เมนู

9. สตธรรมชาดก



ว่าด้วยสตธรรมมาณพ


[207] อาหารที่เราบริโภค น้อยด้วย เป็นเดนด้วย
อนึ่ง เขาให้แก่เราโดยยากเต็มที เราเป็นชาติ
พราหมณ์บริสุทธิ์ เพราะเหตุนั้น อาหารที่เรา
บริโภคเข้าไปแล้วจึงกลับออกมาอีก.
[208] ภิกษุใดละทิ้งธรรมเสีย หาเลี้ยงชีพโดย
ไม่ชอบธรรม ภิกษุนั้นก็ย่อมไม่เพลินด้วยลาภ
แม้ที่ได้มาแล้ว เปรียบเหมือนสตธรรมมาณพ
ฉะนั้น.

จบ สตธรรมชาดกที่ 9

อรรถกถาสตธรรมชาดกที่ 9



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารทรงปรารภ
การแสวงหาไม่ควร 21 อย่าง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำ
เป็นต้นว่า ตญฺจ อปฺปญฺจ อุจฺฉิฏฺฐํ ดังนี้.
เรื่องพิสดารมีอยู่ว่า ครั้งหนึ่ง ภิกษุเป็นอันมากสำเร็จ
ชีวิตด้วยการแสวงหาไม่ควร 21 อย่าง เป็นต้นว่า การเป็นหมอ
การเป็นทูต การส่งข่าว การรับใช้ การให้ไม้สีฟัน การให้ไม้ไผ่

การให้ดอกไม้ การให้ผลไม้ การให้จุณสำหรับทา การให้
ครุภัณฑ์ การให้ยา การให้ของบิณฑบาต. การแสวงหาไม่ควร
นั้น จักมีแจ้งในสาเกตชาดก.
พระศาสดาทรงทราบการเลี้ยงชีพของภิกษุเหล่านั้น
ทรงพระดำริว่า บัดนี้ภิกษุเป็นอันมากสำเร็จชีวิตด้วยการ
แสวงหาไม่ควร ครั้นสำเร็จชีวิตอย่างนี้แล้วจักไม่พ้นความเป็น
ยักษ์ ความเป็นเปรต จักเกิดเป็นโคเทียมแอก จักเกิดในนรก
เราควรกล่าวธรรมเทศนาสักอย่างหนึ่งอันเป็นอัธยาศัยของตน
เป็นปฏิภาณของตน เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขของพวกเธอ
แล้วรับสั่งให้หมู่ภิกษุประชุมกัน ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ไม่ควรให้ปัจจัยเกิดขึ้นด้วยการแสวงหาไม่ควร 21 อย่าง
เพราะบิณฑบาตที่เกิดขึ้นด้วยการแสวงหาไม่ควรเป็นเช่นกับ
ก้อนทองแดงร้อน เปรียบเหมือนยาพิษร้ายแรง จริงอยู่การ
แสวงหาไม่ควรนี้ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและสาวก
ของพระพุทธเจ้าติเตียน คัดค้าน เมื่อภิกษุบริโภคบิณฑบาต
อันเกิดขึ้นด้วยการแสวงหาอันไม่ควร จะไม่มีความร่าเริงหรือ
โสมนัสเลย เพราะว่าบิณฑบาตอันเกิดขึ้นอย่างนี้เป็นเช่นกับ
อาหารเดนของคนจัณฑาลในศาสนาของเรา การบริโภคบิณฑบาต
นั้น ย่อมเป็นเหมือนการบริโภคอาหารเดนของคนจัณฑาล ชื่อ
สตธรรมมาณพ แล้วทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่า.

ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดคนจัณฑาล ครั้น
เจริญวัยได้ตระเตรียมข้าวสารเป็นเสบียงและห่อข้าวเดินทาง
ไปทำกรณียกิจอย่างหนึ่ง. ในกาลนั้นในกรุงพาราณสีมีมาณพ
คนหนึ่ง ชื่อ สตธรรม เกิดในสกุลพราหมณ์มหาศาลอุทิจจโคตร.
เขามิได้ตระเตรียมข้าวสารหรือห่อข้าวเดินทางไปด้วยกรณียกิจ
อย่างหนึ่ง. ทั้งสองได้มาพบกันที่ทางใหญ่. มาณพจึงถามพระ-
โพธิสัตว์ว่า ท่านเป็นชาติอะไร. มาณพบอกว่า เราเป็นคน
จัณฑาล แล้วถามมาณพว่า ก็ท่านเล่าเป็นชาติอะไร เขาบอกว่า
เราเป็นพราหมณ์อุทิจจโคตร. ดีแล้วเราไปด้วยกัน ทั้งสองก็
เดินทางร่วมกันไป. ได้เวลาอาหารเช้า พระโพธิสัตว์จึงนั่งใน
ที่ที่หาน้ำง่าย ล้างมือแก้ห่อข้าวแล้วกล่าวว่า มาณพบริโภค
ข้าวกันเถิด. มาณพตอบว่า ไม่มีเสียละเจ้าคนจัณฑาลที่เรา
จะต้องการอาหารของท่าน. พระโพธิสัตว์จึงว่าตามใจ แล้ว
แบ่งอาหารเพียงพอสำหรับตนไว้ในใบไม้อื่น ไม่ทำอาหารในห่อ
ให้เป็นเดน มัดห่อวางไว้ข้างหนึ่ง บริโภค ดื่มน้ำ จากนั้นก็
ล้างมือล้างเท้าถือเอาข้าวสารและอาหารที่เหลือ กล่าวว่าไปกัน
เถิดมาณพ แล้วก็เดินทางต่อไป. เขาพากันเดินทางไปตลอดวัน
ยังค่ำ ในตอนเย็น ทั้งสองพากันลงอาบน้ำในที่ที่น้ำบริบูรณ์
แห่งหนึ่ง เสร็จแล้วก็ขึ้น. พระโพธิสัตว์นั่งในที่สำราญ แล้วแก้
ห่ออาหาร ไม่ได้เชิญมาณพ เริ่มบริโภค. มาณพเหน็ดเหนื่อย

เพราะการเดินทางมาตลอดวัน เกิดความหิวโหย ได้แต่ยืนมอง
ด้วยคิดว่า หากเขาให้อาหารเรา เราก็จักบริโภค. ฝ่ายพระ-
โพธิสัตว์ ก็มิได้พูดอะไรบริโภคท่าเดียว. มาณพคิดว่า เจ้าคน
จัณฑาลนี้ไม่พูดกับเราเลย บริโภคจนหมด เราควรยึดเอาก้อน
อาหารไว้ ทิ้งเศษอาหารข้างบนเสีย แล้วบริโภคส่วนที่เหลือ.
มาณพได้ทำดังนั้น แล้วบริโภคอาหารเดน. ครั้นบริโภคเสร็จ
แล้วเท่านั้น ก็เกิดความร้อนใจอย่างแรงว่า เราทำกรรมอันไม่
สมควรแก่ชาติ โคตร ตระกูล และประเทศของตน เราบริโภค
อาหารเดนของคนจัณฑาล. ทันใดนั้นเองอาหารปนโลหิตก็พุ่ง
ออกจากปากของมาณพนั้น. เขาคร่ำครวญ เพราะความโศก
ใหญ่หลวงเกิดขึ้นว่า เราทำกรรมอันไม่สมควรเพราะเหตุ
อาหารเพียงเล็กน้อย แล้วกล่าวคาถาแรกว่า :-
อาหารที่เราบริโภคน้อยด้วย เป็นเดนด้วย
อนึ่ง เขาให้แก่เราโดยยากเย็นเต็มที เราเป็นชาติ
พราหมณ์บริสุทธิ์ เพราะเหตุนั้นอาหารที่เรา
บริโภคเข้าไปแล้ว จึงกลับออกมาอีก.

ในคาถานั้นมีความสังเขปดังต่อไปนี้ เราบริโภคอาหาร
ใดอาหารนั้นน้อยด้วยเป็นเดนด้วย คนจัณฑาลนั้นมิได้ให้อาหาร
แก่เราด้วยความพอใจของตน ที่แท้ถูกเรายึดจึงได้ให้ด้วยความ
ยาก คือ ด้วยความลำบาก เราเป็นพราหมณ์มีชาติบริสุทธิ์
ด้วยเหตุนั้นอาหารที่เราบริโภคจึงพลุ่งออกมาพร้อมกับโลหิต.

มาณพคร่ำครวญอยู่อย่างนี้แล้วจึงคิดว่า เราทำกรรมอัน
ไม่สมควร ถึงอย่างนี้แล้วจะมีชีวิตอยู่ไปทำไม จึงเข้าป่าไป
ไม่แสดงตนแก่ใคร ๆ ถึงแก่กรรมลงอย่างน่าอนาถ.
พระศาสดาทรงแสดงเรื่องอดีตนี้แล้วตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เพราะสตธรรมมาณพบริโภคอาหารเดนของ
คนจัณฑาลเป็นการบริโภคอาหารที่ไม่สมควรแก่ตน จึงมิได้
เกิดความร่าเริงยินดีฉันใด ผู้ใดบวชแล้วในศาสนานี้ก็ฉันนั้น
สำเร็จชีวิตด้วยการแสวงหาอันไม่สมควร บริโภคปัจจัยตามที่
ได้ ความร่าเริงยินดีมิได้เกิดแก่ผู้นั้น เพราะเขามีชีวิตเป็นอยู่
ที่น่าตำหนิ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงคัดค้าน ครั้นทรงบรรลุอภิสัม-
โพธิญาณแล้ว จึงตรัสพระคาถา 2 คาถาว่า :-
ภิกษุใดละทิ้งธรรมเสีย หาเลี้ยงชีพโดย
ไม่ชอบธรรม ภิกษุนั้นก็ย่อมไม่เพลินด้วยลาภ
แม้ที่ตนได้มาแล้ว เปรียบเหมือนสตมาณพฉะนั้น.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺมํ ได้แก่ ธรรม คืออาชีวปาริ-
สุทธิคีล. บทว่า นิรงฺกตฺวา ได้แก่ นำไปทิ้งเสีย. บทว่า
อธมฺเมน ได้แก่ มิจฉาชีพ กล่าวคือการแสวงหาไม่สมควร 21
อย่าง อย่างนี้. บทว่า สตธมฺโม เป็นชื่อของมาณพนั้น. บาลีเป็น
สุตธมฺโม บ้าง. บทว่า น นนฺทติ ความว่า มาณพสตธรรม
ไม่ยินดีด้วยลาภนั้นว่า เราได้อาหารเดนของคนจัณฑาล ฉันใด

กุลบุตรผู้บวชในศาสนานี้ก็ฉันนั้น บริโภคลาภที่ได้มาด้วยการ
แสวงหาอันไม่สมควร ย่อมไม่เพลิดเพลิน ไม่ยินดี ถึงความ
โทมนัสว่า เราเป็นอยู่ด้วยการเลี้ยงชีพที่พระพุทธเจ้าทรงตำหนิ.
เพราะฉะนั้น ผู้ที่สำเร็จชีวิตด้วยการแสวงหาอันไม่สมควร
ควรเข้าป่าตายเสียอย่างอนาถดีกว่า เหมือนสตธรรมมาณพ
ฉะนั้น.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรง
ประกาศอริยสัจ 4 ทรงประชุมชาดก เมื่อจบอริยสัจ ภิกษุ
เป็นอันมากบรรลุโสดาปัตติผล เป็นต้น. บุตรคนจัณฑาลใน
ครั้งนั้น คือเราตถาคตในครั้งนี้แล.
จบ อรรถกถาสตธรรมชาดกที่ 9

10. ทุทททชาดก



ว่าด้วยคติของคนดีคนชั่ว


[209] เมื่อสัตบุรุษทั้งหลายให้สิ่งของที่หายาก
ทำกรรมที่ทำได้ยาก อสัตบุรุษทั้งหลายย่อม
ทำตามไม่ได้ ธรรมของอสัตบุรุษรู้ได้ยาก.
[210] เพราะเหตุนั้น คติจากโลกนี้ของสัตบุรุษ
และอสัตบุรุษจึงต่างกัน อสัตบุรุษย่อมไปสู่นรก
สัตบุรุษย่อมมีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า.

จบ ทุทททชาดกที่ 10

อรรถกถาทุทททชาดกที่ 10



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารทรง
ปรารภการถวายทานเป็นคณะ. ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำ
เริ่มต้นว่า ทุทททํ ททมานานํ ดังนี้.
ได้ยินว่าในกรุงสาวัตถี บุตรกุฎุมพีสองสหายร่วมกัน
จัดแจงทานมีเครื่องบริขารครบ นิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้า
เป็นประมุข ถวายมหาทานตลอด 7 วัน ในวันที่ 7 ได้ถวาย
บริขารทุกชนิด. ในคนเหล่านั้น คนที่เป็นหัวหน้าคณะ ถวาย
บังคมพระศาสดา นั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง แล้วมอบถวายทานว่า