พราหมณ์แต่ละคน
ได้สติลุกขึ้นปัดฝุ่นที่กายของตน ๆ. ลำดับนั้น พราหมณ์ทั้งหลายเหล่าอื่น
พากันติเตียนว่า พราหมณ์เหล่านี้พากันดื่มกินน้ำเดนเหลือของคนจัณฑาล
แล้วยกโทษทำไม่ให้เป็นพราหมณ์ต่อไป. พราหมณ์เหล่านั้น มีความละอาย
จึงออกจากพระนครพาราณสี ไปสู่แคว้นเมชฌรัฐ แล้วพำนักอยู่ในสำนักของ
พระเจ้าเมชฌราช. ส่วนมัณฑัพยมาณพ ยังคงอยู่ในพระนครพาราณสี
นั้นต่อไปตามเดิม.
ในครั้งนั้น มีพราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อ ชาติมันต์ บวชเป็นดาบสอยู่ที่
ริมฝั่งน้ำเวตตวตีนที อาศัยเวตตวตีนครเป็นแหล่งโคจร อาศัยชาติเป็นเหตุ
ก่อเกิดมานะยิ่งใหญ่. พระมหาสัตว์มาตังคบัณฑิต คิดว่า เราจักทำลายมานะ
ของพราหมณ์นี้ จึงไปยังสถานที่นั้น อาศัยอยู่ด้านเหนือน้ำ ใกล้สำนักของ
ชาติมันตดาบส. อยู่มาวันหนึ่ง พระโพธิสัตว์เคี้ยวไม้สีฟันแล้วอธิษฐานว่า
ไม้สีฟันนี้จงลอยไปติดอยู่ที่ชฎาของดาบสชาติมันต์ ดังนี้แล้วทิ้งไม้สีฟันนั้นลง
ไปในแม่น้ำ. ไม้สีฟันก็ลอยไปติดอยู่ที่ชฎาของชาติมันตดาบส ผู้กำลังอาบน้ำ
ชำระกายอยู่. ชาติมันตดาบสเห็นดังนั้น ก็กล่าวบริภาษว่า คนฉิบหาย คน
วายร้าย แล้วคิดว่า ไอ้คนกาลกรรณีนี้ มันมาจากไหน เราต้องไปตรวจดู
จึงเดินไปตามฝั่งเหนือน้ำ พบพระมหาสัตว์แล้วถามว่า ท่านเป็นชาติอะไร ?

พระมหาสัตว์ตอบว่า เราเป็นชาติจัณฑาล. ชาติมันตดาบสถานมา ท่านทิ้งไม้
สีฟันลงไปในแม่น้ำใช่ไหม ? พระมหาสัตว์ตอบว่าใช่ ข้าพเจ้าทิ้งไปเอง.
ชาติมันตดาบสจึงบริภาษว่า คนฉิบหาย คนวายร้าย คนจัณฑาล คนกาลกรรณี
เจ้าอย่าอยู่ในสถานที่นี้เลย จงไปอยู่เสียที่ฝั่งใต้น้ำทางโน้น เมื่อพระมหาสัตว์
ไปอยู่ฝั่งใต้นที ทิ้งไม้สีฟันลงไปในแม่น้ำ ไม้สีฟันนั้น กลับลอยทวนน้ำขึ้น
ไปติดอยู่ในชฎาของดาบสนั้นอีก ชาติมันตดาบสโกรธ กล่าวว่าไอ้คนฉิบหาย
ไอ้คนถ่อย ถ้าเจ้ายังอยู่ในที่นี้ ศีรษะของเจ้าจักแตกเป็นเจ็ดเสี่ยง ภายใน
เจ็ดวัน. พระมหาสัตว์ดำริว่า ถ้าเราจักโกรธดาบสผู้นี้ ศีลของเราจักขาดไม่
เป็นอันรักษา เราจะทำลายมานะของดาบสด้วยอุบายวิธี ครั้นถึงวันที่ 7 จึง
บันดาลฤทธิ์ ห้ามมิให้พระอาทิตย์ขึ้น. มนุษย์ทั้งหลายพากันวุ่นวาย เข้าไป
หาชาติมันตดาบส ถามว่า ท่านขอรับ ท่านห้ามมิให้พระอาทิตย์ขึ้นหรือ ?
ดาบสตอบว่า กรรมนั้นไม่ใช่ของเรา แต่มีดาบสจัณฑาลผู้หนึ่งอาศัยอยู่ที่
ริมฝั่งนที ชะรอยกรรมนี้จักเป็นของดาบสจัณฑาลผู้นั้น . มนุษย์ทั้งหลายพา
กันเข้าไปหาพระมหาสัตว์เจ้าถามว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านไม่ให้พระอาทิตย์
อุทัยขึ้นหรือ ? พระมหาสัตว์รับว่า ใช่ เราห้ามไม่ให้ขึ้นไปเอง. พวกมนุษย์จึง
ถามว่า เพราะเหตุอะไร ? พระมหาสัตว์จึงกล่าวว่า พระดาบสผู้คุ้นเคยใน
ตระกูลของท่านทั้งหลายได้สาปแช่งข้าพเจ้า ผู้หาความผิดมิได้ เมื่อดาบสผู้นั้น
มาหมอบลงแทบเท้าของข้าพเจ้าเพื่อขอขมาโทษ ข้าพเจ้าจึงจักปล่อยพระอาทิตย์
ให้อุทัยขึ้น. มนุษย์เหล่านั้นพากันไปฉุดลากชาติมันตดาบสนำมา บังคับให้
หมอบลงแทบเท้าของพระมหาสัตว์ให้ขอขมาโทษ แล้วจึงกล่าวว่า ข้าแต่ท่าน
ผู้เจริญ ท่านโปรดปล่อยพระอาทิตย์ให้อุทัยขึ้นเถิด. พระมหาสัตว์จึงกล่าวว่า
เรายังไม่อาจที่จะปล่อยได้ ถ้าหากว่า เราจักปล่อยพระอาทิตย์ขึ้นไซร้ ศีรษะ

ของดาบสผู้นี้จักแตกออกเป็นเจ็ดเสี่ยง. ลำดับนั้น มนุษย์ทั้งหลายจึงถามว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนั้นข้าพเจ้าทั้งหลายจะทำอย่างไร? พระมหาสัตว์
จึงกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงนำเอาก้อนดินเหนียวมา ครั้นให้นำมาแล้ว สั่งว่า
จงเอาดินเหนียววางไว้บนศีรษะของดาบสนี้ แล้วบังคับให้ลงไปยืนในน้ำ
แล้วจึงปล่อยพระอาทิตย์ให้อุทัยขึ้น. ก็เมื่อพระอาทิตย์อุทัยขึ้นไปกระทบเข้า
เท่านั้น ก้อนดินเหนียวก็แตกออกเป็นเจ็ดเสี่ยง. ดาบสก็ดำลงไปในน้ำ. ครั้น
พระมหาสัตว์เจ้าทรมานดาบสนั้นแล้ว จึงใคร่ครวญว่า พราหมณ์หมื่นหกพัน
เหล่านั้นไปอยู่ ณ ที่แห่งใดหนอ? ทราบว่า ไปอยู่ในสำนักของพระเจ้าเมชฌราช
คิดว่า เราจักไปทรมานพราหมณ์เหล่านั้น แล้วเหาะไปด้วยฤทธิ์ลงที่ใกล้
พระนคร ถือบาตรสัญจรไปเพื่อบิณฑบาตในเวตตวตีนคร.
พราหมณ์ทั้งหลายเห็นพระมหาสัตว์แล้ว คิดว่า แม้เมื่อพระดาบสนี้
มาอยู่ในที่นี้ เพียงวันสองวัน ก็จักทำให้เราทั้งหลายไม่มีทีพึ่ง จึงพากันไปยัง
ราชสำนักโดยเร็ว กราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า มีวิชาธรนักเล่น
กล ตนหนึ่งเป็นโจร มาอาศัยอยู่ในพระนครนี้ ขอพระองค์โปรดตรัสสั่งให้จับ
มันเถิด. พระราชาก็ตรัสรับรองว่า ดีละ เราจะจัดการ. พระมหาสัตว์ได้มิสสกภัต
แล้ว จึงนำมานั่งบนตั่ง พิงฝาแห่งหนึ่งฉันอยู่. ลำดับนั้น ราชบุรุษที่พระราชา
ส่งมา ติดตามมา เอาดาบฟันคอพระมหาสัตว์ ซึ่งกำลังบริโภคอาหารอยู่ มิได้
ระมัดระวังตัว ให้ถึงชีพิตักษัย. พระมหาสัตว์นั้นทำกาลกิริยาแล้วไปเกิดใน
พรหมโลก. ได้ยินว่า ในชาดกนี้พระโพธิสัตว์ได้เป็นผู้ทรมานโกณฑพราหมณ์
แล้ว และถึงซึ่งชีพิตักษัย เพราะเป็นผู้ขวนขวายที่จะทรมานผู้อื่นเท่านั้น.
เทพยดาทั้งหลายพากัน โกรธเคือง จึงบันดาลให้ฝนเถ้ารึงอันร้อนตกลงใน

เมชฌรัฐทั้งสิ้น ทำให้แว่นแคว้นพินาศไปสิ้น. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่าน
กล่าวไว้ว่า
เมื่อพระเจ้า เมชณราช เข้าไปทำลายชีวิต ท่าน
มาตังคบัณฑิต ผู้ยงยศ วงศ์กษัตริย์ เมชฌราช
พร้อมด้วยราชบริษัท ก็ได้ขาดสูญในกาลครั้งนั้น.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ตรัสว่า มิใช่
แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน พระเจ้าอุเทนราช ก็ทรงเบียดเบียน
บรรพชิตเหมือนกัน แล้วทรงประชุมชาดกว่า มัณฑัพยกุมาร ในครั้งนั้น
ได้มาเป็นพระเจ้าอุเทน ส่วนมาตังคบัณฑิต ได้มาเป็นเราผู้สัมมาสัม-
พุทธเจ้า นี้แล.

จบอรรถกถามาตังคชาดก

2. จิตตสัมภูตชาดก



ว่าด้วยผลของกรรม



[2054] กรรมทุกอย่างที่นรชนสั่งสมไว้แล้ว
ย่อมมีผลเสมอไป ขึ้นชื่อว่ากรรม แม้จะเล็กน้อย ที่
จะไม่ให้ผลเป็นไม่มี เราได้เห็นตัวของเรา ผู้ชื่อว่า
สัมภูตะ มีอานุภาพมาก อันบังเกิดขึ้นด้วยผลบุญ
เพราะกรรมของตนเอง กรรมทุกอย่างที่นรชนสั่งสม
ไว้แล้ว ย่อมมีผลเสมอไป ขึ้นชื่อว่ากรรมแม้จะเล็ก
น้อย ที่จะไม่ให้ผลเป็นไม่มี มโนรถของเราสำเร็จ
แม้ฉันใด มโนรถแม้ของจิตตบัณฑิต พระเชษฐาของ
เรา ก็คงสำเร็จแล้วฉันนั้น กระมังหนอ.

[2055] ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ กรรมทุก
อย่างที่นรชนสั่งสมไว้แล้ว ย่อมมีผลเสมอไป ขึ้นชื่อ
ว่ากรรมแม้จะเล็กน้อย ที่จะไม่ให้ผลเป็นอันไม่มี
มโนรถของพระองค์สำเร็จแล้ว แม้ฉันใด ขอพระองค์
โปรดทราบเถิดว่า มโนรถของจิตตบัณฑิต ก็สำเร็จ
แล้ว ฉันนั้น เหมือนกัน.

[2056] เจ้าหรือคือจิตตะ เจ้าได้ฟังคำนี้มา
จากคนอื่น หรือว่าใครบอกเนื้อความนี้แก่เจ้า คาถานี้
เจ้าขับดีแล้ว เราไม่มีความสงสัย เราจะให้บ้านส่วย
ร้อยตำบลแก่เจ้า.