เมนู

อรรถกถาสรภังคชาดก



พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระ
ปรารภการปรินิพพาน ของพระมหาโมคคัลลานะ ตรัสพระธรรมเทศนา
นี้มีคำเริ่มต้นว่า อลงฺกตา กุณฺฑลิโน สุวตฺถา ดังนี้.
ได้ยินว่า พระสารีบุตรเถระกราบทูลให้พระตถาคตเจ้า ซึ่งประทับ
อยู่ในพระเชตวัน ทรงอนุญาตการปรินิพพานแล้ว เดินทางไปปรินิพพาน ณ
ห้องที่ตนเกิด ในนาลันทคาม. พระศาสดาทรงสดับข่าวว่า พระสารีบุตร
ปรินิพพานแล้ว จึงเสด็จไปยังกรุงราชคฤห์ ประทับอยู่ในพระเวฬุวันวิหาร.
คราวนั้น พระมหาโมคคัลลานเถระ อยู่ที่กาฬศิลาประเทศ ข้างภูเขาอิสิคิลิ.
ก็ท่านพระมหาโมคคัลลานะนั้น เที่ยวไปยังเทวโลกบ้าง อุสสทนรกบ้าง ด้วย
ความเป็นผู้ถึงที่สุดด้วยกำลังฤทธิ์. ท่านเห็นอิสริยยศใหญ่ของพุทธสาวกใน
เทวโลก เห็นทุกข์ใหญ่หลวงของติตถิยสาวกในอุสสทนรก แล้วกลับมายัง
มนุษยโลก แจ้งแก่มนุษย์ทั้งหลายว่า อุบาสกคนโน้น และอุบาสิกาคนโน้น
บังเกิดเสวยมหาสมบัติในเทวโลกชื่อโน้น สาวกของเดียรถีย์คนโน้นกับคนโน้น
บังเกิดที่นรกเป็นต้น ในอบายชื่อโน้น. มนุษย์ทั้งหลายพากันเลื่อมใสใน
พระศาสนา ละเลยพวกเดียรถีย์เสีย. ลาภสักการะใหญ่หลวงได้มีแก่สาวกของ
พระพุทธเจ้า. ลาภสักการะของพวกเดียรถีย์ก็เสื่อมลง. พวกเดียรถีย์เหล่านั้น
จึงพากันผูกอาฆาตในพระเถระ ว่า เมื่อพระเถระนี้ยังมีชีวิตอยู่ อุปัฏฐากของ
พวกเราก็แตกแยก ทั้งลาภสักการะก็เสื่อมลง พวกเราจักฆ่าพระเถระให้ตาย.
พวกเดียรถีย์ทั้งหลาย จึงจ้างโจรชื่อสมณกุตต์ เป็นเงินพันหนึ่ง เพื่อให้ฆ่า
พระเถระ. โจรสมณกุตต์คิดว่า เราจักฆ่าพระเถระให้ตาย จึงไปยังถ้ำกาฬศิลา

พร้อมด้วยสมุนโจรเป็นอันมาก. พระเถระเห็นโจรสมณกุตต์กําลังเดินมา จึง
เหาะหลบหลีกไปเสียด้วยฤทธิ์. วันนั้นโจรเห็นพระเถระเหาะไปจึงกลับเสีย
ได้มาติด ๆ กัน ทุก ๆ วันรุ่งขึ้น รวม 6 วัน. ฝ่ายพระเถระก็หลบหลีกไป
ด้วยฤทธิ์ ดังที่เคยมา. แต่ในวันที่เจ็ด อปราปรเวทนียกรรมที่พระเถระทำไว้
ในปางก่อนได้โอกาส. ได้ยินว่า ในชาติก่อน พระเถระเชื่อถ้อยคำของภรรยา
ประสงค์จะฆ่ามารดาบิดาให้ตาย จึงนำไปสู่ป่าด้วยยานน้อย. ทำอาการดุจโจร
ตั้งขึ้น แล้วโบยตีมารดาบิดา. มารดาบิดาทั้งสองมองไม่เห็นอะไร เพราะมี
จักษุพิการ จำบุตรของตนนั้นไม่ได้ โดยสำคัญว่า นั่นเป็นพวกโจร ต่าง
ปริเทวนาการ เพื่อประโยชน์ต่อบุตรอย่างเดียวว่า ลูกเอ๋ย ให้โจรพวกโน้น
มันฆ่าพ่อฆ่าแม่เถิด เจ้าจงหลบเอาตัวรอดเถิด. บุตรชายคิดว่า มารดาบิดา
ของเราทังสองท่านนี้ แม้จะถูกเราทุบตี ก็ยังร่ำไรรำพัน เพื่อประโยชน์
แก่เราผู้เดียว เราทำกรรมอันไม่สมควรเลย. ลำดับนั้น เขาจึงปลอบโยนมารดา
บิดา แสดงอาการดุจพวกโจรหนีไป แล้วนวดฟั้นมือเท้าของท่านทั้งสองพูดว่า
คุณแม่คุณพ่ออย่ากลัวเลย พวกโจรหนีไปแล้ว แล้วนำกลับมายังเรือนของตน
ตามเดิม.
กรรมนั้นไม่ได้โอกาส ตลอดเวลามีประมาณเท่านี้ ตั้งอยู่เหมือนกอง
เพลิง ถูกเถ้ากลบไว้เฉพาะหน้า แล้ววิ่งเข้าสู่สรีระอันไม่มีที่สุดนี้. ก็กรรมนี้
ได้โอกาสในที่ใดย่อมให้ผลในที่นั้น เปรียบเหมือนสุนัขอันนายพรานพบเนื้อ
แล้วปล่อยให้ไล่ติดตามเนื้อ ทันกันในที่ใดก็กัดในที่นั้นฉะนั้น ขึ้นชื่อว่าผู้ที่จะ
พ้นจากกรรมนั้นได้ไม่มีเลย. พระเถระรู้ว่า กรรมที่ตนทำไว้หน่วงเหนี่ยว
จึงมิได้หลบหลีกต่อไป. เพราะผลของกรรมนั้น พระเถระจึงไม่สามารถจะเหาะ
ไปในอากาศได้. ฤทธิ์ของพระเถระแม้สามารถทรมานนันโทปนันทนาคราช

แลสามารถยังเวชยันตปราสาทให้หวั่นไหว ก็ถึงความทุรพลเพราะกำลังแห่ง
กรรม. โจรจับพระเถระได้ ทุบจนกระดูกของพระเถระ มีขนาดเท่าเมล็ด
ข้าวสารแหลกละเอียดไป เหมือนบดฟางให้เป็นแป้งฉะนั้น แล้วโยนไปที่หลัง
พุ่มไม้แห่งหนึ่ง ด้วยสำคัญว่าตายแล้ว พร้อมด้วยสมุนโจรหลีกกลับไป. ฝ่าย
พระเถระกลับได้สติ แล้วคิดว่า เราจักถวายบังคมลาพระศาสดาก่อน จึงจัก
ปรินิพพาน ดังนี้ แล้วเยียวยาอัตภาพด้วยฌานทำให้มั่นคง แล้วเหาะไปยัง
สำนักของพระศาสดาทางอากาศ ถวายบังคมพระศาสดาแล้วทูลว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ อายุสังขารของข้าพระองค์ถดถอยแล้ว ข้าพระองค์จัก
ปรินิพพาน. พระศาสดาตรัสถามว่า ดูก่อนโมคคัลลานะ เธอจักปรินิพพาน
หรือ ? ทูลตอบว่า พระพุทธเจ้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ตรัสถามว่า เธอ
จักไปปรินิพพานที่ไหน ทูลตอบว่า ที่แผ่นหิน ในถ้ำกาฬศิลา พระเจ้าข้า.
ตรัสว่า โมคคัลลานะ ถ้าเช่นนั้นเธอจงกล่าวธรรมแก่เราก่อน แล้วค่อยไป
เพราะบัดนี้ การที่จะได้เห็นสาวกเช่นเธอ ไม่มีอีกแล้ว. พระมหาโมคคัลลานะ
ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักกระทำตามพระพุทธดำรัส แล้ว
เหาะขึ้นไปบนอากาศ สูงชั่วต้นตาล แสดงฤทธิ์มีประการต่าง ๆ เหมือนพระ-
สารีบุตรเถระในวันที่จะปรินิพพาน กล่าวธรรมกถาถวายบังคมพระบรมศาสดา
แล้วปรินิพพาน ณ ดงเนกาฬศิลาประเทศ. ในทันใดนั้นเอง ชาวเทวโลกทั้ง
6 ชั้น เกิดโกลาหลเป็นอันเดียวกันว่า ข่าวว่า อาจารย์ของพวกเราปรินิพพาน
แล้ว ต่างถือของหอม มาลา ธูป เครื่องอบ และจันทน์จุรณอันเป็นทิพย์
ทั้งฟืนนานาชนิดมา (ประชุมกันแล้ว). จิตกาธารแล้วด้วยจันทน์แดง สูง
99 ศอก พระศาสดาประทับอยู่ใกล้ ๆ ศพพระเถระ ตรัสสั่งให้จัดการปลงศพ
ของพระเถระ. รอบ ๆ สุสาน ฝนดอกไม้โปรยตกลงมาในที่ประมาณโยชน์หนึ่ง

ได้มีมนุษย์อยู่ระหว่างเทวดา เทวดาอยู่ระหว่างมนุษย์. ถัดเทวดาโดยลำดับ
พวกยักษ์ยืนอยู่ ถัดพวกยักษ์มาก็เป็นพวกคนธรรพ์ ถัดจากพวกคนธรรพ์มา
เป็นพวกนาค ถัดจากพวกนาคมาเป็นพวกครุฑ ถัดจากพวกครุฑมาเป็นพวก
กินนรา ถัดจากพวกกินนรามาเป็นพวกกินนร ถัดจากพวกกินนรมาก็เป็นฉัตร
ถัดจากฉัตรออกมาเป็นสุวรรณจามร ถัดจากสุวรรณจามรออกมา เป็นธงชัย
ถัดธงชัยออกมาเป็นธงแผ่นผ้า. ผู้ที่มาประชุมทุกเหล่า บรรดามีต่างเล่นสาธุ
กีฬาอยู่ตลอดเจ็ดวัน. พระศาสดาตรัสสั่งให้เก็บธาตุของพระเถระมาทำเจดีย์
บรรจุไว้ที่ซุ้มประตู พระเวฬุวันวิหาร.
กาลนั้น ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า อาวุโสทั้งหลาย
พระสารีบุตรเถระ ไม่ได้รับความยกย่องอย่างใหญ่หลวง ในสำนักของ
พระพุทธเจ้า เพราะมิได้ปรินิพพานในที่ใกล้พระตถาคตเจ้า พระมหาโมค-
คัลลานเถระได้รับเกียรติอย่างยิ่งใหญ่ เพราะปรินิพพานในที่ใกล้พระพุทธเจ้า.
พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอประชุมสนทนากัน
ด้วยเรื่องอะไร ? เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ภิกษุ
ทั้งหลาย พระโมคคัลลานะมิใช่จะได้สัมมานะจากสำนักของเรา ในชาตินี้เท่านั้น
ก็หามิได้ แม้ในชาติก่อน เธอก็ได้แล้วเหมือนกัน แล้วทรงนำอดีตนิทานมา
ตรัสดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต เสวยราชสมบัติในพระนคร
พาราณสี
พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในครรภ์ของนางพราหมณี ภรรยาของ
ปุโรหิตได้สิบเดือนก็คลอดจากครรภ์มารดาในเวลาใกล้รุ่ง. ขณะนั้น อาวุธ
ทั้งปวงในพระนครพาราณสี มีอาณาเขต 12 โยชน์ ก็ลุกโพลงขึ้น. ในขณะ
ที่บุตรคลอด ปุโรหิตออกมาภายนอก แลดูอากาศ เห็นนิมิตเครื่องประกอบ
นักษัตร ก็รู้ว่า กุมารนี้จักเป็นผู้เลิศกว่านายขมังธนูทั้งปวง ในชมพูทวีปทั้งสิ้น

เพราะเป็นผู้ที่เกิดโดยนักษัตรนี้ จึงไปยังราชตระกูลแต่เช้าตรู่ กราบทูลถาม
ถึงความที่พระราชาบรรทมเป็นสุข. เมื่อพระราชาตรัสว่า ดูก่อนท่านอาจารย์
ความสุขจะมีมาแต่ไหน ในวันนี้ อาวุธในพระราชวังทั้งหมดโพลงไปหมด จึง
กราบทูลว่า ขอเดชะ พระองค์อย่าตกพระทัยกลัว ใช่ว่าอาวุธจะโพลงเฉพาะ
ในพระราชวังก็หามิได้ แม้ในพระนครก็โพลงไปสิ้นทุกแห่งเหมือนกัน ที่ได้
เป็นอย่างนี้ เพราะวันนี้ กุมารเกิดในเรือนของข้าพระพุทธเจ้า. พระราชา
ตรัสว่า ท่านอาจารย์กุมารที่เกิดแล้วอย่างนี้ จักเป็นอย่างไร ? ปุโรหิตกราบ
ทูลว่า ขอเดชะ ข้าแต่มหาราชเจ้า ไม่มีอะไรดอกพระพุทธเจ้าข้า แต่ว่ากุมาร
นั้นจักได้เป็นยอดแห่งนายขมังธนู ในชมพูทวีปทั้งสิ้น. พระราชาตรัสว่า ดีละ
ท่านอาจารย์ ถ้าเช่นนั้นท่านจงประคบประหงมกุมารนั้น แล้วยกให้เราในเวลา
ที่เขาเจริญวัย ดังนี้แล้ว ตรัสสั่งให้พระราชทานทรัพย์พันหนึ่งเป็นค่าน้ำนม
ก่อน. ปุโรหิตนั้นรับทรัพย์ไปเรือนมอบให้นางพราหมณี ในวันตั้งชื่อลูกชาย
ได้ขนานนามว่า โชติปาละ เพราะในขณะที่ตลอดอาวุธโพลงทั่ว. โชติปาล-
กุมารเจริญวัย ด้วยบริวารเป็นอันมาก ในคราวอายุครบ 16 ปี เป็นผู้มี
รูปทรงอุดมได้ส่วนสัด บิดาของโชติปาลกุมาร มองดูสรีรสมบัติจึงมอบทรัพย์
ให้พันหนึ่ง บอกว่า ลูกเอ๋ย เจ้าจงไปเมืองตักกศิลา เรียนศิลปศาสตร์ในสำนัก
ของอาจารย์ทิศาปาโมกข์เถิด. โชติปาลกุมารรับคำแล้ว ถือเอาทรัพย์ส่วนของ
อาจารย์ ไหว้มารดาบิดา ลาไปในเมืองตักกศิลานั้น มอบทรัพย์ให้อาจารย์
พันหนึ่งแล้ว เริ่มเรียนศิลปวิทยา ถึงความสำเร็จโดยสัปดาห์เดียวเท่านั้น
ลำดับนั้น อาจารย์ก็ยินดี จึงให้พระขรรค์แก้ว ธนูเขาแพะ แล่งธนู อัน
ประกอบต่อกัน ซึ่งเป็นของตน กับเสื้อเกราะ และกรอบหน้าของตน แล้ว
มอบมาณพทั้งห้าร้อยแก่โชติปาลกุมารนั้นว่า พ่อโชติปาละ อาจารย์แก่แล้ว บัดนี้

เธอจงช่วยฝึกสอนมาณพเหล่านี้ด้วยเถิด. พระโพธิสัตว์รับเครื่องอุปกรณ์
ทุกอย่างแล้ว กราบลาอาจารย์ เดินทางมุ่งมายังพระนครพาราณสี เยี่ยมมารดา
บิดายืนอยู่.
ลำดับนั้น ปุโรหิตผู้บิดา จึงถามโชติปาลกุมารซึ่งไหว้แล้วยืนอยู่ว่า
ลูกรัก เจ้าเรียนศิลปวิทยาจบแล้วหรือ ? เขาตอบว่า ขอรับคุณพ่อ. ปุโรหิตบิดา
ฟังคำตอบแล้วไปยังราชตระกูล กราบทูลว่า ขอเดชะ บุตรของข้าพระพุทธเจ้า
เรียนศิลปวิทยากลับมาแล้ว เขาจะทำอะไร พระพุทธเจ้าข้า 9 พระราชาตรัสว่า
ท่านอาจารย์ เขาจงมาบำรุงเราเถิด. ทูลว่า ขอเดชะพระอาญาไม่พ้นเกล้า
พระองค์โปรดทรงคำนึงถึงเบี้ยเลี้ยงสำหรับบุตรของข้าพระพุทธเจ้า ตรัสว่า
เขาจะได้เบี้ยเลี้ยงพันหนึ่งทุก ๆ วัน. ปุโรหิตรับพระดำรัสแล้ว จึงไปเรือน
ให้เรียกกุมารมาสั่งว่า ลูกรัก เจ้าจงบำรุงรับใช้พระราชาเถิด. นับแต่นั้นมา
โชติปาลกุมารก็บำรุงพระราชาได้ทรัพย์วันละพันทุกวัน ข้าราชบาทมูลิกา
ทั้งหลาย พากันโพนทะนาว่า พวกเรายังไม่เห็นการงานที่โชติปาละกระทำ
แต่เขารับเบี้ยเลี้ยงวันละพันทุก ๆ วัน พวกเราอยากจะเห็นศิลปะของเขา.
พระราชาทรงสดับถ้อยคำของชนพวกนั้น จึงตรัสบอกปุโรหิต. ปุโรหิตรับสนอง
พระราชดำรัสว่า ขอเดชะ ดีแล้วพระพุทธเจ้าข้า แล้วแจ้งแก่บุตรของตน.
โชติปาลกุมารพูดว่า ดีแล้วขอรับคุณพ่อ ในวันที่เจ็ดนับแต่วันนี้ไป ผมจัก
แสดงศิลปะ อนึ่ง ขอพระราชาโปรดตรัสสั่งให้นายขมังธนู ในแว่นแคว้นของ
พระองค์มาประชุมกัน ปุโรหิตได้ฟังดังนั้น จึงไปกราบทูลเนื้อความนั้นแก่
พระราชา พระราชาโปรดให้ตีกลองเที่ยวป่าวร้องไปในพระนคร แล้วมีพระ-
ราชโองการให้นายขมังธนูมาประชุมกัน. นายขมังธนู จำนวน หกหมื่นคน
มาประชุมพร้อมกัน . พระราชาทรงทราบว่า พวกนายขมังธนูประชุมพร้อมแล้ว

จึงโปรดให้ตีกลองเที่ยวประกาศว่า ชาวพระนครทั้งหลายจงไปดูศิลปะของ
โชติปาลกุมาร แล้วให้ตระเตรียมพระลานหลวง แวดล้อมไปด้วยมหาชน
ประทับนั่งเหนือบัลลังก์อันประเสริฐ แล้วทรงส่งราชบุรุษ ให้ไปเชิญโชติปาล
กุมารว่า เจ้าโชติปาลกุมารจงมาเถิด. โชติปาลกุมาร จึงซ่อนธนู แล่งธนู
เสื้อเกราะ และอุณหิสที่อาจารย์ให้ไว้ในระหว่างผ้านุ่ง ให้คนถือพระขรรค์
แล้วเดินมายังสำนักพระราชา ด้วยท่าทางปกติ ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
พวกนายขมังธนูทำการนัดหมายกันว่า เขาว่าโชติปาลกุมา จะมาเพื่อแสดงศิลปะ
คือธนู แต่ไม่ถือธนูมา คงอยากจะเอาธนูจากมือของพวกเรา พวกเราอย่าให้
ธนูแก่เขา. พระราชาตรัสเรียกโชติปาลกุมารมารับสั่งว่า เจ้าจงแสดงศิลปะเถิด.
โชติปาลกุมารจึงให้กั้นม่าน แล้วยืนภายในม่าน คลี่ผ้าสาฎกออก สวมเกราะ
สอดเสื้อ แล้วสวมอุณหิสบนศีรษะ ยกสายมีวรรณะดุจแก้ว ประพาฬที่ธนูเขา-
แพะขึ้นแล้ว ผูกแล่งธนูไว้เบื้องหลัง เหน็บพระขรรค์ไว้เบื้องหน้า เอาหลัง
เล็บควงลูกธนูมีปลายดุจเพชร แหวกม่านออกมา คล้ายนาคกุมารผู้ประดับ
ตกแต่งแล้ว ชำแรกแผ่นดินออกมาฉะนั้น เดินไปแสดงความนอบน้อมแด่
พระราชายืนอยู่. มหาชนเห็นกุมารนั้นแล้ว ต่างโห่ร้องบันลือปรบมือกันอึงมี่.
พระราชาตรัสว่า ดูก่อนเจ้าโชติปาละ เจ้าจงแสดงศิลปะเถิด. โชติปาลกุมารทูล
ว่า ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า บรรดานายขมังธนูของพระองค์ โปรดรับสั่ง
ให้มา 4 คน คือคนที่ยิงไวดุจฟ้าแลบ คนที่ยิงแม่น แม้ขนทรายก็ไม่
ผิด คนที่ยิงตามเสียงที่ได้ยิน และคนที่ยิงสวนไปตามลูกศรที่ยิงมา.

พระราชาก็โปรดให้เรียกมา.
พระมหาสัตว์จัดทำมณฑปภายในที่กำหนดสี่เหลี่ยมในพระลานหลวง
ให้นายขมังธนูทั้งสี่ยืนอยู่ทั้งสี่มุม แล้วให้ลูกธนูสามหมื่นแก่นายขมังธนูคนหนึ่งๆ

ให้คนที่จะส่งลูกธนูยืนอยู่ใกล้ๆ นายขมังธนูคนหนึ่ง ๆ แล้วตนเองถือเอาลูกธนู
มีปลายดุจเพชร ยืนอยู่ท่ามกลางมณฑป กราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระมหาราช
นายขมังธนูทั้งสี่เหล่านี้ จงปล่อยลูกธนูยิงข้าพระพุทธเจ้าพร้อมกันเถิด ข้าพระ-
พุทธเจ้าจักห้ามลูกธนูที่พวกเขายิงมา. พระราชาทรงรับสั่งบังคับว่า พวกท่าน
จงกระทำอย่างนี้. พวกนายขมังธนูจึงกราบทูลว่า ขอเดชะ พระมหาราชเจ้า
พวกข้าพระพุทธเจ้าเป็นนายขมังธนูผู้ยิงเร็วดุจฟ้าแลบ ยิงแม่น แม้ขนทรายก็ไม่
ผิด ยิงตามเสียงที่ได้ยิน และยิงสวนไปตามลูกศรที่ยิงมา โชติปาละเป็นเด็กหนุ่ม
พวกข้าพระพุทธเจ้าจักยิงหาได้ไม่. พระมหาสัตว์จึงกล่าวว่า ถ้าพวกท่านสามารถ
ก็เชิญยิงข้าพเจ้าได้. นายขมังธนูเหล่านั้นรับว่า ดีแล้ว จึงยิงลูกธนูไปพร้อมกัน
พระมหาสัตว์เอาลูกศรปัดลูกธนูเหล่านั้นให้ตกลงโดยแนบเนียน เหมือนแวดวง
ซุ้มโพธิพฤกษ์ ซัดดอกธนูไปตามดอกธนู ตัวลูกธนูไปตามลูกธนู พู่ลูกธนู
ไปตามพู่ลูกธนู ไม่ให้ก้าวก่ายกัน ได้กระทำดุจเป็นห้องลูกธนู จนลูกธนูของ
นายขมังธนูทั้งหมดหมดสิ้น. พระมหาสัตว์รู้ว่า ลูกธนูของพวกนายขมังธนู
หมดแล้ว ไม่ยังห้องลูกธนูให้ทลาย กระโดดขึ้นไปยืนเฝ้าอยู่ใกล้ๆ พระราชา.
มหาชนต่างโห่ร้องบันลือ ปรบมือเกรียวกราว ดีดนิ้วมือ ทำมหาโกลาหล
โยนผ้าและเครื่องอาภรณ์ขึ้นไป จนมีทรัพย์นับได้ถึง 18 โกฏิ เป็นกองอยู่
อย่างนี้. ลำดับนั้น พระราชาจึงตรัสถามโชติปาลกุมารว่า ดูก่อนพ่อโชติปาละ
นี่ชื่อศิลปะอะไร ? กราบทูลว่า ขอเดชะ ชื่อสรปฏิพาหนะ เครื่องห้ามลูกศร
พระพุทธเจ้าข้า. ตรัสถามว่า คนอื่น ๆ ผู้รู้อย่างนี้มีหรือ ? ทูลว่า ขอเดชะ
เว้นข้าพระพุทธเจ้าเสียแล้ว คนอื่นในชมพูทวีปทั้งสิ้นไม่มีเลย พระพุทธเจ้าข้า.
ตรัสว่า พ่อโชติปาละ เจ้าจงแสดงศิลปะอื่นบ้าง. กราบทูลว่า ขอเดชะ
ถ้านายขมังธนูทั้งสี่นาย ยืนอยู่ที่มุมทั้งสี่ ไม่สามารถจะยิงข้าพระพุทธเจ้าได้ไซร้

แต่ข้าพระพุทธเจ้าจักยิงพวกนี้ ซึ่งยืนอยู่ ณ มุมทั้งสี่ด้วยลูกธนูลูกเดียวเท่านั้น
พวกนายขมังธนูไม่กล้าพอ ที่จะยืนอยู่ได้.
พระมหาสัตว์จึงให้ปักต้นกล้วยไว้ที่มุมทั้งสี่ สี่ต้นแล้วผูกด้ายแดงที่ตัว
ลูกธนู ยิงไปหมายกล้วยต้นหนึ่ง ลูกธนูแทงกล้วยต้นที่หนึ่ง ทะลุไปถึงต้น
ที่สองที่สามที่สี่ แล้วทะลุถึงต้นแรกที่แทงแล้วออกมาตั้งอยู่ในมือตามเดิม.
ต้นกล้วยทั้งหลายอันด้ายร้อยแล้ว ยังตั้งอยู่ได้. มหาชนบันลือเสียงสนั่นหวั่น-
ไหว นับเป็นพัน. พระราชาตรัสถามว่า นี้ชื่อศิลปะอะไรพ่อ ? พระมหาสัตว์
ทูลตอบว่า ขอเดชะ. ชื่อจักกวิทธศิลปะแทงจักร พระพุทธเจ้าข้า. พระราชา
ตรัสว่า เจ้าจงแสดงศิลปะแม้อย่างอื่นเถิดพ่อ. พระมหาสัตว์จึงแสดงศิลปะชื่อ
สรลัฏฐิ คือศิลปะไม้เท้าแล้วด้วยลูกศร ชื่อสรรัชชุ คือศิลปะรูปเชือกแล้วด้วย
ลูกศร ชื่อสรเวณิ คือศิลปะมวยผมแล้วด้วยลูกศร ชื่อสรปาสาทะ คือศิลปะ
รูปปราสาทลูกศร ชื่อสรมัณฑปะ คือศิลปะรูปมณฑปลูกศร ชื่อสรโสปาณะ
คือศิลปะรูปบันไดลูกศร ชื่อสรมัณฑละ คือศิลปะรูปสนามแล้วด้วยลูกศร
ชื่อสรปาการะ คือศิลปะรูปกำแพงแล้วด้วยลูกศร ชื่อสรวนะ คือศิลปะรูปป่า
แล้วด้วยลูกศร ชื่อสรโปกขรณี คือศิลปะรูปสระโบกขรณีแล้วด้วยลูกศร ชื่อ
สรปทุมะ คือศิลปะรูปดอกบัวแล้วด้วยลูกศร ยังศิลปะชื่อสรปุปผะ คือรูป
ดอกไม้แล้วด้วยลูกศรให้บาน ยังศิลปะชื่อ สรวัสสะ คือรูปฝนแล้วด้วยลูกศร
ให้ตก. ครั้นพระมหาสัตว์แสดงศิลปะสิบสองอย่างเหล่านี้ อันไม่ทั่วไปด้วยชน
เหล่าอื่นอย่างนี้แล้ว ทำลายชุมนุมใหญ่เจ็ดครั้งอันไม่ทั่วไปด้วยชนเหล่าอื่นอีก.
พระมหาสัตว์ ยิงแผ่นไม้สะแกหนา 8 นิ้ว ยิงแผ่นไม้ประดู่หนา 4 นิ้ว ยิง
แผ่นทองแดงหนา 2 นิ้ว ยิงแผ่นเหล็กหนา 1 นิ้ว ยิงแผ่นกระดาน 100 ครั้ง
ให้ติดเนื่องเป็นอันเดียวกัน แล้วยิงลูกธนูไปทางเบื้องหน้าเกวียนบรรทุกใบไม้

เกวียนบรรทุกทราย และเกวียนบรรทุกแผ่นกระดาน ให้ทะลุออกทางเบื้องหลัง
ยิงลูกศรไปทางเบื้องหลัง ให้ทะลุออกไปโดยทางหน้า ยิงลูกธนูไปยังที่ 4
อุสภะในน้ำ 8 อุสภะบนบก ยิงขนทรายในที่สุดแห่งอุสภะ ด้วยสัญญาผลมะ-
แว้งเครือ. เมื่อโชติปาลกุมาร แสดงศิลปะมีประมาณเท่านี้อยู่ พระอาทิตย์
อัสดงคตไปแล้ว ลำดับนั้น พระราชา ตรัสสั่งให้กำหนดตำแหน่งเสนาบดีแก่เขา
ตรัสว่า พ่อโชติปาละ. วันนี้ค่ำเสียแล้ว พรุ่งนี้เจ้าจักได้รับสักการะคือตำแหน่ง
เสนาบดีเจ้าจงไปตัดผม โกนหนวด อาบน้ำแล้วมาเถิด ดังนี้แล้ว. ได้พระราชทาน
ทรัพย์แสนหนึ่งเพื่อเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงไปในวันนั้น.
พระมหาสัตว์คิดว่า เราไม่มีความต้องการด้วยทรัพย์จำนวนนี้ จึงคืน
ทรัพย์จำนวน 18 โกฏิ แก่พวกเจ้าของ แล้วไปอาบน้ำกับบริวารเป็นอันมาก
ให้ช่างตัด ผมโกนหนวด อาบน้ำประดับด้วยสรรพาลังการ แล้วเข้าไปยังเรือน
ด้วยสิริอันหาที่เปรียบมิได้ บริโภคโภชนะมีรสเลิศต่าง ๆ เสร็จแล้วขึ้นนอน
ยังที่นอนอันมีสิริ นอนตลอดสองยาม ตื่นในเวลาปัจฉิมยาม ลุกขึ้นนังคู้บัลลังก์
บนหลังที่นอน ตรวจดูเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุดแห่งศิลปะของตน พลาง
รำพึงว่า การยังผู้อื่นให้ตายย่อมปรากฏแต่ตอนต้นแห่งศิลปะของเรา การบริโภค
ใช้สอยด้วยอำนาจแห่งกิเลส ปรากฏในท่ามกลาง การปฏิสนธิในนรกปรากฏ
ในที่สุด ก็ปาณาติบาตกับความประมาท เพราะมัวเมายิ่งในการบริโภคใช้สอย
ด้วยอำนาจกิเลส ย่อมให้ซึ่งปฏิสนธิในนรก พระราชาทรงพระราชทานตำแหน่ง
เสนาบดีอันยิ่งใหญ่แก่เรา เราก็จักเป็นผู้มีอิสริยยศใหญ่ ภรรยาและบุตรธิดา
ก็จักมีมากมาย ก็วัตถุอันเป็นที่ตั้งของกิเลสอันถึงความไพบูลย์แล้ว เป็นของ
ละได้โดยยาก ควรที่เราจะออกไปสู่ป่าเพียงผู้เดียว แล้วบวชเป็นฤาษีเสียใน
บัดนี้ทีเดียว จึงลุกขึ้นจากที่นอนใหญ่ ไม่ให้ใครทราบลงจากปราสาท ออก

ทางประตูด้านอัครทวาร เข้าสู่ป่าลำพังผู้เดียว เดินมุ่งหน้าไปยังป่ามะขวิดใหญ่
สามโยชน์ ใกล้ฝั่งแม่น้ำโคธาวรี. ท้าวสักกเทวราชทรงทราบว่า โชติปาลกุมาร
นั้นออกแล้ว จึงตรัสเรียกวิสสุกรรมเทพบุตรมาตรัสสั่งว่า พ่อคุณ เจ้าโชติปาล-
กุมารออกอภิเนษกรมณ์จักมีสมาคมใหญ่ เธอจงไปเนรมิตอาศรมที่กปิฏฐวัน
ใกล้ฝั่งแม่น้ำโคธทรี และตระเตรียมบริขารของบรรพชิตไว้ให้เสร็จ. วิสสุ-
กรรมเทพบุตรนั้นได้กระทำตามเทวบัญชาทุกประการ.
พระมหาสัตว์ถึงสถานที่นั้นแล้ว เห็นทางมีรอยเดินได้คนเดียว คิดว่า
จะพึงมีสถานที่อยู่ของพวกบรรพชิตจึงเดินไปที่กปิฏฐวันตามทางนั้น ก็ไม่พบ
ใคร จึงเข้าไปสู่บรรณศาลา เห็นบริขารของพวกบรรพชิต คิดว่า ชะรอย
ท้าวสักกเทวราชจะทรงทราบว่า เราออกอภิเนษกรมณ์ จึงเปลื้องผ้าสาฎกออก
นุ่งห่มคากรองสีแดง กระทำหนังเสือเหลือง เฉวียงบ่าข้างหนึ่งมุ่นมณฑลชฎา
ยกหาบหนักข้างหนึ่งไว้บนบ่า ถือไม้เท้าคนแก่ ออกจากบรรณศาลา ขึ้นสู่ที่
จงกรมแล้ว จงกรมไป ๆ มาสิ้นวาระเล็กน้อย ยังป่าให้งดงามด้วยสิริคือบรรพชา
กระทำกสิณบริกรรม จำเดิมแต่กาลที่บวชแล้ว ในวันที่เจ็ดยังสมาบัติ 8
อภิญญา 5 ให้บังเกิด เป็นผู้มีผลหมากรากไม้ในป่าเป็นอาหาร ด้วยอุญฉา-
จาริยวัตร อยู่แต่ผู้เดียวเท่านั้น. มารดาบิดามิตรสหายเป็นต้น แม้พวกญาติ
ของโชติปาลกุมารนั้น เมื่อไม่เห็นโชติปาลกุมาร ต่างร่ำไห้ปริเทวนาการเที่ยวไป.
ลำดับนั้น พรานป่าคนหนึ่ง เข้าไปสู่ป่าพบพระมหาสัตว์ นั่งอยู่ใน
อาศรมบท ณ กปิฏฐวัน จำพระมหาสัตว์ได้ ทำการปฏิสัณฐานกับพระมหา-
สัตว์แล้ว กลับไปยังพระนคร บอกมารดาบิดาของท่านให้ทราบ. มารดาบิดา
ของพระมหาสัตว์ จึงกราบทูลให้พระราชาทรงทราบ พระราชาตรัสว่า มาเถิด
เราจักไปเยี่ยมโชติปาลดาบสนั้น แล้วพามารดาบิดาของท่าน แวดล้อมด้วย
มหาชน เสด็จถึงฝั่งแม่น้ำโคธาวรี ตามทางที่นายพรานแสดง. พระโพธิสัตว์

มายังฝั่งแม่น้ำ นั่งบนอากาศแสดงธรรม เชิญชนทั้งหมดเข้าไปสู่อาศรมนั่งบน
อากาศนั่นแล ประกาศโทษในกามทั้งหลาย แล้วแสดงธรรมแก่ชนเหล่านั้น
แม้ในที่นั้น. ชนทั้งหมดตั้งต้นแต่พระราชาไป พากันบวชสิ้น. พระโพธิสัตว์
มีหมู่ฤๅษีเป็นบริวาร อยู่ในที่นั้นแหละ ต่อมา ข่าวที่พระดาบสพำนักอยู่ ณ
ที่นั้น ได้แพร่สะพัดไปในชมพูทวีปทั้งสิ้น. พระราชาองค์อื่น ๆ พร้อมด้วย
ชาวแว่นแคว้น ก็พากันมาบวชในสำนักของพระโพธิสัตว์นั้น นับเป็นมหาสมาคม
ที่ยิ่งใหญ่ บริษัทแสนหนึ่ง มิใช่น้อยได้มีแล้วโดยลำดับ ผู้ใดตรึกกามวิตก
พยาบาทวิตกหรือวิหิงสาวิตกพระมหาสัตว์ก็ไปในที่นั้น นั่งบนอากาศแสดงธรรม
บอกกสิณบริกรรมข้างหน้าผู้นั้น. บริษัททั้งหลายตั้งอยู่ในโอวาทของพระมหา-
สัตว์ แล้วยังสมาบัติ 8 ให้เกิดขึ้น ถึงความสำเร็จในฌาน พระมหาสัตว์ได้มี
อันเตวาสิกผู้ใหญ่ถึงเจ็ดท่านคือ สาลิสสระ 1 เมณฑิสสระ 1 ปัพพตะ 1
กาลเทวละ 1 กีสวัจฉะ 1 อนุลิสสะ 1 นารทะ 1 ในเวลาต่อมา อาศรม
ในกปิฏฐวัน ก็เต็มบริบูรณ์. โอกาสที่อยู่ของหมู่ฤๅษีไม่พอเพียง.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ จึงเรียกท่านสาลิสสระ มาสั่งว่า ท่านสาลิสสระ
อาศรมนี้ไม่เพียงพอแก่หมู่ฤๅษี ท่านจงพาหมู่ฤๅษีนี้เข้าไปอาศัย ลัมพจูลกนิคม
ในแว่นแคว้นของพระเจ้าเมชฌราชอยู่เถิด.
สาลิสสระดาบสรับคำของพระมหาสัตว์ว่า สาธุ แล้วพาหมู่ฤๅษีพันเศษ
ไปอยู่ในลัมพจูลกนิคมนั้น. เมื่อมนุษย์ทั้งหลายพากันมาบวชอยู่ อาศรมก็เต็ม
บริบูรณ์อีก. พระโพธิสัตว์จึงเรียกท่านเมณฑิสสระมาสั่งว่า ท่านเมณฑิสสระ
แม่น้ำชื่อสาโตทกานที ระหว่างเขตแดนสุรัฏฐชนบทมีอยู่ ท่านจงพาหมู่ฤๅษี
นี้ไปอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำสาโตทกานทีนั้นเถิด โดยอุบายนั้นแหละ พระโพธิสัตว์
เรียกปัพพตดาบสมาในวาระที่สามส่งไปว่า ท่านปัพพตะ ภูเขาชื่ออัญชนบรรพต

มีอยู่ในดงใหญ่ ท่านจงเข้าไปอาศัยอัญชนบรรพตนั้นอยู่เถิด. ในวาระที่สี่
พระโพธิสัตว์เรียกกาลเทวลดาบสมาสั่งไปว่า ท่านกาลเทวละ ในแคว้นอวันตี
ในทักขิณาชนบท มีภูเขาชื่อฆนเสลบรรพต ท่านจงเข้าไปอาศัยฆนเสลบรรพต
นั้นอยู่เถิด อาศรมในกปิฎฐวันก็เต็มบริบูรณ์อีก ในสถานที่ทั้ง 5 แห่งได้มี
หมู่ฤาษีจำนวนแสนเศษ ส่วนกีสวัจฉดาบส อำลาพระมหาสัตว์ เข้าไปอาศัย
ท่านเสนาบดีอยู่ในพระราชอุทยาน ในกุมภวตีนคร แว่นแคว้นของพระเจ้า
ทัณฑกีราช. ท่านนารทดาบส ไปอยู่ที่เวิ้งเขาชื่ออัญชนคิรีในมัชฌิมประเทศ
ส่วนอนุสิสสดาบสคงอยู่ในสำนักของพระมหาสัตว์นั่นเอง.
กาลครั้งนั้น พระเจ้าทัณฑกีราช ทรงถอดหญิงแพศยาคนหนึ่ง ซึ่งได้
สักการะแล้วจำกตำแหน่ง นางเที่ยวไปตามธรรมดาของตน เดินไปสู่พระราช
อุทยานพบท่านกีสวจัฉดาบส คิดว่า ดาบสผู้นี้คงจักเป็นคนกาลกรรณี เราจัก
ลอยตัวกลี ลงบทสรีระของดาบสผู้นี้ อาบน้ำก่อนจึงจักไป ดังนี้แล้ว จึงเคี้ยว
ไม้สีฟัน แล้วถ่มเขฬ่ะหนา ๆ ลงบนสรีระของท่านดาบสนั้น ก่อนที่อื่นทั้งหมด
แล้วถ่มลงไประหว่างชฎา แล้วโยนไม้สีฟันไปบนศีรษะของท่านกีสวัจฉดาบส
นั้นอีก ตนเองสนานเกล้าแล้วไป. ต่อมาพระราชาทรงระลึกถึงนางแล้วจัดการ
สถาปนาไว้ตามเดิม. นางเป็นคนหลงงมงาย ได้ทำความสำคัญว่า เพราะเรา
ลอยตัวกลีไว้บนสรีระของคนกาลกรรณี พระราชาจึงทรงสถาปนาเราไว้ใน
ตำแหน่งเดิม เราจึงกลับได้ยศอีก ต่อมาไม่นานนัก พระราชาก็ทรงถอดปุโรหิต
เสียจากฐานันดรศักดิ์. ปุโรหิตนั้นจึงไปยังสำนักของหญิงคณิกานั้น ถามว่า
เพราะเหตุไรท่านจึงได้ตำแหน่งคืน. ลำดับนั้น หญิงคณิกาจึงบอกว่า เพราะดิฉัน
ลอยกลีโทษ บนสรีระของคนกาลกรรณี ในพระราชอุทยาน. ปุโรหิตจึงไป
ลอยกลีโทษ บนสรีระของท่านกีวัจฉดาบส อย่างนั้นเหมือนกัน พระราชา
ก็กลับทรงสถาปนาแม้ปุโรหิตนั้นไว้ในฐานันดรอีก.

ในเวลาต่อมา ปลายพระราชอาณาเขตของพระเจ้าทัณฑกีราชนั้นเกิด
จลาจล. ท้าวเธอแวดล้อมไปด้วยองคเสนา เสด็จออกเพื่อยุทธนาการ ลำดับนั้น
ปุโรหิตผู้หลงงมงาย ทูลถามพระราชาว่า ขอเดชะ พระมหาราชเจ้า พระองค์
ทรงปรารถนาชัยชนะ หรือว่าความปราชัย เมื่อพระราชาตรัสตอบว่า ปรารถนา
ชัยชนะ จึงกราบทูลว่า ถ้าเช่นนั้น คนกาลกรรณีอยู่ในพระราชอุทยาน
พระองค์จงโปรดให้ลอยกลีโทษที่สรีระของคนกาลกรรณีนั้นแล้วเสด็จไปเถิด.
พระราชาเชื่อถ้อยคำของปุโรหิต ตรัสว่า ผู้ใดเมื่อจะไปกับเรา จงพากันไป
ลอยกลีโทษที่สรีระของคนกาลกรรณีเสียในพระราชอุทยาน แล้วเสด็จเข้าไปยัง
พระราชอุทยาน ทรงเคี้ยวไม้สีฟัน แล้วพระองค์เองทรงบ้วนเขฬะ และโยน
ไม้สีฟันลงในระหว่างชฎา ของท่านกีสวัจฉดาบสนั้นก่อนใคร ๆ ทั้งหมด
แล้วทรงสรงสนานเกล้า แม้พลนิกายของพระองค์ ก็ได้กระทำอย่างนั้น เมื่อ
พระราชาเสด็จหลีกไปแล้ว เสนาบดีมาพบพระดาบสแล้ว เก็บไม้สีฟันเป็นต้น
ทิ้ง ให้สรงสนานเป็นอย่างดี แล้วเรียนถามว่า ท่านขอรับ อะไรจักมีแก่พระราชา.
กีสวัจฉดาบสตอบว่า ขอเจริญพร ความคิดประทุษร้าย ไม่มีในใจอาตมา
แต่เทพยดาฟ้าดินพิโรธ นับแต่นี้ไปเจ็ดวัน จักกระทำแว่นแคว้นทั้งสิ้นให้ป่นปี้
ท่านจงหนีไปอยู่ที่อื่นโดยเร็วเถิด. เสนาบดีนั้นสะดุ้งตกใจกลัว จึงไปกราบทูล
พระราชาให้ทรงทราบ. พระเจ้าทัณฑกีราช ทรงฟังถ้อยคำเสนาบดีแล้ว ก็มิได้
ทรงเชื่อถือ เสนาบดีนั้นจึงกลับไปยังเรือนของตน พาบุตรภรรยาหนีไปสู่แคว้น
อื่น ท่านสรภังคดาบสผู้ศาสดาจารย์ รู้เหตุนั้น แล้วส่งดาบสหนุ่มไปสองรูป
ให้เอามัญจสีวิกาหามท่านกีสวัจฉดาบสมาทางอากาศ. พระราชาทรงรบจับโจร
ได้แล้วเสด็จกลับไปยังพระนครทีเดียว. เมื่อพระราชาเสด็จมาแล้ว เทพยเจ้า
ทั้งหลายจึงบันดาลฝนให้ตกลงมาก่อน เมื่อศพทุกชนิดถูกห้วงน้ำฝนพัดไปอยู่
ฝนทรายล้วนก็ตกลง ฝนดอกไม้ทิพย์ตกลงบนยอดฝนทราย ฝนมาสกตกลง

บนยอดฝนดอกไม้ ฝนกหาปณะตกลงบนยอดฝนมาสก ฝนทิพพาภรณ์ตกลง
บนยอดกหาปณะ. มนุษย์ทั้งหลายถึงความโสมนัส เริ่มเก็บเงินทองและเครื่อง
อาภรณ์ ลำดับนั้น ฝนอาวุธอันโชติช่วงมีประการต่าง ๆ ตกลงเหนือสรีระของ
มนุษย์เหล่านั้น. มนุษย์ทั้งหลาย ขาดเป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่. ลำดับนั้น
ถ่านเพลิงปราศจากเปลวใหญ่โต ก็ตกลงเบื้องบนของมนุษย์เหล่านั้น ยอด-
บรรพตที่ลุกโพลงใหญ่โตตกลงเบื้องบนของมนุษย์เหล่านั้น ฝนทรายละเอียด
อันยังที่ประมาณ 60 โยชน์ให้เต็ม ตกลงเบื้องบนของมนุษย์เหล่านั้น สถานที่
60 โยชน์ มิได้เป็นรัฐมณฑลด้วยอาการอย่างนี้. ความที่แว่นแคว้นนั้นพินาศ
ไปอย่างนี้ ได้แพร่สะพัดไปในชมพูทวีปทั้งสิ้น.
ครั้งนั้น พระราชา 3 พระองค์ คือ พระเจ้ากาลิงคะ 1 พระเจ้า
อัฏฐกะ 1 พระเจ้าภีมรถ 1 ซึ่งเป็นใหญ่ในแคว้นติดต่อกันกับแคว้นนั้น
ทรงคิดกันว่า ได้ยินว่า ในปางก่อน พระเจ้ากลาพุกาสิราช ในพระนครพาราณสี
ประพฤติผิดในท่านขันติวาทีดาบส แล้วถูกแผ่นดินสูบ พระเจ้านาลิกีรราช
ให้สุนัขเคี้ยวกินพระดาบส และพระเจ้าอัชชุนะ ผู้ทรงกำลังแขนถึงพัน
ประพฤติผิดในท่านอังคีรสดาบส แล้วถูกแผ่นดินสูบเหมือนกัน ได้ยินว่า คราวนี้
พระเจ้าทัณฑกีราช ผิดในท่านกีสวัจฉดาบส แล้วถึงความพินาศพร้อมด้วย
แว่นแคว้น พวกเรายังไม่รู้สถานที่เกิดของพระราชาทั้งสี่เหล่านี้ เว้นท่าน
สรภังคศาสดาเสียแล้ว คนอื่นชื่อว่าสามารถ เพื่อจะบอกเรื่องนั้นแก่เราไม่มี
พวกเราจักเข้าไปถามปัญหาเหล่านั้น กษัตริย์ทั้ง 3 พระองค์เหล่านั้นพร้อม
ด้วยข้าราชบริพารเป็นอันมาก ต่างก็เสด็จออกเพื่อจะถามปัญหา แต่พระราชา
ทั้งสามนั้น มิได้ทรงทราบว่า แม้พระราชาองค์โน้น ก็เสด็จออกแล้ว ต่างทรง
สำคัญว่า เราไปเพียงผู้เดียวเท่านั้น สมาคมแห่งกษัตริย์เหล่านั้น ได้มีไม่ไกล

จากแม่น้ำโคธาวรี พระราชาเหล่านั้น เสด็จลงจากรถแต่ละคันแล้ว เสด็จขึ้น
รถคันเดียวกันไป ทั้งสามพระองค์ถึงยังฝั่งแม่น้ำโคธาวรี ขณะนั้นท้าวสักก-
เทวราชประทับนั่งเหนือพระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ทรงคิดปัญหา 7
ข้อ แล้วทรงรำพึงว่า เว้นท่านสรภังคศาสดาเสียแล้ว คนอื่นในมนุษยโลก
พร้อมทั้งเทวโลก ที่ชื่อว่าสามารถเพื่อจะแก้ปัญหานี้ไม่มี เราจักถามปัญหา
เหล่านี้กะท่านสรภังคศาสดานั้น พระราชาทั้ง 3 องค์แม้เหล่านั้น มาถึงฝั่ง
แม่น้ำโคธาวรี ก็เพื่อจะถามปัญหากะท่านสรภังคศาสดา เราเองจักเป็นผู้ถาม
แม้ปัญหาของพระราชาเหล่านั้น อันเหล่าเทวดาในเทวโลกทั้งสองแวดล้อมแล้ว
เสด็จลงจากเทวโลก ในวันนั้นเอง ท่านกีสวัจฉดาบส ก็ได้ทำกาลกิริยาลง พระ
ฤๅษีทั้งหลายพันเศษ ในที่ทั้งสี่ ก็มาในที่นั้นเหมือนกัน เพื่อทำการปลงศพ
ของท่านกีสวัจฉดาบสนั้น แล้วให้ทำมณฑปไว้ และหมู่ฤๅษีพันเศษในที่ทั้ง 5
ช่วยกันทำจิตกาธารด้วยไม้จันทน์ เพื่อตั้งสรีระของท่านกีสวัจฉดาบส แล้ว
ช่วยกันเผาสรีระศพ ฝนดอกโกสุมทิพย์ ตกลงในสถานที่ประมาณกึ่งโยชน์รอบ
สุสาน พระมหาสัตว์ให้จัดการเก็บสรีรธาตุ ของท่านกีสวัจฉดาบสแล้วเข้าไปสู่
อาศรม แวดล้อมไปด้วยหมู่ฤๅษีเหล่านั้นนั่งอยู่ ในกาลเมื่อพระราชาเหล่านั้น
มาถึงฝั่งนที เสียงแห่งกองทัพใหญ่ เสียงพาหนะ และเสียงดนตรีได้มีแล้ว
พระมหาสัตว์ได้สดับเสียงนั้น จึงเรียกอนุสิสสดาบสมาสั่งว่า พ่อคุณ เธอช่วย
ไปดูก่อนเถิด นั่นเป็นเสียงอะไร ? ท่านอนุสิสสดาบส จึงถือหม้อตักน้ำไป
ในที่นั้น พบพระราชาทั้ง 3 องค์ จึงกล่าวคาถาที่ 1 โดยเป็นคำถามความว่า
ท่านทั้งหลายผู้ประดับแล้ว สอดใส่กุณฑล นุ่ง
ห่มผ้างดงาม เหน็บพระขรรค์มีด้ามประดับด้วยแก้ว
ไพฑูรย์ และแก้วมุกดา เป็นจอมพลรถยืนอยู่ เป็น
ใครกันหนอ ชนทั้งหลายในมนุษยโลก จะรู้จักท่าน
ทั้งหลายอย่างไร ?

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เวฬุริยมุตฺตา กรุขคฺคพนฺธา ความว่า
ประกอบไปด้วยพระขรรค์แก้ว มีด้ามประดับด้วยแก้วไพฑูรย์ และพู่พวงแก้ว
มุกดา. บทว่า ติฏฺฐถ ความว่า ท่านทั้งหลายยืนอยู่ในรถคันเดียวกัน. บทว่า
เก นุ ความว่า พวกท่านคือใคร คนในมนุษยโลก รู้จักพวกท่านได้อย่างไร ?
กษัตริย์ทั้งสาม สดับคำของพระดาบสแล้ว เสด็จลงจากรถถวายนมัส-
การแล้ว ประทับยืนอยู่. ในกษัตริย์ทั้ง 3 นั้น พระเจ้าอัฏฐกราช เมื่อจะ
ทรงสนทนากับท่านอนุสิสสดาบส จึงตรัสคาถาที่ 2 ความว่า
ข้าพเจ้าเป็นกษัตริย์ ชื่ออัฏฐกะ ท่านผู้นี้ คือ
พระเจ้าภีมรถะ ส่วนท่านผู้นี้คือ พระเจ้ากาลิงคราช
มีพระเดชฟุ้งเฟื่อง ข้าพเจ้าทั้งหลายมาในที่นี้ เพื่อเยี่ยม
ท่านฤๅษีทั้งหลายผู้สำรวมด้วยดี และเพื่อจะขอถาม
ปัญหา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุคฺคโต ความว่า เป็นผู้ปรากฏขจรไป
ดุจพระจันทร์และพระอาทิตย์. บทว่า สุสญฺญตานํ อิสีนํ ความว่า (พระ-
เจ้าอัฏฐกราชตรัสว่า) ท่านขอรับ พวกข้าพเจ้า จะมาเพื่อเล่นกีฬาในป่าก็หา
มิได้ ที่แท้พวกข้าพเจ้ามาในที่นี้ ก็เพื่อจะเยี่ยมท่านฤๅษีผู้มีศีล สำรวมดีแล้ว
ด้วยกายเป็นต้น. บทว่า ปุจฺฉิตาเยนมฺห ปญฺเห ความว่า เป็นผู้มาแล้ว
เพื่อเรียนถามปัญหากะท่านสรภังคศาสดา บัณฑิตควรทราบว่า อักษร ทำ
การเชื่อมกับพยัญชนะ.
ลำดับนั้น ดาบส จึงทูลพระราชาเหล่านั้นว่า ขอถวายพระพร พระ
มหาราชเจ้า ดีแล้ว พระองค์ท่านทั้งหลายเป็นผู้เสด็จมาในสถานที่ ซึ่งควรมา
โดยแท้ ถ้าเช่นนั้น ขอเชิญสรงสนานแล้วเสด็จไปยังอาศร ทรงไหว้หมู่ฤๅษี

แล้วตรัสถามปัญหากะท่านศาสดาเถิด ครั้นทำปฏิสัณฐานกับพระราชาเหล่านั้น
แล้ว จึงยกหม้อน้ำขึ้น เช็ดหยาดน้ำพลางแลดูอากาศ เห็นท้าวสักกเทวราช
แวดล้อมด้วยหมู่เทพยเจ้า เสด็จเหนือคอช้างเอราวัณตัวประเสริฐ กำลังเสด็จมา
เมื่อจะสนทนากับท้าวสักกเทวราชนั้น จึงกล่าวคาถาที่ 3 ความว่า
ท่านเหาะลอยอยู่ในอากาศเวหา ดังพระจันทร์
ลอยเด่นอยู่ ท่ามกลางท้องฟ้าในวันเพ็ญ 15 ค่ำฉะนั้น
ดูก่อนเทพยเจ้า อาตมาภาพขอถามท่านผู้มีอานุภาพ
มาก ชนทั้งหลายในมนุษยโลก จะรู้จักท่านได้อย่างไร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เวหาสยํ ความว่า ท่านเหาะขึ้นไปลอย
อยู่ในกลางหาว คือบนอากาศ. บทว่า ปถทฺธุโน ความว่า เหมือนพระ
จันทร์ อันไปสู่คลองอันไกล คือตั้งอยู่ในท่ามกลางอัมพร อันเป็นแดนไกล
ฉะนั้น.
ท้าวสักกเทวราชทรงสดับดังนั้น จึงตรัสคาถาที่ 4 ความว่า
ในเทวโลกเขาเรียกข้าพเจ้าว่า สุชัมบดี ในมนุษย-
โลกเขาเรียกข้าพเจ้าว่า ท่านมฆวา ข้าพเจ้านั้น คือ ท้าว
เทวราช วันนี้มาถึงที่นี่ เพื่อขอเยี่ยมท่านฤๅษีทั้งหลาย
ผู้สำรวมแล้ว ด้วยดี.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ส เทวราชา ท้าวสักกเทวราชตรัสว่า
ข้าพเจ้านั้น คือท้าวสักกเทวราช. บทว่า อิทมชฺช ปตฺโต ความว่า มาสู่
สถานที่นี้ ในบัดนี้. บทว่า ทสฺสนาย ความว่า เพื่อจะเยี่ยมเยียนกราบ
นมัสการ และเพื่อถามปัญหากะท่านสรภังคศาสดาด้วย.

ลำดับนั้น ท่านอนุลิสสดาบส จึงทูลท้าวสักกเทวราชว่า ดีละพระ
มหาราชเจ้า พระองค์โปรดเสด็จมาภายหลัง ดังนี้แล้ว ถือหม้อน้ำเข้าไปสู่
อาศรม เก็บหม้อน้ำไว้แล้ว กราบเรียนความที่พระราชา 3 พระองค์ กับ
ท้าวสักกเทวราช เสด็จมาเพื่อจะตรัสถามปัญหา แก่พระมหาสัตว์เจ้า พระ
มหาสัตว์นั้นแวดล้อมด้วยหมู่ฤๅษี นั่งอยู่ ณ โรงอันกว้างใหญ่ พระราชาทั้ง
3 พระองค์เสด็จมาไหว้หมู่พระฤๅษี แล้วต่างประทับนั่ง ณ ที่ส่วนข้างหนึ่ง
ฝ่ายท้าวสักกเทวราชก็เสด็จลงมา แล้วเข้าไปหาหมู่ฤๅษี ประทับยืนประคอง
อัญชลี เมื่อทรงสรรเสริญหมู่ฤๅษี จึงถวายนมัสการ พลางตรัสคาถาที่ 5
ความว่า
พระฤๅษีทั้งหลายของข้าพเจ้า ผู้มีฤทธิ์มาก เข้า
ถึงซึ่งอิทธิคุณ มาประชุมพร้อมกันแล้ว ปรากฏในที่
ไกล ข้าพเจ้ามีจิตเลื่อมใส ขอไหว้พระคุณเจ้าทั้งหลาย
ผู้ประเสริฐกว่ามนุษย์ ในชีวโลกนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทูเร สุตา โน ความว่า เมื่อท้าวสักก
เทวราช จะทรงแสดงความนับถือ จึงตรัสอย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่าน
ทั้งหลาย อันพวกข้าพเจ้าผู้สถิตอยู่ ณ เทวโลกแดนไกล ได้ยินได้ฟังแล้ว
มีคำอธิบายว่า พระฤๅษีทั้งหลายของพวกเรา ซึ่งมาประชุมกัน ณ ที่นี้ เหล่านี้
พวกข้าพเจ้าได้ยินแล้วในที่ไกล คือปรากฏระบือไปจนถึงพรหมโลก. บทว่า
มหิทฺธิกา ได้แก่ มีอานุภาพมาก. บทว่า อิทฺธิคุณูปปนฺนา ความว่า
ประกอบไปด้วยอิทธิคุณ 5 อย่าง. บทว่า อยิเร แปลว่า ในพระคุณเจ้า.
บทว่า เย ความว่า ข้าพเจ้าขอไหว้พวกท่านซึ่งเป็นผู้ประเสริฐสุด ในหมู่
มนุษย์ ในชีวโลกนี้.

ท้าวสักกเทวราช ตรัสสรรเสริญหมู่ฤๅษีอย่างนี้แล้ว เมื่อจะทรงหลีก
เสียซึ่งโทษแห่งการนั่ง 6 อย่าง จึงประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ลำดับนั้น
ท่านอนุสิสสดาบส เห็นท้าวสักกเทวราช ประทับนั่ง ณ ที่ใต้ลมแห่งหมู่ฤๅษี
จึงกล่าวคาถาที่ 6 ความว่า
กลิ่นแห่งฤๅษีทั้งหลาย ผู้บวชมานาน ย่อมออก
จากกายฟุ้งไปตามลมได้ ดูก่อนท้าวสหัสสเนตร เชิญ
มหาบพิตรถอยไปเสียจากที่นี่ ดูก่อนท้าวเทวราช
กลิ่นของฤๅษีไม่สะอาด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จิรทกฺขิตานํ ความว่า ของผู้บวชสิ้น
กาลนาน. บทว่า ปฏิกฺกมฺม ความว่า ขอพระองค์โปรดเสด็จหลีกไป คือ
โปรดถอยไปเสีย. บทว่า สหสฺสเนตฺต นี้ เป็นอาลปนะ. แท้จริง ท้าวสักกะ
ก็องค์เดียวนั่นเอง (แต่) ทรงเห็นเนื้อความที่อำมาตย์พันคนคิดกันแล้ว ฉะนั้น
จึงเรียกว่า ท้าวสหัสสเนตร. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ท้าวสหัสสเนตร เพราะ
เป็นผู้สามารถก้าวล่วงอุปจารแห่งการเห็น ของเหล่าเทวดาผู้มีเนตรพันดวง.
บทว่า อสุจิ ความว่า ชื่อว่า มีกลิ่นเหม็น เพราะอบอยู่ด้วยเหงื่อไคล และ
มลทินเป็นต้น อนึ่ง ท่านทั้งหลายเป็นผู้ใคร่ความสะอาด ด้วยเหตุนั้น กลิ่นนี้
ย่อมจะเบียดเบียนท่านทั้งหลาย.
ท้าวสักกเทวราช ทรงสดับดังนั้น จึงตรัสคาถาต่อไป ความว่า
กลิ่นแห่งฤๅษีทั้งหลายผู้บวชมานาน จงออก
จากกายฟุ้งไปตามลมเถิด ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ
ข้าพเจ้าทั้งหลายย่อมมุ่งหวังกลิ่นนั้น ดังพวงบุปผชาติ
อันวิจิตรมีกลิ่นหอม เพราะว่าเทวดาทั้งหลาย มิได้มี
ความสำคัญในกลิ่นนี้ ว่าเป็นปฏิกูล.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า คจฺฉตุ ความว่า กลิ่นของพระฤๅษี
ทั้งหลาย จงเป็นไปตามสะดวกเถิด. อธิบายว่า จงกระทบช่องจมูกของพวก
ข้าพเจ้าเถิด. บทว่า ปฏิกงฺขาม ความว่า พวกข้าพเจ้าต้องการคือปรารถนา.
บทว่า เอตฺถ ความว่า เทวดาทั้งหลายมิได้มีความสำคัญในกลิ่นนี้ว่าน่าเกลียด
เพราะพวกเทวดาทั้งหลายพากันรังเกียจคนทุศีลจำพวกเดียว หารังเกียจคนมี
ศีลไม่.
ก็แลครั้นท้าวเทวราชกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงตรัสว่า ข้าแต่ท่านอนุสิสส
ดาบสผู้เจริญ ข้าพเจ้ามาด้วยอุตสาหะใหญ่ เพื่อจะถามปัญหา ท่านโปรดทำ
โอกาสแก่ข้าพเจ้าด้วย. ท่านอนุสิสสดาบส ได้ฟังพระดำรัสของท้าวสักกะแล้ว
จึงลุกขึ้นจากอาสนะ. เพื่อจะยังหมู่ฤๅษีให้ทำโอกาส จึงกล่าวคาถาสองคาถา
ความว่า
ท้าวมฆวาฬ สุชัมบดีเทวราช องค์ปุรินททะ
ผู้เป็นใหญ่แห่งภูต มีพระยศ เป็นจอมแห่งทวยเทพ
ทรงย่ำยีหมู่อสูร ทรงรอคอยโอกาส เพื่อตรัสถามปัญหา.
บรรดาฤๅษีผู้เป็นบัณฑิตเหล่านี้ ณ ที่นี้ ใคร
เล่าหนอถูกถามแล้วจักพยากรณ์ปัญหาอันสุขุม ของ
พระราชาทั้ง 3 พระองค์ ผู้เป็นใหญ่ในหมู่มนุษย์ และ
ของท้าววาสวะ ผู้เป็นจอมแห่งทวยเทพได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุรินฺทโท เป็นต้น เป็นคุณนามของ
ท้าวสักกะนั่นเอง. แท้จริง เพราะท้าวสักกะนั้นให้ทานในก่อน จึงชื่อปุรินททะ
เพราะเป็นใหญ่ในหมู่ภูตนิกาย จึงชื่อ ภูตบดี เพราะถึงพร้อมด้วยบริวารจึง
ชื่อว่า มียศ เพราะเป็นอิสระยิ่ง จึงชื่อเทวานมินทะ เพราะทรงกระทำวัตรบท

เจ็ดประการด้วยดี จึงชื่อสักกะ ชื่อมฆวะ ด้วยสามารถนามในชาติก่อน เพราะ
เป็นพระสวามีของนางสุชาดา อสุรกัญญา จึงชื่อสุชัมบดี เพราะยังใจของ
ทวยเทพให้ยินดี จึงชื่อเทวราช. บทว่า โกเนว ตัดบทออกเป็น โก นุ เอว
แปลว่า ก็ใครเล่าหนอ ? บทว่า นิปุเณ ได้แก่ ปัญหาอันละเอียดสุขุม.
บทว่า รญฺญํ ได้แก่ ของพระราชาทั้งหลาย. อธิบายว่า อนุสิสสดาบสกล่าวว่า
บรรดาท่านฤๅษีผู้เป็นบัณฑิตเหล่านี้ ใครจักยึดพระทัยของพระราชาทั้งสี่องค์
เหล่านี้ แล้วกล่าวแก้ปัญหาอันละเอียดสุขุมได้ ท่านทั้งหลายจงทราบถึงผู้ที่
สามารถเพื่อจะกล่าวแก้ปัญหาของพระราชาเหล่านั้นเถิด.
หมู่ฤๅษีได้ยินดังนั้น จึงกล่าวว่า ดูก่อนท่านอนุสิสสะ ผู้นิรทุกข์
ท่านยืนพูดอยู่บนแผ่นดิน เหมือนไม่เห็นแผ่นดิน เว้นท่านสรภังคศาสดาเสีย
แล้ว คนอื่นใครเล่าจักเป็นผู้สามารถ เพื่อจะแก้ปัญหาของพระราชาเหล่านั้น
ได้ ดังนี้แล้ว จึงกล่าวคาถา ความว่า
ท่านสรภังคฤๅษีผู้เรืองตบะนี้ เว้นจากเมถุน-
ธรรมตั้งแต่เกิดมา เป็นบุตรของปุโรหิตาจารย์ ได้รับ
ฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ท่านจักพยากรณ์ปัญหาของ
พระราชาเหล่านั้นได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สรภงฺโค ความว่า พระฤๅษียิงลูกธนู
แล้ว แสดงศิลปะ เช่น สรปาการศิลปะเป็นต้นในอากาศ แล้วทำให้แยกหัก
ไป ดุจยังลูกศรเหล่านั้นให้ตกไป โดยธนูลูกเดียวอีก ฉะนั้น จึงชื่อว่า สรภังคะ.
บทว่า เมถุนสฺมา ความว่า เว้นจากเมถุนธรรม. ได้ยินว่า ท่านยังมิได้เคย
เสพเมถุนธรรม มาบวชแล้ว. บทว่า อาจริยปุตฺโต ความว่า ท่านเป็นบุตร
ของปุโรหิต ผู้เป็นอาจารย์ของพระราชา.

ครั้นหมู่ฤๅษีกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงบอกอนุสิสสดาบสว่า ดูก่อนท่าน
ผู้นิรทุกข์ ท่านนั่นแหละจงไหว้ท่านศาสดา ขอให้ให้โอกาสเพื่อจะแก้ปัญหา
อันท้าวสักกเทวราชถาม ตามถ้อยคำของหมู่ฤๅษี. ท่านอนุสิสสดาบสรับคำแล้ว
ไหว้ท่านศาสดาเมื่อจะขอโอกาส จึงกล่าวคาถาลำดับต่อไปว่า
ข้าแต่ท่านโกณฑัญญะ ขอท่านได้โปรดพยากรณ์
ปัญหา ฤๅษีทั้งหลายผู้ยังประโยชน์ให้สำเร็จ พากัน
ขอร้องท่าน ข้าแต่ท่านโกณฑัญญะ ภาระนี้ย่อมมาถึง
ท่านผู้เจริญด้วยปัญญา ข้อนี้เป็นธรรมดาในหมู่มนุษย์.

พึงทราบวินิจฉัยในคาถานั้น ดังต่อไปนี้ อนุสิสสดาบสเรียกท่าน
สรภังคดาบส ว่า โกณฑัญญะ โดยโคตร. บทว่า ธมฺโม ได้แก่ สภาวธรรม.
บทว่า ยํ วุฑฺฒํ ความว่า อนุสิสสดาบสกล่าวว่า ชื่อว่า ภาระคือการวิสัชนา
ปัญหานี้ ย่อมมาถึงบุรุษผู้มีปัญญาอันเจริญ นั่นเป็นสภาวธรรมในหมู่มนุษย์
เพราะฉะนั้น ท่านโปรดแก้ปัญหาของท้าวเทวราชทำให้ปรากฏ เหมือนยัง
ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ ให้ตั้งขึ้นพันดวงฉะนั้น.
ลำดับนั้น เมื่อพระมหาบุรุษจะกระทำโอกาส จึงกล่าวคาถาเป็นลำดับ
ต่อไป ความว่า
มหาบพิตรผู้เจริญทั้งหลาย อาตมาภาพให้โอกาส
แล้ว เชิญตรัสถามปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่ง ตาม
พระหฤทัยปรารถนาเถิด ก็อาตมาภาพรู้โลกนี้และโลก
หน้าด้วยตนเองแล้ว จักพยากรณ์ปัญหานั้น ๆ แก่
มหาบพิตรทั้งหลาย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยํ กิญฺจิ ความว่า ท่านสรภังคดาบส
ปวารณาซึ่งสัพพัญญูปวารณาว่า ท่านมหาบพิตรผู้เจริญทั้งหลาย เชิญตรัสถาม

ปัญหาที่ใจของพวกท่านปรารถนา หรือแม้ของมนุษยโลก พร้อมทั้งเทวโลก
ปรารถนากะเราเถิด เพราะเราทำให้แจ้งซึ่งโลกนี้และโลกหน้า ด้วยปัญญา
ตนเองแล้ว จักแก้ปัญหาทั้งหมดนั้น อันอาศัยโลกนี้ หรือโลกเบื้องหน้า
แก่ท่านทั้งหลาย ทั้งหมดโดยสิ้นเชิง.
เมื่อท่านสรภังคดาบสทำโอกาสอย่างนี้แล้ว ท้าวสักกเทวราชจึงตรัส
ถามปัญหาที่พระองค์เตรียมมา.
เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น พระศาสดาจึงตรัสพระคาถา ความว่า
ลำดับนั้น ท้าวมฆวาฬสักกเทวราชปุรินททะ
ทรงเห็นประโยชน์ ได้ตรัสถามปัญหาอันเป็นปฐม
ดังที่พระทัยปรารถนาว่า
บุคคลฆ่าซึ่งอะไรสิ จึงจะไม่โศกเศร้าในกาล
ไหน ๆ ฤๅษีทั้งหลาย ย่อมสรรเสริญการละอะไร
บุคคลพึงอดทนคำหยาบ ที่ใคร ๆในโลกนี้กล่าวแล้ว
ข้าแต่ท่านโกณฑัญญะ ขอท่านได้โปรดบอกความข้อนี้
แก่โยมเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยญฺจาสิ ความว่า ในปัญหานั้น สิ่งใด
เป็นข้อที่ทรงปรารถนาด้วยใจ ท้าวสักกเทวราชก็ตรัสถามสิ่งนั้น. บทว่า เอตํ
ความว่า ท้าวสักกเทวราชตรัสว่า ท่านโปรดบอกเนื้อความซึ่งข้าพเจ้าถามแล้ว
แก่ข้าพเจ้าเถิด. ท้าวสักกเทวราชตรัสถามปัญหาสามข้อ ด้วยพระคาถา 1
คาถา.
เบื้องหน้าแต่นั้น เมื่อพระมหาสัตว์พยากรณ์ จึงกล่าวคาถา ความว่า

บุคคลฆ่าความโกรธได้แล้ว จึงจะไม่เศร้าโศก
ในกาลไหน ๆ ฤๅษีทั้งหลายย่อมสรรเสริญการละ
ความลบหลู่ บุคคลควรอดทนคำหยาบที่ชนทั้งปวง
กล่าว สัตบุรุษทั้งหลายกล่าวความอดทนนี้ ว่าสูงสุด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โกธํ วธิตฺวา ความว่า บุคคลฆ่าความ
โกรธได้แล้ว. แท้จริง เมื่อคนเราจะเศร้าโศก ย่อมเศร้าโศกเพราะจิตมีปฏิฆะ
อย่างเดียว เพราะไม่มีความโกรธ ความโศกจะมีมาแต่ไหน ด้วยเหตุนั้น
ท่านสรภังคดาบสจึงกล่าวว่า ย่อมไม่เศร้าโศกในกาลทุกเมื่อ. บทว่า มกฺขปฺป-
หานํ
ความว่า ฤๅษีทั้งหลายสรรเสริญการละเสียซึ่งความลบหลู่ อันมีการ
ลบหลู่คุณที่ผู้อื่นทำแล้วแก่ตนเป็นลักษณะ กล่าวคือความเป็นคนอกตัญญู.
บทว่า สพฺเพสํ ความว่า บุคคลควรอดทนคำหยาบคาย แม้ของคนทุก
ประเภท ทั้งคนชั้นต่ำ ชั้นกลาง และชั้นสูง. บทว่า สนฺโต ความว่า
โปราณกบัณฑิตทั้งหลายกล่าวไว้อย่างนี้.
ท้าวสักกเทวราช ตรัสถามเป็นคาถา ความว่า
บุคคลอาจจะอดทนถ้อยคำของคนทั้งสองจำพวก
ได้ คือคนที่เสมอกัน 1 คนที่ประเสริฐกว่าตน 1 จะ
อดทนถ้อยคำของคนเลวกว่าได้อย่างไรหนอ ข้าแต่
ท่านโกณฑัญญะ ขอท่านได้โปรดบอกความข้อนี้แก่
โยมเถิด.

ท่านสรภังคดาบส ทูลตอบเป็นคาถา ความว่า
บุคคลพึงอดทนถ้อยคำของคนผู้ประเสริฐกว่าได้
เพราะความกลัว พึงอดทนถ้อยคำของคนที่เสมอกันได้

เพราะการแข่งขันเป็นเหตุ ส่วนผู้ใดในโลกนี้ พึง
อดทนถ้อยคำของคนที่เลวกว่าได้ สัตบุรุษทั้งหลาย
กล่าวความอดทนของผู้นั้นว่าสูงสุด.

คาถาสองคาถา มีอาทิดังกล่าวมาแล้วอย่างนี้ พึงทราบว่าเกี่ยวเนื่องกัน
ด้วยสามารถแห่งการถามและการตอบ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อกฺขาหิ เม ความว่า เมื่อท้าวสักกเทวราช
จะดำรัสถาม จึงตรัสอย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่านโกณฑัญญโคตรผู้เจริญ ปัญหาสองข้อ
ท่านแก้ดีแล้ว ยังไม่จับใจของข้าพเจ้าอยู่ข้อเดียว คือคนเราสามารถจะอดกลั้น
ถ้อยคำของคนที่เลวกว่าตนได้อย่างไร ท่านโปรดบอกความข้อนั้นแก่ข้าพเจ้า.
บทว่า เอตํ ขนฺตึ ความว่า การอดทนต่อถ้อยคำของคนที่ต่ำกว่าโดยชาติ
และโคตรเป็นต้นอันใด โบราณกบัณฑิตทั้งหลายกล่าวการอดทนนั้นว่า สูงสุด.
ส่วนการอดทนต่อถ้อยคำของคนที่สูงกว่าด้วยชาติเป็นต้น เพราะกลัวต่อถ้อยคำ
ของคนเสมอกัน เพราะเห็นโทษในการแข่งดี อันมีการทำให้ยิ่งกว่าเป็นลักษณะ
นี้หาชื่อว่า อธิวาสนขันตีไม่.
เมื่อพระมหาสัตว์กล่าวอย่างนี้แล้ว ท้าวสักกเทวราช จึงตรัสกะพระ-
มหาสัตว์ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ทีแรกท่านพูดว่า คนเราควรอดทนคำหยาบคาย
ของคนทุกจำพวก โบราณกบัณฑิตกล่าวความอดทนนั้นว่า สูงสุดดังนี้ เดี๋ยวนี้
กลับพูดว่า ผู้ใดในโลกนี้ อดทนถ้อยคำของคนที่ต่ำกว่าได้ ท่านกล่าวความ
อดทนของผู้นั้นว่า สูงสุดดังนี้ คำของท่านที่มีในภายหลัง ไม่สมกับคำพูดที่มี
ในครั้งก่อน. ลำดับนั้น พระมหาสัตว์จึงกล่าวกะท้าวสักกะว่า ดูก่อนท้าวสักกะ
คำหลังอาตมากล่าวด้วยสามารถแห่งบุคคลผู้รู้ว่า ผู้นี้เป็นคนเลว แล้วอดกลั้น
คำหยาบของเขาได้ ก็เพราะความที่สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้ประเสริฐเป็นต้น ใครๆ

ไม่สามารถจะรู้ได้เพียงเห็นรูปร่าง ฉะนั้นจึงกล่าวคำแรกไว้ เมื่อจะประกาศ
ความที่สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้ประเสริฐเป็นต้น เป็นข้อรู้ได้ยาก ด้วยอาการเพียง
เห็นรูปร่าง เว้นแต่การอยู่ร่วมกันของสัตว์ทั้งหลาย จึงกล่าวคาถา ความว่า
ไฉนจึงจะรู้จักคนประเสริฐกว่า คนที่เสมอกัน
หรือคนที่เลวกว่า ซึ่งมีสภาพอันอิริยาบถ 4 ปกปิดไว้
เพราะว่า สัตบุรุษทั้งหลาย ย่อมเที่ยวไปด้วยสภาพของ
คนชั่วได้ เพราะเหตุนั้นแล จึงควรอดทนถ้อยคำของ
คนทั้งปวง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จตุมฏฺฐรูปํ ได้แก่ มีสภาพอันปกปิด
ไว้ด้วยอิริยาบถ 4. บทว่า วิรูปรูเปน ความว่า สัตบุรุษทั้งหลายผู้มีคุณ
อันสูงส่ง ย่อมเที่ยวไปโดยรูปแห่งบุคคลผู้ลามกผิดรูปได้. ก็ในความข้อนี้
ควรแสดงเรื่องของพระมัชฌันติกเถระ.
ท้าวสักกเทวราชทรงสดับดังนั้นแล้ว หมดความเคลือบแคลงสงสัย
อารธนาว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านโปรดแสดงอานิสงส์แห่งความอดทนนี้
แก่พวกข้าพเจ้าเถิด. ลำดับนั้น พระมหาสัตว์จึงกล่าวคาถาแก่ท้าวสักกเทวราช
ความว่า
สัตบุรุษผู้มีความอดทน พึงได้ผลคือความไม่
กระทบกระทั่ง เพราะการสงบระงับเวร เสนาแม้มาก
พร้อมด้วยพระราชาเมื่อรบอยู่ จะพึงได้ผลนั้น ก็หา
มิได้ เวรทั้งหลายย่อมระงับด้วยกำลังแห่งขันติ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอตมตฺถํ ได้แก่ ผลกล่าวคือความไม่
กระทบกระทั่ง เพราะยังเวรให้สงบนั้น.

เมื่อพระมหาสัตว์กล่าวคุณแห่งขันติอย่างนี้แล้ว พระราชาเหล่านั้น
ทรงพระดำริว่า ท้าวสักกเทวราชตรัสถามแต่ปัญหาของตน จักไม่ให้โอกาส
ถามแก่พวกเรา. ลำดับนั้น ท้าวสักกเทวราช ทรงทราบอัธยาศัยของพระราชา
เหล่านั้น จึงงดปัญหาที่พระองค์เตรียมมาเสีย 4 ข้อ เมื่อจะตรัสถามความสงสัย
ของพระราชาเหล่านั้น จึงตรัสคาถา ความว่า
ข้าพเจ้าขออนุโมทนาคำสุภาษิตของท่าน แต่จะ
ขอถามปัญหาอื่นๆกะท่าน ขอเชิญท่านกล่าวแก้ปัญหา
นั้น โดยมีพระราชา 4 พระองค์ คือ พระเจ้าทัณฑกี 1
พระเจ้านาลิกีระ 1 พระเจ้าอัชชุนะ 1 พระเจ้ากลาพุ
1 ขอท่านได้ไปรดบอกคติของพระราชาเหล่านั้น ผู้มี
บาปกรรมอันหนัก พระราชาทั้ง 4 องค์นั้นเบียดเบียน
พระฤๅษีทั้งหลาย พากันบังเกิด ณ ที่ไหน ?

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนุโมทยิมานา ความว่า ข้าพเจ้า
อนุโมทนาคำสุภาษิตนี้ของท่าน กล่าวคือการวิสัชนาปัญหา 3 ข้อที่ข้าพเจ้า
ถามแล้ว. บทว่า ยถา อหู ความว่า พระราชาทั้ง 4 ได้มีแล้ว (โดย
ประการใด). บทว่า กลาพุ จ ได้แก่ พระเจ้ากลาพุ 1. บทว่า อถชฺชุโน
ได้แก่ พร ะเจ้าอัชชุนะ 1.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ เมื่อจะวิสัชนาปัญหาของท้าวสักกเทวราช
ได้กล่าวคาถา 5 คาถา ความว่า
ก็พระเจ้าทัณฑกี ได้เรี่ยรายโทษลงในท่านกีส-
วัจฉดาบสแล้ว เป็นผู้ขาดสูญมูลราก พร้อมทั้งอาณา
ประชาราษฎร์ พร้อมทั้งรัฐมณฑล หมกไหม้อยู่ใน

นรกชื่อกุกกุละ ถ่านเพลิงอันปราศจากเปลว ย่อมตก
ต้องกายของพระราชานั้น.
พระเจ้านาลิกีระพระองค์ใด ได้เบียดเบียนบรรพ-
ชิตทั้งหลาย ผู้สำรวมแล้ว ผู้กล่าวธรรม สงบระงับ
ไม่ประทุษร้ายใคร สุนัขทั้งหลายในโลกหน้า ย่อมรุม
กันกัดกินพระเจ้านาลิกีระนั้น ผู้ดิ้นรนอยู่.
อนึ่ง พระเจ้าอัชชุนะ เป็นผู้มีพระเศียรห้อยลง
เบื้องต่ำ มีพระบาทชี้ขึ้นเบื้องสูง ลงในสัตติสูนรก
เพราะเบียดเบียนอังคีรสฤๅษีผู้โคดม ผู้มีความอดทน
มีตบะ ประพฤติพรหมจรรย์มานาน.
พระราชาทรงพระนามว่า กลาพุ พระองค์ใด
ได้เชือดเฉือนพระฤๅษีชื่อขันติวาที ผู้สงบระงับ ไม่
ประทุษร้ายให้เป็นท่อนๆ พระราชาพระนามว่า กลาพุ
พระองค์นั้น ได้บังเกิดหมกไหม้อยู่ในอเวจีนรก อัน
ร่อนใหญ่ มีเวทนาเผ็ดร้อนน่ากลัว.
บัณฑิตได้ฟังนรกเหล่านี้ และนรกเหล่าอื่น อัน
ชั่วช้ากว่านี้ ในที่นี้แล้ว ควรประพฤติธรรมในสมณ-
พราหมณ์ทั้งหลาย ผู้กระทำอย่างนี้ย่อมเข้าถึงแดน-
สวรรค์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กีสํ ความว่า สรีระของท่านดาบสชื่อกีสะ
เพราะเป็นผู้มีเนื้อและเลือดน้อย. บทว่า อวกฺรีย ความว่า พระเจ้าทัณฑกีราช
เรี่ยราย คือลอยกลีโทษลงในสรีระของท่านกีสดาบส ด้วยการถ่มเขฬะ และ

ทิ้งไม้สีฟันให้ตกลงไป. บทว่า อุจฺฉินฺนมูโล แปลว่า เป็นผู้ขาดสูญมูลราก.
บทว่า สชโน แปลว่า พร้อมด้วยบริษัท. บทว่า กุกฺกุลนาเม นิรยมฺหิ
ความว่าหมกไหม้อยู่ในนรกเถ้ารึง อันตั้งอยู่ในที่ประมาณสามร้อยโยชน์ตลอดกัป.
บทว่า ผุลฺลิงฺคา ได้แก่ ถ่านเพลิงอันปราศจากเปลว. ได้ยินว่า
เมื่อพระเจ้าทัณฑกีราชนั้นจมลงในกุกกุลนรกอันร้อนนั้น เถ้ารึงย่อมเข้าไปทาง
ทวารทั้งเก้า ถ่านเพลิงก้อนโต ๆ ตกลงบนศีรษะ ในกาลเมื่อถ่านเพลิงตกลง
บนศีรษะของพระราชานั้น สรีระทั้งสิ้นลุกโพลงเหมือนต้นไม้ติดเพลิงฉะนั้น
ทุกขเวทนามีกำลัง ย่อมเป็นไป พระราชานั้น เมื่อไม่สามารถจะอดกลั้นได้ ก็
ร้องเอ็ดอึงไป. ท่านสรภังคศาสดาแยกแผ่นดินออก แสดงให้เห็นพระราชา ซึ่ง
หมกไหม้อยู่ในกุกกุลนรกนั้นอย่างนั้น มหาชนก็ถึงความสะดุ้งกลัว พระมหาสัตว์
รู้ว่ามหาชนกลัวยิ่งนัก จึงบันดาลให้นรกนั้นอันตรธานไป.
บทว่า ธมฺมํ ภณนฺเต ความว่า ผู้กล่าวธรรมคือกุศลกรรมบถ 10.
บทว่า สมเณ ได้แก่ ท่านผู้ลอยบาปแล้ว. บทว่า อทูสเก ได้แก่ ผู้ไร้ความผิด.
บทว่า นาลิกีรํ ได้แก่ พระราชาผู้มีพระนามอย่างนี้. บทว่า ปรตฺถ
ความว่า ผู้บังเกิดแล้วในปรโลก คือ นรก. บทว่า สงฺคมฺม ความว่า
สุนัขทั้งหลายตัวใหญ่ ๆ มาจากทางโน้น ทางนี้ ประชุมกัน กัดกินพระเจ้า-
นาลิกีรราชนั้น.
ได้ยินว่า เมื่อพระราชาพระนามว่า นาลิกีรราช เสวยราชสมบัติอยู่ใน
ทันตปุรนคร ในกาลิงครัฐนั้น พระมหาดาบสองค์หนึ่งแวดล้อมด้วยดาบสห้า
ร้อยมาจากป่าหิมพานต์ พักอยู่ในพระราชอุทยาน แสดงธรรมแก่มหาชน. พวก
อำมาตย์กราบทูลพระราชาว่า ดาบสผู้มีธรรม อยู่ในพระราชอุทยาน ก็พระราชา
เป็นผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ครองราชย์โดยอธรรม. เมื่ออำมาตย์ทั้งหลายพากัน

สรรเสริญพระดาบส ท้าวเธอจึงทรงพระดำริว่า แม้เราก็จักฟังธรรม แล้ว
เสด็จไปยังพระราชอุทยาน ทรงไหว้พระดาบสแล้วประทับนั่งอยู่. พระดาบส
เมื่อจะทำปฏิสันฐานกับพระราชา จึงกราบทูลว่า ขอถวายพระพร มหาบพิตร
พระองค์ทรงครองราชย์โดยธรรมหรือ ไม่ทรงเบียดเบียนมหาชนดอกหรือ ?
พระราชาทรงกริ้วถ้อยคำของพระดาบส ทรงดำริว่า ตลอดกาลมีประมาณเท่านี้
ชะรอยชฎิลโกงนี้จะกล่าวแต่โทษของเราเท่านั้น ในสำนักของทวยนาคร
ช่างเถิด เราจักทำให้สาสม แล้วตรัสนิมนต์ว่า พรุ่งนี้ นิมนต์พวกท่านมายัง
ประตูวังของข้าพเจ้าดังนี้แล้ว ในวันรุ่งขึ้น จึงตรัสสั่งให้เอาคูถเก่า ๆ บรรจุตุ่ม
จนเต็ม เมื่อพวกดาบสมาแล้ว ตรัสสั่งให้เอาคูถใส่ภิกขาภาชนะของดาบสเหล่านั้น
จนเต็ม ให้ปิดพระทวารเสีย แล้วตรัสสั่งให้คนถือสาก และท่อนเหล็กทุบศีรษะ
ของพระฤๅษีทั้งหลาย ให้จับชฎาลากมาให้สุนัขกัดกิน จึงเข้าไปสู่แผ่นดินซึ่ง
แยกออก ณ ที่นั้น บังเกิดในสุนขมหานรก. สรีระของพระราชาในนรกนั้น
ได้มีสามคาวุต. ลำดับนั้น สุนัขทั้งหลายตัวโต ๆ ขนาดเท่าช้างอย่างใหญ่
มีวรรณะ 5 ประการ ติดตามกัดพระราชานั้น สลัดให้ล้มลง ณ แผ่นดินเหล็ก
อันลุกโพลง ประมาณเก้าโยชน์ แล้วทิ้งเอา ๆ จนเต็มปาก เคี้ยวกินพระราชา
ซึ่งดิ้นรนอยู่. พระมหาสัตว์แยกแผ่นดินออกเป็นสองภาค แล้วแสดงให้เห็น
นรกนั้น รู้ว่ามหาชนหวาดกลัว จึงบันดาลให้อันตรธานไป.
บทว่า อถชฺชุโน ได้แก่ พระราชาทรงพระนามว่า สหัสสพาหุ.
บทว่า องฺคีรสํ ได้แก่ ท่านอังคีรสผู้มีชื่ออย่างนี้ เพราะเปล่งรัศมีออกจาก
อวัยวะ. บทว่า เหฐยิตฺวา ความว่า พระราชาอัชชุนะเบียดเบียนท่าน
อังคีรส คือเอาเกาทัณฑ์อันอาบยาพิษ ยิงให้ถึงความตาย. ได้ยินว่า พระเจ้า
อัชชุนะนั้น เมื่อเสวยราชย์ในเกกราชธานี เขตมหิสกรัฐ เสด็จไปล่าเนื้อ

ครั้นฆ่าเนื้อได้แล้ว ก็ชอบประพฤติเสวยเนื้อสุกในถ่านเพลิง วันหนึ่ง พระองค์
ทรงทำซุ้มดักในสถานที่เนื้อจะมา ประทับยืนแลดูเนื้อทั้งหลายอยู่ คราวนั้น
ท่านอังคีรสดาบส ขึ้นอยู่บนต้นหมากเม่าต้นหนึ่งใกล้ ๆ พระราชานั้น กำลัง
เก็บผลไม้อยู่ ปล่อยกิ่งที่เก็บผลแล้วลงไป. เพราะเสียงกิ่งไม้ที่ท่านปล่อยไป
ฝูงเนื้อที่มาถึงสถานที่นั้นแล้ว จึงหนีไป. พระราชาทรงกริ้ว เอาลูกศรมียาพิษ
ยิงพระดาบส. พระดาบสตกกลิ้งลงมา ศีรษะกระแตกตอตะเคียน ทำกาลกิริยา
ลงที่ปลายหลาวแหลมนั่นเอง. ทันใดนั้น พระราชาก็เข้าไปสู่แผ่นดิน ซึ่งแยก
ออกเป็นสองภาค บังเกิดในสัตติสูลนรก. สรีระได้มีประมาณ 3 คาวุต นาย
นิรยบาลในนรกนั้น ทุบตีด้วยอาวุธอันลุกโพลง บังคับให้ขึ้นภูเขาเหล็กอัน
ลุกโพลง. ในเวลาที่พระราชานั้นสถิตเหนือยอดบรรพต ลมย่อมประหาร.
พระราชาก็พลัดตกลงด้วยลมพัด. ขณะนั้น หลาวเหล็กอันลุกโพลง ขนาดลำตาล.
อย่างใหญ่ผุดขึ้นภายใต้แผ่นดินเหล็กอันลุกโพลงหนาเก้าโยชน์. พระราชานั้น
เอาศีรษะกระแทกยอดปลายหลาวนั่นเอง แล้วถูกหลาวเสียบตรึงไว้ ขณะนั้น
แผ่นดินก็ลุกโพลง หลาวก็ลุกโพลง สรีระของพระราชานั้นก็ลุกโพลง พระราชา
ร้องเอ็ดอึง ถูกเผาไหม้อยู่ในนรกนั้น พระมหาสัตว์บันดาลให้แผ่นดินแยกออก
เป็นสองภาค แล้วชี้ให้เห็นนรกนั้น รู้ว่ามหาชนหวาดกลัว จึงบันดาลให้
อันตรธานไป.
บทว่า ขณฺฑโส ความว่า พระเจ้ากลาพุได้ให้เชือดเฉือนมือเท้าทั้ง 4
หูและจมูกของขันติวาทีดาบส ทำให้เป็นชิ้นน้อยชิ้นใหญ่. บทว่า อทูสกํ ได้แก่
ผู้หาความผิดมิได้. พระเจ้ากลาพุ ครั้นให้เชือดเฉือนอย่างนั้นแล้ว ตรัสสั่งให้
เฆี่ยนด้วยหวายเส้นควบสำหรับประหารพันที ให้จับชฎาดาบสคร่ามาให้นอนคู้
แล้วเอาพระปราษณีประหารที่หลัง ทำให้ถึงทุกขเวทนาใหญ่. บทว่า กลาพุวีจึ

ความว่า พระเจ้ากลาพุนั้นก็เข้าถึงอเวจีนรก. บทว่า กฏุกํ ความว่า เข้าถึง
นรกอันมีเวทนากล้า เห็นปานนี้ ถูกเผาไหม้อยู่ในระหว่างเปลวไฟทั้ง 6. อนึ่ง
เรื่องของพระเจ้ากลาพุ โดยพิสดาร ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วในขันติวาทีชาดก
นั่นเอง.
บทว่า อญฺญานิ ปาปิฏฺฐตรานิ เจตฺถ ความว่า กุลบุตรผู้เป็น
บัณฑิต ฟัง (นรกเหล่านั้น) และนรกอื่นอันหยาบช้ากว่านรกเหล่านี้. บทว่า
ธมฺมญฺจเร ความว่า ดูก่อนท้าวสักกเทวราช กุลบุตรผู้เป็นบัณฑิตรู้ชัดว่า
นรกทั้ง 4 เหล่านี้ และพระราชา 4 องค์เหล่านี้ บังเกิดในนรกทั้งสิ้นเท่านี้
ก็หามิได้ ที่แท้แม้นรกแม้อื่น และพระราชาแม้อื่น ก็บังเกิดแล้วในนรก
เหมือนกัน ดังนี้แล้ว พึงประพฤติธรรมในสมณพราหมณ์ คือถวายจตุปัจจัย
จัดการรักษาป้องกันโดยชอบธรรม.
เมื่อพระมหาสัตว์ แสดงสถานที่บังเกิดของพระราชาทั้งสี่อย่างนี้แล้ว
พระราชาทั้ง 3 พระองค์ ก็สิ้นความสงสัย. ต่อแต่นั้น ท้าวสักกเทวราช เมื่อจะ
ตรัสถามปัญหาที่เหลือ 4 ข้อต่อไป จึงตรัสคาถา ความว่า
ข้าพเจ้าขออนุโมทนาคำสุภาษิตของท่าน ขอ-
ถามปัญหาข้ออื่นกะท่าน ขอเชิญท่านกล่าวแก้ปัญหา
นั้นด้วย.
บัณฑิตเรียกคนเช่นไรว่ามีศีล เรียกคนเช่นไร
ว่ามีปัญญา เรียกคนเช่นไรว่าสัตบุรุษ สิริย่อมไม่ละคน
เช่นไรหนอ ?

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กตํวิธํ โน สิริ โน ชหาติ ความว่า
สิริ อันบุคคลได้แล้วย่อมไม่ละบุรุษเช่นไรกัน ?

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ เมื่อจะวิสัชนาปัญหาของท้าวสักกเทวราช
ได้กล่าวคาถา 4 คาถา ความว่า
บุคคลใดในโลกนี้ เป็นผู้สำรวมด้วยกาย วาจา
และใจ ไม่ทำบาปกรรมอะไร ๆ ไม่พูดพล่อย ๆ
เพราะเหตุแห่งตน บัณฑิตเรียกบุคคลเช่นนั้นว่าเป็นผู้
มีศีล.
บุคคลใด คิดปัญหาอันลึกซึ้งได้ด้วยใจ ไม่ทำ
กรรมอันหยาบช้า อันหาประโยชน์มิได้ ไม่ปิดทางแห่ง
ประโยชน์ อันมาถึงตามกาล บัณฑิตเรียกบุคคลเช่นนั้น
ว่ามีปัญญา.
บุคคลใดแล เป็นผู้มีความกตัญญูกตเวที มีปัญญา
มีกัลยาณมิตร และมีความภักดีมั่นคง ช่วยทำกิจของ
มิตรผู้ตกยาก โดยเต็มใจ บัณฑิตเรียกบุคคลเช่นนั้นว่า
สัตบุรุษ.
บุคคลใดประกอบด้วยคุณสมบัติทั้งปวงเหล่านี้
คือเป็นผู้มีศรัทธา อ่อนโยน แจกทานด้วยดี รู้ความ
ประสงค์ สิริย่อมไม่ละบุคคลเช่นนั้น ผู้สงเคราะห์
มีวาจาอ่อนหวาน สละสลวย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กาเยน เป็นต้น ท่านกล่าวไว้ด้วย
สามารถแห่งความสุจริต ทางไตรทวาร. บทว่า น อตฺตเหตุ นี้ เป็นหัวข้อ
แห่งเทศนาเท่านั้น. อธิบายว่า ไม่พูดเหลาะแหละ เพราะเหตุแห่งตน เพราะ
เหตุแห่งผู้อื่น เพราะเหตุแห่งทรัพย์ เพราะเหตุแห่งยศ เพราะเหตุแห่งลาภ

หรือเพราะเหตุมุ่งอามิส. ถึงเนื้อความนี้ จะสำเร็จด้วยบทนี้ว่า สำรวมด้วย
วาจาดังนี้ ก็จริง ถึงอย่างนั้น เพื่อแสดงเนื้อความให้หนัก ควรทราบว่าท่าน
กล่าวอย่างนี้อีกว่า ก็ความชั่วที่จะชื่อว่า คนผู้มักพูดเท็จไม่ทำไม่มี.
บทว่า คมฺภีรปญฺหํ ความว่า (บุคคลใดคิดค้น) ปัญหาอันลึกซึ้ง
ลี้ลับ กำบัง ทั้งโดยอรรถและบาลี เช่นเดียวกับปัญหาที่มา ในสัตตุภัสตชาดก
สัมภวชาดก และอุมมังคชาดก. บทว่า มนสา วิจินฺตยํ ความว่า บุคคล
ใด คิดค้นได้ด้วยใจ แทงตลอดเนื้อความ สามารถเพื่อจะกล่าวแก้ กระทำ
ให้ปรากฏดุจยังพระจันทร์ พระอาทิตย์ให้ตั้งขึ้นตั้งพันดวง. บทว่า นจฺจาหิตํ
ความว่า และบุคคลใดไม่กระทำกรรม อันไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูลยิ่ง คือ
ล่วงเลยประโยชน์ หยาบช้า เผ็ดร้อน สาหัส อนึ่ง เพื่อจะยังเนื้อความนี้ให้
แจ่มแจ้ง ควรกล่าวภูริปัญหาว่า
บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่สร้างบาปกรรม เพราะ
เหตุแห่งความสุขของตน สัตบุรุษทั้งหลายแม้อันทุกข์
ถูกต้อง พลั้งพลาดลง ย่อมไม่ละธรรม เพราะความ
รักและความชัง.

บทว่า กาลคตํ ความว่า บุคคลใดเมื่อยังทานเป็นต้นเหล่านี้ให้ถึง
พร้อม ด้วยคิดว่า กาลนี้เป็นกาลควรให้ทาน เป็นกาลที่จะรักษาศีล เป็นกาล
เข้าจำอุโบสถ เป็นกาลตั้งมั่นในสรณะ เป็นการกระทำบรรพชา เป็นกาลบำ-
เพ็ญสมณธรรม เป็นวาระที่ควรบำเพ็ญวิปัสสนา ชื่อว่าย่อมไม่ริดรอน คือ
ไม่ยังทางแห่งประโยชน์ อันมาถึงโดยกาลให้เสื่อมไป. บทว่า ตถาวิธํ ความว่า
ดูก่อนท้าวสักกะ พระสัพพัญญูพุทธะก็ดี พระปัจเจกพุทธะก็ดี พระมหาสัตว์
ก็ดี เมื่อจะกล่าวถึงคนมีปัญญา ย่อมกล่าวถึงบุคคลเห็นปานนี้.

ในบทว่า โย เว นั้น มีอธิบายดังนี้ บุคคลใดรู้จักคุณ อันผู้อื่น
ทำแล้วแก่ตน ชื่อว่าเป็นผู้กตัญญู อนึ่ง ครั้นรู้อย่างนี้แล้ว ทำการตอบแทน
คุณของเขาที่ได้ทำคุณไว้แก่ตน ชื่อว่าเป็นผู้กตเวที. บทว่า ทุกฺขิตสฺส ความว่า
บุคคลใดยกความทุกข์แห่งสหายของตน ผู้ถึงทุกข์ขึ้นไว้ในตน ช่วยทำให้กิจ
อันเกิดขึ้นแก่สหายนั้น ด้วยมือของตนโดยเคารพ พระพุทธเจ้าเป็นต้น ย่อม
กล่าวบุคคลนั้น ผู้เห็นปานนี้ ว่าเป็นสัตบุรุษ อีกอย่างหนึ่ง ธรรมดาสัตบุรุษ
ทั้งหลาย ย่อมเป็นผู้มีความกตัญญู กตเวที เพราะฉะนั้น ควรกล่าวถึงชาดก
เช่น สตปตชาดก จุลลหังสชาดก และมหาหังสชาดกเป็นต้น.
บทว่า เอเตหิ สพฺเพหิ ความว่า ดูก่อนท้าวสักกเทวราช บุคคล
ใดเข้าถึงด้วยคุณสมบัติ มีศีลเป็นต้น ดังที่กล่าวแล้วในหนหลัง เหล่านี้ทั้งหมด.
บทว่า สทฺโธ ความว่า ประกอบด้วยโอกัปปนสัทธา (ศรัทธา คือความ
เชื่อมั่น). บทว่า มุทุ ได้แก่ เป็นผู้มีปกติพูดจาน่ารัก. บทว่า สํวิภาคี
ความว่า ชื่อว่าเป็นผู้จำแนกแจกทานด้วยดี เพราะความเป็นผู้ยินดียิ่ง ในการ
จำแนกศีล จำแนกทาน ชื่อว่า วทัญญู ผู้รู้ถ้อยคำ เพราะสามารถรู้ถ้อยคำของ
ยาจก แล้วจึงให้. บทว่า สงฺคาหกํ ความว่า ชื่อว่าผู้สงเคราะห์ เพราะ
สงเคราะห์ชนนั้น ๆ ด้วยสังคหวัตถุ 4. ชื่อว่า มีวาจาสละสลวย เพราะ
กล่าวถ้อยคำไพเราะ. ชื่อว่า มีวาจาอ่อนหวาน เพราะมีถ้อยคำเกลี้ยงเกลา.
บทว่า ตถาวิธํ โน ความว่า สิริ กล่าวคือ ยศและลาภอันเลิศที่ได้แล้ว
ย่อมไม่ละบุคคลเช่นนั้น คือ สิริของบุคคลนั้น ย่อมไม่พินาศไป.
พระมหาสัตว์เจ้า วิสัชนาปัญหา 4 ข้อ ดุจยังพระจันทร์อันเต็มดวง
ให้ตั้งขึ้นบนพื้นท้องฟ้าฉะนั้น ด้วยประการฉะนี้ ถัดจากนั้นไป เป็นปุจฉา
และวิสัชนาปัญหาที่เหลือ ท้าวสักกเทวราช ตรัสคาถา ความว่า

ข้าพเจ้าขออนุโมทนาคำสุภาษิตของท่าน ขอถาม
ปัญหาข้ออื่นกะท่าน ขอเชิญท่านกล่าวแก้ปัญหานั้น
ด้วย นักปราชญ์ย่อมกล่าวศีล สิริ ธรรมของสัตบุรุษ
และปัญญาว่า ข้อไหนประเสริฐกว่ากัน ?

พระมหาสัตว์ ทูลว่า
แท้จริง ท่านผู้ฉลาดทั้งหลาย ย่อมกล่าวว่า
ปัญญานั่นแหละประเสริฐสุด ดุจพระจันทร์ประเสริฐ
กว่าดวงดาวทั้งหลายฉะนั้น ศีล สิริ และธรรมของ
สัตบุรุษ ย่อมเป็นไปตามบุคคลผู้มีปัญญา.

ท้าวสักกะตรัสถามว่า
ข้าพเจ้าขออนุโมทนาคำสุภาษิตของท่าน ขอ
ถามปัญหาข้ออื่นกะท่าน ขอเชิญท่านกล่าวปัญหานั้น
บุคคลในโลกนี้ทำอย่างไร ทำด้วยอุบายอย่างไร ประ-
พฤติอะไร เสพอะไร จึงจะได้ปัญญา ขอท่านได้โปรด
บอกปฏิปทา แห่งปัญญา ณ บัดนี้ว่า นรชนทำอย่างไร
จึงจะเป็นผู้มีปัญญา.

ท่านสรภังคศาสดา ทูลว่า
บุคคลควรคบหาท่านผู้รู้ทั้งหลาย ละเอียดลออ
เป็นพหูสูต ควรเป็นนักเรียน นักสอบถาม พึงตั้งใจ
ฟังคำสุภาษิตโดยเคารพ นรชนทำอย่างนี้ จึงจะเป็นผู้
มีปัญญา.
ผู้มีปัญญานั้น ย่อมพิจารณาเห็นกามคุณทั้งหลาย
โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ และ

โดยความเป็นโรค ผู้เห็นแจ้งอย่างนี้ ย่อมละความพอ
ใจในกามทั้งหลาย อันเป็นทุกข์ มีภัยใหญ่หลวงเสียได้.
ผู้นั้น ปราศจากราคะแล้ว กำจัดโทสะได้ พึง
เจริญเมตตาจิต อันหาประมาณมิได้ งดอาชญาในสัตว์
ทุกจำพวกแล้ว ไม่ถูกนินทา ย่อมเข้าถึงพรหมสถาน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สีลํ ได้แก่ อาจารศีล. บทว่า สิริ
ได้แก่ อิสริยยศ. บทว่า สตญฺจ ธมฺมํ ได้แก่ สัปปุริสธรรม. บทว่า
ปญฺญํ ความว่า ท้าวสักกะตรัสถามว่า ท่านผู้ฉลาดทั้งหลาย ย่อมกล่าวถึงบรรดา
ธรรม 4 ประการเหล่านี้ อย่างนี้ว่า อย่างไหนประเสริฐกว่ากัน ?
บทว่า ปญฺญา หิ ความว่า พระมหาสัตว์ทูลว่า ดูก่อนท้าวสักกะ
ในธรรม 4 อย่างเหล่านี้ ชื่อว่าปัญญานี้นั้น คนฉลาดทั้งหลายเช่นพระพุทธเจ้า
เป็นต้น กล่าวว่าประเสริฐสุด เหมือนดวงดาวแวดล้อมดวงจันทร์ ดวง
จันทร์นั่นแหละสูงสุดกว่าดวงดาวเหล่านั้น ฉันใด ธรรมแม้ทั้ง 3 เหล่านี้คือ
ศีล สิริ และธรรมของสัตบุรุษทั้งหลาย ก็ฉันนั้น. บทว่า อนฺวายกา ปญฺญวโต
ภวนฺติ
ความว่า ย่อมเป็นไปตามบุคคลผู้มีปัญญาเท่านั้น คือเป็นบริวารของ
ปัญญานั่นเอง.
คำว่า กถํกโร เป็นต้น เป็นไวพจน์ของกันและกันเท่านั้น. บทว่า
กถํกโร ความว่า ท้าวสักกะตรัสถามว่า บุคคลกระทำอยู่ซึ่งกรรมอะไร
ประพฤติอะไร เสพคือคบหา ซึ่งกรรมอะไร ย่อมได้ซึ่งปัญญาในโลกนี้ทีเดียว
ท่านโปรดบอกปฏิปทาแห่งปัญญาอย่างเดียว ข้าพเจ้าใคร่จะรู้ สัตว์ผู้ต้องตาย
เป็นสภาพ ทำอย่างไร จึงจะเป็นผู้ชื่อว่า มีปัญญา.
บทว่า วุฑฺเฒ ได้แก่ บัณฑิต ผู้ถึงซึ่งความเจริญด้วยความรู้. บทว่า
นิปุเณ ความว่า ผู้สามารถรู้เหตุการณ์อันสุขุม. บทว่า เอวํกโร ความว่า

ท่านสรภังคศาสดาตอบว่า บุคคลใด สมาคม คบหา นั่งใกล้ซึ่งบุคคลผู้มี
ประการดังกล่าวมาแล้วอย่างนี้ ย่อมเล่าเรียนบาลี สอบถามอรรถาธิบายเนือง ๆ
เงี่ยโสตลงสดับคำสุภาษิตโดยเคารพ ดุจบุคคลจารึกรอยลงบนแผ่นหิน หรือ
ดุจเอาตุ่มทองรองรับมันเหลวของราชสีห์ ฉะนั้น บุคคลผู้กระทำอย่างนี้ นี้
ย่อมเป็นผู้มีปัญญา พระมหาสัตว์กล่าวปฏิปทาแห่งปัญญาอย่างนี้ คล้ายกับ
ยังพระอาทิตย์ให้อุทัยขึ้น จากปราจีนโลกธาตุ เมื่อจะกล่าวคุณของปัญญานั้นใน
บัดนี้ จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า บุคคลผู้มีปัญญานั้น ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กามคุเณ ความว่า บุคคลผู้มีปัญญานั้น
ย่อมเห็น คือพิจารณาส่วนแห่งกามทั้งหลาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง เพราะ
อรรถว่า มีแล้วเหมือนไม่มี โดยความเป็นทุกข์ เพราะเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์
ทั้งในปัจจุบัน และสัมปรายิกภพ โดยความเป็นโรค เพราะความมีพร้อมแห่ง
โรค คือทุกข์ เก้าสิบแปดประการ อาศัยกามเกิดขึ้น. บทว่า โส เอวํวิปสฺสิ
ความว่า เมื่อบุคคลเล็งเห็นความไม่เที่ยงเป็นต้น ของกามทั้งหลาย โดยเหตุ
เหล่านี้ รู้ชัดว่า ที่สุดแห่งทุกข์อันอาศัยกามเกิดขึ้นไม่มี การละกามอย่างเดียว
เท่านั้นเป็นสุข แล้วย่อมละเสียได้ซึ่งความพอใจ ในกามอันเป็นทุกข์ เป็น
ภัยใหญ่.
บทว่า ส วีตราโค ความว่า ดูก่อนท้าวสักกะ บุคคลนั้นปราศจาก
ราคะอย่างนี้ กำจัดซึ่งโทษอันเกิดขึ้น ด้วยอำนาจอาฆาฏวัตถุ เก้าประการเป็น
สภาพแล้ว พึงเจริญเมตตาจิต ครั้นเจริญเมตตาจิต ชื่อว่าไม่มีประมาณเพราะ
มีสัตว์หาประมาณมิได้เป็นอารมณ์แล้ว เป็นผู้มีฌานไม่เสื่อม ใคร ๆ จะตำ
หนิไม่ได้ ย่อมบังเกิดในพรหมโลก.

เมื่อพระมหาสัตว์กล่าวโทษแห่งกามทั้งหลายอยู่อย่างนี้ พระราชาแม้
ทั้ง 3 องค์เหล่านั้น พร้อมด้วยพลนิกาย ต่างละความกำหนัดยินดี ในเบญจ
กามคุณได้ด้วยตทังคปหาน. พระมหาสัตว์รู้ดังนั้นแล้ว จึงกล่าวคาถาด้วย
สามารถแห่งความร่าเริงของชนเหล่านั้นว่า
การเสด็จมาของมหาบพิตร ผู้มีพระนามว่า
อัฏฐกะ ภีมรถะ และกาลิงคราช ผู้มีพระเดชานุภาพ
ฟุ้งเฟื่องไป เป็นการมาอย่างมหิทธิฤทธิ์ ทุก ๆ พระ
องค์ทรงละกามราคะได้แล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มหิทฺธิยํ ความว่า การมาอันมีมหิทธิ-
ฤทธิ์ คือกว้างขวางรุ่งเรืองใหญ่. บทว่า ตวมฏฺฐกา ความว่า ของพระองค์
ผู้มีพระนามว่าอัฏฐกะ. บทว่า ปหีโน ความว่า กามราคะ อันทุกพระองค์
ทรงละได้แล้ว ด้วยตทังคปหาน.
พระราชาทั้งหลาย ทรงสดับถ้อยคำนั้นแล้ว เมื่อจะทรงชมเชย พระ
มหาสัตว์เจ้า จึงพากันตรัสคาถา ความว่า
ท่านเป็นผู้รู้จิตผู้อื่น ข้อนั้นก็เป็นอย่างนั้นแหละ
ข้าพเจ้าทุกคนละกามราคะได้แล้ว ขอท่านจงให้โอกาส
เพื่อความอนุเคราะห์ ตามที่ข้าพเจ้าทั้งหลาย จะรู้ถึง
คติของท่านได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนุคฺคหาย ความว่า พระราชาทั้งหลาย
พากันตรัสว่า ท่านโปรดกระทำโอกาสเพื่อประโยชน์ แก่การบรรพชาของ
พวกข้าพเจ้า อย่างที่พวกข้าพเจ้าบวชแล้วจะพึงตรัสรู้ คือบรรลุความสำเร็จ
ตามคติของท่าน ได้แก่พึงแทงตลอดได้ ซึ่งคุณอันท่านแทงตลอดแล้ว.

ลำดับนั้น เมื่อพระมหาสัตว์จะกระทำโอกาสแก่พระราชาเหล่านั้น จึง
กล่าวคาถาต่อไปความว่า
อาตมาให้โอกาสเพื่อความอนุเคราะห์ เพราะ
มหาบพิตรทั้งหลาย ละกามราคะได้อย่างนั้นแล้ว จง
ยังกายให้ซาบซ่าน ด้วยปีติอันไพบูลย์ ตามที่
มหาบพิตรทั้งหลายจะทรงทราบ ถึงคติของอาตมา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ผราถ กายํ ความว่า ยังกายให้ซาบซ่าน
ด้วยปีติอันเกิดแต่ฌานอันไพบูลย์.
พระราชาเหล่านั้น ทรงสดับเช่นนั้น เมื่อจะทรงยอมรับ จึงตรัสคาถา
ความว่า
ข้าแต่ท่านผู้มีปัญญาดังแผ่นดิน ข้าพเจ้าทั้งหลาย
จักทำตามคำสั่งสอนที่ท่านกล่าวทุกอย่าง ข้าพเจ้า
ทั้งหลายจะยังกายให้ซาบซ่านด้วยปีติอันไพบูลย์ ตาม
ที่ข้าพเจ้าทั้งหลายจะรู้ถึงคติของท่าน.

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์จึงให้บรรพชาแก่พระราชาเหล่านั้นพร้อมทั้ง
พลนิกาย เมื่อจะส่งหมู่ฤาษีไป จึงกล่าวคาถา ความว่า
ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย ฤาษีทั้งหลายผู้มีคุณ
ความดี ทำการบูชานี้ แก่กีสวัจฉดาบสแล้ว จงพากัน
ไปยังที่อยู่ของตน ๆ เถิด ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ยินดี
ในณาน มีจิตตั้งมั่นทุกเมื่อเถิด ความยินดีนี้ เป็น
คุณชาติประเสริฐสุดของบรรพชิต.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า คจฺฉนฺตุ ความว่า พระมหาสัตว์กล่าวว่า
ท่านทั้งหลายจงไปยังสถานที่อยู่เป็นต้นของตน ๆ เถิด.
พระฤาษีทั้งหลายรับคำของพระมหาสัตว์แล้ว ต่างนมัสการลา ลอยขึ้น
สู่อากาศ กลับไปยังสถานที่อยู่ของตน ๆ. ฝ่ายท้าวสักกเทวราช เสด็จลุกขึ้น
จากอาสนะ ทำการชมเชยพระมหาสัตว์เจ้า ประคองอัญชลี นมัสการพระ-
มหาสัตว์ดุจนอบน้อมอยู่ซึ่งพระอาทิตย์ พร้อมด้วยเทพบริษัทเสด็จหลีกไป.
พระศาสดาทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้
ความว่า
ชนเหล่านั้น ได้ฟังคาถาอันประกอบด้วย
ประโยชน์อย่างยิ่ง ที่ฤาษีผู้เป็นบัณฑิตกล่าวดีแล้ว
เกิดปีติโสมนัส พากันอนุโมทนาอยู่ เทวดาทั้งหลาย
ผู้มียศ ต่างก็พากันกลับไปสู่เทพบุรี.
คาถาเหล่านี้ มีอรรถพยัญชนะดี อันฤาษีผู้เป็น
บัณฑิตกล่าวดีแล้ว คนใดคนหนึ่งฟังคาถาเหล่านี้ ให้
มีประโยชน์ พึงได้คุณพิเศษทั้งเบื้องต้นและเบื้องปลาย
ครั้นแล้วพึงบรรลุถึงสถานที่ อันมัจจุราชมองไม่เห็น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปรมฺตถสญฺหิตา ความว่า คาถาเหล่านี้
ชื่อว่าอาศัยซึ่งพระนิพพาน เพราะแสดงถึงความไม่เที่ยงเป็นต้น. พระบรมศาสดา
เมื่อทรงสรรเสริญคำสุภาษิต อันให้ซึ่งพระนิพพาน ของท่านสรภังคศาสดา
จึงตรัสคำเป็นต้นว่า อิมา (คาถาเหล่านี้) ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อตฺถวตี ความว่า คาถาเหล่านี้ ชื่อว่า
อาศัยประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะอรรถว่าให้ซึ่งพระนิพพาน. บทว่า สุพฺยญฺชนา

แปลว่า มีพยัญชนะบริสุทธิ์. บทว่า สุภาสิตา ความว่า อันฤาษีผู้เป็น
บัณฑิตกล่าวทำให้น่าฟังด้วยดี คือกล่าวไว้ดีแล้ว. บทว่า อฏฺฐิกตฺวา ความว่า
บุคคลใดเป็นผู้มีความต้องการ เพราะทำความเป็นประโยชน์แก่ตน พึงฟัง
โดยเคารพ. บทว่า ปุพฺพาปริยํ ความว่า ปฐมฌานเป็นคุณวิเศษเบื้องต้น
ทุติยฌานเป็นคุณวิเศษเบื้องปลาย จะพึงได้คุณวิเศษอันตั้งอยู่โดยความเป็น
เบื้องต้น เบื้องปลาย ด้วยสามารถแห่งสมาบัติ 8 ด้วยสามารถแห่งมรรค 4
อย่างนี้. บทว่า อทสฺสนํ ความว่า และจะพึงได้พระอรหัตผล อันเป็น
คุณวิเศษเบื้องปลาย แล้วบรรลุพระนิพพานในที่สุด. เพราะว่า บุคคลผู้
บรรลุพระนิพพานแล้ว ย่อมเป็นผู้ชื่อว่าไปสู่สถานที่ ซึ่งมฤตยูราชมองไม่เห็น.
พระบรมศาสดาครั้นทรงถือเอายอดแห่งเทศนา ด้วยอรหัตผลอย่างนี้
แล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในชาตินี้เท่านั้น แม้ในชาติก่อน
ฝนดอกไม้ก็ตกลงในสุสานที่เผาพระโมคคัลลานะ ดังนี้แล้ว ทรงประกาศอริยสัจ
เมื่อจะทรงประชุมชาดก จึงตรัสพระคาถา ความว่า
สาลิสสระดาบสในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระ-
สารีบุตร เมณฑิสสรดาบส ได้มาเป็นพระกัสสป
ปัพพตดาบสได้มาเป็นพระอนุรุทธะ เทวลดาบสได้มา
เป็นพระกัจจายนะ อนุสิสสดาบสได้มาเป็นพระอานนท์
กีสวัจฉดาบสได้มาเป็นพระโกลิตะ คือ พระโมค-
คัลลานะ นารทดาบสได้มาเป็นพระปุณณมันตานีบุตร
บริษัทที่เหลือ ได้มาเป็นพุทธบริษัท สรภังคดาบส
โพธิสัตว์ ได้มาเป็นเราตถาคต เธอทั้งหลายจงทรงจำ
ชาดกไว้อย่างนี้.

จบอรรถกถาสรภังคชาดก

3. อลัมพุสาชดก



ว่าด้วยอิสิสิงคดาบส ถูกทําลายตบะ



[2478]

(พระศาสดาตรัสว่า) ครั้งนั้น พระอินทร์
ผู้เป็นใหญ่ ผู้ทรงครอบงำวัตรอสูร เป็นพระบิดา
แห่งเทพบุตรผู้ชนะ ประทับนั่งอยู่ ณ สุธรรมเทวสภา
รับสั่งให้เรียกนางอลัมพุสาเทพกัญญาเข้ามาเฝ้า.

[2479] (ท้าวสักกเทวราชตรัสว่า) ดูก่อนนาง
อลัมพุสา ผู้เจือปนด้วยกิเลสสามารถจะเล้าโลมฤาษีได้
เทวดาชั้นดาวดึงส์ พร้อมด้วยพระอินทร์ ขอร้องเจ้า
เจ้าจงไปหาอิสิสิงคดาบสเถิด.
[2480] ดาบสองค์นี้ มีวัตรประพฤติพรหม-
จรรย์ ยินดียิ่งในนิพพานเป็นผู้เจริญ อย่าเพิ่งล่วงเลย
พวกเราไปก่อนเลย เจ้าจงห้ามมรรคของเธอเสีย.

[2481] (นางอลัมพุสาทูลว่า) ข้าแต่พระเทวราช
พระองค์ทรงทำอะไร ทรงมุ่งหมายแต่หม่อมฉัน
เท่านั้น รับสั่งว่า แนะเจ้าผู้อาจจะเล้าโลมฤาษีได้ เจ้า
จงไปเถิด ดังนี้ นางเทพอัปสรแม้อื่น ๆ ก็มีอยู่.
นางเทพอัปสรผู้ทัดเทียมหม่อมฉัน หรือประเสริฐ
กว่าหม่อมฉัน ก็มีอยู่ในนันทนวัน อันหาความเศร้าโศก
มิได้ วาระคือการไป จงมีแก่นางเทพอัปสรเหล่านั้น
แม้นางเทพอัปสรเหล่านั้น จงไปประเล้าประโลมเถิด.