เมนู

6. ชรูทปานชาดก


ขุดบ่อได้ทรัพย์กลับพินาศเพราะขุดเกิน


[367] พ่อค้าทั้งหลายมีความต้องการด้วยน้ำ
พากันขุดบ่อน้ำเก่าได้แร่เหล็ก แร่ทองแดง
ดีบุก ตะกั่ว แก้วมณี เงิน ทอง แก้วมุกดา
และแก้วไพฑูรย์ เป็นอันมาก
[368] แต่พวกพ่อค้าเหล่านั้น ไม่ได้ยินดีด้วย
ทรัพย์นั้น ได้พากันขุดให้ลึกยิ่งขึ้น ๆ ในบ่อ
น้ำนั้นมีพระยานาคมีพิษร้ายแรงมีเดช ได้ฆ่า
พวกพ่อค้าเหล่านั้นเสียด้วยเดชแห่งพิษ.
[369] เพราะฉะนั้น บุคคลพึงขุดบ่อน้ำเถิดแต่
ไม่ควรขุดให้ลึกเกินไป เพราะว่าบ่อที่ขุดลึก
เกินไปเป็นของลามก ทรัพย์ที่พวกพ่อค้าได้
แล้วด้วยการขุด และชีวิตก็พินาศไปเพราะ
การที่ขุดลึกเกินไป.

จบ ชรูทปานชาดกที่ 6

อรรถกถาชรูทปานชาดกที่ 6


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
พ่อค้าชาวเมืองสาวัตถี จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า ชรูทปานํ
ขณมานา
ดังนี้

ได้ยินว่า พ่อค้าเหล่านั้นซื้อสินค้าในเมืองสาวัตถีบรรทุกเกวียน
ในเวลาจะไปเพื่อต้องการค้าขาย ได้นิมนต์พระตถาคตมาแล้ว ถวาย
มหาทานรับสรณะตั้งอยู่ในศีล ถวายบังคมพระศาสดาแล้วกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพพระองค์ทั้งหลายจักเดินทางไกลไปค้าขาย
จำหน่ายสินค้าหมดแล้ว สำเร็จเสร็จการไป ได้กลับมาโดยปลอดภัย
จักถวายบังคมพระองค์อีก ครั้นกราบทูลแล้วก็ออกเดินทางไป. พ่อค้า
เหล่านั้น ได้พบบ่อน้ำเก่าในหนทางกันดาร จึงกล่าวกันว่า ในบ่อนี้
ไม่มีน้ำดื่ม และพวกเราก็กระหายน้ำ จักขุดบ่อนั้น ว่าแล้วก็พากัน
ขุดได้เหล็ก โลหะ และแก้วไพฑูรย์โดยลำดับ พ่อค้าเหล่านั้นเป็น
ผู้สันโดษด้วยทรัพย์นั้นเท่านั้น เอารัตนะเหล่านั้นบรรทุกจนเต็ม
เกวียน กลับมาพระนครสาวัตถีโดยปลอดภัย. พ่อค้าเหล่านั้นเก็บ
ทรัพย์ที่ได้มาแล้วคิดกันว่า พวกเราเดินทางสำเร็จเรียบร้อยแล้วจัก
ถวายทาน จึงนิมนต์พระตถาคต ถวายทาน ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ
ส่วนข้างหนึ่ง กราบทูลถึงเหตุที่ตนได้ทรัพย์แด่พระศาสดา. พระศาสดา
ตรัสว่า ท่านทั้งหลายแลเป็นอุบาสก สันโดษด้วยทรัพย์นั้น จึงได้
ทรัพย์และชีวิต เพราะความเป็นผู้รู้ประมาณ ส่วนพวกเก่าเป็นผู้ไม่
สันโดษ ไม่รู้จักประมาณ ไม่กระทำตามคำของบัณฑิตทั้งหลาย จึง
ถึงความสิ้นชีวิตไป อันพ่อค้าเหล่านั้นอ้อนวอนอาราธนาแล้ว จึงทรง
นำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาลเมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพา-

ราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพ่อค้าในนครพาราณสี พอเจริญ
วัยก็ได้เป็นหัวหน้าพ่อค้าเกวียน พระโพธิสัตว์นั้น ซื้อสินค้าในนคร
พาราณสีบรรทุกเกวียน พาพวกพ่อค้าเป็นอันมากเดินไปทางกันดาร
นั้นเหมือนกัน ได้เห็นบ่อน้ำเหมือนกัน. ณ ที่นั้น พ่อค้าเหล่านั้น
กล่าวกันว่าจักดื่มน้ำ จึงขุดบ่อนั้น ได้ทรัพย์มีแก้วไพฑูรย์เป็นต้น
มากมายโดยลำดับ. พ่อค้าเหล่านั้นได้รัตนะแม้มากมาย ก็ยังไม่สันโดษ
คือยินดีเท่าที่ได้รัตนะนั้น พากันขุดบ่อนั้นหนักยิ่งขึ้นด้วยหมายใจว่า
ในบ่อนี้ จักมีสิ่งแม้อื่นที่ดีกว่ารัตนะแม้นี้. ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์
จึงกล่าวกะพ่อค้าเหล่านั้นว่า พ่อค้าทั้งหลายผู้เจริญ ขึ้นชื่อว่าความโลภ
นี้เป็นมูลแห่งความพินาศ พวกท่านให้ทรัพย์มากแล้ว จงสันโดษด้วย
ทรัพย์มีประมาณเท่านี้เถิด อย่าขุดเกินไปนัก. พ่อค้าเหล่านั้นแม้จะ
ไว้. ลำดับนั้น พระยานาคผู้อยู่ภายใต้บ่อน้ำนั้น เมื่อวิมานของตนถูก
ทำลาย เมื่อก้อนดินและผู้อายุตกใส่ก็โกรธใช้ลมจมูกเป่าพ่อค้าทั้งหมด
ให้ถึงความสิ้นชีวิตไม่มีเหลือ เว้นไว้แต่พระโพธิสัตว์ แล้วออกจาก
นาคพิภพให้เทียมเกวียนบรรทุกรัตนะทั้ง 7 จนเต็ม ให้พระโพธิสัตว์
นั่งในยานน้อยอันสบาย พวกนาคมาณพขับเกวียนนำพระโพธิสัตว์
ไปยังนครพาราณสี เข้าไปยังเรือนเก็บทรัพย์แล้วก็ไปสู่นาคพิภพ
ของตนตามเดิม. พระโพธิสัตว์จ่ายทรัพย์นั้น กระทำให้ชมพูทวีป
ทั้งสิ้นไม่ต้องไถนา ให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ในเวลาสิ้น

ชีวิตได้ไปเกิดในสวรรค์.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว เป็นผู้ตรัสรู้
ยิ่งเอง ได้ตรัสคาถาเหล่านี้ว่า :-
พ่อค้าทั้งหลายผู้มีความต้องการน้ำ
พากันขุดบ่อน้ำเก่า ได้แร่เหล็ก แร่ทองแดง
ดีบุก ตะกั่ว แก้วมณี เงินทอง แก้วมุกดา
และแก้วไพฑูรย์ เป็นอันมาก แต่พ่อค้า
เหล่านั้นไม่ได้ยินดีด้วยทรัพย์นั้น พากันขุด
ลึกยิ่งขึ้น ๆ ในบ่อน้ำมัน มีพระยานาคมีพิษ
ร้ายแรง มีเดช ได้ฆ่าพ่อค้าเหล่านั้นเสียด้วย
เดชเเห่งพิษ. เพราฉะนั้น บุคคลพึงขุดบ่อ
น้ำเถิด แต่ไม่ควรขุดให้ลึกเกินไป เพราะบ่อ
ที่ขุดลึกเกินไปเป็นของลามก ทรัพย์ที่พวก
พ่อค้าได้แล้วด้วยการขุดก็พินาศไป เพราะ
การขุดลึกเกินไป.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อยํ ได้แก่ โลหะสีดำ (เหล็ก).
บทว่า โลหํ ได้แก่ โลหะสีแดง (ทองแดง) บทว่า มุตฺตา ได้แก่
แก้วมุกดาเป็นต้น. บทว่า เต จ เตน อสนฺตุฏฺฐา ความว่า ก็พ่อค้า
เหล่านั้นไม่ได้ยินดีด้วยทรัพย์นั้น. บทว่า เต ตตฺถ ได้แก่ พ่อค้า
เหล่านั้น ในบ่อน้ำนั้น. บทว่า เตชสี ได้แก่ เป็นผู้ประกอบด้วย

เดชแห่งพิษ. บทว่า เตชสา หนิ ได้แก่ ฆ่าด้วยเดชแห่งพิษ บทว่า
อติกฺขาเตน นาสิตํ ความว่า เพราะขุดลึกเกินไป ทรัพย์สละชีวิต
นั้น จึงพินาศไป.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรง
ประชุมชาดกว่า พระยานาคในกาลนั้น ได้เป็นพระสารีบุตรในบัดนี้
ส่วนหัวหน้าพ่อค้าเกวียนคือเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาชรูทปานชาดกที่ 6

7. คามณิจันทชาดก


ลิงเป็นสัตว์ไม่รู้จักเหตุ


[370] สัตว์ตัวนี้ไม่ฉลาดที่จะทำเรือน มีปกติ
หลุกหลิก หนังที่หน้าย่น พึงประทุษร้ายของ
ที่เขาทำไว้แล้ว ตระกูลสัตว์นี้มีอย่างนั้นเป็น
ธรรมดา.
[371] ขนอย่างนี้ ไม่ใช่ขนของสัตว์ที่มีความ
คิดฉลาด ลิงตัวนี้จะทำให้ผู้อื่นปลอดโปร่งใจ
ไม่ได้ พระราชบิดาของเราทรงพระนามว่าชน-
สันธนะ ได้ตรัสสอนไว้ว่า ธรรมดาลิงย่อม
ไม่รู้จักเหตุอันใดอันหนึ่ง.
[372] สัตว์เช่นนี้ จะพึงเลี้ยงดูมารดาบิดา
หรือพี่ชายพี่สาวของตนไม่ได้เลย คำสอนนี้
พระราชบิดาของเราได้ทรงสั่งสอนไว้อย่างนี้.

จบ คามณิจันทชาดกที่ 7

อรรถกถาคามณิจันทชาดกที่ 7


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
การสรรเสริญปัญญา จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า นายํ ฆรานํ
กุสโล
ดังนี้.