เมนู

8. ภัลลาติย1ชาดก



ว่าด้วยอายุของกินนร



[2153] ได้มีพระราชาทรงพระนามว่า ภัลลา
ติยะ ทรงละรัฐสีมา เสด็จประพาสป่า ล่ามฤค
ท้าวเธอเสด็จไปถึงคันธมาทน์วรคิรี มีพรรณดอกไม้
บานสะพรั่ง ซึ่งกินนรเลือกเก็บอยู่เนือง ๆ กินนร
สองผัวเมีย ยืนคลึงเคล้ากันอยู่ ณ ที่ใด ท้าวเธอ
ประสงค์จะตรัสถาม จึงทรงห้ามหมู่สุนัข และเก็บ
แล่งธนูเสีย แล้วเสด็จเข้าไปใกล้ ณ ที่นั้น ดำรัสว่า
ล่วงฤดูเหมันต์แล้ว ไยเล่าเจ้าทั้งสองจึงมายืนกระซิบ
กระซาบกันอยู่เนือง ๆ ที่ริมฝั่งเหมวดีนทีนี้ เราขอ
ถามเจ้าทั้งสองผู้มีเพศเหมือนร่างมนุษย์ ชนทั้งหลาย
ในมนุษยโลก รู้จักเจ้าทั้งสอง ว่าเป็นอะไร.

[2154] ข้าแต่ท่านพรานผู้สหาย เราทั้งสอง
เป็นมฤค มีเพศพรรณปรากฏเหมือนมนุษย์ เที่ยวอยู่
ตามแม่น้ำเหล่านี้ คือ มาลาคิรีนที ปัณฑรกนที ติกูฏนที
ซึ่งมีน้ำใสเย็นสนิท ชาวโลกรู้จักเราทั้งสองว่าเป็น
กินนร.

[2155] เจ้าทั้งสองเหมือนได้รับความทุกข์ร้อน
เสียเหลือเกิน ปริเทวนาการอยู่ เจ้าทั้งสองรักกัน
ได้สวมกอดกัน สมความรักแล้ว ดูก่อนกินนรทั้งสอง


1 อรรถกถาเป็น ภัลลาติกะ

ผู้มีเพศพรรณเหมือนกายมนุษย์ เราขอถามเจ้าทั้งหลาย
เหตุไรเจ้าทั้งสองจึงร้องไห้อยู่ในป่านี้ ไม่สร่างซาเลย
เจ้าทั้งสองเหมือนได้รับความทุกข์ร้อนเสียเหลือเกิน
ปริเทวนาการอยู่ เจ้าทั้งสองรักใคร่กัน ก็ได้สวมกอด
กัน สมความรักแล้ว ดูก่อนกินนร ผู้มีเพศพรรณเหมือน
กายมนุษย์ เราขอถามเจ้าทั้งหลาย เหตุไรเจ้าทั้งสองจึง
มาบ่นเพ้ออยู่ในป่านี้ ไม่สร่างซาเลย เจ้าทั้งสองเหมือน
ได้รับความทุกข์ร้อนเสียเหลือเกิน ปริเทวนาการอยู่
เจ้าทั้งสองรักใคร่กัน ก็ได้สวมกอดกันสมความรักแล้ว
ดูก่อนกินนร ผู้มีเพศพรรณเหมือนกายมนุษย์ เราขอ
ถามเจ้าทั้งหลาย เหตุไรเจ้าทั้งสองจึงเศร้าโศกอยู่ใน
ป่านี้ไม่สร่างซาเลย.

[2157] (นางกินรีทูลตอบว่า) ข้าแต่ท่านนาย
พราน เราทั้งสองไม่อยากจะจากกัน ก็ต้องจากกัน
แยกกันอยู่สิ้นราตรีหนึ่ง เมื่อมาระลึกถึงกันและกัน
เดือดร้อนเศร้าโศกถึงกันตลอดราตรีหนึ่ง ที่ล่วงไป
นั้นว่า ราตรีนั้นจักไม่มีอีก.

[2157] (พระราชาดำรัสถามว่า) เจ้าทั้งสอง
คิดถึงทรัพย์ที่หายไปหรือ หรือว่าคิดถึงมารดาบิดาผู้
ล่วงลับไปแล้ว จึงได้เดือดร้อนอยู่สิ้นราตรีหนึ่ง เรา
ขอถามเจ้าทั้งสอง ผู้มีเพศพรรณดังกายมนุษย์ เหตุไร
เจ้าทั้งสองจึงต้องจากกันไป.

[2158] (นางกินรีทูลว่า) ท่านเห็นนทีนี้แห่งใด
มีกระแสเชี่ยว ไหลมาในระหว่างหุบผา ปกคลุมไป
ด้วยหมู่ไม้นานาพรรณ ในฤดูฝนกินนรสามีสุดที่รัก
ของดิฉัน ได้ข้ามแม่น้ำนั้นไปด้วยสำคัญว่า ดิฉันจะ
ติดตามมาข้างหลัง.
ส่วนดิฉันมัวเลือกเก็บดอกปรู ดอกลำดวน
ดอกมะลิซ้อน และดอกคัดค้าวที่บานสล้าง ด้วยคิดว่า
สามีของเราจักได้ทัดทรงดอกไม้ ส่วนเราก็จักได้สอด
แซมดอกไม้ เข้าไปนอนแนบสามีที่รักนั้น
อนึ่ง ดิฉันมัวเลือกเก็บดอกบานไม่รู้โรย ดอก-
ราชพฤกษ์ ดอกแคฝอย ดอกย่านทราย ด้วยคิดว่า
สามีที่รักของเรา จักทัดทรงดอกไม้ ส่วนเราก็จักได้
สอดแซมดอกไม้ เข้าไปนอนแนบสามีที่รักนั้น.
อนึ่ง ดิฉันมัวเลือกเก็บดอกสาลพฤกษ์ ซึ่งกำลัง
บานสล้าง ร้อยเป็นพวงมาลัย ด้วยคิดว่า สามีที่รัก
ของเราจักสวมใส่พวงมาลัย ส่วนเราก็จักได้สวมใส่
พวงมาลัย เข้าไปนอนแนบสามีที่รักนั้น.
อนึ่ง ดิฉันมัวเลือกเก็บดอกสาลพฤกษ์ ซึ่งกำลัง
บานสล้าง แล้วร้อยทำเป็นพวงมาลัย ด้วยคิดว่า คืน
วันนี้ เราทั้งสองจะอยู่ ณ ที่ใด พวงมาลัยที่ทำไว้
นี้แหละจักเป็นเครื่องปูลาด สำหรับเราทั้งสอง ณ
ที่นั้น.

อนึ่ง ดิฉันมัวเลินเล่อ บดกฤษณาดำ และ
จันทน์แดงด้วยศิลา ด้วยคิดว่า สามีที่รักของเราจักได้
ประพรมร่างกาย ส่วนเราประพรมร่างกายแล้ว จะเข้า
ไปนอนแนบชิดสามีที่รักนั้น.
ครั้งนั้น กระแสน้ำเชี่ยวไหลมา พัดเอาดอก
สาลพฤกษ์ ดอกสน ดอกกรรณิการ์ ที่ดิฉันเก็บมา
วางไว้ไปหมดสิ้น โดยกาลประมาณครู่เดียวเท่านั้น
น้ำก็ขึ้นเต็มฝั่ง ถึงเวลาเย็น ดิฉันก็ข้ามไปไม่ได้.
คราวนั้น เราทั้งสองอยู่กันคนละฝั่งน้ำ มอง
เห็นหน้ากันก็หัวเราะครั้งหนึ่ง มองไม่เห็นหน้ากันก็
ร้องไห้อีกครั้งหนึ่ง คืนนั้น ได้ผ่านเราทั้งสองไป
โดยยาก.
ข้าแต่นายพราน เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า
เราทั้งสองข้ามแม่น้ำอันยุบแห้ง มาสวมกอดกันแลกัน
ร้องไห้อยู่คราวหนึ่ง หัวเราะอยู่คราวหนึ่ง.
ข้าแต่นายพรานผู้ภูมิบาล เมื่อครั้งก่อนเราทั้งสอง
ได้พรากกันอยู่นาน ถึง 697 ปี ชีวิตของท่านนี้มีกำหนด
เพียง 100 ปี อนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ ใครเล่าหนอ ในที่นี้
จะพึงอยู่ ปราศจากภรรยาสุดที่รักได้.

[2159] (พระราชาตรัสว่า) ดูก่อนสหาย อายุ
ของพวกท่านมีประมาณเท่าไร ถ้าท่านทั้งสองรู้ก็จง
บอกอายุของพวกท่านแก่เรา ขอท่านทั้งหลายอย่าได้

บิดพลิ้ว จงบอกอายุของพวกท่านแก่เรา ตามที่ได้ยิน
ได้ฟังมาจากวุฒบุคคล หรือจากตำรับตำรา.

[2160] (นางกินรีทูลตอบว่า) ข้าแต่นายพราน
อายุของเราทั้งสอง ประมาณ 1,000 ปี อนึ่ง ใน
ระหว่างอายุนั้น โรคร้ายย่อมไม่มี มีความทุกข์น้อย
มีแต่ความสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป เราทั้งสองยังรักกันไม่
จืดจาง ก็ต้องมาละทิ้งชีวิตไป.
[2161] พระเจ้าภัลลาติยะ ได้ทรงสดับถ้อยคำ
ของกินนรทั้งสองนี้แล้ว ทรงพระดำริว่า ชีวิตเป็น
ของน้อย จึงเสด็จกลับ ไม่เสด็จล่าเนื้อ ได้ทรง
บำเพ็ญทาน เสวยราชสมบัติสืบมา.

[2162] (พระบรมศาสดาตรัสว่า) มหาบพิตร
ทั้งสองทรงสดับเรื่องราวของกินนรทั้งหลาย อันมิใช่
มนุษย์นี้แล้ว จงทรงเบิกบานพระทัย อย่าได้ทรงทำ
การทะเลาะกันเลย กรรมอันเป็นโทษของตน อย่าได้
ทำให้มหาบพิตรทั้งสองต้องเดือดร้อน เหมือนกรรม
อันเป็นโทษของตน ทำให้กินนรสองสามีภรรยา
เดือดร้อนอยู่ราตรีหนึ่ง ฉะนั้น.
มหาบพิตรทั้งสอง ทรงสดับเรื่องราวของกินนร
ทั้งหลาย อันมิใช่มนุษย์นี้แล้ว จงทรงเบิกบานพระทัย

อย่าได้ทำความวิวาทบาดหมางกันเลย กรรมอันเป็น
โทษของตน อย่าทำให้มหาบพิตรทั้งสองต้องเดือดร้อน
เหมือนกรรมอันเป็นโทษของตน ทำให้กินนรสองสามี
ภรรยา เดือดร้อนอยู่ราตรีหนึ่ง ฉะนั้น.

[2163] (พระนางมัลลิกาทูลว่า) หม่อมฉันมี
ใจเลื่อมใส ตั้งใจฟังพระธรรมเทศนาของพระองค์
ที่พระองค์ทรงแสดงประกอบไปด้วยเหตุต่าง ๆ
ประกอบไปด้วยประโยชน์ พระองค์ทรงเปล่งพระ-
สุรเสียงอันไพเราะ ดับความกระวนกระวายใจของ
หม่อมฉันได้ ข้าแต่พระสมณเจ้า ผู้ทรงนำความสุข
มาให้หม่อมฉัน ขอพระองค์จงทรงมีชนมชีพยืนนาน
เถิด.

จบภัลลาติยชาดกที่ 8

อรรถกถาภัลลาติกชาดก



พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระ
ปรารภพระนางมัลลิกาเทวี ตรัสพระธรรมเทศนานี้มีคำเริ่มต้นว่า ภลฺลาติโก
นาม อโหสิ ราชา
ดังนี้.
ได้ยินว่า วันหนึ่งอาศัยเหตุที่พระนางมัลลิกาเทวี บรรทมร่วมกับ
พระเจ้าโกศลราช จึงเกิดวิวาทบาดหมางกันขึ้น. พระราชาทรงกริ้ว ถึงกับไม่
ทอดพระเนตรเหลียวแลพระนางมัลลิกาอัครมเหสี พระนางจึงทรงพระดำริว่า
พระตถาคตเจ้า จะไม่ทรงทราบเรื่องที่พระราชาทรงกริ้วเราหรือหนอ ? พระ-
ศาสดาทรงทราบเหตุนั้น จึงวันรุ่งขึ้น แวดล้อมไปด้วยภิกษุสงฆ์ เสด็จเข้าไป
บิณฑบาตในพระนครสาวัตถี ทรงดำเนินไปถึงประตูพระราชวัง. พระราชา
จัดการรับเสด็จ ทรงรับบาตรแล้วทูลเสด็จสู่ปราสาท อาราธนาภิกษุสงฆ์ให้นั่ง
โดยลำดับแล้ว ถวายน้ำทักษิโณทก ทรงอังคาสด้วยพระกระยาหารอันประณีต
เมื่อเสร็จภัตกิจแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. พระศาสดาตรัสถามว่า
ขอถวายพระพรมหาบพิตร เหตุไรหนอ พระนางมัลลิกาบรมราชเทวี จึงทรง
หายไปไม่ปรากฏ เมื่อท้าวเธอทูลตอบว่า เพราะพระนางเพลิดเพลินมัวเมาใน
ความสุขส่วนตัวเสีย จึงตรัสว่าดูก่อนมหาบพิตร ในชาติก่อนพระองค์ทรงบังเกิด
ในกำเนิดกินนร พลัดจากนางกินรีไปหนึ่งราตรี ต้องเที่ยวปริเทวนาการอยู่ถึง
เจ็ดร้อยปีมิใช่หรือ ? พระราชาทูลอาราธนา จึงทรงนำอดีตนิทานมาตรัส
ดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล เมื่อครั้งพระเจ้าภัลลาติกราช เสวยราชสมบัติอยู่ใน
พระนครพาราณสี ทรงพระดำริว่า เราจักบริโภคเนื้อย่างสุกด้วยถ่าน จึง