เมนู

10. ธัมมัทธชชาดก



ว่าด้วยผู้ถึงธรรมของสัตบุรุษ


[289 ] ท่านอยู่เป็นสุขแล้ว ได้ออกจากแว่นแคว้น
มาสู่ป่าอันสงัดเงียบ ท่านนั้นนั่งซบเซาอยู่โคน
ต้นไม้แต่ผู้เดียว เหมือนคนกำพร้า.
[290] เราอยู่เป็นสุขแล้ว ได้ออกจากแว่นแคว้น
มาสู่ป่าสงัดเงียบ ระลึกถึงธรรมของสัตบุรุษอยู่
นั่งซบเซาอยู่ที่โคนต้นไม้แต่ผู้เดียว เหมือนคน
กำพร้า.

จบ ธัมมัทธชชาดกที่ 10

อรรถกถาธัมมัทธชชาดกที่ 10



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
ปรารภพระเทวทัตพยายามปลงพระชนม์พระองค์ ตรัสพระธรรม
เทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า สุขํ ชีวิตรูโปว ดังนี้.
ความย่อว่า พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวทัต
พยายามฆ่าเรา ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้เมื่อก่อนก็พยายาม
ฆ่าเราเหมือนกัน แต่ไม่อาจทำแม้เพียงความสะดุ้งสะเทือน จึง
นำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.

ในอดีตกาล พระราชาพระนามว่า ยศปาณีเสวยราชสมบัติ
อยู่ในกรุงพาราณสี. มีเสนาบดีชื่อ กาฬกะ ในครั้งนั้นพระโพธิ-
สัตว์ได้เป็นปุโรหิตของพระเจ้ายศปาณีนั้น ชื่อ ธรรมธัช. ส่วน
กัลบกผู้แต่งพระศกของพระองค์ชื่อ ฉัตตปาณี. พระราชาทรง
ครองราชสมบัติโดยธรรม. แต่เสนาบดีของพระองค์ เมื่อจะ
วินิจฉัยคดีย่อมกินสินบน รับสินบนแล้วย่อมทำผู้ที่มิใช่เจ้าของ
ให้เป็นเจ้าของดุจคนคอยกินเนื้อสันหลังของผู้อื่น.
อยู่มาวันหนึ่ง มนุษย์คนหนึ่งถูกตัดสินให้แพ้คดีที่ศาล
ประคองแขนสะอึกสะอื้นออกจากศาล เห็นพระโพธิสัตว์กำลัง
ไปทำราชการ จึงซบลงที่เท้าพระโพธิสัตว์เล่าเรื่องที่ตนแพ้คดี
ว่า ข้าแต่นาย เมื่อคนเช่นท่านถวายอรรถและธรรมแด่พระราชา
ยังอยู่ กาฬกะเสนาบดีรับสินบนทำผู้ที่ไม่เป็นเจ้าของให้เป็น
เจ้าของ. พระโพธิสัตว์เกิดความสงสารกล่าวว่า มาเถิดพ่อหนุ่ม
เราจักวินิจฉัยคดีของท่านเอง แล้วพามนุษย์ผู้นั้นไปยังศาล
มหาชนประชุมกัน. พระโพธิสัตว์กลับตัดสินให้เจ้าของนั้นแหละ
เป็นเจ้าของ. มหาชนต่างแซ่ซร้องสาธุการ. เสียงนั้นได้อึกทึก
สนั่นไป. พระราชาทรงสดับเสียงนั้นตรัสถามว่า นั่นเสียงอะไร
ราชบุรุษกราบทูลว่า ขอเดชะ ธรรมธัชบัณฑิตตัดสินคดีที่
กาฬกะเสนาบดีตัดสินไว้ผิดให้ถูก นั่นเป็นเสียงแซ่ซร้องสาธุการ
ณ ที่นั้น พระพุทธเจ้าข้า. พระราชาทรงโสมนัสตรัสให้หาพระ-
โพธิสัตว์มาตรัสถามว่า ท่านอาจารย์ได้ยินว่า ท่านตัดสินคดี

หรือ กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ถูกแล้วพระเจ้าข้าท่านกาฬกะ-
เสนาบดี ตัดสินไว้ไม่ดี ข้าพระพุทธเจ้าจึงวินิจฉัยเสียใหม่ แล้ว
ตรัสว่าตั้งแต่นี้ไป ขอให้ท่านจงตัดสินคดีเถิด เราจะได้สบายหู
ทั้งประชาชนจะได้มีความเจริญ แล้วทรงขอร้องว่า ท่านจงนั่งที่
ตัดสินคดี เพื่ออนุเคราะห์ต่อราษฎรเถิด แม้พระโพธิสัตว์ไม่
ปรารถนาก็ได้ทำตามพระประสงค์. ตั้งแต่นั้นมาพระโพธิสัตว์ก็
นั่ง ณ ที่ตัดสินคดี. กระทำผู้เป็นเจ้าของให้เป็นเจ้าของ. กาฬกะ-
เสนาบดี เมื่อไม่ได้รับสินบนตั้งแต่นั้นมาก็เสื่อมจากลาภ จึง
เพ็จทูลพระราชาให้บาดหมางพระโพธิสัตว์ว่า ข้าแต่มหาราช
ธรรมธัชบัณฑิต ปรารถนาราชสมบัติของพระองค์. พระราชา
ไม่ทรงเชื่อ ทรงห้ามว่าท่านอย่าพูดอย่างนั้น เมื่อเสนาบดีกราบ
ทูลอีกว่า หากพระองค์ไม่ทรงเชื่อข้าพระองค์ ขอจงทรงคอย
ทอดพระเนตรทางพระแกลในเวลาที่ธรรมธัชบัณฑิตมาเถิด
ที่นั้นพระองค์จะทรงเห็นพระนครทั้งสิ้นถูกธรรมธัชบัณฑิต
กำไว้ในเงื้อมมือของตน พระราชาทอดพระเนตรขบวนพวกลูก
ความของธรรมธัชบัณฑิต ทรงเข้าใจว่าเป็นพวกของธรรมธัช-
บัณฑิตทั้งสิ้น ทรงแหนงพระทัย ตรัสถามว่า เราจะทําอย่างไร
เสนาบดี. กราบทูลว่า ขอเดชะควรฆ่าธรรมธัชบัณฑิตพระเจ้าข้า.
ตรัสว่า เรายังไม่เห็นโทษร้ายแรงจะฆ่าเขาอย่างไรได้. กราบทูล
ว่า มีอุบายอย่างหนึ่งพระเจ้าข้า. ตรัสถามว่าอุบายอย่างไร.
กราบทูลว่า ขอพระองค์ทรงยกกรรมอันให้แก่ธรรมธัชบัณฑิต

นั้น แล้วฆ่าเขาผู้ไม่สามารถทำกรรมนั้นได้เสีย โดยความผิด
นั้นเถิดพระเจ้าข้า. ตรัสถามว่า ก็กรรมอันเหลือวิสัยของธรรมธัช-
บัณฑิตเป็นอย่างไร. กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ธรรมดาอุทยาน
ที่ปลูกสร้างในพื้นดินแข็งบำรุงอยู่ จะให้ผลใน 3-4 ปี ขอพระองค์
ตรัสเรียกธรรมธัชบัณฑิตนั้นมา แล้วตรัสว่า ดูก่อนบัณฑิต
เราประพาสอุทยานเก่ามานานแล้ว บัดนี้ประสงค์จะประพาส
อุทยานใหม่ พรุ่งนี้เราจะไปประพาสอุทยาน ท่านจงสร้างอุทยาน
ให้เราเถิด ธรรมธัชบัณฑิตนั้น คงสร้างไม่ได้เป็นแน่ ทีนั้นแหละ
พระองค์จักสำเร็จโทษธรรมธัชบัณฑิตเสีย. พระราชาตรัสเรียก
พระโพธิสัตว์มาตรัสตามที่กาฬกะเสนาบดีทูลอุบายทุกประการ.
พระโพธิสัตว์ทราบว่า พระราชาถูกกาฬกะเสนาบดีผู้
ไม่ได้รับสินบนเพ็จทูลยุยงแล้ว กราบทูลว่า ขอเดชะ ข้าพระองค์
สามารถจักรู้เอง กลับไปเรือน บริโภคโภชนะอย่างดี นอนคิด
ตรองอยู่บนที่นอน พิภพของท้าวสักกะได้แสดงอาการร้อน.
ท้าวเธอตรวจดูก็รู้ความคิดของพระโพธิสัตว์ รีบเสด็จมาเข้าห้อง
อันมีสิริประทับยืนอยู่บนอากาศ ตรัสถามว่า บัณฑิตท่านคิดอะไร
พระโพธิสัตว์ถามว่า ท่านเป็นใคร ตอบว่าเราเป็นท้าวสักกะ
พระโพธิสัตว์จึงบอกว่า พระราชาให้ข้าพระองค์สร้างอุทยาน
ใหม่ ข้าพระองค์คิดว่า จักทำอย่างไรจึงจะสร้างได้ ท้าวสักกะ
ตรัสว่า บัณฑิตท่านอย่าคิดเลย เราจักเนรมิตอุทยานเช่นกับ
สวนนันทวันและจิตรลดาให้ท่าน ท่านจะให้สร้างที่ไหน. พระโพธิ-

สัตว์ทูลว่า ขอจงสร้างที่โน้นเถิด. ท้าวสักกะเนรมิตแล้วก็เสด็จ
กลับเทพนคร. รุ่งขึ้นพระโพธิสัตว์เห็นอุทยานโดยประจักษ์แล้ว
จึงไปกราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่มหาราช อุทยานสำหรับ
พระองค์สำเร็จแล้ว ขอจงเสด็จประพาสเถิด พระราชาเสด็จไป
ทอดพระเนตรเห็นอุทยานแวดล้อมด้วยปราการมีสีดังมโนสิลา
สูง 18 ศอก มีประตูหอรบครบครัน ประดับด้วยรุกขชาติ
นานาพรรณ ผลิดอกออกผลสะพรั่ง จึงตรัสถามกาฬกะเสนาบดี
ว่า บัณฑิตได้ทำตามคำสั่งของเราแล้ว บัดนี้เราจะทำอย่างไร
ต่อไป. กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า บัณฑิตสามารถสร้าง
อุทยานได้โดยคืนเดียว จะไม่สามารถชิงราชสมบัติหรือ. พระ-
ราชาตรัสถามว่า บัดนี้เราจะทำอย่างไรต่อไป. กราบทูลว่า
จะให้ทำกรรมที่สุดวิสัยอย่างอื่น พระเจ้าข้า. ตรัสถาม กรรม
อะไร. กราบทูลว่า ขอจงโปรดให้สร้างสระโบกขรณีอันแล้ว
ด้วยแก้ว 7 ประการ พระราชารับว่า ดีละ จึงตรัสเรียกพระ-
โพธิสัตว์มาแล้วตรัสว่า ดูก่อนอาจารย์ อุทยานท่านได้สร้าง
เสร็จแล้ว ท่านจงสร้างสระโบกขรณีอันแล้วด้วยแก้ว 7 ประการ
อันสมควรแก่อุทยานนี้เถิด ถ้าไม่สามารถสร้างได้ ชีวิตท่าน
จะหาไม่. พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ข้าพระองค์
สามารถจักสร้างถวายได้ พระเจ้าข้า. ลำดับนั้นท้าวสักกะจึง
เนรมิตสระโบกขรณีอันงดงามยิ่งมีท่าสนานร้อยหนึ่ง มีเขา
วงกตพันหนึ่ง ดาดาษไปด้วยดอกปทุมห้าสีเช่นกับสระโบกขรณี

นันทา. รุ่งขึ้นพระโพธิสัตว์ได้ทำสระนั้นให้ประจักษ์แล้ว จึง
กราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะข้าพระพุทธเจ้าสร้างสระโบก-
ขรณีเสร็จแล้วพระเจ้าข้า. พระราชาทอดพระเนตรเห็นสระ-
โบกขรณีนั้น จึงตรัสถามกาฬกะว่า เราจะทำอย่างไรต่อไป.
กราบทูลว่า ขอเดชะ พระองค์จงสั่งให้สร้างคฤหาสน์อันคู่ควร
แก่อุทยานเถิด. พระราชาตรัสว่า ท่านอาจารย์บัดนี้ท่านจงสร้าง
คฤหาสน์อันล้วนแล้วไปด้วยงาช้าง สมควรแก่อุทยานนี้ และ
สระโบกขรณีเถิด หากสร้างไม่ได้ชีวิตของท่านจะหาไม่. ครั้น
แล้วท้าวสักกะก็เนรมิตคฤหาสน์ให้แก่พระโพธิสัตว์. รุ่งขึ้น
พระโพธิสัตว์ทำคฤหาสน์นั้นให้ประจักษ์ แล้วกราบทูลแด่
พระราชา. พระราชาทอดพระเนตรเห็นคฤหาสน์นั้นแล้ว จึงตรัส
ถามกาฬกะว่า บัดนี้จะทำอย่างไรต่อไป. กราบทูลว่า ข้าแต่
มหาราช ขอพระองค์จงรับสั่งให้สร้างแก้วมณีอันสมควรแก่
คฤหาสน์นั้นเถิดพระเจ้าข้า. พระราชารับสั่งให้พระโพธิสัตว์
มาหาตรัสว่า บัณฑิตท่านจงสร้างแก้วมณีอันสมควรแก่คฤหาสน์
ล้วนแล้วไปด้วยงานี้เถิด เราจักเที่ยวเดินด้วยแสงสว่างแห่ง
แก้วมณี หากท่านสร้างไม่ได้ ชีวิตของท่านจะไม่มี. ครั้งนั้น
ท้าวสักกะเนรมิตแก้วมณีให้พระโพธิสัตว์. รุ่งขึ้นพระโพธิสัตว์
กระทำแก้วมณีนั้นให้ประจักษ์ แล้วกราบทูลแด่พระราชา. พระ-
ราชาทอดพระเนตรเห็นแก้วมณีนั้น ตรัสถามกาฬกะ บัดนี้เรา
จะทำอย่างไรต่อไป. กาฬกะกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช เห็นจะ

มีเทวดาคอยเนรมิตให้สิ่งที่ปรารถนาแก่พราหมณ์ธรรมธัชเป็น
แน่ คราวนี้สิ่งใดแม้เทวดาก็ไม่สามารถเนรมิตได้ ขอพระองค์
จงรับสั่งสิ่งนั้นเถิด แม้เทวดาก็ไม่สามารถเนรมิตมนุษย์ผู้ประกอบ
ด้วยองค์ 4 ได้ เพราะฉะนั้น ขอพระองค์จงรับส่งกะธรรมธัชว่า
ท่านจงสร้างคนรักษาอุทยานประกอบด้วยองค์ 4 เถิด. พระราชา
ตรัสเรียกพระโพธิสัตว์มาแล้วตรัสว่า ดูก่อนอาจารย์ อุทยาน
สระโบกขรณีและปราสาท อันแล้วด้วยงา และแก้วมณีสำหรับ
ส่องแสงสว่างแก่ปราสาท ท่านสร้างให้แก่เราเสร็จแล้ว บัดนี้
ท่านจงสร้างคนรักษาอุทยานประกอบด้วยองค์ 4 ทำหน้าที่
รักษาอุทยานแก่เราเถิด หากท่านสร้างไม่ได้ชีวิตจะไม่มี. พระ-
โพธิสัตว์กราบทูลว่า ขอจงยกไว้เป็นพนักงานเถิด เมื่อข้าพระองค์
ได้ จักรู้เอง จึงกลับไปบ้านบริโภคอาหารอย่างดีแล้ว นอนตื่น
ขึ้นในตอนรุ่ง นั่งคิดอยู่บนหลังที่นอนว่า ท้าวสักกเทวราชสามารถ
เนรมิตแต่สิ่งที่ตนเนรมิตได้ แต่คงไม่สามารถเนรมิตคนเฝ้า
อุทยานประกอบด้วยองค์ 4 ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ การตายอย่าง
อนาถาในป่านั่นแลดีกว่าการตายในเงื้อมมือของผู้อื่น. พระ-
โพธิสัตว์มิได้บอกเล่าแก่ใคร ๆ ลงจากเรือนออกจากพระนคร
ทางประตูใหญ่ เข้าป่านั่งรำพึงถึงธรรมของสัตบุรุษ ณ โคน
ต้นไม้ต้นหนึ่ง. ท้าวสักกะทราบเหตุนั้น จึงแปลงเป็นพรานไพร
เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ เมื่อจะตรัสถามความนี้ว่า ดูก่อนพราหมณ์
ท่านเป็นผู้แบบบางประหนึ่งว่าจะไม่เคยเห็นทุกข์ยากมาก่อนเลย

ท่านอยู่เป็นสุขแล้ว ได้ออกจากแว่นแคว้น
มาสู่ป่าอันสงัดเงียบ ท่านนั้นนั่งซบเซาอยู่ที่
โคนต้นไม้แต่ผู้เดียว เหมือนคนกำพร้า.

ในบทเหล่านั้น บทว่า สุขํ ชีวิตรูโปสิ ความว่า ท่านดำรง
อยู่ในความสุข เช่นกับมีชีวิตอยู่ด้วยความสุข คือดุจบริหาร
ให้มีความสุข. บทว่า รฏฺฐา คือ จากที่ที่วุ่นวายด้วยมนุษย์. บทว่า
วิวนมาคโต คือ เข้าป่าอันเป็นที่ไม่มีน้ำ. บทว่า รุกฺขมูเล คือ
ใกล้ต้นไม้. บทว่า กปโณ วิย ฌายสิ ความว่า ท่านนั่งซบเซา
อยู่ผู้เดียวเหมือนคนกำพร้า. ท้าวสักกะตรัสถามว่า ท่านคิดอะไร
พระโพธิสัตว์ได้สดับดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ 2 ว่า :-
เราอยู่เป็นสุขแล้ว ได้ออกจากแว่นแคว้น
มาอยู่ป่าสงัดเงียบ ระลึกถึงธรรมของสัตบุรุษ
อยู่ นั่งซบเซาอยู่ที่โคนต้นไม้แต่ผู้เดียว เหมือน
คนกำพร้า.

ในบทเหล่านั้น บทว่า สตํ ธมฺมํ อนุสฺสรํ ความว่า ดูก่อน
สหาย นั่นเป็นความจริง เราอยู่เป็นสุขแล้ว ได้จากบ้านเมือง
มาสู่ป่า เราผู้เดียวเท่านั้นนั่งที่โคนต้นไม้ในป่านี้ ย่อมซบเซา
เหมือนคนกำพร้า ท่านได้ถามว่า ท่านคิดเรื่องอะไร ข้าพเจ้า
ขอตอบแก่ท่าน. บทว่า สตํ ธมฺมํ ความว่า ก็ข้าพเจ้านั่งอยู่ที่นี้
รำพึงถึงธรรมของสัตบุรุษผู้สงบ ผู้เป็นบัณฑิต คือพระพุทธเจ้า

พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสาวกทั้งหลาย แท้จริงโลกธรรม 8
ประการนี้ คือ ลาภ เสื่อมลาภ ยศ เสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ
สุข ทุกข์ แต่สัตบุรุษทั้งหลาย ถูกโลกธรรม 8 นี้ กระทบย่อม
ไม่หวั่น ไม่ไหว ธรรมของสัตบุรุษอันได้แก่ ความไม่หวั่นไหว
ในโลกธรรม 8 นี้ ข้าพเจ้านั่งระลึกถึงธรรมนี้ด้วยประการฉะนี้.
ลำดับนั้นท้าวสักกะจึงตรัสถามว่า ดูก่อนพราหมณ์เมื่อ
เป็นเช่นนี้ เหตุใดท่านจึงนั่งอยู่ที่นี่เล่า. พระโพธิสัตว์ตอบว่า
พระราชารับสั่งให้หาบุคคลผู้รักษาสวนประกอบด้วยองค์ 4
แต่ข้าพเจ้าไม่อาจหาบุคคลเช่นนั้นได้ จึงคิดว่าจะมีประโยชน์
อะไรด้วยความตายในเงื้อมมือของผู้อื่น เราจักเข้าป่าไปตาย
อย่างอนาถา จึงได้มานั่งอยู่ที่นี่. ท้าวสักกะตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์
เราคือท้าวสักกะ เราเนรมิตสวนให้ท่านแล้ว แต่ไม่สามารถจะ
เนรมิตผู้รักษาสวนซึ่งประกอบด้วยองค์ 4 ได้. ช่างกัลบกผู้
แต่งพระศกของพระราชาท่านชื่อว่า ฉัตตปาณี เป็นผู้ประกอบ
ด้วยองค์ 4 เมื่อมีความต้องการผู้รักษาสวน ท่านจงกราบทูล
ให้ทรงแต่งตั้งช่างกัลบกนั้นเป็นผู้รักษาสวนเถิด. ท้าวสักกเทวราช
ประทานโอวาทแก่พระโพธิสัตว์แล้ว ทรงปลอบโยนว่า อย่ากลัว
เลย แล้วเสด็จคืนสู่เทพบุรีของพระองค์. พระโพธิสัตว์ไปบ้าน
บริโภคอาหารแล้วไปถึงประตูพระราชวัง พบฉัตตปาณีที่ประตู
พระราชวังนั้น จับมือฉัตตปาณีแล้วถามว่า สหายฉัตตปาณีได้
ข่าวว่าท่านประกอบด้วยองค์ 4 หรือ เมื่อฉัตตปาณีถามว่า

ใครเป็นผู้บอกท่านว่า ข้าพเจ้าประกอบด้วยองค์ 4. ตอบว่า
ท้าวสักกเทวราช. ถามว่า เหตุใดจึงบอก. พระโพธิสัตว์จึง
เล่าเรื่องทั้งหมดว่า บอกด้วยเหตุนี้. ฉัตตปาณีกล่าวว่า ถูกแล้ว
ข้าพเจ้าเป็นผู้ประกอบด้วยองค์ 4. ลําดับนั้น พระโพธิสัตว์จึง
จับมือฉัตตปาณีไปเฝ้าพระราชา กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช
ฉัตตปาณีนี้เป็นผู้ประกอบด้วยองค์ 4 เมื่อมีความต้องการผู้
รักษาสวน ขอจงทรงตั้งฉัตตปาณีนี้เป็นผู้รักษาสวนเถิด พระ-
เจ้าข้า. ลำดับนั้น พระราชาตรัสถามฉัตตปาณีว่า ได้ยินว่าท่าน
เป็นผู้ประกอบด้วยองค์ 4 หรือ กราบทูลว่าถูกแล้ว พระเจ้าข้า
พระราชาตรัสถามว่า ท่านเป็นผู้ประกอบด้วยองค์ 4 คืออะไร
บ้าง. ฉัตตปาณีทูลว่า :-
ขอเดชะ ข้าพระองค์เป็นผู้ไม่ริษยา เป็นผู้
ไม่ดื่มน้ำเมา เป็นผู้ไม่ติดในความรัก เป็นผู้
ตั้งมั่นอยู่ในความไม่โกรธ.

ข้าแต่มหาราช ชื่อว่าความริษยาไม่มีแก่ข้าพระองค์ น้ำเมา
ข้าพระองค์ไม่เคยดื่ม ความรักก็ดี ความโกรธก็ดี ไม่เคยมีใน
ผู้อื่น ข้าพระองค์ประกอบด้วยองค์ 4 เหล่านี้.
ลำดับนั้นพระราชาตรัสถามว่า ดูก่อนฉัตตปาณี ท่าน
เป็นผู้ไม่ริษยาหรือ. กราบทูลว่า ขอเดชะ ถูกแล้วพระเจ้าข้า
ข้าพระองค์เป็นผู้ไม่ริษยา. ท่านเห็นเหตุอะไรจึงเป็นผู้ไม่ริษยา.

ฉัตตปาณีกราบทูลว่า ขอเดชะ ขอพระองค์จงทรงโปรดสดับ
เถิด เมื่อจะกล่าวถึงเหตุของการไม่ริษยา จึงกล่าวคาถานี้ว่า :-
ข้าแต่ราชะ ข้าพระพุทธเจ้าได้สั่งให้จองจำ
ปุโรหิต เพราะหญิงเป็นเหตุ ปุโรหิตนั้นให้ข้า-
พระองค์ตั้งอยู่ในประโยชน์แล้ว เพราะฉะนั้น
ข้าพระองค์จึงไม่ริษยา.

อธิบายความแห่งคาถานั้นว่า ข้าพระองค์นี้แหละ เมื่อก่อน
เป็นพระราชาในกรุงพาราณสีนี้เอง เช่นกับพระองค์ ให้จองจำ
ปุโรหิต เพราะสตรีเป็นเหตุ คือ ครั้งหนึ่งช่างกัลบกฉัตตปาณี
นี้เป็นพระราชา ถูกพระเทวีผู้ลักลอบกับพวกข้าบาทมูล 64 นาย
ผู้หวังจะให้พระโพธิสัตว์ ซึ่งไม่สนใจตนให้พินาศ ทูลยุยงให้
จองจำตามนัยที่มาแล้วในชาดกนี้ว่า :-
คนพาลแย้มพรายออกมาในที่ใด คนที่
ไม่ถูกจองจำ ก็ย่อมถูกจองจำในที่นั้น ส่วนนัก
ปราชญ์แย้มพรายออกมาในที่ใด ถึงคนที่ถูก
จองจำแล้ว ก็ย่อมหลุดออกมาได้ในที่นั้น.

ในครั้งนั้นพระโพธิสัตว์ถูกจองจำนำไปเฝ้า จึงกราบทูล
โทษของพระเทวีตามเป็นจริง ได้รอดพ้นเอง ได้ทูลให้ปลดปล่อย
พวกข้าบาทมูลที่รับสั่งให้จองจำนั้นทั้งหมด ถวายโอวาทว่า
ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงทรงนิรโทษให้แก่พวกข้าบาทมูล

เหล่านั้น และพระเทวีเถิด พระเจ้าข้า. เรื่องราวทั้งหมดพึงทราบ
โดยพิสดารตามนัยที่กล่าวแล้วในหนหลัง.
ฉัตตปาณีหมายถึงความข้อนั้น จึงกล่าวว่า :-
ข้าแต่ราชะ เพราะหญิงเป็นเหตุ ฯลฯ
เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ริษยา.

ก็ในกาลนั้นพระราชาฉัตตปาณีนั้น คิดว่าเราละเลยสนม
หนึ่งหมื่นหกพัน คลอเคลียอยู่กับพระเทวีเพียงนางเดียวเท่านั้น
ด้วยอำนาจกิเลส ยังไม่สามารถจะให้นางอิ่มหนำได้ ขึ้นชื่อว่า
การโกรธต่อหญิงทั้งหลายที่ให้เต็มได้ยาก อย่างนี้ก็เช่นกับการ
โกรธผ้านุ่งที่เศร้าหมองว่า เหตุใดจึงเศร้าหมองและเป็นเช่นกับ
การโกรธอาหารที่บริโภคแล้วกลับเป็นคูถ ว่าทำไมจึงกลับเป็น
คูถ. ต่อแต่นี้ไปเราขออธิษฐานว่า ยังไม่บรรลุอรหัตตราบใด ขอ
ความริษยาจงอย่าเกิดแก่เราเพราะอาศัยกิเลสตราบนั้น. ตั้งแต่
นั้นมาพระราชามิได้ทรงริษยาเลย ฉัตตปาณีกัลบกกล่าวว่า
เพราะฉะนั้นข้าพระองค์จึงไม่ริษยา หมายถึงความข้อนี้.
ลําดับนั้นพระราชาตรัสถามว่า ดูก่อนท่านฉัตตปาณี ท่าน
เห็นอารมณ์อันใดจึงเป็นผู้ไม่ดื่มน้ำเมา. ฉัตตปาณีเมื่อจะกราบทูล
ถึงเหตุนั้นจึงกล่าวคาถานี้ว่า :-
ข้าแต่มหาราช ข้าพระพุทธเจ้าเมาแล้ว
จึงได้กินเนื้อบุตร ข้าพระพุทธเจ้าถูกความโศก
ถึงบุตรนั้นกระทบแล้ว จึงเว้นการดื่มน้ำเมา.

อธิบายความในคาถานั้นว่า ข้าแต่มหาราชเมื่อครั้งก่อน
ข้าพระองค์เป็นพระเจ้าพาราณสีเช่นเดียวกับพระองค์ ขาดน้ำเมา
เสียแล้วก็ไม่สามารถจะดำเนินชีวิตไปได้ แม้อาหารที่ไม่มีเนื้อ
ก็ไม่สามารถบริโภคได้. ที่พระนครไม่มีการฆ่าสัตว์ในวัน
อุโบสถ. พ่อครัวซื้อเนื้อมาเก็บไว้แต่วัน 13 ค่ำแห่งปักษ์. เนื้อ
นั้นเก็บไว้ไม่ดี สุนัขจึงกินเสียหมด. พ่อครัวหาเนื้อในวันอุโบสถ
ไม่ได้ จึงปรุงอาหารมีรสเลิศต่าง ๆ สำหรับพระราชายกขึ้นไป
บนปราสาท แต่ไม่อาจนำเข้าไปได้ จึงเข้าไปเฝ้าพระเทวีกราบ
ทูลว่า ข้าแต่พระเทวีวันนี้ข้าพระองค์หาเนื้อไม่ได้ จึงไม่อาจนำ
พระกระยาหารที่ไม่มีเนื้อเข้าไปถวายได้ ข้าพระองค์จะทำอย่างไร
ดี. พระเทวีตรัสว่า นี่แน่ะเจ้าโอรสของเราเป็นที่รักโปรดปราน
ของพระราชา. พระราชาทรงเห็นโอรสของเราแล้วก็จะทรง
จุมพิตสวมกอดโอรสนั้นเพลินจนไม่ทรงทราบว่า เนื้อมีหรือ
ไม่มีสำหรับพระองค์. เราจะแต่งตัวโอรสแล้วให้นั่งบนพระเพลา
ของพระราชา เวลาที่พระองค์ทรงหยอกล้อพระโอรส ท่านจึง
ค่อยนำพระกระยาหารเข้าไปถวาย. พระเทวีตรัสดังนั้นแล้ว
จึงตกแต่งพระราชกุมารโอรสของพระองค์ให้นั่งบนพระเพลา
ของพระราชา. ในเวลาที่พระราชาทรงหยอกล้อเล่นกับพระ-
โอรส พ่อครัวจึงนำพระกระยาหารเข้าไปถวาย. พระราชาทรง
เมาสุรา ไม่ทรงเห็นเนื้อในถาด จึงตรัสถามว่า เนื้ออยู่ที่ไหน
พ่อครัวกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ข้าพระองค์หาเนื้อไม่ได้

เพราะวันนี้เป็นวันอุโบสถ ไม่มีการฆ่าสัตว์ จึงตรัสว่า ชื่อว่า
เนื้อสำหรับเราหาได้ยากนักหรือ จึงทรงหักคอพระโอรสที่นั่ง
อยู่บนพระเพลา จนถึงสิ้นชีพิตักษัย โยนไปข้างหน้าพ่อครัว
ตรัสว่า จงไปปรุงมาโดยเร็ว. พ่อครัวได้ทำตามรับสั่ง. พระราชา
ได้เสวยพระกระยาหารด้วยเนื้อพระโอรสแล้ว. มิได้มีผู้สามารถ
ร่ำไห้ทัดทานแม้แต่คนเดียว เพราะกลัวพระราชา. พระราชา
ครั้นเสวยเสร็จแล้วเสด็จเข้าห้องบรรทม ทรงตื่นบรรทม
ตอนใกล้รุ่ง ทรงสร่างเมาแล้วรับสั่งว่า จงนำโอรสของเรามา.
ในกาลนั้นพระเทวีหมอบกันแสงร่ำไห้อยู่ ณ แทบพระบาท เมื่อ
พระราชาตรัสถามว่า กันแสงเรื่องอะไร กราบทูลว่า ข้าแต่
พระองค์เมื่อวานนี้พระองค์ทรงฆ่าพระโอรสแล้วเสวยพระกระ-
ยาหารกับเนื้อพระโอรสเพคะ. พระราชาทรงกันแสงด้วยความ
โศกถึงพระโอรส ทรงเห็นโทษในการดื่มน้ำเมาว่า ทุกข์นี้เกิด
ขึ้นแก่เรา เพราะอาศัยการดื่มน้ำเมา แล้วทรงกำฝุ่นขึ้นมาทา
พระพักตร์ ทรงอธิษฐานว่า ตั้งแต่นี้ไปเรายังไม่บรรลุพระอรหัต
ตราบใด เราจักไม่ดื่มสุราอันทำความพินาศเช่นนี้ตราบนั้น.
ตั้งแต่นั้นมาพระองค์มิได้ทรงดื่มน้ำเมาอีกเลย. ฉัตตปาณีกัลบก
กล่าวคาถานี้ว่า ปมตฺโตหํ มหาราช หมายถึงความนี้.
ลำดับนั้นพระราชาตรัสถามฉัตตปาณีว่า ฉัตตปาณีท่าน
เห็นอารมณ์อะไรหรือ จึงไม่มีความรัก. ฉัตตปาณีเมื่อจะทูลเหตุ
นั้น จึงกล่าวคาถานี้ว่า :-

ข้าพระองค์เป็นพระราชาพระนามว่า
กิตวาส โอรสของข้าพระองค์ทำลายบาตรของ
พระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วสิ้นชีวิต ข้าพระองค์ไม่
มีความรักเพราะโอรสนั้นเป็นเหตุ.

ความในคาถานั้นว่า ข้าแต่มหาราชเมื่อครั้งก่อนข้าพระองค์
เป็นพระราชาพระนามว่า กิตวาส ในกรุงพาราณสี. โอรสของ
ข้าพระองค์ได้ประสูติ. ครั้นประสูติแล้ว โหรเห็นลักษณะพระ-
โอรสแล้วทํานายว่า ข้าแต่มหาราช พระอาญาไม่พ้นเกล้า พระ-
โอรสนี้จักอดน้ำสิ้นพระชนม์ พระเจ้าข้า. พระชนกชนนีทรง
ขนานนามพระโอรสนั้นว่า ทุฏฐกุมาร. กุมารนั้นครั้นเจริญวัย
แล้ว ได้ดำรงตำแหน่งเป็นอุปราช. พระราชาโปรดให้พระกุมาร
ตามเสด็จ ข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้างเสมอ. และเพราะเกรง
พระโอรสจะอดน้ำตาย จึงรับสั่งให้ขุดสระโบกขรณีไว้ในที่นั้น ๆ
ภายในพระนครในประตูทั้งสี่ด้าน. รับสั่งให้สร้างมณฑปไว้
ตามสี่แยกเป็นต้น แล้วให้ตั้งตุ่มน้ำดื่มไว้. วันหนึ่งพระกุมารแต่ง
พระองค์เสด็จประพาสอุทยานแต่เช้าตรู่ พบพระปัจเจกพุทธเจ้า
ในระหว่างทาง. มหาชนเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วต่างก็กราบ
ไหว้สรรเสริญและประคองอัญชลีแด่พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น.
พระกุมารนั้นคิดว่า พวกที่ไปกับคนเช่นเราพากันกราบไหว้
สรรเสริญประคองอัญชลีแด่สมณะโล้นนี้ ทรงพิโรธ ลงจากช้าง
เข้าไปหาพระปัจเจกพุทธเจ้า ตรัสถามว่า สมณะท่านได้ภัตตาหาร

แล้วหรือ พระปัจเจกพุทธเจ้าบอกว่า ได้แล้วพระกุมาร. พระ-
กุมารจึงแย่งบาตรจากมือพระปัจเจกพุทธเจ้าทุ่มลงบนพื้นดิน
เหยียบย่ำยีภัตตาหารให้แหลกไป. พระปัจเจกพุทธเจ้าแลดูหน้า
พระกุมารนั้น คิดว่าสัตว์ผู้นี้ทีจะวอดวายเสียแล้วหนอ. พระ-
กุมารตรัสว่า สมณะเราเป็นโอรสของพระเจ้ากิตวาส มีนามว่า
ทุฏฐกุมาร ท่านโกรธเรา มองดูตาเรา จะทำอะไรเรา. พระ-
ปัจเจกพุทธเจ้า บาตรแตกแล้วจึงเหาะขึ้นสู่เวหาไปสู่เงื้อมเขา
นันทมูล ณ หิมวันตประเทศ เบื้องทิศอุดร. ขณะนั้นเองกรรมชั่ว
ของพระกุมารก็ให้ผลทันตา. พระกุมารมีพระวรกายเร่าร้อน
พลุ่งพล่าน ตรัสว่า ร้อนเหลือเกินล้มลง ณ ที่นั้นเอง. น้ำทั้งหมด
ที่มีอยู่ ณ ที่นั้น ๆ ก็เหือดแห้ง. สระทั้งหลายก็แห้งผาก. พระ-
กุมารสิ้นชีพิตักษัยในที่นั้นเอง ไปบังเกิดในนรกอเวจี.
พระราชาทรงสดับเรื่องราวนั้นแล้ว ถูกความโศกถึงพระ-
โอรสครอบงำ ทรงดำริว่า ความโศกของเรานี้เกิดขึ้นแต่สิ่งที่
เรารัก หากเราจะไม่มีความรักแล้ว ความโศกก็จะไม่เกิดขึ้น
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขึ้นชื่อว่าความรักในสิ่งใด ๆ ทั้งที่มีวิญญาณ
หรือไม่มีวิญญาณ อย่าได้เกิดขึ้นแก่เราเลย ทรงอธิษฐานดังนี้
แล้ว. ตั้งแต่นั้นไปก็ไม่มีความรักเลย. ฉัตตปาณีกล่าวคาถาว่า
กิตวาโส นามาหํ หมายถึงเนื้อความนั้น.
ลำดับนั้นพระราชาตรัสถามฉัตตปาณีว่า ดูก่อนฉัตตปาณี
ท่านเห็นอารมณ์อันใดเล่า จึงเป็นผู้ไม่โกรธ. ฉัตตปาณีเมื่อจะ

กราบทูลความนั้น จึงกล่าวคาถานี้ว่า :-
ข้าพระองค์เป็นดาบสชื่อว่าอรกะ เจริญ
เมตตาจิตเจ็ดปีอยู่ในพรหมโลก เจ็ดกัป เพราะ
ฉะนั้นจึงเป็นผู้ไม่โกรธ.

ความในคาถานั้นว่า ข้าแต่มหาราช ข้าพระองค์เป็นดาบส
ชื่ออรกะ เจริญเมตตาจิต เจ็ดปี แล้วอยู่ในพรหมโลกถึงเจ็ด
สังวัฏฏกัป วิวัฏฏกัป ข้าพระองค์นั้นจึงไม่เป็นผู้ไม่โกรธ เพราะ
ประพฤติสั่งสมเมตตาภาวนาสิ้นกาลนาน.
เมื่อฉัตตปาณีกราบทูลองค์ 4 ของตนอย่างนี้แล้ว พระ-
ราชาได้ทรงให้สัญญาที่นัดหมายไว้แก่บริษัท. ทันใดนั้นเอง
เหล่าอำมาตย์มีพราหมณ์และคหบดีเป็นต้น ต่างลุกฮือกันขึ้น
กล่าวว่า แน่ะ เจ้าคนกินสินบน โจรผู้ชั่วร้าย เจ้าไม่ได้กินสินบน
แล้ว จึงคิดจะฆ่าบัณฑิต ต่างช่วยกันจับมือและเท้ากาฬกะเสนาบดี
พาลงจากพระราชนิเวศน์ ทุบศีรษะด้วยก้อนหินและไม้ฆ้อน
คนละไม้คนละมือ จนถึงแก่ความตาย จึงจับเท้าลากไปทิ้งไว้ที่
กองหยากเยื่อ. ตั้งแต่นั้นมาพระราชาทรงครองราชสมบัติโดย
ธรรม ครั้นสวรรคตแล้วก็เสด็จไปตามยถากรรม.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม
ชาดก. กาฬกะเสนาบดีในครั้งนั้นได้เป็น เทวทัตในครั้งนี้.

ฉัตตปาณีอุบาสกได้เป็นสารีบุตร ส่วนธัมมัทธชปุโรหิต คือเรา
ตถาคตนี้แล.
จบ อรรถกถาธัมมัทธชชาดกที่ 10

รวมชาดกที่มีในวรรคนี้ คือ


1. โสมทัตตชาดก 2. อุจฉิฏฐภัตตชาดก 3. ภรุราชชาดก
4. ปุณณนทีชาดก 5. กัจฉปชาดก 6. มัจฉชาดก 7. เสคคุ-
ชาดก 8. กูฏวาณิชชาดก 9. ครหิตชาดก 10. ธัมมัทธชชาดก.
จบ พีรณัตถัมภกวรรคที่ 7