เมนู

10. วิสัยหชาดก


ความอยากจนไม่เป็นเหตุให้ทำชั่ว


[658] ดูก่อนพ่อวิสัยหะ แต่ก่อนท่านได้ให้
ทาน ก็เมื่อท่านให้อยู่อย่างนั้น ความเสื่อม
ได้มีแก่ท่านแล้ว ต่อแต่นี้ไป ถ้าท่านจักไม่
ให้ทาน เมื่อท่านประหยัดไว้ โภคะทั้งหลาย
ก็คงดำรงอยู่ตามเดิม.
[659] ข้าแต่ท้าวสหัสสเนตร พระอริยะ
ทั้งหลายท่านกล่าวถึงบาปกรรมว่า อันอารย-
ชนถึงจะเป็นคนยากจนเข็ญใจก็ไม่ควรทำ
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทวยเทพ ข้าพระ-
บาทจะพึงเลิกศรัทธา เพราะการบริโภค
ทรัพย์อันใดเป็นเหตุ ทรัพย์อันนั้นอย่าได้
มีเลย.
[660] รถคันหนึ่งแล่นไปทางใด รถคันอื่น
แล่นไปทางนั้น ข้าแต่ท้าววาสวะ วัตรที่
ข้าพระบาทบำเพ็ญมาแล้วแต่ครั้งก่อน ขอจง
เป็นไปเหมือนอย่างนั้นเถิด.

[661] ถ้ายังมียังเป็นอยู่ ข้าพระบาทก็จะให้
เมื่อไม่มีไม่เป็นจะให้ได้อย่างไร แม้ถึงจะ
เป็นอย่างนี้แล้วก็ตาม ก็จะต้องให้ เพราะ
ข้าพระบาทจะลืมทานเสียไม่ได้.

จบ วิสัยหชาดกที่ 10

อรรถกถาวิสัยหชาดกที่ 10


พระศาสดาเมื่อประดับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร ทรงปรารภ
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
อทาสิ ทานานิ ดังนี้.
เรื่องปัจจุบันได้ให้พิสดารแล้วในขทิรังคารชาดก ในหนหลัง
ส่วนในชาดกนี้ พระศาสดาตรัสเรียกท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีมาแล้ว
ตรัสว่า คฤหบดี โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย ห้ามท้าวสักกเทวราช
ผู้ประทับยืนในอากาศห้ามอยู่ว่า ท่านอย่าให้ทาน ก็ยังได้ให้ทานอยู่
เหมือนเดิม อันท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีนั้น ทูลอาราธนาแล้ว
จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ใน
นครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นเศรษฐีนามว่า วิสัยหะ มีทรัพย์
สมบัติ 80 โกฏิ ได้เป็นผู้ประกอบด้วยศีล 5 มีอัธยาศัยในทางทาน