เมนู

3. ภรุราชชาดก



ประทุษร้ายผู้มีศีลย่อมวิบัติ


[275] เราได้ฟังมาว่า พระราชาในภรุรัฐ ได้
ทรงประทุษร้ายต่อฤๅษีทั้งหลายแล้ว ทรงประสบ
ความวิบัติพร้อมทั้งแว่นแคว้น.
[276] เพราะฉะนั้นแลบัณฑิตทั้งหลายจึงไม่
สรรเสริญการลุอำนาจแก่ฉันทาคติ บุคคลไม่ควร
จิตคิดร้าย ควรกล่าวแต่คำที่อิงความจริง.

จบ ภรุราชาดกที่ 3

อรรถกถาภรุราชชาดกที่ 3



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
ปรารภพระเจ้าโกศล ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
อิสีนมนฺตรํ กตฺวา ดังนี้.
ความพิสดารมีอยู่ว่า ลาภและสักการะได้เกิดขึ้นเป็น
อันมากแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุสงฆ์. ดังที่พระธรรม-
สังคาหกาจารย์กล่าวไว้ว่า ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า
อันมหาชนสักการะ เคารพ นับถือ บูชา นอบน้อม ได้จีวร

บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัยเภสัชและบริขารทั้งหลาย
แม้ภิกษุสงฆ์ก็เหมือนอย่างนั้น แต่พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก
ทั้งหลาย ไม่มีใครสักการะ เคารพ นับถือ บูชา นอบน้อม
ไม่ได้ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัยเภสัชและบริขาร
ทั้งหลาย. พวกปริพาชกเหล่านั้น เสื่อมจากลาภและสักการะ
อย่างนี้ จึงประชุมลับปรึกษากันทั้งกลางวันและกลางคืนว่า
ตั้งแต่พระสมณโคดมอุบัติมา พวกเราเสื่อมจากลาภและสักการะ
พระสมณโคดมกลับได้ลาภและยศอย่างเลิศลอย สมบัตินี้เกิด
แก่พระสมณโคดมด้วยเหตุไรหนอ. ในหมู่ปริพาชกเหล่านั้น
พวกหนึ่งกล่าวอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมอยู่ทำเลดีเป็นที่อุดม
สมบูรณ์ของชมพูทวีปทั้งสิ้น เหตุนั้นลาภสักการะจึงเกิดแก่
สมณโคดม. พวกที่เหลือกล่าวว่า นั่นก็มีเหตุผลอยู่ แม้พวกเรา
หากจะสร้างอารามเดียรถีย์ขึ้นที่หลังเชตวันมหาวิหาร ก็คงจัก
มีลาภอย่างนั้นบ้าง. พวกปริพาชกทั้งหมดลงความเห็นกันว่า
เอาเป็นอย่างนั้น จึงตกลงกันต่อไปว่า ก็ถ้าพวกเราจักไม่กราบทูล
พระราชาเสียก่อนสร้างอาราม พวกภิกษุก็จะขัดขวางได้ ธรรมดา
ผู้ได้สินบนแล้วจะไม่เขวไม่มี เพราะฉะนั้น เราจักถวายของ
กำนัลแด่พระราชา แล้วจักขอรับเอาที่สร้างอาราม จึงขอร้อง
พวกอุปฐากทั้งหลายรวบรวมทรัพย์ได้แสนหนึ่ง ถวายแด่พระ-
ราชา แล้วกราบทูลว่า มพาบพิตร อาตมาภาพทั้งหลายจักสร้าง
อารามเดียรถีย์ที่หลังเชตวันมหาวิหาร หากพวกภิกษุจักมา

ถวายพระพรแด่พระองค์ว่า จักไม่ยอมให้ทํา ขอมหาบพิตร
อย่าเพิ่งให้คำตอบแก่ภิกษุเหล่านั้น.
พระราชาทรงรับคำเพราะความละโมภของกำนัล. พวก
เดียรถีย์ครั้นเกลี้ยกล่อมพระราชาแล้ว จึงเรียกช่างมาเริ่มการ
ก่อสร้าง. ได้มีเสียงเอ็ดอึงขึ้น. พระศาสดาจึงตรัสถามว่า อานนท์
นั่นอะไรกัน เสียงเอ็ดอึงอื้อฉาว. พระอานนท์กราบทูลว่า ข้าแต่
พระองค์ พวกเดียรถีย์ให้สร้างอารามเดียรถีย์ขึ้นที่หลังพระ-
วิหารเชตวัน จึงมีเสียงขึ้น ณ ที่นั้น พระเจ้าข้า. ตรัสว่า ดูก่อน
อานนท์ ที่นั่นไม่สมควรแก่อารามเดียรถีย์ พวกเดียรถีย์ชอบ
เสียงเอ็ดอึง ไม่สามารถจะอยู่ร่วมกับพวกเดียรถีย์เหล่านั้นได้
จึงให้ประชุมภิกษุสงฆ์แล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอ
จงไปทูลพระราชาให้ทรงยับยั้งการสร้างอารามเดียรถีย์. ภิกษุ
สงฆ์ไปยืนอยู่ที่ประตูพระราชวัง. พระราชาทรงสดับว่าสงฆ์
มา ทรงดำริว่า พวกภิกษุคงจะมาเรื่องอารามเดียรถีย์ เพราะ
พระองค์รับสินบนไว้ จึงให้ไปบอกว่า พระราชาไม่ประทับอยู่
ในวัง. ภิกษุทั้งหลายจึงไปกราบทูลแด่พระศาสดา. พระศาสดา
ตรัสว่า พระราชาทรงทำอย่างนี้เพราะทรงรันสินบน จึงส่ง
พระอัครสาวกทั้งสองรูปไป. พระราชาทรงสดับว่า พระอัคร-
สาวกทั้งสองรูปมา จึงรับสั่งให้บอกไปเหมือนอย่างนั้น. พระ-
อัครสาวกทั้งสองมากราบทูลแด่พระศาสดา. พระศาสดาตรัสว่า
ดูก่อนสารีบุตร คราวนี้พระราชาจักไม่ได้ประทับนั่งในพระ-

ราชมณเฑียร จักเสด็จออกข้างนอก รุ่งขึ้นในเวลาเช้าพระองค์
ทรงนุ่งถือบาตรจีวรเสด็จไปยังประตูพระราชวังกับภิกษุ 500
รูป. พระราชาพอได้ทรงสดับเท่านั้นก็เสด็จลงจากปราสาท
รับบาตรนิมนต์พระศาสดาให้เสด็จเข้าไป แล้วทรงถวายข้าวยาคู
และภัตร ถวายบังคมพระศาสดา ประทับนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนา โดยปริยายข้อหนึ่งมาแสดง
แก่พระราชาแล้วตรัสว่า มหาบพิตร พระราชาแต่ครั้งก่อนก็
รับสินบนแล้วทำให้ผู้มีศีลทั้งหลายทะเลาะวิวาทกัน ไม่เป็น
เจ้าของแห่งแคว้นของตนได้ถึงความพินาศใหญ่หลวง พระราชา
กราบทูลอาราธนา จึงทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.
ในอดีตกาลมีพระราชาพระนามว่า ภรุราช เสวยราช-
สมบัติอยู่ในแคว้นภรุ. ในครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เป็นดาบส เป็น
ครูประจำคณะ. ได้อภิญญาห้าและสมาบัติแปด อยู่ในหิมวันต-
ประเทศมาช้านาน จึงแวดล้อมไปด้วยดาบส 500 ลงจาก
หิมวันตประเทศ เพื่อต้องการอาหารรสเค็มและเปรี้ยว ได้ไป
ถึงภรุนครโดยลำดับ ออกบิณฑบาต ณ เมืองนั้น แล้วออกจาก
นครนั่งอยู่ที่โคนต้นไทรย้อย ซึ่งสมบูรณ์ไปด้วยสาขา และค่าคบ
ทางประตูด้านเหนือ กระทำภัตกิจเสร็จแล้ว อาศัยอยู่ ณ โคน
ต้นไม้นั่นเอง. เมื่อคณะฤๅษีนั้นอยู่ ณ ที่นั้นล่วงไปครึ่งเดือน
ครูประจําคณะอื่นมีบริวาร 500 มาเที่ยวขอภิกษาในนครนั้น
ครั้นออกจากนครแล้วนั่งอยู่ที่โคนต้นไทรย้อยเช่นเดียวกันทาง

ประตูทิศใต้ กระทำภัตกิจแล้วอาศัยอยู่ ณ ที่นั้นเอง. คณะ
ฤๅษีทั้งสองเหล่านั้น พักอยู่ตามพอใจ ณ ที่นั้นแล้วก็กลับสู่
หิมวันตประเทศตามเดิม. เมื่อคณะฤๅษีเหล่านั้นไปแล้ว ต้นไทร
ทางประตูทิศใต้ก็แห้งโกร๋น เมื่อคณะฤๅษีเหล่านั้นมาอีกครั้ง
หนึ่ง คณะที่อยู่ต้นไทรทางทิศใต้มาถึงก่อนรู้ว่าต้นไม้ของตน
แห้งโกร๋น เที่ยวขอภิกษาออกจากนครไปโคนต้นไม้ทางทิศอุดร
กระทำภัตกิจเสร็จแล้ว ก็พักอยู่ ณ ที่นั้นเอง. ส่วนฤาษีอีก
พวกหนึ่งมาถึงทีหลัง เที่ยวภิกขาจารในนครแล้วไปยังโคนต้นไม้
เดิมของตน กระทำภัตกิจแล้วก็พักผ่อน. พวกฤๅษีทั้งสองคณะ
ก็ทะเลาะกันเพราะต้นไม้ว่า ต้นไม้ของเรา ต้นไม้ของเรา เลย
เกิดทะเลาะกันใหญ่. ฤๅษีพวกหนึ่งกล่าวว่า พวกท่านจะเอา
ที่ที่เราอยู่มาก่อนไม่ได้. พวกหนึ่งกล่าวว่า พวกเรามาถึงที่นี่
ก่อน พวกท่านจะเอาไม่ได้. พวกฤๅษีเหล่านั้นต่างทุ่มเถียงกัน
ว่า เราเป็นเจ้าของ เราเป็นเจ้าของ ดังนี้แล้วพากันไปราชตระกูล
เพื่อต้องการโคนต้นไม้. พระราชาทรงตัดสินให้คณะฤๅษีที่มา
อยู่ก่อนเป็นเจ้าของ. ส่วนฤๅษีอีกพวกหนึ่งคิดว่า พวกเราจะ
ไม่ยอมให้ใครว่าตนว่า ถูกพวกฤๅษีพวกนี้ให้แพ้ได้ จึงตรวจดู
ด้วยทิพยจักษุ เห็นเรือนรกหลังหนึ่งสำหรับพระเจ้าจักรพรรดิ
ทรงใช้สอย จึงนำมาถวายเป็นสินบนแด่พระราชา พากันถวาย
พระพรว่า มหาบพิตร ขอพระองค์จงตัดสินให้พวกอาตมาเป็นเจ้า
ของ พระราชาทรงรับสินบนแล้ว ทรงตัดสินให้ฤาษีทั้งสองคณะ

เป็นเจ้าของว่า จงอยู่กันทั้งสองคณะเถิด. ฤๅษีอีกฝ่ายหนึ่งนำ
ล้อแก้วของเรือนรกนั้นมาถวายเป็นสินบน แล้วทูลว่า มหาบพิตร
ขอพระองค์ทรงตัดสินให้พวกอาตมาเป็นเจ้าของเถิด. พระราชา
ได้ทรงทำตามนั้น. คณะฤๅษีมีความร้อนใจว่า พวกเราละวัตถุ
กามและกิเลสกามออกบวช จะทะเลาะติดสินบนเพราะโคนต้นไม้
เป็นเหตุ เป็นการทำที่ไม่สมควร จึงรีบหนีออกไปสู่หิมวันต-
ประเทศตามเดิม. เทวดาที่สิงสถิตอยู่ ณ แคว้นภรุรัฐทั้งสิ้น
ต่างร่วมกันพิโรธพระเจ้าภรุราชว่า พระราชาทำให้ผู้มีศีล
ทะเลาะกัน เป็นการทำที่ไม่สมควร จึงบันดาลให้แคว้นภรุรัฐ
อันกว้างใหญ่ 300 โยชน์กลายเป็นสมุทรไป ก่อให้เกิดความ
พินาศ. ชาวแว่นแคว้นทั้งสิ้นถึงความพินาศ เพราะอาศัยพระเจ้า-
ภรุราชพระองค์เดียว ด้วยประการฉะนี้.
พระศาสดาทรงนำเรื่องอดีตนี้มา พระองค์ตรัสรู้แล้ว
ได้ตรัสคาถาเหล่านี้ว่า :-
เราได้ฟังมาว่า พระราชาในภรุรัฐได้ทรง
ประทุษร้ายต่อฤๅษีทั้งหลายแล้ว ทรงประสบ
ความวิบัติพร้อมทั้งแว่นแคว้น.

เพราะฉะนั้นแล บัณฑิตทั้งหลาย จึงไม่
สรรเสริญการลุอํานาจแก่ฉันทาคติ บุคคลไม่ควร
มีจิตคิดร้าย ควรกล่าวแต่คำที่อิงความจริง.

ในบทเหล่านั้น บทว่า อิสีนมนฺตรํ กตฺวา ความว่า เปิดช่อง
ให้ด้วยอำนาจฉันทาคติ. บทว่า ภรุราชา คือพระราชาแคว้นภรุ.
บทว่า อิติ เม สุตํ ความว่า เราได้สดับเรื่องนี้มาก่อนแล้ว.
บทว่า ตสฺมา หิ ฉนฺทาคมํ ความว่า เพราะพระเจ้าภรุราชทรง
ถึงฉันทาคติ จึงวิบัติพร้อมทั้งแว่นแคว้น ฉะนั้นบัณฑิตทั้งหลาย
จึงไม่สรรเสริญการถึงฉันทาคติ. บทว่า อทุฏฺฐจิตฺโต ความว่า
บุคคลไม่ควรมีจิตคิดร้ายด้วยกิเลส ควรกล่าวคำจริง. บทว่า
สจฺจูปสญฺหิตํ ความว่า ควรกล่าวคำที่อิงสภาพ คือ อิงเหตุ อิงผล
เท่านั้น. ในชนเหล่านั้น พวกใดกล่าวคำจริง คัดค้านว่า ที่
พระเจ้าภรุราช ทรงรับสินบนนี้เป็นการทำที่ไม่สมควร ที่สำหรับ
ชนเหล่านั้นดำรงอยู่ ได้ปรากฏขึ้นเป็นเกาะพันหนึ่ง ในนาลิเกร-
ทวีป จนทุกวันนี้.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า
มหาบพิตรไม่ควรเป็นผู้ลำเอียงด้วยฉันทาคติ ไม่ควรทำให้
บรรพชิตทั้งสองคณะทะเลาะกัน แล้วทรงประชุมชาดก. เรา
ตถาคตได้เป็นหัวหน้าคณะฤๅษีสมัยนั้น. พระราชา ในเวลาที่
พระตถาคตเสวยภัตตาหารเสร็จแล้วเสด็จกลับไป ได้ส่งพวก
ราชบุรุษให้ไปรื้ออารามเดียรถีย์. พวกเดียรถีย์ก็ตั้งไม่ติด
ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาภรุราชชาดกที่ 3

4. ปุณณนทีชาดก



ว่าด้วยการไม่ระลึกถึง


[277] ชนทั้งหลายพูดถึงแม่น้ำที่เต็มแล้วว่า กา
ดื่มกินได้ก็ดี พูดถึงข้าวกล้าที่เกิดแล้วว่า กาซ่อน
อยู่ได้ก็ดี พูดถึงบุคคลที่รักกันไปสู่ที่ไกลว่า จะ
กลับมาถึงเพราะกาบอกข่าวก็ดี กานั้นเรานำมา
ให้ท่านแล้ว ขอเชิญบริโภคเนื้อกานั้นเถิด ท่าน
พราหมณ์.
[278] คราวใด พระราชาทรงระลึกถึงเรา เพื่อ
จะส่งเนื้อกาให้เรา คราวนั้น เนื้อหงส์ก็ดี เนื้อ
นกกะเรียนก็ดี เนื้อนกยูงก็ดี เป็นของที่เรานำไป
ถวายแล้ว การไม่ระลึกถึงเสียเลยเป็นความ
เลวทราม.

จบ ปุณณนทีชาดกที่ 4

อรรถกถาปุณณนทีชาดกที่ 4



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
ปรารภพระปัญญาบารมี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้น
ว่า ปุณฺณํ นทึ ดังนี้.