เมนู

9. สุชาตาชาดก


ถ้อยคำไพเราะทำให้คนรัก


[406] สัตว์เหล่านี้สมบูรณ์ด้วยสีสรรวรรณะ มี
สำเนียงอ่อนหวาน น่ารักน่าชม แต่เป็น
สัตว์มีวาจากระด้าง ย่อมไม่เป็นที่รักของใคร
ทั้งในโลกนี้และโลกหน้าเลย.
[407] พระองค์ก็ได้เห็นมิใช่หรือว่า นกดุเหว่า
นี้ดำ สีไม่สวยตัวลายพร้อย แต่เป็นที่รักของ
สัตว์ทั้งหลายเป็นอันมาก เพราะวาจาอ่อน
หวาน.
[408] เพราะฉะนั้น ผู้ที่ต้องการจะให้ตนเป็นที่
รักของประชาชน พึงกล่าวแต่ถ้อยคำสละ-
สลวย พูดด้วยความคิด ไม่ฟุ้งซ่าน ถ้อย
คำของผู้แสดงอรรถและธรรม เป็นถ้อยคำ
ไพเราะ.

จบ สุชาตาชาดกที่ 9

อรรถกถาสุชาตาชาดกที่ 9


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
นางสุชาดาน้องหญิงของนางวิสาขา ธิดาของธนัญชัยเศรษฐี สะใภ้ของ

ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า น หิ
วณฺเณน สมฺปนฺนา
ดังนี้.
ได้ยินว่า นางสุชาดานั้นเข้าไปยังเรือนของท่านอนาถบิณฑิก
เศรษฐี เต็มไปด้วยยศอย่างใหญ่หลวง. นางสุชาดานั้นคิดว่า เราเป็น
ธิดาของตระกูลใหญ่ จึงเป็นผู้ถือตัวจัด มักโกรธ ดุร้าย หยาบช้า
ไม่กระทำวัตรปฏิบัติแก่พ่อผัว แม่ผัว และสามี เที่ยวคุกคามเฆี่ยนตี
คนในเรือน. ครั้นวันหนึ่ง พระศาสดาแวดล้อมด้วยภิกษุ 500
เสด็จเข้าไปยังเรือนของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ประทับนั่งอยู่. ฝ่าย
มหาเศรษฐีก็เข้าไปนั่งใกล้พระศาสดา ฟังธรรมอยู่. ขณะนั้น นาง
สุชาดาทำการทะเลาะกับพวกทาสและกรรมกร. พระศาสดาทรงหยุด
ธรรมกถาตรัสว่า นี่เสียงอะไร. ท่านเศรษฐีกราบทูลว่า ข้าแต่พระ-
องค์ผู้เจริญ มีหญิงสะใภ้ในตระกูลคนหนึ่ง ไม่มีความเคารพ. นาง
ไม่มีวัตรปฏิบัติต่อพ่อผัว แม่ผัว และสามี ไม่ให้ทาน ไม่รักษาศีล
ไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส เที่ยวก่อแต่การทะเลาะทุกวันทุกคืน.
พระศาสดาตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านจงเรียกนางมา. นางสุชาดามา
ถวายบังคมแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ส่วนสุดข้างหนึ่ง. ลำดับนั้น พระศาสดา
ตรัสถามนางว่า ดูก่อนสุชาดา ภรรยาของบุรุษมี 7 จำพวก เธอ
เป็นภรรยาพวกไหน ในบรรดาภรรยา 7 จำพวกนั้น. นางสุชาดา
กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันไม่ทราบความแห่งพระ-
ดำรัสที่พระองค์ตรัสโดยย่อ ขอพระองค์จงตรัสบอกแก่หม่อมฉันโดย

พิสดารเถิด. พระศาสดาตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น เธอจงเงี่ยโสตสดับ
แล้วได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า :-
ภรรยาคนใดของชายมีอาการอย่างนี้
คือมีจิตคิดประทุษร้ายสามี มิได้ประพฤติสิ่ง
ที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่สามี ยินดีรักใคร่
ในบุรุษอื่น ดูหมิ่นล่วงเกินสามี ขวนขวาย
เพื่อจะฆ่าสามีผู้ถ่ายมาด้วยทรัพย์ ภรรยาชนิด
นั้น ท่านเรียกว่า วธกาภริยา ภรรยาเสมอ
เพชฌฆาต. ภรรยาใดของชายมีอาการอย่างนี้
คือ สามีได้ทรัพย์สิ่งใดมา โดยทางศิลป-
วิทยาก็ดี โดยทางค้าขายก็ดี ทางกสิกรรม
ก็ดี แม้จะน้อยมากเพียงใด ก็มอบให้ภรรยา
เก็บรักษาไว้ แต่ภรรยานั้นไม่รู้จักเก็บงำ
ปรารถนาแต่จะใช้ทรัพย์นั้นให้หมดเปลือง
ไป ภรรยาชนิดนั้น ท่านเรียกว่า โจรีภริยา
ภรรยาเสมอดังโจร. ภรรยาใดของชายมี
อาการอย่างนี้ คือ ไม่ปรารถนาทำการงาน
เกียจคร้าน กินจุ หยาบช้า ดุร้าย ปากคอ
เราะราน ประพฤติข่มขี่พวกคนผู้คอยรับใช้
ภรรยาชนิดนั้น ท่านเรียกว่า อัยยาภริยา

ภรรยาเสมอดังเจ้า. ภรรยาใดของชายมีอาการ
อย่างนี้ คือ โอบอ้อมอารี ประพฤติสิ่งที่เป็น
ประโยชน์เกื้อกูลทุกเมื่อ ตามรักษาสามี
คล้ายมารดาตามรักษาบุตร รักษาทรัพย์ที่สามี
หามาได้ไว้ ภรรยาชนิดนั้น ท่านเรียกว่า
มาตาภริยา ภรรยาเสมอดังมารดา. ภรรยาใด
ของชายมีอาการอย่างนี้ คือ มีความเคารพ
สามีของตน มีความละอายใจ ประพฤติ
ตามอำนาจ ความพอใจของสามี คล้ายกับ
น้องหญิงมีความเคารพพี่ชายฉะนั้น ภรรยา
ชนิดนั้น ท่านเรียกว่า ภคินีภริยา ภรรยา
เสมอดังน้องหญิง. ภรรยาใดของชายมีอาการ
อย่างนี้ คือ เห็นสามีย่อมร่าเริงยินดี คล้าย
กับหญิงสหาย เห็นมิตรสหายมาเรือนของตน
ฉะนั้น เป็นผู้รักษาวงศ์ตระกูล มีศีลมีวัตร
ปฏิบัติต่อสามี ภรรยาชนิดนั้น ท่านเรียกว่า
สขีภริยา ภรรยาเสมอดังเพื่อน. ภรรยาใด
ของชายมีอาการอย่างนี้ คือ เป็นคนไม่มีความ
ขึ้งโกรธ ถึงจะถูกคุกคามด้วยการฆ่าและลง
อาญา ก็ไม่มีจิตคิดประทุษร้าย อดกลั้นต่อ

สามี ไม่โกรธ ยอมประพฤติตามอำนาจสามี
ภรรยาชนิดนั้น ท่านเรียกว่า ทาสีภริยา
ภรรยาเสมอดังทาส.
1
ดูก่อนสุชาดา ภรรยาของบุรุษมี 7 จำพวกนี้แล บรรดา
ภรรยา 7 จำพวกนั้น ภรรยา 3 จำพวกเหล่านี้ คือ ภรรยาเสมอดัง
เพชฌฆาต 1 ภรรยาเสมอดังโจร 1 ภรรยาเสมอดังเจ้า 1 ย่อมบังเกิด
ในนรก ส่วนภรรยา 4 จำพวกนอกนี้ ย่อมบังเกิดในเทวโลก
ชั้นนิมมานรดิ ครั้นพระศาสดาตรัสจำแนกภรรยา 7 จำพวก
ด้วยพระคาถาแล้ว จึงตรัสนิคมพจน์ดังนี้ว่า :-
ก็ภรรยาใดในโลกนี้ ที่เรียกว่าวธกา-
ภริยา โจรีภริยา และอัยยาภริยา เป็นคนทุศีล
หยาบช้า มีได้เอื้อเฟื้อ ภรรยานั้น ครั้นแตก
กายทำลายขันธ์ ย่อมไปสู่นรก. ส่วนภรรยาใด
ในโลกนี้ ที่เรียกว่า มาตาภริยา ภคินีภริยา
สขีภริยา และทาสีภริยา เป็นคนดำรงอยู่ใน
ศีล สำรวมระวังดีตลอดเวลานาน ภรรยา
นั้น ครั้นแตกกายทำลายขันธ์ ย่อมไปสู่สุคติ.


1. องฺ. สตฺตก. 23/60.

เมื่อพระศาสดาทรงแสดงภรรยา 7 จำพวก ด้วยประการ
อย่างนี้แล้ว นางสุชาดาได้ดำรงอยู่ในพระโสดาปัตติผล. เมื่อพระ-
ศาสดาตรัสว่า ดูก่อนสุชาดา บรรดาภรรยา 7 จำพวกนี้ เธอเป็น
ภรรยาพวกไหน ? นางสุชาดาจึงกราบทูลว่า กระหม่อมฉัน ขอเป็น
ภรรยาเสมอด้วยทาส พระเจ้าข้า แล้วถวายบังคมขอขมาพระศาสดา.
พระศาสดาทรงทรมานนางสุชาดาหญิงสะใภ้ ด้วยพระโอวาทครั้งเดียว
เท่านั้น ด้วยประการดังนี้ ทรงทำภัตตกิจเสร็จแล้วเสด็จไปพระวิหาร.
เชตวัน เมื่อภิกษุสงฆ์แสดงวัตรแล้ว จึงเสด็จเข้าพระคันธกุฎี. ภิกษุ
ทั้งหลายนั่งสนทนากันถึงพระคุณของพระศาสดาในโรงธรรมสภาว่า
อาวุโสทั้งหลาย พระศาสดาทรงทรมานนางสุชาดาหญิงสะใภ้ด้วยพระ-
โอวาทครั้งเดียวเท่านั้น ให้ดำรงอยู่ในพระโสดาปัตติผล. พระศาสดา
เสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากัน
ด้วยเรื่องอะไร ? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า
ภิกษุทั้งหลาย มิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน เราก็ได้ทรมาน
นางสุชาดาด้วยโอวาทครั้งเดียวเหมือนกัน แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีต
มาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในพระนคร
พาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีของ
พระเจ้าพรหมทัตนั้น พอเจริญวัย ได้ศึกษาเล่าเรียนศิลปะทั้งปวงใน
เมืองตักกศิลา เมื่อพระราชบิดาสวรรคต ก็ได้ดำรงอยู่ในราชสมบัติ

ทรงครองราชย์โดยธรรม โดยสม่ำเสมอ. พระมารดาของพระโพธิสัตว์
นั้น เป็นผู้มักโกรธ ดุร้าย หยาบช้า ชอบด่า ชอบบริภาษ. พระ-
โพธิสัตว์นั้นประสงค์จะถวายโอวาทแก่พระมารดา ทรงพระดำริว่า. การ
กราบทูลถ้อยคำที่ไม่มีเรื่องอ้างอิงอย่างนี้ ไม่สมควร จึงเสด็จ
เที่ยวมองหาข้อเปรียบเทียบ เพื่อทรงแนะนำพระมารดา. ครั้นวัน
หนึ่ง ได้เสด็จไปยังพระราชอุทยาน. แม้พระมารดาก็ได้เสด็จไปพร้อม
กับพระโอรสเหมือนกัน. ครั้งนั้น นกกระต้อยตีวิดกำลังส่งเสียงร้อง
อยู่ในระหว่างทาง. บริษัทของพระโพธิสัตว์ได้ยินเสียงนั้น จึงพากัน
ปิดหูแล้วกล่าวว่า ดูก่อนเจ้านกผู้มีเสียงกระด้างหยาบช้า เจ้าอย่าได้ส่ง
เสียงร้อง. ก็เมื่อพระโพธิสัตว์แวดล้อมด้วยนักฟ้อนเสด็จเที่ยวพระราช-
อุทยานกับพระมารดา มีนกดุเหว่าตัวหนึ่งแอบอยู่ที่ต้นสาละต้นหนึ่ง
มีดอกบานสะพรั่ง ส่งเสียงร้องด้วยสำเนียงอันไพเราะ. มหาชนพากัน
หลงใหลเสียงนั้น ประคองอัญชลีกล่าวว่า ดูก่อนนกผู้มีเสียงอ่อนหวาน
สละสลวยนุ่มนวล เจ้าจงร้องต่อไป ๆ แล้วต่างแหงนคอเงี่ยโสตยืน
แลดูอยู่. ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ได้ทรงทราบชัดเหตุการณ์ทั้งสอง
นั้นแล้ว ทรงพระดำริว่า เราจักสามารถทำพระมารดาให้ยินยอมได้
ในบัดนี้ จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระมารดา มหาชนได้ยินเสียงนก
ต้อยตีวิดในระหว่างทาง ต่างพูดว่า เจ้าอย่าส่งเสียงร้อง แล้วปิดหูเสีย
ชื่อว่าวาจาหยาบไม่เป็นที่รักของใคร ๆ แล้วได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า :-
สัตว์เหล่านี้สมบูรณ์ด้วยสีสรรวรรณะ

มีสำเนียงอ่อนหวานน่ารักน่าชม แต่เป็น
สัตว์มีวาจากระด้าง ย่อมไม่เป็นที่รักของใคร ๆ
ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า. พระองค์ก็ได้เห็น
มิใช่หรือว่า นกดุเหว่าตัวนี้ ดำ สีไม่สวย
ตัวลายพร้อย แต่เป็นที่รักของสัตว์ทั้ง
หลายเป็นอันมาก เพราะวาจาอ่อนหวาน.
เพราะฉะนั้น ผู้ที่ต้องการจะให้ตนเป็นที่รัก
ของมหาชน พึงเป็นผู้มีวาจาสละสลวย พูด
ด้วยความคิด ไม่ฟุ้งซ่าน ถ้อยคำของผู้ที่
แสดงอรรถและธรรม เป็นถ้อยคำไพเราะ.

คาถาเหล่านั้นมีเนื้อความดังต่อไปนี้ ข้าแต่พระมารดา สัตว์
เหล่านี้ประกอบด้วยสีกายมีสีเหมือนดอกประยงค์เป็นต้น ชื่อว่ามีเสียง
ไพเราะ เพราะเสียงเปล่งไพเราะ ชื่อว่าน่ารักน่าชม เพราะมีรูปร่าง
งดงาม แต่ชื่อว่าเป็นสัตว์มีวาจาหยาบ เพราะประกอบด้วยวาจาแข็ง
กระด้างอันเป็นไปด้วยการด่าและการบริภาษเป็นต้น จนชั้นที่สุดบิดา
มารดา จึงชื่อว่าไม่เป็นที่รักของใคร ๆ ในโลกนี้และในโลกหน้า
เหมือนนกต้อยตีวิดที่มีวาจากระด้างในระหว่างทางฉะนั้น ส่วนนก
ดุเหว่ามีปกติกล่าวอ่อนหวาน ประกอบด้วยวาจากลมเกลี้ยง ไพเราะ
ถึงจะมีรูปไม่งามก็เป็นที่รักใคร่ได้. ด้วยเหตุนั้น กระหม่อมฉัน จึง
ขอกล่าวกะพระองค์ว่า พระองค์เห็นมิใช่หรือ นกดุเหว่าตัวนี้ ดำ

มีสีไม่สวย ลายพร้อยด้วยเมล็ดงาดำ อันดำยิ่งกว่าแม้สีกาย แต่ถึง
นกดุเหว่านั้น แม้จะเป็นสัตว์มีสีกายไม่สวยงามอย่างนี้ ก็ยังเป็นที่รัก
ของสัตว์ทั้งหลายเป็นอันมาก เพราะมีวาจาอ่อนหวาน. ดังนั้น เพราะ
เหตุที่สัตว์ทั้งหลายมีวาจาแข็งกระด้าง ย่อมไม่เป็นที่รักแม้ของบิดา
มารดาในโลก ฉะนั้น บุคคลผู้ปรารถนาจะให้เป็นที่รักของชนเป็นอัน
มาก พึงเป็นผู้มีวาจาสละสลวย อ่อนหวาน กลมกล่อม ไพเราะ
นุ่มนวล. และชื่อว่ากล่าวด้วยความคิด เพราะกล่าวกำหนด้วยความ
คิด กล่าวคือปัญญา ชื่อว่าไม่ฟุ้งซ่านเพ้อเจ้อ เพราะกล่าวถ้อยคำ
พอประมาณ เว้นความฟุ้งซ่านเพ้อเจ้อ. ก็บุคคลใดผู้เห็นปานนี้แสดง
อรรถและธรรม ถ้อยคำของบุคคลนั้น ชื่อว่าไพเราะอาศัยเหตุกล่าว
ไม่ทำคนอื่นให้โกรธเคือง.
พระโพธิสัตว์แสดงธรรมแก่พระมารดา ด้วยคาถา 3 คาถา
เหล่านี้ ด้วยประการอย่างนี้ ทำให้พระมารดารู้สึกพระองค์ได้. จำเดิม
แต่นั้น พระมารดาได้เป็นผู้เพียบพร้อมด้วยพระมารยาท. ก็พระโพธิ-
สัตว์ทรงการทำพระมารดาให้หมดพยศ ด้วยพระโอวาท เพียงโอวาท
เดียวเท่านั้น แล้วเสด็จไปตามยถากรรม.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดกว่า พระมารดาของพระเจ้าพาราณสี ในครั้งนั้น ได้เป็นนาง
สุชาดาในบัดนี้ ส่วนพระราชาในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนั้นแล.
จบ อรรถกถาสุชาตาชาดกที่ 9

10. อุลูกชาดก


หน้าตาไม่ดีไม่ควรให้เป็นใหญ่


[409] ได้ยินว่า พวกญาติทั้งมวลตั้งนกเค้าให้
เป็นใหญ่ ถ้าพวกญาติอนุญาต ฉันจะขอพูด
สักคำหนึ่ง.
[410] ดูก่อนสหาย เราทั้งหมดอนุญาตให้ท่าน
พูด แต่จงพูดแต่ถ้อยคำที่เป็นอรรถและธรรม
อย่างเดียว เพราะว่านกหนุ่ม ๆ ที่มีปัญญา
และทรงไว้ซึ่งญาณอันรุ่งเรืองมีอยู่.
[411] ขอความเจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลาย การ
แต่งตั้งนกเค้าให้เป็นใหญ่ ข้าพเจ้าไม่ชอบใจ
ท่านจงมองดูหน้าของนกเค้าผู้ไม่โกรธเกิด
นกเค้าโกรธแล้วจักทำหน้าตาเป็นอย่างไร.

จบ อลูกชาดกที่ 10

อรรถกถาอุลูกชาดกที่ 10


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
การทะเลาะของกาและนกเค้า จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า สพฺเพหิ
กิร ญาตีหิ
ดังนี้.