เมนู

3. กัณฑินชาดก



ว่าด้วยผู้ตกอยู่ในอำนาจหญิง



[13] เราติเตียนบุรุษผู้มีลูกศรเป็นอาวุธ ยิง
ปล่อยให้เต็มกำลัง เราติเตียนชนบทที่มีหญิงเป็นผู้นำ
อนึ่ง สัตว์เหล่าใด ตกอยู่ในอำนาจของหญิงทั้งหลาย
สัตว์เหล่านั้นบัณฑิตติเตียนแล้ว.

จบกัณฑินชาดกที่ 3

3. อรรถกถากัณฑินชาดก



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภการ
ประเล้าประโลมของภรรยาเก่า จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า
ธิรตฺถุ กณฺฑินํ สลฺลํ ดังนี้.
การประเล้าประโลมนั้น จักมีแจ้งในอินทรียชาดก อัฏฐกนิบาต. ก็พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระดำรัสนี้กะภิกษุนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ แม้ในกาลก่อน
เธออาศัยมาตุคามนี้ ถึงความสิ้นชีวิต ร้องเรียกอยู่ที่พื้นถ่านเพลิงอันปราศจาก
เปลว ภิกษุทั้งหลายทูลอ้อนวอนพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อทรงประกาศเรื่องนั้น
ให้แจ่มแจ้ง พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงกระทำเหตุอันระหว่างภพปกปิดให้
ปรากฏแล้ว. ก็เบื้องหน้าแต่นี้ไป เราจักไม่กล่าวถึงการที่ภิกษุทั้งหลายทูลอ้อน
วอน และความที่เหตุถูกระหว่างภพปกปิด จักกล่าวเฉพาะคำมีประมาณเท่านี้

ว่า อตีตํ อาหริ แปลว่า ทรงนำอดีตนิทานมาว่าดังนี้เท่านั้น. แม้เมื่อ
กล่าวคำมีประมาณเท่านี้ ก็พึงประกอบเหตุการณ์นี้ทั้งหมด คือ การทูลอาราธนา
การเปรียบเทียบเหมือนนำพระจันทร์ออกจากกลุ่มเมฆ และความที่เหตุถูก
ระหว่างภพปกปิดไว้ โดยนัยดังกล่าวไว้ในหนหลังนั่นแหละ แล้วพึงทราบไว้.
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้ามคธครองราชสมบัติอยู่ในพระนครราชคฤห์
แคว้นมคธ ในสมัยข้าวกล้าของชนชาวมคธ พวกเนื้อทั้งหลายมีอันตรายมาก
เนื้อเหล่านั้น จึงเข้าไปยังเนินเขา. เนื้อภูเขาที่อยู่ในป่าตัวหนึ่ง ทำความสนิท
สนมกับลูกเนื้อตัวเมียชาวบ้านตัวหนึ่ง ในเวลาที่พวกเนื้อเหล่านั้น ลงจากเชิงเขา
กลับมายังชายแดนบ้านอีก ได้ลงมากับเนื้อเหล่านั้นนั่นแหละ. เพราะมีจิต
ปฏิพัทธ์ในลูกเนื้อตัวเมียนั้น. ลำดับนั้น ลูกเนื้อตัวเมียนั้นจึงกล่าวกะเนื้อ
ภูเขานั้นว่า ข้าแต่เจ้า ท่านแลเป็นเนื้อภูเขาที่เขลา ก็ธรรมดาชายแดน
ของบ้าน น่าระแวง มีภัยเฉพาะหน้า ท่านอย่าลงมากับพวกเราเลย. เนื้อภูเขา
นั้น ไม่กลับเพราะมีจิตปฏิพัทธ์ต่อลูกเนื้อตัวเมียนั้น ได้มากับลูกเนื้อตัวเมียนั้น
นั่นแหละ. ชนชาวมคธรู้ว่า บัดนี้ เป็นเวลาที่พวกเนื้อลงจากเนินเขา จึงยืน
ในซุ้มอันมิดชิดใกล้หนทาง ในหนทางที่เนื้อทั้งสองแม้นั้นเดินมา มีพราน
คนหนึ่งยืนอยู่ในซุ้มอันมิดชิด. ลูกเนื้อตัวเมียได้กลิ่นมนุษย์ จึงคิดว่า จักมี
พรานคนหนึ่งยืนอยู่ จึงทำเนื้อเขลาตัวนั้น ให้อยู่ข้างหน้า ส่วนตนเองอยู่ข้าง
หลัง. นายพรานได้ท่าเนื้อตัวนั้นให้ล้มลงตรงนั้นนั่นเอง ด้วยการยิงด้วยลูกศร
ครั้งเดียวเท่านั้น. ลูกเนื้อตัวเมียรู้ว่าเนื้อนั้นถูกยิง จึงโดดหนีไปโดยการไป
ด้วยกำลังเร็วปานลม. นายพรานออกจากซุ้มชำแหละเนื้อก่อไฟ ปิ้งเนื้ออร่อย
บนถ่านไฟอันปราศจากเปลว เคี้ยวกินแล้วดื่มน้ำ หาบเนื้อที่เหลือไปด้วย
ไม้คานมีหยาดเลือดไหล ได้ไปยังเรือน ให้พวกเด็ก ๆ ยินดีแล้ว.

ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นเทวดาอยู่ในป่าชัฏแห่งนั้น พระ-
โพธิสัตว์นั้น เห็นเหตุการณ์นั้น จึงคิดว่า เนื้อโง่ตัวนี้ตาย เพราะอาศัยมารดา
เพราะอาศัยบิดาก็หาไม่ โดยที่แท้ตายเพราะอาศัยกาม จริงอยู่ เพราะกาม
เป็นนิมิตเหตุ สัตว์ทั้งหลายจึงถึงทุกข์นานัปการมีการตัดมือเป็นต้น ในสุคติ
และการจองจำ 5 ประการเป็นต้นในทุคติ ชื่อว่าการทำทุกข์คือความตายให้
เกิดขึ้นแก่ผู้อื่น ก็ถูกติเตียนในโลกนี้ แม้ชนบทใดมีสตรีเป็นผู้นำ จัดแจง
ปกครอง ก็ถูกติเตียน เหล่าสัตว์ผู้ตกอยู่ในอำนาจของมาตุคาม ก็ถูกติเตียน
เหมือนกัน แล้วแสดงเรื่องสำหรับติเตียน 3 ประการ ด้วยคาถา 1 คาถา
เมื่อเทวดาทั้งหลายในป่าไห้สาธุการแล้วบูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น
เมื่อจะยังไพรสณฑ์นั้น ให้บันลือขึ้นด้วยเสียงอันไพเราะ จึงแสดงธรรมด้วย
คาถานี้ว่า
เราติเตียนบุรุษผู้มีลูกศรเป็นอาวุธ ผู้ยิ่งไปเต็ม
กำลัง เราติเตียนชนบทที่มีหญิงเป็นผู้นำ อนึ่ง สัตว์
เหล่าใดตกอยู่ในอำนาจของหญิงทั้งหลาย สัตว์เหล่า
นั้น บัณฑิตก็ติเตียนแล้วเหมือนกัน.

ศัพท์ว่า ธิรตฺถุ ในคาถานั้น เป็นศัพท์นิบาต ใช้ในความหมายว่า.
ติเตียน. ในที่นี้ ศัพท์ว่า ธิรัตถุ นี้นั้น พึงเห็นว่าใช้ในการติเตียน ด้วย
อำนาจความสะดุ้งและความหวาดเสียวจริงอยู่ พระโพธิสัตว์เป็นผู้ทั้งสะดุ้งและ
หวาดเสียว จึงกล่าวอย่างนั้น คนที่ชื่อว่า กัณฑี เพราะมีลูกศร. ซึ่งคนผู้
มีลูกศรนั้น. ก็ลูกศรนั้นเขาเรียกว่า สัลละ เพราะอรรถว่าเสียบเข้าไป
เพราะฉะนั้น ในคำว่า กณฺฑินํ สลฺลํ จึงมีความหมายว่า ผู้มีลูกศร
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าผู้มีสัลละเพราะมีลูกศร. ผู้มีลูกศรนั้น . ชื่อว่า คาฬทเวธี
ผู้ยิงไปเต็มแรง เพราะเมื่อจะให้การประหารอย่างแรงจึงยิงอย่างเต็มที่ โดย

กระทำให้มีปากแผลใหญ่ ผู้ยิงไปอย่างเต็มที่นั้น ในข้อนี้มีอธิบายดังนี้ว่า
เราติเตียนคนผู้ประกอบด้วยอาวุธมีประการต่าง ๆ ชื่อว่า สัสละ ลูกศร เพราะ
วิ่งไปตรง ๆ โดยมีสันฐานดังโบโกมุทเป็นผล ผู้ยิงไปอย่างเต็มแรง. บทว่า
ปริณายิกา ได้แก่ เป็นใหญ่ คือ เป็นผู้จัดแจง. บทว่า ธิกฺกิตา แปลว่า
ติเตียนแล้ว. คำที่เหลือในคาถานี้ง่ายทั้งนั้น.
ก็เบื้องหน้าแต่นี้ไป ข้าพเจ้าจักไม่กล่าวคำแม้มีประมาณเท่านี้ จัก
พรรณนาคำที่ไม่ง่ายนั้น ๆ เท่านั้น. พระโพธิสัตว์ครั้นแสดงเรื่องสำหรับติเตียน
3 ประการ ด้วยคาถาเดียวอย่างนี้แล้ว ทำป่าให้บันลือขึ้นแล้วแสดงธรรม
ด้วยการเยื้องกรายดังพระพุทธเจ้า.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประกาศ
สัจจะทั้งหลาย. ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้กระสันจะสึก ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล
พระศาสดาตรัสเรื่อง 2 เรื่อง สืบต่ออนุสนธิกันแล้ว ทรงประชุมชาดก ก็
เบื้องหน้าแต่นี้ไป ข้าพเจ้าจะไม่กล่าวคำว่า ตรัสเรื่องสองเรื่อง นี้ จะ
กล่าวเฉพาะคำมีประมาณเท่านี้ว่า ทรงสืบต่ออนุสนธิ. ก็คำนี้แม้จะไม่กล่าว
ไว้ ก็พึงประกอบถือเอาโดยนัยดังกล่าวไว้ในหนหลังนั่นแล. เนื้อภูเขาใน
ครั้งนั้น ได้เป็นภิกษุกระสันจะสึกในบัดนี้ ลูกเนื้อตัวเมียในครั้ง
นั้น ได้เป็นภรรยาเก่าในบัดนี้ ส่วนเทวดาผู้เห็นโทษในกามทั้งหลาย
ในครั้งนั้น ได้เป็นเราแล.

จบกัณฑินชาดกที่ 3

4. วาตมิคชาดก



ว่าด้วยอำนาจของรส



[14] ได้ยินว่า สิ่งอื่นที่จะเลวยิ่งไปกว่ารสทั้งหลาย
ไม่มี รสเป็นสภาพเลวแม้กว่าถิ่นที่อยู่ แน่กว่าความ
สนิทสนม นายสัญชัยอุยยานบาล นำเนื้อสมัน ซึ่งอาศัย
อยู่ในป่าชัฏมาสู่อำนาจของตนได้ด้วยรสทั้งหลาย.

จบวาตมิคชาดกที่ 4

4. อรรถกถาวาตมิคชาดก



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระ-
จูฬปิณฑปาติกตสสเถระ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า น กิรตฺถิ
เรเสหิ ปาปิโย
ดังนี้.
ได้ยินว่า เมื่อพระศาสดาทรงอาศัยพระนครราชคฤห์ ประทับอยู่ใน
พระวิหารเวฬุวัน.
วันหนึ่ง บุตรของตระกูลเศรษฐีผู้มีทรัพย์มาก ชื่อว่า ติสสกุมาร
ไปพระวิหารเวฬุวัน ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้วประสงค์จะบวช
จึงทูลขอบรรพชา แต่บิดามารดายังไม่อนุญาต จึงถูกปฏิเสธ ได้การทำ
การอดอาหาร 7 วัน แล้วให้บิดามารดาอนุญาต เหมือนดังพระรัฐบาลเถระ
ได้บวชในสำนักของพระศาสดาแล้ว. พระศาสดาครั้นทรงให้ติสสกุมารนั้นบวช