เมนู

3. เอกราชชาดก


คุณธรรมคือขันติและตบะ


[510] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นเอกราช พระองค์
เสวยกามคุณอันบริบูรณ์อย่างยิ่งในกาลก่อน
มาบัดนี้ พระองค์ถูกโยนลงในบ่ออีนขรุขระ
เหตุไรจึงมิได้ละพระฉวีวรรณและพระกำลัง
กายที่มีอยู่แต่เก่าก่อนเสียเลย.
[511] ข้าแต่พระเจ้าทุพภิเสน ขันติและตบะ
เป็นคุณธรรมที่หม่อมฉันปรารถนามาแต่เดิม
แล้ว บัดนี้ หม่อมฉันได้สิ่งปรารถนานั้นแล้ว
เหตุไรจะพึงละฉวีวรรณและกำลังกายที่มีอยู่
แต่เก่าก่อนเสียเล่า.
[512] ข้าแต่พระองค์ผู้เปรื่องยศ มีปัญญาญาณ
ทนทานได้เป็นพิเศษ ได้ทราบมาว่า กิจที่ควร
ทำทุกอย่าง หม่อมฉันทำให้สำเร็จแล้ว ทั้ง
ได้ยศอันยิ่งใหญ่อันมีในกาลก่อน หม่อมฉัน
จึงไม่ละฉวีวรรณและกำลังกายที่มีอยู่แต่เก่า
ก่อน.

[513] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งปวงชน
สัตบุรุษทั้งหลายบรรเทาความสุขด้วยความ
ทุกข์ หรือบรรเทาความทุกข์อันยากที่จะทน
ได้ด้วยความสุข เพราะเป็นผู้มีจิตเยือกเย็น
ยิ่งนัก ในความสุขและทุกข์ทั้งสองอย่าง
ย่อมเป็นผู้มีจิตเป็นกลางทั้งในความสุขและ
ทุกข์ ดังตราชูฉะนั้น.
จบ เอกราชชาดกที่ 3

อรรถกถาเอกราชชาดกที่ 3


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภ
เสวกข้าราชสำนักของพระเจ้าโกศลคนหนึ่ง จึงตรัสพระธรรมเทศนา
นี้ มีคำเริ่มต้นว่า อนุตฺตเร กามคุเณ สมิทฺเธ ดังนี้.
เรื่องปัจจุบันได้กล่าวไว้แล้วในเสยยชาดก ในหนหลังนั้นแล.
ก็ในชาดกนี้ พระศาสดาตรัสว่า มิใช่ท่านเท่านั้น ที่นำเอาประโยชน์
มาโดยสิ่งอันมิใช่ประโยชน์ แม้โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย ก็ได้นำ
เอาประโยชน์มาโดยสิ่งอันไม่เป็นประโยชน์แก่ตน แล้วทรงนำเอาเรื่อง
ในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล อำมาตย์ผู้เป็นอุปัฏฐากของพระเจ้าพาราณสี
ประทุษร้ายในราชสำนัก พระราชาทรงเห็นโทษของเข้าโดยประจักษ์