เมนู

พระสุตตันตปิฎก



ขุททกนิกาย ชาดก



เล่มที่ 3 ภาคที่ 6



ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



เอกาทสนิบาตชาดก



1. มาตุโปสกชาดก


ว่าด้วยเรื่องพญาช้างเลี้ยงมารดา


[1493] ไม้อ้อยช้าง ไม้มูกมัน ไม้ช้างน้าว
หญ้างวงช้าง ข้าวฟ่าง และลูกเดือย งอกงามขึ้นแล้ว
เพราะพญาช้างนั้นพลัดพรากไป อนึ่ง ต้นกรรณิการ์
ทั้งหลายที่เชิงเขาก็เผล็ดดอกบาน.

[1494] พระราชาหรือพระราชกุมาร ประทับ
นั่งบนคอพญาช้างใด ซึ่งไม่มีความสะดุ้ง ย่อมกำจัด
เสียซึ่งปัจจามิตรทั้งหลาย อิสรชนผู้ประดับด้วยอาภรณ์
อันงดงามผู้หนึ่ง ย่อมเลี้ยงดูพญาช้างนั้นด้วยก้อนข้าว.

[1495] ดูก่อนพญาช้างตัวประเสริฐ เชิญพ่อ
รับเอาคำข้าวเถิด อย่าผ่ายผอมเลย ราชกิจมีเป็นอัน
มาก ท่านจะต้องทำราชกิจเหล่านั้น.

[1496] นางช้างนั้นเป็นกำพร้า ตาบอด ไม่มี
ผู้นำทาง คงจะสะดุดตอไม้ล้มลงตรงภูเขาจัณโฑรณะ
เป็นแน่.

[1497] ดูก่อนพญาช้าง นางช้างตาบอดหาผู้นำ
ทางมิได้ คงจะสะดุดตอไม้ล้มลงตรงภูเขาจัณโฑรณะ
นั้นเป็นอะไรกับท่านหรือ.

เมื่อพราหมณ์เดินทางยืนขออยู่ บัณฑิตทั้งหลาย
ไม่กล่าวว่าควรไป.

[1498] ข้าแต่พระมหาราชา นางช้างตาบอด
ไม่มีผู้นำทาง คงจะสะดุดตอไม้ล้มลงตรงภูเขาชื่อ
จัณโฑรณะนั้น เป็นมารดาของข้าพระองค์.

[1499] พญาช้างนี้ย่อมเลี้ยงดูมารดา ท่าน
ทั้งหลายจงปล่อยพญาช้างนั้นเสียเถิด พญาช้างตัว
ประเสริฐจงอยู่ร่วมกับมารดา พร้อมด้วยญาติทั้งหลาย
เถิด.

[1500] พญาช้างอันพระเจ้ากาสีทรงปล่อยแล้ว
พอหลุดพ้นจากเครื่องผูก พักอยู่ครู่หนึ่ง ได้ไปยังภูเขา
จากนั้นเดินไปสู่สระบัวอันเย็นที่เคยซ่องเสพมา แล้ว
ดูดน้ำด้วยงวงมารดมารดา.

[1501] ฝนอะไรนี้ไม่ประเสริฐเลย ย่อมตก
โดยกาลที่ไม่ควรตก บุตรเกิดในตนของเราเป็นผู้บำรุง
เรา ไปเสียแล้ว.

[1502] เชิญท่านลุกขึ้นเถิด จะมัวนอนอยู่
ทำไม ฉันเป็นลูกของแม่มาแล้ว พระเจ้ากาสีผู้ทรง
พระปรีชาญาณ มีบริวารยศใหญ่หลวงทรงปล่อยมา
แล้ว.

[1503] พระราชาพระองค์ใดทรงปล่อยลูกของ
เราตัวประพฤติอ่อนน้อมต่อบุคคลผู้เจริญทุกเมื่อ ขอ
พระราชาพระองค์นั้นจงทรงพระชนม์ยืนนาน ทรง
บำรุงแคว้นกาสีให้เจริญรุ่งเรืองเถิด.

จบมาตุโปสกชาดกที่ 1

อรรถกถาเอกาทสนิบาต



อรรถกถามาตุโปสกชาดก



พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงพระ-
ปรารภภิกษุผู้เลี้ยงมารดา จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ตสฺส
นาคสฺส วิปฺปวาเสน
ดังนี้.
เรื่องปัจจุบัน เสมือนกับเรื่องสามชาดกนั่นเอง. ก็พระศาสดาตรัสเรียก
ภิกษุทั้งหลายมาแล้ว ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่ายกโทษภิกษุนี้เลย
โปราณกบัณฑิตทั้งหลาย แม้บังเกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน พรากจากมารดา
ซูบซีดไป เพราะอดอาหาร 7 วัน แม้ได้โภชนะอันสมควรแก่พระราชา คิดว่า
พวกเราเว้นจากมารดาเสีย จักไม่บริโภค พอเห็นมารดา ก็ยึดถือเอาอาหาร
ดังนี้แล้ว อันภิกษุทั้งหลายทูลอาราธนา จึงนำอดีตนิทานมาว่า
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยพระราชสมบัติ ในกรุง
พาราณสี
ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดช้าง ในหิมวันตประเทศ
ได้เป็นสัตว์เผือกปลอด มีรูปงาม น่าชม น่าเลื่อมใส สมบูรณ์ด้วยลักษณะ
กระทำความเจริญโดยลำดับ มีช้าง 80,000 เชือกเป็นบริวาร. ส่วนมารดา
ของท่านเป็นช้างบอด. แต่ท่านได้ให้ผลไม้ มีรสอร่อยแก่ช้างทั้งหลาย แล้ว
ส่งไปยังสำนักของมารดา ช้างทั้งหลายไม่ได้ให้แก่มารดาเลย เคี้ยวกินด้วย
ตนเอง. ท่านกำหนดรู้เรื่องนั้น คิดว่า เราจักละโขลงแล้ว เลี้ยงแต่มารดา
เท่านั้น ครั้นถึงส่วนแห่งราตรี เมื่อช้างเหล่าอื่นไม่รู้อยู่ จึงพามารดาไปยัง
เชิงเขา ชื่อว่า จัณโฑรณะ แล้วพักมารดาไว้ที่ถ้ำแห่งภูเขา ซึ่งอยู่ติดแถบ

อีกข้างหนึ่งแล้วเลี้ยงดู. ลำดับนั้น พรานไพรชาวกรุงพาราณสีคนหนึ่ง เป็น
คนหลงทาง เมื่อไม่อาจกำหนดทิศได้ จึงร้องไห้ด้วยเสียงอันดังลั่น. พระ-
โพธิสัตว์ได้ยินเสียงของพรานไพรนั้น คิดว่า บุรุษนี้เป็นคนไร้ที่พึ่ง ข้อที่เขา
พึงพินาศไปในที่นี้ เมื่อเรายังอยู่ ไม่สมควรแก่เราเลย ดังนี้แล้ว จึงไปหาเธอ
เห็นเธอกำลังหนีไปด้วยความกลัว จึงถามว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ท่านไม่มีภัย
เพราะอาศัยเรา ท่านอย่าหนีไปเลย เพราะเหตุไร ท่านจึงเที่ยวร้องไห้ร่ำไร
อยู่เล่า เมื่อเขากล่าวว่า ข้าแต่นาย กระผมเป็นคนหลงทาง วันนี้เป็นวันที่ 7
สำหรับผม จึงกล่าวว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ท่านอย่ากลัวเลย เราจักวางท่าน
ไว้ในถิ่นมนุษย์ ดังนี้แล้ว ให้เขานั่งบนหลังตน นำออกจากป่าแล้วกลับไป.
ฝ่ายเขาเป็นคนชั่วคิดว่า เราไปยังนครแล้วจักทูลแก่พระราชา ดังนี้แล้ว จึงทำ
ต้นไม้เป็นเครื่องหมาย ทำภูเขาเป็นเครื่องหมาย ได้ออกไปยังกรุงพาราณสี.
ในกาลนั้น ช้างมงคลของพระราชาได้ทำกาละไป. พระราชาตรัสสั่งให้ตีกลอง
ร้องประกาศว่า ถ้าใคร ๆ เห็นช้างตัวเหมาะ ที่ส่งเสียงร้องในที่ใดที่หนึ่ง
ผู้นั้นจงบอก. บุรุษนั้นเข้าไปเฝ้าพระราชาแล้ว ทูลว่า ข้าแต่สมมุติเทพ
ข้าพระองค์ได้เห็นพญาช้าง ตัวมีสีเผือกปลอด เหมาะเพื่อจะทำการฝึก
ข้าพระองค์จักแสดงหนทาง ขอพระองค์ จงส่งนายหัตถาจารย์ พร้อมกับข้า-
พระองค์ ไปให้จับช้างนั้นเถิด. พระราชาตรัสรับคำแล้วจึงตรัสว่า พวกเธอ
จงทำผู้นี้ให้เป็นผู้นำทาง ไปยังป่านำพญาช้างที่บุรุษนี้พูดไว้ ดังนี้แล้ว พร้อม
ด้วยบุรุษนั้น จึงส่งนายหัตถาจารย์ พร้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก. นาย
หัตถาจารย์ไปกับบุรุษนั้น เห็นช้างพระโพธิสัตว์ กำลังเข้าไปยังที่ซ่อนเร้น
กำลังถือเอาอาหาร. ฝ่ายพระโพธิสัตว์เห็นนายหัตถาจารย์แล้วอธิษฐานว่า ภัยนี้
ไม่ได้เกิดขึ้นจากผู้อื่น ชะรอยจักเกิดขึ้นจากสำนักบุรุษชั่วนี้นั้น ฝ่ายเราแล

เป็นผู้มีกำลังมาก และสามารถจะกำจัดช้างได้ตั้ง 1,000 เชือก ครั้นโกรธแล้ว
สามารถจะนำพาหนะของนายทัพ พร้อมทั้งแว่นแคว้นให้พินาศไปได้ เพราะ
ฉะนั้น วันนี้เขาเอาหอกตอกศีรษะเรา เราก็ไม่โกรธ ดังนี้แล้ว จึงน้อมศีรษะลง
ได้ยืนนิ่งเฉย. นายหัตถาจารย์ลงสู่สระปทุม เห็นความสมบูรณ์แห่งลักษณะ
ของพระโพธิสัตว์นั้น จึงกล่าวว่า มาเถอะพ่อ แล้วจับงวงอันเสมือนกับพวงเงิน
ในวันที่ 7 จึงถึงกรุงพาราณสี. ฝ่ายมารดาพระโพธิสัตว์ เมื่อบุตรยังไม่มา
จึงคร่ำครวญว่า ชะรอยว่า พระราชาและมหาอำมาตย์ของพระราชา นำเอา
บุตรของเราไป บัดนี้ หมู่ป่าไม้นี้จักเจริญ เพราะอยู่ปราศจากช้างนั้น ดังนี้
จึงได้กล่าวคาถา 2 คาถาว่า
ไม้อ้อยช้าง ไม้มูกมัน ไม้ช้างน้าว หญ้างวงช้าง
ข้าวฟ่าง และลูกเดือย งอกงามขึ้นแล้วเพราะพญาช้าง
นั้นพลัดพรากไป อนึ่ง ต้นกรรณิการ์ทั้งหลายที่เชิงเขา
ก็เผล็ดดอกบาน.
พระราชาหรือพระราชกุมาร ประทับนั่งบนคอ
พญาช้างใด ซึ่งไม่มีความสะดุ้ง ย่อมกำจัดเสียซึ่ง
ปัจจามิตรทั้งหลาย อิสรชนผู้ประดับด้วยอาภรณ์อัน
งดงามผู้หนึ่ง ย่อมเลี้ยงดูพญาช้างนั้นด้วยก้อนข้าว.

บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า วิรุฬฺหา ได้แก่ ชื่อว่าความเจริญ
ท่านกล่าวด้วยอำนาจความหวังว่า ในข้อนี้ไม่มีความสงสัยเลย. บทว่า
สลฺลกิโย จ กุฏฺชา ได้แก่ ไม้อ้อยช้าง และไม้มูกมัน. บทว่า กุรุวินฺท-
กรวรา ภิสสาม
ความว่า ไม้ช้างน้าว หญ้างวงช้าง ข้าวฟ่าง และลูกเดือย.
นางช้างคร่ำครวญว่า ก็หมู่ป่าไม้ทั้งหมดนี้ จักเจริญในบัดนี้. บทว่า นิวาเต