เมนู

2. ทัททรชาดก



ราชสีห์กับสุนัขจิ้งจอก


[193] ข้าแต่คุณพ่อผู้เป็นใหญ่ในมฤคชาติทั้ง
หลาย ใครหนอมีเสียงดังลั่น ย่อมทำให้ทัททร
บรรพตให้บรรลือสนั่นยิ่งนัก ราชสีห์ทั้งหลาย
ย่อมไม่อาจบรรลือโต้ตอบมันได้ นั่นเรียกว่า
สัตว์อะไร.
[194] ลูกเอ๋ย นั่นคือสุนัขจิ้งจอก เป็นสัตว์เลว
ทรามต่ำช้ากว่ามฤคชาติทั้งหลาย มันหอนอยู่
ราชสีห์ทั้งหลายรังเกียจชาติของมัน จึงได้พากัน
นิ่งเฉยเสีย.

จบ ทัททรชาดกที่ 2

อรรถกถาทัททรชาดกที่ 2



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันทรงปรารภ
พระโกกาลิกะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้มีคำเริ่มต้นว่า โก นุ
สทฺเทน มหตา
ดังนี้.
ความพิสดารมีอยู่ว่าในกาลนั้นพวกภิกษุพหูสูต นั่งอยู่ ณ
พื้นหินอ่อนสีแดง สวดบทภาณวารในท่ามกลางสงฆ์เหมือนราชสีห์

หนุ่มบรรลือสีหนาท เหมือนเทวดาบรรดาลให้น้ำคงคาในอากาศ
ให้ตกลง. เมื่อภิกษุเหล่านั้นกล่าวบทภาณวาร พระโกกาลิกะไม่รู้
ความโง่ของตน อวดภูมิว่าเราจักกล่าวบทภาณวารบ้าง จึงเข้าไป
ในระหว่างภิกษุทั้งหลาย เที่ยวประกาศในที่นั้น ๆ อ้างภิกษุสงฆ์
ว่า พวกภิกษุไม่ให้โอกาสเรากล่าวบทภาณวารบ้าง หากให้โอกาส
แก่เรา เราก็จักกล่าวบ้าง. คำพูดของพระโกกาลิกะได้ปรากฏ
ในหมู่ภิกษุ. พวกภิกษุคิดว่า จักทดลองพระโกกาลิกะดูก่อน
จึงกล่าวว่า ก่อนอาวุโสโกกาลิกะ วันนี้ท่านจงกล่าวบทภาณวาร
แก่สงฆ์เถิด. พระโกกาลิกะไม่รู้ความสามารถของตน จึงรับว่า
ตกลง จึงฉันข้าวยาคูเคี้ยวของเคี้ยวอันเป็นที่สบายของตน
บริโภคกับสูปะอันอร่อย. ครั้นพระอาทิตย์ตก เขาประกาศเวลา
ฟังธรรม หมู่ภิกษุประชุมกัน. พระโกกาลิกะนุ่งผ้ากาสาวะ
มีสีเหมือนโคลน ห่มจีวรมีสีเหมือนดอกกรรณิการ์เข้าไปยัง
ท่ามกลางสงฆ์ ไหว้พระเถระขึ้นสู่ธรรมาสน์ที่ประดับไว้อย่างดี
ในมณฑลแก้วที่ตกแต่งไว้ นั่งจับพัดวีชนีด้วยคิดว่า เราจักกล่าว
บทภาณวาร. ทันใดนั่นเองเหงื่อก็ไหลจากร่างกายของพระโกกาลิกะ
ความขลาดกลัวเข้าครอบงำ. ครั้นกล่าวบทต้นของคาถาแรกแล้ว
ก็ไม่เห็นบทเบื้องปลาย. พระโกกาลิกะงกงันลงจากธรรมาสน์
กระดากอาย ได้ออกไปจากท่ามกลางสงฆ์กลับที่อยู่ของตน.
ภิกษุพหูสูตรูปอื่นจึงได้กล่าวบทภาณวารต่อไป. ตั้งแต่นั้นภิกษุ
ทั้งหลายจึงรู้ว่าพระโกกาลิกะโง่.

อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายประชุมสนทนากันในโรงธรรม
ว่า อาวุโสทั้งหลาย ความโง่ของพระโกกาลิกะในชั้นแรกรู้ได้ยาก
แต่บัดนี้ได้ปรากฏชัดขึ้นมาแล้ว. พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่อง
อะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โกกาลิกะได้เผยความโง่ให้ปรากฏแล้ว
มิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อนก็ได้เผยให้ปรากฏมาแล้ว ทรงนํา
เรื่องอดีตมาตรัสเล่า.
ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดราชสีห์ ณ หิมวันต-
ประเทศ ได้เป็นราชาของราชสีห์มากมาย. พญาราชสีห์นั้นมี
ราชสีห์เป็นบริวารอยู่ไม่น้อยอาศัยอยู่ ณ ถ้ำเงิน. แม้สุนัข-
จิ้งจอกก็อาศัยอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ไม่ไกลจากถ้ำนั้น. อยู่มา
วันหนึ่ง ฝนตกขาดเม็ดแล้ว พวกราชสีห์ทั้งหมดก็พากันมาประชุม
ที่ประตูถ้ำของพญาราชสีห์ ต่างบรรลือสีหนาทเล่นหัวกัน. ใน
ขณะที่ราชสีห์เหล่านั้นบรรลือสีหนาทเล่นหัวกันอยู่อย่างนี้ สุนัข
จิ้งจอกตัวนั้นก็หอนขึ้น. พวกราชสีห์ได้ยินเสียงสุนัขจิ้งจอกนั้น
ก็กระดากใจ พากันนิ่งด้วยคิดว่า เจ้าสุนัขจิ้งจอกตัวนี้หอนแข่ง
กับพวกเรา. ในขณะที่ราชสีห์เหล่านั้นนิ่ง ราชสีห์น้อยลูกพญา-
ราชสีห์โพธิสัตว์ เมื่อจะถามบิดาว่า พ่อจ๋าพวกราชสีห์เหล่านี้
บรรลือสีหนาทเล่นหัวกัน ครั้นได้ยินเสียงของสัตว์นั้นพากันนิ่ง

ด้วยความอาย สัตว์นั้นชื่ออะไร อวดอ้างตนด้วยเสียงของตน
ได้กล่าวคาถาแรกว่า :-
ข้าแต่พ่อผู้เป็นใหญ่ในมฤค ใครหนอมี
เสียงดังลั่น ทำทัททรบรรพตให้บรรลือลั่นยิ่งนัก
ราชสีห์ทั้งหลายไม่อาจบรรลือโต้ตอบมัน นั่น
เรียกว่าสัตว์อะไรหนอ.

ในบทเหล่านั้นบทว่า อภินาเทติ ททฺทรํ ความว่า ใครหนอ
ทำทัททรบรรพตให้มีเสียงกึกก้องเป็นอันเดียว. ลูกราชสีห์
เรียกบิดาว่า มิคาภิภู. ในบทว่า มิคาภิภู นี้ มีอธิบายว่า ข้าแต่
พญาราชสีห์ผู้เป็นจอมมฤค ข้าพเจ้าขอถามท่าน สัตว์นั้นชื่ออะไร.
ครั้นบิดาฟังคำของลูกราชสีห์แล้ว จึงกล่าวคาถาที่ 2 ว่า :-
ลูกเอ๋ย นั่นคือสุนัขจิ้งจอกเป็นสัตว์เลว
ทรามต่ำช้ากว่ามฤคชาติทั้งหลาย มันหอนอยู่
ราชสีห์ทั้งหลายรังเกียจชาติของมัน จึงได้พา
กันนิ่งเฉยเสีย.

ในบทเหล่านั้นบทว่า สํ ในบทว่า สมจฺฉเร เป็นเพียง
อุปสรรค. เอาความว่า อยู่เฉย. ท่านอธิบายไว้ว่า ราชสีห์ทั้งหลาย
นิ่งเฉย คืออยู่เฉย. ในคัมภีร์ทั้งหลาย เกจิอาจารย์เขียนว่า
สมจฺฉเร.

พระศาสดาครั้นตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โกกาลิกะ
มิได้เปิดเผยตนเองในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อนก็ได้เปิดเผยแล้ว
เหมือนกัน แล้วทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา ทรงประชุมชาดก.
สุนัขจิ้งจอกในครั้งนั้นได้เป็นพระโกกาลิกะในครั้งนี้. ส่วนลูก
ราชสีห์ได้เป็นราหุล. พญาราชสีห์ คือเราตถาคตนี้แล.
จบ อรรถกถาทัททรชาดกที่ 2

3. มักกฏชาดก



ว่าด้วยพิง


[195] คุณพ่อครับ มาณพนั่นมายืนพิงต้นตาลอยู่
อนึ่ง เรือนของเรานี้ก็มีอยู่ ถ้ากระไรเราจะให้
เรือนแก่มานพนั้น.
[196] ลูกเอ๋ย เจ้าอย่าเรียกมันมาเลย มันเข้ามา
แล้ว จะพึงประทุษร้ายเรือนของเรา หน้าของ
พราหมณ์ผู้มีศีลบริสุทธิ์ หาเป็นเช่นนี้ไม่.

จบ มักกฏชาดกที่ 3

อรรถกถามักกฏชาดกที่ 3



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันทรงปรารภ
ภิกษุหลอกลวงรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้มีคำเริ่มต้นว่า
ตาต มาณวโก เอโส ดังนี้.
เรื่องราวจักมีแจ้งในอุททาลกชาดกในปกิณณกนิบาต.
ก็ครั้งนั้นพระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้มิใช่
หลอกลวงในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อนก็เกิดเป็นลิงได้หลอกลวง
เพราะเรื่องไฟ แล้วตรัสนำเรื่องอดีตมาเล่า.
ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
กรุงพาราณสี บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ หมู่บ้านกาสี ครั้น