เมนู

3. จุลลปทุมชาดก



ว่าด้วยการลงโทษหญิงชายทำชู้กัน


[235] หญิงคนนี้แหละ คือหญิงคนนั้น ถึงเราก็
คือ บุรุษคนนั้น ไม่ใช่คนอื่น บุรุษคนนี้แหละที่
หญิงคนนี้อ้างว่า เป็นผัวของนางมาตั้งแต่เป็น
กุมารี ก็คือบุรุษที่ถูกตัดมือ หาใช่คนอื่นไม่ ขึ้น
ชื่อว่าหญิงทั้งหลายควรฆ่าเสียให้หมดเลย ความ
สัตย์ไม่มีในหญิงทั้งหลาย.
[236] ท่านทั้งหลายจงฆ่าบุรุษผู้ชั่วช้าลามกราว
กับซากผี มักทำชู้กับภรรยาผู้อื่นคนนี้ เสียด้วย
สาก จงตัดหูตัดจมูกของหญิงผู้ปรนนิบัติผัวชั่ว
ช้าลามกคนนี้เสียทั้งเป็น ๆ เถิด.

จบ จุลลปทุมชาดกที่ 3

อรรถกถาจุลลปทุมชาดกที่ 3



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรง
ปรารภภิกษุผู้กระสัน ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
อยเมว สา อหมฺปิ โส อนญฺโญ ดังนี้.

เรื่องราวจักมีแจ้งในอุมมาทันตีชาดก.
ก็ในเรื่องนี้ ภิกษุนั้นเมื่อพระศาสดาตรัสถามว่า ได้ยินว่า
เธอกระสันจริงหรือ กราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า ตรัสถามว่า
ก็ใครทำให้เธอกระสันเล่า กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้า
พระพุทธเจ้าเห็นมาตุคามคนหนึ่ง ตกแต่งอย่างสวยงาม แล้วตกอยู่
ในอำนาจกิเลสจึงกระสัน พระศาสดาจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ขึ้นชื่อว่ามาตุคามมักอกตัญญู ประทุษร้ายมิตร มีดวงใจกระด้าง
แม้โบราณกบัณฑิต ให้ดื่มโลหิตที่เข่าขวาของตน บริจาคทาน
ตลอดชีวิด ยังไม่ได้ดังใจของมาตุคาม แล้วทรงนำเรื่องอดีตมา
ตรัสเล่า.
ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ทรงอุบัติในพระครรภ์ของพระ-
อัครมเหสีของพระองค์. ในวันขนานพระนาม ได้รับพระราชทาน
นามว่า ปทุมราชกุมาร. พระปทุมราชกุมาร ได้มีพี่น้องอีกหก
พระองค์. ทั้งเจ็ดพระองค์นั้น เจริญพระชนม์ขึ้นโดยลำดับ
ครองฆราวาส ทรงประพฤติเยี่ยงพระราชา.
อยู่มาวันหนึ่งพระราชาประทับทอดพระเนตรพระลาน-
หลวง ทรงเห็นพระราชกุมารพี่น้องเหล่านั้น มีบริวารมาก
พากันมาปฏิบัติราชการ ทรงเกิดความระแวงว่า ราชกุมาร
เหล่านี้จะพึงฆ่าเราแล้วชิงเอาราชสมบัติ จึงตรัสเรียกพระ-
ราชกุมารเหล่านั้นมารับสั่งว่า ลูก ๆ ทั้งหลาย พวกเจ้าจะอยู่

ในพระนครนี้ไม่ได้ จงไปที่อื่น เมื่อพ่อล่วงลับไปแล้ว จงกลับมา
รับราชสมบัติอันเป็นของประจำตระกูลเถิด.
พระราชกุมารเหล่านั้น รับพระดำรัสของพระชนกแล้ว
ต่างทรงกันแสง เสด็จไปยังตำหนักของตน ๆ ทรงรำพึงว่า
พวกเราจักพาพระชายาไปหาเลี้ยงชีพ ณ ที่ใดที่หนึ่ง แล้วเสด็จ
ออกจากพระนคร ทรงดำเนินทางถึงที่กันดารแห่งหนึ่ง เมื่อไม่ได้
ข้าวและน้ำ ไม่สามารถจะกลั้นความหิวโหยไว้ได้ จึงตกลง
พระทัยปลงพระชนม์ของพระชายาของพระเจ้าน้อง ด้วยทรง
ดำริว่า เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ก็จักหาหญิงได้ แล้วแบ่งเนื้อออกเป็น
สิบสามส่วนพากันเสวย. พระโพธิสัตว์เก็บไว้ส่วนหนึ่ง ในส่วน
ที่ตนและพระชายาได้ ทั้งสองเสวยแต่ส่วนเดียว. พระราชกุมาร
ทั้งหลายทรงปลงพระชนม์พระชายาทั้งหกแล้วเสวยเนื้อได้หกวัน
ด้วยประการฉะนี้.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทรงเหลือไว้วันละส่วนทุก ๆวัน เก็บ
ไว้ได้หกส่วน. ในวันที่เจ็ด เมื่อพูดกันว่าจักปลงพระชนม์พระ-
ชายาของพระเจ้าพี่. พระโพธิสัตว์จึงประทานเนื้อหกส่วนเหล่า
นั้นแก่น้อง ๆ แล้วตรัสว่า วันนี้พวกท่านจงเสวยหกส่วนเหล่านี้
ก่อน พรุ่งนี้จักรู้กัน ในเวลาที่พระราชกุมารน้อง ๆ เหล่านั้น
เสวยเนื้อแล้วหลับไปก็ทรงพาพระชายาหนีไป. พระชายานั้นเสด็จ
ไปได้หน่อยหนึ่งแล้วทูลว่า ข้าแต่พระภัสดา หม่อมฉันไม่อาจ
เดินต่อไปได้. ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์จึงทรงแบกพระชายา

ออกจากที่กันดารไปในเวลารุ่งอรุณ. เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นพระนาง
ทูลว่า หม่อมฉันหิวเหลือเกิน. พระโพธิสัตว์ตรัสว่า น้ำไม่มี
เลยน้อง. เมื่อพระนางพร่ำวิงวอนบ่อยเข้า ด้วยความสิเนหา
ต่อพระนาง จึงเอาพระขรรค์เชือดพระชานุ (เข่า) เบื้องขวา
แล้วตรัสว่า น้ำไม่มีดอกน้อง น้องจงนั่งลงดื่มโลหิตที่เข่าขวา
ของพี่. พระชายาได้กระทำตามพระประสงค์. ทั้งสองพระองค์
เสด็จถึงแม่น้ำใหญ่โดยลำดับ ทรงดื่ม ทรงอาบ และเสวยผลาผล
ทรงพักในที่สำราญ แล้วทรงสร้างอาศรมบทใกล้แม่น้ำแห่งหนึ่ง.
อยู่มาวันหนึ่ง ด้านเหนือแม่น้ำ ราชบุรุษลงโทษโจร
ผู้ทำผิดพระราชอาญา ตัด มือ เท้า หู และจมูก ให้นอนในเรือ
โกลนลำหนึ่ง เสือกลอยไปในเเม่น้ำใหญ่. โจรนั้นร้องเสียง
ครวญคราง ลอยมาถึงที่นั้น. พระโพธิสัตว์ทรงสดับเสียงร้อง
อันน่าสงสารของโจรนั้น ทรงดำริว่า เมื่อเรายังอยู่สัตว์ผู้ได้รับ
ความลำบากอย่าได้พินาศเลย จึงเสด็จไปยังฝั่งแม่น้ำ ช่วย
เขาขึ้นจากเรือ แล้วนำมายังอาศรมบท ได้ทรงกระทำการ
เยียวยาแผลด้วยการชำระล้างและทาด้วยน้ำฝาด. ฝ่ายพระชายา
ของพระองค์ครั้นทรงทราบว่า พระสามีทรงปรนนิบัติคนเลวทราม
ซึ่งลอยน้ำมาถึงปานนั้น ก็ทรงรังเกียจคนเลวทรามนั้น แสดง
กิริยากระฟัดกระเฟียดอยู่ไปมา. ครั้นแผลของโจรนั้นหายสนิท
แล้ว พระโพธิสัตว์จึงให้เขาอยู่ในอาศรมบทกับพระชายา ทรง
แสวงหาผลาผลจากดงมาเลี้ยงดูโจรและพระชายา. เมื่อทั้งสอง

อยู่กันอย่างนี้ สตรีนั้นก็มีจิตปฏิพัทธ์ในบุรุษชั่วนั้น ประพฤติ
อนาจารร่วมกับเขา ต้องการจะฆ่าพระโพธิสัตว์ด้วยอุบายอย่าง
หนึ่ง จึงกราบทูลอย่างนี้ว่า เมื่อหม่อมฉันนั่งบนบ่าของพระองค์
ออกจากทางกันดาร มองเห็นภูเขาลูกหนึ่งจึงบนบานว่า ข้าแต่
เทพเจ้าผู้สิงสถิตบนยอดเขา หากข้าพเจ้ากับพระสวามีปลอดภัย
ได้ชีวิต ข้าพเจ้าจักทำพลีกรรมแก่ท่าน บัดนี้เทวดานั้นทำให้
หม่อมฉันหวาดสะดุ้ง หม่อมฉันจะทำพลีกรรมแก่เทวดานั้น.
พระโพธิสัตว์ไม่ทรงทราบมายาทรงรับสั่งว่าดีแล้ว ทรงเตรียม
เครื่องเซ่น ให้พระชายาถือภาชนะเครื่องเซ่น ขึ้นสู่ยอดภูเขา.
ครั้นแล้วพระชายาจึงกราบทูลพระสวามีอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระ-
สวามี พระองค์ก็เป็นเทวดาของหม่อมฉัน ทั้งชื่อว่าเป็นเทวดา
ผู้สูงส่ง เบื้องแรกหม่อมฉันจักบูชาพระองค์ด้วยดอกไม้ในป่า
ก่อน และกระทำประทักษิณถวายบังคม จักทำพลีกรรมเทวดา
ในภายหลัง. พระนางให้พระโพธิสัตว์หันพระพักตร์เข้าหาเหว
ทรงบูชาด้วยดอกไม้ในป่า ทำเป็นปรารถนาจะทำประทักษิณ
ถวายบังคม สถิตอยู่ข้างพระปฤษฎางค์ แล้วทรงประหารที่
พระปฤษฎางค์ผลักไปในเหว ดีพระทัยว่าเราเห็นหลังข้าศึกแล้ว
จึงเสด็จลงจากภูเขา ไปหาบุรุษเลว. ฝ่ายพระโพธิสัตว์ตกลง
จากภูเขากลิ้งลงไปตามเหว ติดอยู่ที่พุ่มไม้มีใบหนา ไม่มีหนาม
แห่งหนึ่ง เหนือยอดต้นมะเดื่อ. แต่ไม่สามารถจะลงยังเชิงเขาได้.
พระองค์จึงเสวยผลมะเดื่อ ประทับนั่งระหว่างกิ่ง. ขณะนั้น

พญาเหี้ยตัวใหญ่ตัวหนึ่ง ขึ้นจากเชิงเขาชั้นล่าง กินผลมะเดื่อ
อยู่ ณ ที่นั้น. มันเห็นพระโพธิสัตว์ในวันนั้นจึงหนีไป. รุ่งขึ้น
มากินผลไม้ที่ข้างหนึ่งแล้วหนีไป. พญาเหี้ยมาอยู่บ่อย ๆ อย่างนี้
ก็คุ้นเคยกับพระโพธิสัตว์ ถามพระโพธิสัตว์ว่าท่านมาที่นี้ได้
อย่างไร เมื่อพระโพธิสัตว์บอกให้รู้แล้ว จึงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น
ท่านอย่ากลัวเลย ให้พระโพธิสัตว์นอนบนหลังของตน ไต่ลง
ออกจากป่าให้สถิตอยู่ที่ทางใหญ่ แล้วส่งไปด้วยคำว่า ท่านจงไป
ตามทางนี้แล้วก็เข้าป่าไป. พระโพธิสัตว์ไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เมื่อ
อาศัยอยู่ในบ้านนั้น ก็ได้ข่าวว่าพระชนกสวรรคตเสียแล้ว จึง
เสด็จไปยังกรุงพาราณสี ทรงดำรงอยู่ในราชสมบัติอันเป็นของ
ประจำตระกูล ทรงพระนามว่า พระปทุมราชา ทรงครอบครอง
ราชย์โดยธรรม มิให้ราชธรรมกำเริบ รับสั่งให้สร้างโรงทาน
หกแห่งที่ประตูพระนครทั้งสี่กลางพระนคร และประตูพระราช-
นิเวศน์ ทรงบริจาคทรัพย์บำเพ็ญมหาทานวันละหกแสน.
หญิงชั่วแม้นั้นก็ให้ชายชั่วนั่งขี่คอออกจากป่า เที่ยว
ขอทานในทางที่มีคนรวบรวมข้าวยาคูและภัตรเลี้ยงดูชายชั่ว
นั้น. เมื่อมีผู้ถามว่าคนนี้เป็นอะไรกับท่าน นางก็บอกว่า ฉันเป็น
ลูกสาวของลุงของชายผู้นี้ เขาเป็นลูกของอาฉัน พ่อแม่ได้ยกฉัน
ให้ชายผู้นี้. ฉันต้องแบกสามีซึ่งต้องโทษเที่ยวขอทานเลี้ยงดูเขา
พวกมนุษย์ต่างพูดกันว่า หญิงนี้ปรนนิบัติสามีดีจริง. ตั้งแต่นั้น
มาก็พากันให้ข้าวยาคูและภัตรมากยิ่งขึ้น. คนอีกพวกหนึ่งพูด

กันว่า ท่านอย่าเที่ยวไปอย่างนั้นเลย พระเจ้าปทุมราชเสวย
ราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี ทรงบริจาคทานเล่าลือกันไปทั่ว
ชมพูทวีป. พระเจ้าปทุมราชทรงเห็นแล้วจักทรงยินดีพระราชทาน
ทรัพย์เป็นอันมาก เจ้าจงให้สามีของเจ้านั่งในนี้พาไปเถิด แล้ว
ได้มอบกระเช้าหวายทำให้มั่นคงไปใบหนึ่ง. นางปราศจากยางอาย
ให้ชายชั่วนั่งลงในกระเช้าหวาย แล้วแบกกระเช้าเข้าไปกรุง-
พาราณสีเที่ยวบริโภคอาหารอยู่ในโรงทาน.
พระโพธิสัตว์ประทับเหนือคอคชสารที่ตกแต่งด้วยเครื่อง
อลังการ เสด็จถึงโรงทาน ทรงบริจาคทานด้วยพระหัตถ์เอง แก่
คนที่มาขอแปดคนบ้าง สิบคนบ้าง แล้วเสด็จกลับ. หญิงไม่มี
ยางอายนั้น ให้ชายชั่วนั่งในกระเช้าแล้วแบกกระเช้าผ่านไป
ในทางเสด็จของพระราชา. พระราชาทอดพระเนตรเห็นดังนั้น
จึงตรัสถามว่า นั่นอะไร. ราชบุรุษทั้งหลายกราบทูลว่า ขอเดชะ
หญิงปฏิบัติสามีคนหนึ่ง พระเจ้าข้า. ลำดับนั้นพระองค์รับสั่ง
ให้เรียกนางมา ทรงจำได้ รับสั่งให้เอาชายชั่วออกจากกระเช้า
แล้วตรัสถามว่า ชายนี้เป็นอะไรกับเจ้า. นางกราบทูลว่า เขา
เป็นลูกของอาของหม่อมฉันเองเพคะ เป็นสามีที่พ่อแม่ยกหม่อมฉัน
ให้เขาเพคะ. พวกมนุษย์ไม่รู้เรื่องราวนั้นต่างพากันสรรเสริญ
หญิงผู้ไร้อายนั้นเป็นต้นว่า น่ารักจริง เธอเป็นหญิงปฏิบัติสามี.
พระราชาตรัสถามต่อไปว่า ชายชั่วผู้นี้เป็นสามีตบแต่งของเจ้า
หรือ. นางจำพระราชาไม่ได้จึงกล้ากราบทูลว่า เป็นความจริง

เพคะ. พระราชาจึงตรัสว่า ชายผู้นี้เป็นโอรสของพระเจ้ากรุง-
พาราณสีหรือ เจ้าเป็นธิดาของพระราชาองค์โน้น มีชื่ออย่างโน้น
เป็นชายาของปทุมราชกุมาร ดื่มโลหิตที่เข่าของเราแล้วมีจิต
ปฏิพัทธ์ในชายชั่วผู้นี้ ผลักเราตกลงในเหว บัดนี้เจ้าบากหน้า
มาหาความตาย สำคัญว่า เราตายไปแล้ว จึงมาถึงที่นี่ ตรัสว่า
เรายังมีชีวิตอยู่มิใช่หรือ ตรัสเรียกอำมาตย์ทั้งหลาย แล้วรับสั่ง
ว่า ท่านอำมาตย์ทั้งหลาย พวกท่านถามเรา เราได้บอกพวกท่าน
ไว้อย่างนี้แล้วมิใช่หรือว่า น้องหกองค์ของเราได้ฆ่าสตรีหกคน
บริโภคเนื้อ. แต่เราได้ช่วยชายาของเราให้ปลอดภัยพาไปส่ง
แม่น้ำคงคาอาศัยอยู่ในอาศรมบท ได้ช่วยชายเลวคนหนึ่งที่ต้อง
ราชทัณฑ์มาเลี้ยงดู. หญิงคนนี้มีจิตปฏิพัทธ์ในชายชั่วนั้น ผลัก
เราตกลงไปในเหวภูเขา เรารอดชีวิตมาได้เพราะตนมีจิตเมตตา
หญิงที่ผลักเราตกจากเขามิใช่อื่นคือ หญิงชั่วคนนี้เอง และชายชั่ว
ที่ต้องราชอาญาก็มิใช่อื่น คือคนนี้นี่แหละ แล้วได้ตรัสคาถา
เหล่านี้ว่า :-
หญิงคนนี้แหละคือหญิงคนนั้น แม้เราก็
คือบุรุษคนนั้นมิใช่คนอื่น ชายคนนี้แหละที่หญิง
คนนี้อ้างว่าเป็นผัวของนางมาตั้งแต่เป็นกุมารี
ก็คือชายที่ถูกตัดมือ หาใช่คนอื่นไม่ ขึ้นชื่อว่า
หญิงทั้งหลายควรฆ่าให้หมดเลย ความสัตย์ไม่มี
ในหญิงทั้งหลาย.

ท่านทั้งหลายจงฆ่าชายผู้ชั่วช้าลามกราว
กับซากผี มักทำชู้กับภรรยาผู้อื่นคนนี้เสีย ด้วย
สาก จงตัดหู ตัดจมูกของหญิงผู้ปรนนิบัติผัวชั่ว
ช้าลามกคนนี้เสียทั้งเป็น ๆ เถิด.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ยมาห โกมาริปติโก มมนฺติ ความว่า
หญิงนี้กล่าวว่า ชายนี้เป็นผัวของนางมาตั้งแต่เป็นกุมารี คือ
เป็นผัวตบแต่ง ก็คือหญิงคนนี้แหละ แม้เราก็คือบุรุษคนนั้น
มิใช่อื่น. บาลีว่า ยมาห โกมาริปติ ก็มี. เพราะท่านเขียนบทนี้
ไว้ในคัมภีร์ทั้งหลาย. ความก็อย่างเดียวกัน. แต่ในบทนี้พึงทราบ
ความคลาดเคลื่อนของคำ. ก็พระราชาตรัสคำใดไว้ คํานั้นแหละ
มาแล้วในที่นี้. บทว่า วชฺฌิตฺถิโย ความว่า ขึ้นชื่อว่าหญิงทั้งหลาย
ควรฆ่าให้หมด.
บทว่า นตฺถิ อิตฺถีสุ สจฺจํ ได้แก่ ชื่อว่าความสัตย์ในหญิง
เหล่านี้ไม่มีสักอย่างเดียว. บทว่า อิมญฺจ ชมฺมํ เป็นต้น ท่าน
กล่าวด้วยการลงโทษชายเหล่านั้น. ในบทเหล่านั้น บทว่า ชมฺมํ
คือ ลามก. บทว่า มุสเลน หนฺตฺวา ได้แก่ เอาสากทุบตีทำให้
กระดูกหักเป็นชิ้น ๆ. บทว่า ลุทฺทํ คือ หยาบช้า. บทว่า ฉวํ
ได้แก่ คล้ายคนตาย เพราะไม่มีคุณธรรม. บทว่า นํ ในบทว่า
อิมิสฺสา จ นํ นี้ เป็นเพียงนิบาต. อธิบายว่า ท่านทั้งหลายจง
ตัดหู และจมูก ของหญิงนี้ ผู้ปรนนิบัติผัวชั่ว ไม่มียางอาย เป็น
คนทุศีลทั้ง ๆ ยังเป็นอยู่.

พระโพธิสัตว์เมื่อไม่ทรงสามารถอดกลั้นความโกรธไว้ได้
แม้รับสั่งให้ลงอาญาแก่พวกเขาอย่างนี้ ก็มิได้ทรงให้กระทำ
อย่างนั้นได้. แต่ได้ทรงบรรเทาความโกรธให้เบาบางลง แล้ว
รับสั่งให้ผูกกระเช้านั้นจนแน่น โดยที่นางไม่อาจยกกระเช้า
ลงจากศีรษะได้ ขังชายชั่วนั้นไว้ในกระเช้าจนกระทั่งตาย.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศ
สัจธรรม ทรงประชุมชาดก. เมื่อจบสัจธรรม ภิกษุผู้กระสัน
ได้บรรลุโสดาปัตติผล พี่น้องทั้งหกในครั้งนั้นได้เป็นพระเถระ
องค์ใดองค์หนึ่งในครั้งนี้. ภรรยาได้เป็นนางจิญจมาณวิกา ชายชั่ว
ได้เป็นเทวทัต พญาเหี้ย ได้เป็นอานนท์ ส่วนปทุมราชา คือ
เราตถาคตนี้แล.
จบ อรรถกถาจุลลปทุมชาดกที่ 3

4. มณิโจรชาดก



ว่าด้วยพระเจ้าอธัมมิกราช


[237] เทวดาทั้งหลาย (ผู้ดูแลรักษาชนผู้มีศีล
และคอยกีดกันคนชั่ว) ย่อมไม่มีอยู่ในโลกเป็น
แน่ หรือเมื่อกิจเห็นปานนี้เกิดขึ้น ย่อมพากันไป
ค้างแรมเสียเป็นแน่ อนึ่ง สมณพราหมณ์ทั้งหลาย
อันเขาสมมติว่าเป็นผู้รักษาโลก ไม่มีอยู่ในโลก
นี้เป็นแน่ เมื่อชนทุศีลทั้งหลายกระทำกรรมอัน
สาหัส บุคคลผู้ห้ามปรามไม่มีอยู่เป็นแน่.
[238] ในรัชสมัยของพระเจ้าอธรรมิกราช ฝน
ย่อมตกในเวลาอันไม่ควรจะตก ในเวลาที่ควร
จะตกก็ไม่ตก พระราชผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ย่อม
จุติจากฐานะคือสวรรค์ พระราชาผู้ไม่ตั้งอยู่ใน
ธรรมนั้น ใช่ว่าจะได้รับความยากเข็ญด้วยเหตุ
มีประมาณเท่านั้นก็หาไม่.

จบ มณิโจรชาดกที่ 4

อรรถกถามณิโจรชาดกที่ 4



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ เวฬุวันมหาวิหาร ทรง
ปรารภพระเทวทัตผู้พยายามปลงพระชนม์ ตรัสพระธรรมเทศนา