เมนู

เมื่อเราทำสัจจะ เปลวไฟอันรุ่งเรืองใหญ่หลีกไป
16 กรีสพร้อมด้วยคำสัตย์ ประหนึ่งเปลวไฟอันตกถึง
น้ำก็ดับไปฉะนั้น สิ่งไรเสมอด้วยสัจจะของเราไม่มี
นี้เป็นสัจบารมี ของเรา
ดังนี้.
ก็สถานที่นี้นั้น เกิดเป็นปาฏิหาริย์ชื่อว่าตั้งอยู่ชั่วกัป เพราะไฟจะไม่ไหม้
ืในกัปนี้แม้ทั้งสิ้น. พระโพธิสัตว์ครั้น ทำสัจกิริยาอย่างนี้แล้ว ในเวลาสิ้นชีวิต
ได้ไปตามยถากรรม. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่ไฟไม่ไหม้
สถานที่นี้ เป็นกำลังของเราในบัดนี้ หามิได้ ก็กำลังนั่นเป็นของเก่า เป็น
สัจพลังของเราเองในครั้งเป็นลูกนกคุ่ม ดังนี้ ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนา
นี้มาแล้ว จึงทรงประกาศสัจจะทั้งหลาย ในเวลาจบสัจจะ บางพวกได้เป็น
พระโสดาบัน บางพวกได้เป็นพระสกทาคามี บางพวกได้เป็นพระอนาคามี
บางพวกบรรลุพระอรหัต ฝ่ายพระศาสดาก็ทรงสืบอนุสนธิ ประชุมชาดกว่า
มารดาบิดาในครั้งนั้นคงเป็นมารดาบิดาอยู่ตามเดิมในบัดนี้ ส่วน
พระยานคุ่ม ได้เป็นเราเองแล.

จบวัฏฏกชาดกที่ 5

6. สกุณชาดก



ว่าด้วยที่พึ่งให้โทษ



[36] นกทั้งหลายอาศัยต้นไม่ได้ ต้นไม้นั้น
ย่อมทิ้งไฟลงมา นกทั้งหลายจงพากันหนีไปอยู่เสียที่
อื่นเถิด ภัยเกิดจากที่พึงของพวกเราแล้ว

จบสกุณชาดกที่ 6

6. อรรถกถาสกุณชาดก



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้ถูกไฟ
ไหม้บรรณศาลา จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้มีคำเริ่มต้นว่า ยนฺนิสฺสิตา ดังนี้.
ได้ยินว่า ภิกษุนั้น เรียนพระกรรมฐานในสำนักของพระศาสดา แล้ว
ออกจากพระเชตวันวิหารเข้าไปอาศัยปัจจันตคามแห่งหนึ่งในโกศลชนบท อยู่
ในเสนาสนะป่าแห่งหนึ่ง. ลำดับนั้น บรรณศาลาของภิกษุนั้น ถูกไฟไหม้ ใน
เดือนแรกนั้นเอง ภิกษุนั้นคิดว่า บรรณศาลาของเราถูกไฟไหม้เสียแล้ว เราจัก
อยู่ลำบาก จึงบอกแก่คนทั้งหลาย คนทั้งหลายอ้างการงานนั้น ๆ อย่างนี้ว่า
บัดนี้ นาของพวกเราแห้ง พวกเราระบายน้ำเข้านาแล้วจักทำให้ เมื่อระบายน้ำ
เข้านาแล้วหว่านพืช เมื่อหว่านพืชแล้วทำรั้ว เมื่อทำรั้วแล้วสางพืช เก็บเกี่ยว
นวด ดังนี้ให้กาลเวลาล่วงเลยไป 3 เดือน ภิกษุนั้นอยู่ลำบากในที่แจ้งตลอด
เดือน จึงไม่อาจเจริญกรรมฐานยังคุณวิเศษให้บังเกิด ก็ครั้นปวารณาแล้ว
ก็ไปยังสำนักของพระศาสดา ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง
พระศาสดาทรงทำปฏิสันถารกับภิกษุนั้น แล้วตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ
เธออยู่จำพรรษาโดยสะดวกหรือ ? กรรมฐานของเธอถึงที่สุดแล้วหรือ ? ภิกษุ
นั้นกราบทูลเรื่องราวนั้นแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กรรมฐานของ
ข้าพระองค์ไม่ถึงที่สุด เพราะไม่มีเสนาสนะอันเป็นสัปปายะ พระศาสดาตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุ ในกาลก่อน แม้สัตว์เดียรัจฉานทั้งหลายก็ยังรู้ที่อันเป็นสัปปายะ
และไม่เป็นสัปปายะของตน เพราะเหตุไร เธอจึงไม่รู้ แล้วทรงนำอดีตนิทาน
มาดังต่อไปนี้