พระสุตตันตปิฎก
ขุททกนิกาย ชาดก
เล่มที่ 3 ภาคที่ 2
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เอกนิบาตชาดก
5. อัตถกามวรรค
1. โลสกชาดก
ว่าด้วยคนที่ต้องเศร้าโศก
[41] " ผู้ใดบุคคลกล่าวสอนอยู่ ไม่ทำตามคำ
สอนของผู้ปรารถนาประโยชน์ ผู้อนุเคราะห์ด้วย
ประโยชน์เกื้อกูล ผู้นั้นย่อมเศร้าโศก เหมือน
มิตตพินทุกะจับเท้าแพะเศร้าโศกอยู่ฉะนั้น."
อรรถกถาอัตถกามวรรคที่ 5
อรรถกถาโลสกชาดกที่ 1
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภ พระโลสกติสสเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้
มีคำเริ่มต้นว่า " โย อตฺถกามสฺส" ดังนี้.
ก็พระเถระผู้มีชื่อว่า โลสกะ นี้ คือใคร (มีประวัติเป็นมา
อย่างไร) ?
ท่านเป็นบุตรของชาวประมงคนหนึ่ง ในแคว้นโกศล เป็น
ผู้ทำลายตระกูลวงศ์ของตน ไม่มีลาภ มาบวชในหมู่ภิกษุ.
ได้ยินมาว่า ท่านจุติจากที่ที่ท่านเกิดแล้ว ถือปฏิสนธิใน
ท้องของหญิงชาวประมงนางหนึ่ง ณ หมู่บ้านชาวประมงตำบล
หนึ่ง ซึ่งอยู่ร่วมกันถึงพันครอบครัว ในแคว้นโกศล. ในวันที่
ท่านถือปฏิสนธิ ชาวประมงทั้งพันครอบครัวนั้น พากันถือข่าย
เที่ยวหาปลา ในลำน้ำและบ่อบึง ไม่ได้แม้แต่ปลาตัวเล็ก ๆ สัก
ตัวหนึ่ง. และนับแต่วันนั้นมา พวกชาวประมงเหล่านั้น ก็พากัน
เสื่อมโทรมทีเดียว. เมื่ออยู่ในท้องมารดานั้นเล่า บ้านชาวประมง
เหล่านั้น ก็ถูกไฟไหม้ถึง 7 ครั้ง ถูกพระราชาปรับสินไหมเจ็ด
ครั้ง. โดยนัยนี้ ชาวประมงเหล่านั้น จึงถึงความลำบากโดยลำดับ.
พวกเขาคิดกันว่า เมื่อก่อนเรื่องทำนองนี้ไม่เคยมีแก่พวกเราเลย
แต่บัดนี้พวกเราพากันย่ำแย่ ในระหว่างพวกเราต้องมีตัวกาลกรรณี
คนหนึ่ง พวกเราจงแบ่งเป็นสองพวกเถิด. ดังนี้แล้ว แยกกันอยู่
ฝ่ายละ 500 ครอบครัว. แต่นั้นมารดาบิดาของเขาอยู่กลุ่มใด
กลุ่มนั้นก็แย่ กลุ่มนอกนี้เจริญ พวกที่แย่นั้น ก็แยกกลุ่มกันอีก
โดยแยกกันออกเป็น 2 กลุ่มอีก แยกกันไปโดยทำนองนี้ กระทั่ง
ตระกูล (ของเขา) นั่นแหละ เหลือโดดเดี่ยว (เพียงตระกูลเดียว)
เขาทั้งหลายจึงรู้ว่า คนเหล่านั้นเป็นกาลกรรณี ก็รุมกันโบยตีไล่
ออกไป. ครั้งนั้นมารดาบิดาของเขา เลี้ยงชีพมาโดยแร้นแค้น
พอท้องแก่ก็คลอด ณ ที่แห่งหนึ่ง. ธรรมดาท่านผู้เป็นสัตว์ เกิดมา
ในภพสุดท้าย ใครไม่อาจทำลายได้ เพราะมีอุปนิสัยแห่งอรหัตผล
รุ่งเรืองอยู่ในหทัยของท่าน เหมือนดวงประทีปภายในหม้อฉะนั้น.
มารดาเลี้ยงเขามา จนถึงในเวลาที่เขาวิ่งเที่ยวไปมาได้ ก็เอากะโล่
ดินเผาใบหนึ่งใส่มือให้พลางเสือกไสด้วยคำว่า ลูกเอ๋ย เจ้าจงไป
สู่เรือนหลังนั้นเถิดดังนี้แล้วหลบหนีไป. จำเดิมแต่นั้นมา เขาก็อยู่
อย่างเดียวดาย เที่ยวหากินไปตามประสา หลับนอน ณ ที่แห่งหนึ่ง
ไม่ได้อาบน้ำ ไม่ได้ปรนนิบัติร่างกาย ดูเหมือนปีศาจคลุกฝุ่น
เลี้ยงชีวิตมาได้โดยลำเค็ญ. เขามีอายุครบ 7 ขวบ โดยลำดับ
เลือกเม็ดข้าวกินทีละเม็ด เหมือนกา ในที่สำหรับเทน้ำล้างหม้อ
ใกล้ประตูเรือนแห่งหนึ่ง.
ครั้งนั้น พระธรรมเสนาบดี เที่ยวบิณฑบาตอยู่ในเมือง
สาวัตถี เห็นแล้วรำพึงว่า เด็กคนนี้น่าสงสารนัก เป็นชาวบ้าน
ไหนหนอ แผ่เมตตาจิตไปในเขาเพิ่มยิ่งขึ้น จึงเรียกว่า มานี่เถิด
เด็กน้อย. เขามาไหว้พระเถระแล้วยืนอยู่ ลำดับนั้น พระเถระ
ถามเขาว่า เจ้าเป็นชาวบ้านไหน พ่อแม่ของเจ้าอยู่ที่ไหน ?
เขาตอบว่า ท่านขอรับ กระผมไร้ที่พึ่ง พ่อแม่ของกระผม
พูดว่า เพราะกระผมทำให้ท่านต้องลำบาก จึงทิ้งกระผมหนีไป.
พระเถระถามว่า เออก็เจ้าจักบวชไหมละ ?
เขาตอบว่า ท่านขอรับ กระผมอยากบวชนัก แต่คนกำพร้า
อย่างกระผมใครจักบวชให้.
พระเถระกล่าวว่า เราจักบวชให้.
เขากล่าวว่า สาธุ ท่านขอรับ โปรดอนุเคราะห์ให้กระผม
บวชเถิด. พระเถระจึงให้ของเคี้ยว ของบริโภคแก่เขาแล้วพาไป
วิหาร อาบน้ำให้เอง ให้บรรพชา จนอายุครบจึงให้อุปสมบท ใน
ตอนแก่ท่านมีชื่อว่า "โลสกติสสเถระ" เป็นพระไม่มีบุญ มี
ลาภน้อย. เล่ากันว่า แม้ในคราวอสทิสทาน ท่านก็ไม่เคยได้ฉัน
เต็มท้อง ได้ขบฉันเพียงพอจะสืบต่อชีวิตไปได้เท่านั้น เพราะเมื่อ
ใครใส่บาตรท่านเพียงข้าวต้มกระบวยเดียว บาตรก็ปรากฏเหมือน
เต็มเสมอขอบแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้น คนทั้งหลายก็สำคัญว่า บาตร
ของภิกษุรูปนี้เต็มแล้ว เลยถวายองค์หลัง ๆ. บางอาจารย์กล่าว
ว่า ในเวลาถวายยาคูในบาตรของท่าน ข้าวยาคูในภาชนะของ
คนทั้งหลาย ก็หายไป ดังนี้ก็มี. แม้ในปัจจัยอื่นมีของควรเคี้ยว
เป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. โดยสมัยต่อมาท่านเจริญวิปัสสนา
แม้จะดำรงในพระอรหัต อันเป็นผลชั้นยอด ก็ยังคงมีลาภน้อย.
ครั้นเมื่ออายุสังขารของท่านล่วงโรยทรุดโทรมลงโดยลำดับ ก็
ถึงวันเป็นที่ปรินิพพาน.
ท่านพระธรรมเสนาบดี คำนึงอยู่ ก็รู้ถึงการปรินิพพาน
ของท่าน จึงดำริว่า วันนี้พระโลสกติสสเถระ นี้จักปรินิพพาน
ในวันนี้ เราควรให้อาหารแก่เธอจนพอ ดังนี้แล้ว พาท่านเข้าไป
เมืองสาวัตถี เพื่อบิณฑบาต เพราะพาท่านไปด้วย พระเถระ
เลยไม่ได้แม้เพียงการยกมือไหว้ ในเมืองสาวัตถีอันมีคนมากมาย.
พระเถระจึงกล่าวว่า อาวุโส เธอจงไปนั่งคอยอยู่ที่โรงฉันเถิด
ดังนี้แล้วส่งท่านกลับ. พอพระเถระมาจากที่นั้นเท่านั้น พวกมนุษย์
ก็พูดกันว่า พระผู้เป็นเจ้ามาแล้ว นิมนต์ให้นั่งเหนืออาสนะ ให้
ฉันภัตตาหาร. พระเถระก็ส่งอาหารที่ได้แล้วนั้นไป โดยกล่าวกับ
คนเหล่านั้นว่า พวกเธอจงให้ภัตรนี้แก่พระโลสกติสสเถระ คนที่
รับภัตรนั้นไป ก็ลืมพระโลสกติสสเถระ พากันกินเสียเรียบ. จน
เวลาที่พระเถระเดินไปถึงวิหาร พระโลสกติสสเถระ ก็ไปนมัสการ
พระเถระ พระเถระหันกลับมายืนถามว่า อาวุโส คุณได้อาหาร
แล้วหรือ ? ท่านตอบว่า ไม่ได้ดอกครับ. พระเถระถึงความสลดใจ
ดูเวลา กาลยังไม่ล่วงเลย. พระเถระจึงกล่าวว่า ช่างเถิดผู้มี
อายุ คุณจงนั่งอยู่ที่เดิมนั่นแหละ ครั้นให้พระโลสกติสสเถระ
นั่งรอในโรงฉันแล้ว ก็ไปสู่พระราชวังของพระเจ้าโกศล พระ-
ราชารับสั่งให้รับบาตรของพระเถระ ทรงกำหนดว่า มิใช่กาล
แห่งภัตร จึงรับสั่งให้ถวายของหวาน 4 อย่าง จนเต็มบาตร.
พระเถระรับบาตรกลับไปถึง จึงเรียกพระโลสกติสสเถระว่า
มาเถิด ผู้มีอายุ ติสสะ ฉันของหวาน 4 อย่างนี้เถิด แล้วถือบาตร
ยืนอยู่. ท่านพระโลสกติสสเถระยำเกรงพระเถระจะไม่ฉัน. ลำดับ
นั้น พระเถระกล่าวกะท่านว่า มาเถิดน่า ท่านผู้มีอายุติสสะ ผม
จะยืนถือบาตรไว้ คุณจงนั่งฉัน ถ้าผมปล่อยบาตรจากมือ บาตร
ต้องไม่มีอะไร. ลำดับนั้น ท่านพระโลสกติสสเถระ เมื่อพระธรรม-
เสนาบดีผู้เป็นอรรคสาวกยืนถือบาตรไว้ให้ จึงนั่งฉันของหวาน
4 อย่าง. ของหวาน 4 อย่างนั้น ไม่ถึงความหมดสิ้น ด้วยกำลัง
แห่งฤทธิ์ของพระเถระ พระโลสกติสสเถระ ฉันจนเต็มความ
ต้องการ ในเวลานั้น ในวันนั้นเอง ท่านก็ปรินิพพานด้วยอนุปา-
ทิเสสนิพพานธาตุ. พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับในสำนักของ
ท่าน ทรงรับสั่งให้กระทำการปลงสรีระ เก็บเอาธาตุทั้งหลาย
ก่อพระเจดีย์ บรรจุไว้.
ในเวลานั้น ภิกษุทั้งหลาย ประชุมกันในธรรมสภา นั่ง
สนทนากันว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย น่าอัศจรรย์จริง ท่านพระโลสก-
ติสสเถระ มีบุญน้อย มีลาภน้อย อันผู้มีบุญน้อย มีลาภน้อย
เห็นปานดังนี้ บรรลุอริยธรรมได้อย่างไร. พระบรมศาสดาเสด็จ
ไปธรรมสภา มีพระดำรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย เมื่อกี้พวกเธอ
ประชุมกันด้วยเรื่องอะไรเล่า ? เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้
ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย โลสกติสสะผู้นี้ ได้