เมนู

9. คหปติชาดก



ว่าด้วยการทวงในเวลาที่ยังไม่ถึงกำหนด


[247] กรรมทั้งสองไม่ควรแก่เรา เราไม่ชอบใจ
ก็หญิงคนนี้ลงไปในฉางข้าวแล้วพูดว่า เรายัง
ใช้หนี้ให้ไม่ได้
[248] ดูก่อนนายบ้าน เพราะเหตุนั้น เราจึงพูด
กะท่าน ท่านมาทวงค่าเนื้อวัวแก่ ซูบผอม ซึ่ง
เราได้ทำสัญญาผลัดไว้ถึงสองเดือน ในคราว
เมื่อชีวิตของเราน้อยลำบากยากเข็ญ ในกาลยัง
ไม่ทันถึงกำหนดสัญญา กรรมทั้งสองนั้นไม่ถูก
ใจเราเสียเลย.

จบ คหปติชาดกที่ 9

อรรถกถาคหปติชาดกที่ 9



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
ปรารภภิกษุผู้กระสันเหมือนกัน ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำ
เริ่มต้นว่า อุภยํ เม น ขมติ ดังนี้.
พระศาสดาเมื่อจะรับสั่ง จึงตรัสว่า ขึ้นชื่อว่ามาตุคาม
ดูแลไม่ไหว ทำความชั่วเข้าแล้ว ย่อมลวงสามีด้วยอุบายอย่างใด

อย่างหนึ่ง แล้วทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.
ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์อุบัติในตระกูลคหบดี แคว้นกาสี
ครั้นเจริญวัยได้ครองฆราวาส. ภรรยาของพระโพธิสัตว์นั้น
เป็นหญิงทุศีล ประพฤติอนาจารกับผู้ใหญ่บ้าน. พระโพธิสัตว์
ทราบระแคะระคาย จึงเที่ยวสืบ . ก็ในครั้งนั้นในระหว่างฤดูฝน
เมื่อข้าวปลูกยังไม่แก่ ก็เกิดความอดหยาก. ถึงเวลาที่ข้าวกล้า
ตั้งท้อง. ชาวบ้านทั้งหมดร่วมใจกัน ยืมโคแก่ตัวหนึ่งของผู้ใหญ่
บ้านมาบริโภคเนื้อ โดยสัญญาว่า จากนี้ไปสองเดือนเราเก็บเกี่ยว
แล้วจักให้ข้าวเปลือก.
อยู่มาวันหนึ่ง ผู้ใหญ่บ้านคอยโอกาส จึงเข้าไปยังเรือน
ในเวลาที่พระโพธิสัตว์ออกไปข้างนอก. ในขณะที่ทั้งสองคน
นอนอย่างเป็นสุขนั่นเอง พระโพธิสัตว์ก็เข้าไปทางประตูบ้าน
หันหน้าไปทางเรือน. หญิงนั้นหันหน้ามาทางประตูบ้าน เห็น
พระโพธิสัตว์ คิดว่า นั่นใครหนอ จึงยืนมองดูที่ธรณีประตู ครั้น
รู้ว่าพระโพธิสัตว์นั่นเอง จึงบอกแก่ผู้ใหญ่บ้าน. ผู้ใหญ่บ้านกลัว
ตัวสั่น. หญิงนั้นจึงบอกผู้ใหญ่บ้านว่า อย่ากลัว ฉันมีอุบายอย่าง
หนึ่ง พวกเรายืมโคของท่านมาบริโภคเนื้อ ท่านจงทำเป็นทวง
เรียกค่าเนื้อ ฉันจะขึ้นไปยังฉางข้าวยืนอยู่ที่ประตูฉาง แล้วบอก
ท่านว่า ข้าวเปลือกไม่มี ท่านยืนอยู่กลางเรือน แล้วทวงบ่อย ๆ
ว่า พวกเด็ก ๆ ในเรือนของเราหิว ท่านจงให้ค่าเนื้อเถิด ว่าแล้ว

นางก็ขึ้นไปยังฉางนั่งที่ประตูฉาง. ฝ่ายผู้ใหญ่บ้านยืนอยู่ที่กลาง
เรือนก็ร้องว่า จงให้ค่าเนื้อเรา. นางนั่งอยู่ที่ประตูฉาง พูดว่า
ในฉางไม่มีข้าวเปลือก เมื่อเก็บเกี่ยวแล้วเราจึงจะให้ ไปก่อนเถิด.
พระโพธิสัตว์เข้าไปยังเรือนเห็นกิริยาของคนทั้งสองก็
รู้ว่า นั่นคงเป็นอุบายของหญิงชั่วนี้ จึงเรียกผู้ใหญ่บ้านมาพูดว่า
นี่แน่ะท่านผู้ใหญ่ เมื่อเราจะบริโภคเนื้อโคแก่ของท่านก็บริโภค
โดยสัญญาว่า จากนี้ไปสองเดือน เราจึงจักให้ข้าวเปลือก ยังไม่
ล่วงไปถึงกึ่งเดือนเลยท่าน เพราะเหตุไรท่านจึงมาทวงในเวลานี้
ท่านมิได้มาด้วยเหตุนี้ น่าจะมาด้วยเหตุอื่นกระมัง เราไม่ชอบใจ
กิริยาของท่านเลย แม้หญิงนี้ก็เลวทรามเหลือหลาย รู้ว่าในฉาง
ไม่มีข้าวเปลือก ก็ยังขึ้นฉางบอกว่า ข้าวเปลือกไม่มี แม้ท่าน
ก็ทวงว่า จงให้เรา เราไม่ชอบการกระทำของท่านทั้งสองเลย
เมื่อจะประกาศเนื้อความนี้จึงได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-
กรรมทั้งสองไม่ควรแก่เรา เราไม่ชอบใจ
ก็หญิงคนนี้ ลงไปในฉางข้าวแล้วพูดว่า เรายัง
ใช้หนี้ให้ไม่ได้.

ดูก่อนผู้ใหญ่บ้าน เพราะเหตุนี้เราจึงพูด
กะท่าน ท่านมาทวงค่าเนื้อวัวแก่ ซูบผอม ซึ่งเรา
ได้ผลัดไว้ถึงสองเดือน ในคราวเมื่อชีวิตของเรา
น้อยลำบากยากเข็ญ ในกาลยังไม่ถึงกำหนด
สัญญา กรรมทั้งสองนั้นไม่ชอบใจเราเสียเลย.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ตํ ตํ คามปติ พฺรูมิ ความว่า ท่าน
ผู้ใหญ่บ้าน เราพูดกะท่านด้วยเหตุนั้น. บทว่า กทเร อปฺปสฺมึ
ชีวิเต
ความว่า ชื่อว่าชีวิตของเรายากจน คือ ค่นแค้น เศร้าหมอง
ฝืดเคือง กำลังน้อย ซูบผอม เมื่อชีวิตของ. เราเป็นถึงเช่นนี้. บทว่า
เทฺว มาเส สงฺครํ กตฺวา มํสํ ชรคฺควํ กิสํ ความว่า เมื่อพวกเราจะ
รับเนื้อ ท่านก็ให้โคแก่ คือ โคชรา ซูบผอม ทุพพลภาพ แล้ว
ผลัดเพี้ยน คือกำหนดสองเดือนอย่างนี้ว่า สองเดือนล่วงแล้ว ท่าน
ควรชำระค่าเนื้อ. บทว่า อปฺปตฺตกาเล โจเทสิ ความว่า เมื่อ
ยังไม่ถึงเวลานั้นท่านก็มาทวงเสียแล้ว. บทว่า ตมฺปิ มยฺหํ น
รุจฺจติ
ความว่า และหญิงชั่วช้าทุศีลผู้นี้รู้อยู่ว่า ภายในฉางข้าว
ไม่มีข้าวเปลือกทำเป็นไม่รู้ขึ้นไปบนฉางข้าว ยืนที่ประตูฉาง
พูดว่า เรายังใช้หนี้ให้ไม่ได้ อนึ่ง ท่านก็มาทวงเมื่อยังไม่ถึง
เวลา ทั้งสองอย่างนี้เราไม่ชอบใจเลย.
เมื่อพระโพธิสัตว์กล่าวซ้ำซากอยู่อย่างนี้ จึงจิกผมผู้ใหญ่
บ้านกระชากให้ล้มลงท่ามกลางเรือน แล้วด่าว่าด้วยคำเป็นต้นว่า
เจ้าทำร้ายของที่คนอื่นเรารักษาหวงแหนโดยถือว่า ฉันเป็นผู้ใหญ่
บ้าน แล้วทุบตีจนบอบช้ำ จับคอไสออกจากเรือน แล้วคว้าผม
หญิงชั่วร้ายนั้นให้ลงมาจากฉางตบตีขู่ว่าหากเจ้าทำเช่นนี้อีก
จักได้รู้กัน. ตั้งแต่นั้นมาผู้ใหญ่บ้านก็ไม่กล้ามองดูเรือนนั้น.
แม้หญิงชั่วนั้นก็ไม่อาจประพฤตินอกใจอีก.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศ
สัจธรรม ทรงประชุมชาดก. เมื่อจบสัจธรรม ภิกษุกระสัน
ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล. คหบดีผู้ลงโทษผู้ใหญ่บ้าน คือเราตถาคต
นี้แล.
จบ อรรถกถาคหปติชาดกที่ 9

10. สาธุศีลชาดก



ว่าด้วยเลือกเอาผู้มีศีล


[249] เราขอถามท่านพราหมณ์ว่า 1. คนมีรูป
งาม 2. คนอายุมาก 3. คนมีชาติสูง 4. คนมี
ศีลดี 4 คนนั่น ท่านจะเลือกเอาคนไหน.
[250] ประโยชน์ในร่างกายก็มีอยู่ ข้าพเจ้าขอทำ
ความนอบน้อมต่อท่านผู้เจริญวัย ประโยชน์ใน
บุรุษผู้มีชาติดีก็มีอยู่ แต่เราชอบใจศีล.

จบ สาธุศีลชาดกที่ 10

อรรถกถาสาธุศีลชาดกที่ 10



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารทรง
ปรารภพราหมณ์คนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
สรีรทพฺยํ วุฑฺฒพฺยํ ดังนี้.
ได้ยินว่า พราหมณ์นั้นมีลูกสาวสี่คน. มีชายสี่คน
ต้องการลูกสาวเหล่านั้น. ในชายสี่คนนั้น คนหนึ่งรูปงาม
ร่างกายสมบูรณ์ คนหนึ่งอายุมากเป็นผู้ใหญ่ คนหนึ่งสมบูรณ์
ด้วยชาติ คนหนึ่งมีศีล. พราหมณ์คิดว่า เมื่อจะปลูกฝังลูกสาว
ควรจะให้แก่ใครหนอ ควรให้แก่คนรูปงามหรือ คนมีอายุ คน
สมบูรณ์ด้วยชาติ และคนมีศีล คนใดคนหนึ่งดี. แม้เขาจะพยายาม