เมนู

อรรถกถาชาดก


เอกนิบาต


ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



1. อรรถกถาอปัณณวรรค



1. อปัณณกชาดก



พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อเสด็จเข้าไปอาศัยพระนครสาวัตถี ประทับอยู่
ในพระเชตวันมหาวิหาร ตรัสอปัณณธรรมเทศนานี้ก่อน. ถามว่า ก็เรื่อง
นี้เกิดขึ้นเพราะปรารภใคร ? ตอบว่า เพราะปรารภสาวกของเดียรถีย์สหาย
ของท่านเศรษฐี.
ความพิศดารมีว่า วันหนึ่ง ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ชักพาพวก
สาวกของอัญญเดียรถีย์ 500 คน ผู้เป็นสหายของตน ให้ถือระเบียบดอกไม้
ของหอม เครื่องลูบไล้เป็นอันมาก และน้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย และผ้าเครื่อง
ปกปิด ไปยังพระเชตวัน ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า บูชาด้วยของหอม
และดอกไม้เป็นต้น สละเภสัชและผ้าถวายแก่ภิกษุสงฆ์ แล้วนั่ง ณ ส่วนสุด
ข้างหนึ่ง โดยเว้นโทษของการนั่ง 6 ประการ สาวกของอัญญเดียรถีย์แม้เหล่า
นั้น ถวายบังคมพระตถาคตแล้ว แลดูพระพักตร์ของพระศาสดา อันงามสง่า
ดุจพระจันทร์ในวันเพ็ญ แลดูพระวรกายดุจกายพรหมอันประดับด้วยพระ
ลักษณะและพระอันพยัญชนะ แวดวงด้วยพระรัศมีด้านละวา แลดูพระพุทธ
รังสีอันหนาแน่นซึ่งเปล่งออกเป็นวง ๆ (ดุจพวงอุบะ) เป็นคู่ ๆ จึงนั่งใกล้ ๆ

ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี. ลำดับนั้น พระศาสดาได้ตรัสธรรมกถาอันไพเราะ
วิจิตรด้วยนัยต่าง ๆ ด้วยพระสุรเสียงประดุจเสียงพรหม น่าสดับฟัง ประกอบ
ด้วยองค์ 8 ประการ แก่สาวกของอัญญเดียรถีย์เหล่านั้น ปานประหนึ่งราชสีห์
หนุ่มบันลือสีหนาทบนพื้นมโนศิลา เหมือนเมฆฤดูฝนเลื่อนลั่นอยู่ เหมือน
ทำคงคาในอากาศให้หลั่งลงมา และเหมือนร้อยพวงแก้ว ฉะนั้น. สาวกของ
อัญญเดียรถีย์เหล่านั้นฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว มีจิตเลื่อมใส
ลุกขึ้นถวายบังคมพระทศพล ทำลายสรณะของอัญญเดียรถีย์แล้ว ได้ถึงพระ-
พุทธเจ้าเป็นสรณะ. จำเดิมแต่นั้น พวกอัญญเดียรถีย์เหล่านั้น มีมือถือของ
หอมและดอกไม้เป็นต้น ไปพระวิหาร ฟังธรรม ให้ทาน รักษาศีล กระทำ
อุโบสถกรรม พร้อมกับท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นนิตยกาล. ลำดับนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จจากกรุงสาวัตถีกลับไปกรุงราชคฤห์อีกแล. ในเวลา
ที่พระตถาคตเสด็จไปแล้ว สาวกอัญญเดียรถีย์เหล่านั้นก็ได้ทำลายสระนั้น เสีย
กลับ ไปถึงอัญญเดียรถีย์เป็นสรณะอีก ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นเค้ามูลเดิมของ
คนนั่นเอง ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยับยั้งอยู่ 7-8 เดือน ได้เสด็จกลับไป
ยังพระเขตวันเหมือนเดิมอีก. ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็พาสาวกอัญญเดียรถีย์
เหล่านั้นไปเฝ้าพระศาสดาแม้อีก บูชาพระศาสดาด้วยของหอมและดอกไม้เป็น
ต้น ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง. พวกสาวกอัญญเดียรถีย์แม้เหล่านั้น
ก็ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง. ลำดับนั้น ท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐีกราบทูลแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าถึงความที่พวกสาวกอัญญ-
เดียรถีย์เหล่านั้น เมื่อพระตถาคตเสด็จหลีกจาริกไปแล้ว ได้ทำลายสรณะที่รับ
ไว้ กลับไปถืออัญญเดียรถีย์เป็นสรณะ ดำรงอยู่ในฐานะเดิมอีก. พระผู้มีพระ
ภาคเจ้าทรงเผยมณฑลพระโอษฐ์ ประดุจเปิดผอบแก้วอันเต็มด้วยของหอมต่าง ๆ

อันมีกลิ่นหอมด้วยของหอมอันเป็นทิพย์ เพราะอานุภาพของวจีสุจริตที่ทรง
บำเพ็ญให้เป็นไปไม่ขาดสาย สิ้นโกฏิกปะนับไม่ถ้วน เมื่อจะทรงเปล่งพระสุร-
เสียงอันไพเราะ ตรัสถามว่า ได้ยินว่า พวกท่านผู้เป็นอุบาสก ทำลายสรณะ
3 เสียแล้วถึงอัญญเดียรถีย์เป็นสรณะ จริงหรือ ? ลำดับนั้น เมื่อพวกสาวก
อัญญเดียรถีย์เหล่านั้น ไม่อาจปกปิดไว้ได้พากันกราบทูลว่า จริง พระเจ้าข้า
พระศาสดาจึงตรัสว่า ดูก่อนอุบาสกทั้งหลาย ในโลกธาตุ เบื้องล่างจดอเวจี
มหานรก เบื้องบนจดภวัคคพรหม และตามขวางหาประมาณมิได้ ชื่อว่าบุคคล
เช่นกับพระพุทธเจ้าโดยพระคุณทั้งหลายมีศีลเป็นต้น ย่อมไม่มี บุคคลที่ยิ่งกว่า
จักมีมาแต่ไหน แล้วทรงประกาศคุณของพระรัตนตรัยที่ทรงประกาศไว้ด้วย
พระสูตรทั้งหลายมีอาทิอย่างนี้ว่า ภิกษุ ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายมีประมาณเพียงใด
ไม่มีเท้าก็ตาม มี 2 เท้าก็ตาม มี 4 เท้าก็ตาม มีเท้ามากก็ตาม ฯลฯ พระตถาคต
เรากล่าวว่าเป็นเลิศของสัตว์ทั้งหลาย มีประมาณเพียงนั้น. (และพระสูตรว่า)
ทรัพย์เครื่องปลื้มใจอย่างใดอย่างหนึ่ง ในโลกนี้หรือโลกอื่น ฯลฯ รัตนะอัน
นั้น เสมอด้วยพระตถาคตเจ้าไม่มีเลย. (และพระสูตรว่า) เมื่อบุคคลรู้จักธรรมอัน
เลิศ เลื่อมใสแล้วโดยความเป็นของเลิศ เลื่อมใสแล้วในพระพุทธเจ้าผู้เลิศ ฯลฯ
แล้วจึงตรัสว่า บุคคลจะเป็นอุบาสกหรืออุบาสิกาก็ตาม ผู้ถึงพระรัตนตรัยอัน
ประกอบด้วยอุดมคุณอย่างนี้ ชื่อว่าจะเป็นผู้บังเกิดในนรกเป็นต้น ย่อมไม่มี
อนึ่งพ้นจากการบังเกิดในอบายแล้ว ยังจะเกิด นั้นเทวโลกได้เสวยมหาสมบัติ
เพราะเหตุไร พวกท่านจึงพากันทำลายสรณะเห็นปานนี้ แล้วถึงอัญญเดียรถีย์
เป็นสรณะ กระทำกรรมอันไม่สมควรเลย.
ก็ในที่นี้ เพื่อจะแสดงถึงความที่บุคคลผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ
ด้วยอำนาจความหลุดพ้น และด้วยอำนาจเป็นรัตนะอันสูงสุด จะไม่มีการ
บังเกิดในอบายทั้งหลาย บัณฑิตพึงแสดงพระสูตรเหล่านี้ว่า

ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ได้ถึงพระพุทธเจ้าเป็น
สรณะ ชนเหล่านั้นจักไม่เข้าถึงอบายภูมิ ละร่างกาย
ของมนุษย์นี้ไปแล้ว จักยังกายเทพให้บริบูรณ์.

ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ได้ถึงพระธรรมเป็นสรณะ
ชนเหล่านั้น จักไม่เข้าถึงอบายภูมิ ละร่างกายของ
มนุษย์นี้ไปแล้ว จักยังกายเทพให้บริบูรณ์.

ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ได้ถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ
ชนเหล่านั้น จักไม่เข้าถึงอบายภูมิ ละร่างกายของ
มนุษย์นี้ไปแล้ว จักยังกายเทพให้บริบูรณ์.

มนุษย์ทั้งหลายเป็นอันมาก ถูกภัย คุก คาม แล้ว
ย่อมถึงภูเขาบ้าง ป่าบ้าง อารามและต้นไม้ที่เป็นเจดีย์
บ้าง ว่าเป็นสรณะ นั่นแลมิใช่สรณะอันเกษม นั่น
มิใช่สรณะอันอุดม เขาอาศัยสิ่งนั้น เป็นสรณะแล้ว
ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวง.

ส่วนผู้ใดถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระ-
สงฆ์ ว่าเป็นสรณะแล้ว เห็นอริยสัจ 4 ด้วยปัญญา
อันชอบ คือทุกข์ และตัณหาอันเป็นแดนเกิดขึ้นแห่ง
ทุกข์ (คือสมุทัย) และความก้าวล่วงทุกข์ (คือนิโรธ)
และมรรคมีองค์ 8 อันไปจากข้าศึก ไห้ถึงพระ-
นิพพานเป็นที่เข้าไประงับทุกข์ นี้แลเป็นสรณะอัน
เกษม นี้เป็นสรณะอันอุดม เขาอาศัยสิ่งนี้แล้ว ย่อม
พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้
ดังนี้แล.

ก็พระศาสดาทรงแสดงธรรมมีประมาณเท่านี้เท่านั้น แก่พวกสาวก
อัญญเดียรถีย์เหล่านั้น ยังไม่สิ้นเชิง. อีกอย่างหนึ่งแล ได้ทรงแสดงธรรม
โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า ดูก่อนอุบาสกทั้งหลาย ชื่อว่าพุทธานุสสติกัมมัฏฐาน
ธัมมานุสสติกัมมัฏฐาน สังฆานุสสิตกัมมัฏฐาน ย่อมให้โสดาปัตติมรรค ย่อมให้
โสดาปัตติผล ย่อมให้สกทาคามิมรรค ย่อมให้สกทาคามิผล ย่อมให้อนาคามิมรรค
ย่อมให้อนาคามิผล ย่อมให้อรหัตมรรค ย่อมให้อรหัตผล ครั้นทรงแสดงธรรม
แล้วจึงตรัสว่า พวกท่านทำลายสรณะชื่อเห็นปานนี้ การทำกรรมอันไม่สมควร
แล้ว อนึ่งพุทธานุสสติกัมมัฏฐานเป็นต้น อันเป็นทางให้ถึงโสดาปัตติมรรคเป็นต้น
นี้พึงแสดงโดยพระสูตรทั้งหลาย มีอาทิอย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมเอก
อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่าย เพื่อ
คลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบระงับ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้
เพื่อนิพพาน ธรรมเอกเป็นไฉน ? คือพุทธานุสสติ ดังนี้. ก็แหละ พระผู้-
มีพระภาคเจ้าครั้นทรงโอวาทอุบาสกทั้งหลาย โดยประการต่าง ๆ อย่างนี้แล้ว
ได้ตรัสว่า ดูก่อนอุบาสกทั้งหลาย แม้ในกาลก่อน มนุษย์ทั้งหลาย ถือเอา
สิ่งที่ไม่ใช่สรณะ ว่าเป็นสรณะ โดยการถือเอาด้วยการคาดคะเน โดยการถือ
เอาผิด ได้ตกเป็นภักษาหารของยักษ์ในทางกันดาร ซึ่งอมนุษย์หวงแหนแล้ว
ถึงความพินาศอย่างใหญ่หลวง ส่วนเหล่ามนุษย์ผู้ถือการยึดถือชอบธรรม ยึด
ถือความแน่นอน ยึดถือไม่ผิด ได้ถึงความสวัสดีในทางกันดารนั้นนั่นเอง
ครั้นตรัสแล้วได้ทรงนิ่งเสีย. ลำดับนั้นแล ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีลุกขึ้น
จากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า กล่าวชมเชยแล้ว ประคองอัญชลี
เหนือเศียรเกล้า กราบทูลอย่างนี้ว่า บัดนี้ การที่พวกอุบาสกเหล่านั้น ทำลาย
สรณะอันอุดมแล้ว ถือสรณะยึดถือเอาด้วยการคาดคะเน ยึดถือเอาอย่างผิด ๆ

ปรากฏแก่ข้าพระองค์ก่อน ส่วนในปางก่อนพวกมนุษย์ผู้ยึดถือด้วยการคาดคะเน
มีความพินาศ และพวกมนุษย์ผู้ยึดถือโดยชอบธรรม มีความสวัสดีในทาง
กันดารที่อมนุษย์หวงแหนยังลี้ลับสำหรับข้าพระองค์ ไม่ปรากฏแก่ข้าพระองค์
เลย ดังข้าพระองค์ขอโอกาส ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดทรงกระทำเหตุนี้
ให้ปรากฏ เหมือนยังพระจันทร์เต็มดวงให้เด่นขึ้นในอากาศฉะนั้น.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนคฤหบดี เราแลบำเพ็ญ
บารมี 10 ทัศในกาลหาปริมาณมิได้ ได้แทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณ ก็เพื่อ
จะคัดความสงสัยของชาวโลกนั่นแล ท่านจงเงี่ยโสตฟังโดยเคารพ เหมือน
บุคคลเอาถาดทองคำบรรจุเต็มด้วยน้ำมันเหลวแห่งราชสีห์ฉะนั้น แล้วทรงยัง
สติให้เกิดแก่เศรษฐี แล้วได้ทรงกระทำเหตุการณ์แม้อันระหว่างภพปกปิดไว้
ให้ปรากฏ ดุจทำลายกลุ่มหมอกนำพระจันทร์เพ็ญออกมาฉะนั้น.
ในอดีตกาล ได้มีพระราชาพระนามว่าพรหมทัตอยู่ในพระนครพาราณสี
แคว้นกาสิกรัฐ. ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในตระกูลพ่อค้าเกวียน ถึง
ความเจริญวัยโดยลำดับ ได้เที่ยวกระทำการค้าด้วยเกวียน 500 เล่ม. พระ-
โพธิสัตว์นั้น บางครั้งจากต้นแดนไปยังปลายแดน บางครั้งจากปลายแดน
ไปยังต้นแดน. ก็ในเมืองพาราณสีนั้น แหละมีบุตรพ่อค้าเกวียนอีกคนหนึ่ง. บุตร
พ่อค้าเกวียนคนนั้น เป็นคนเขลา ไม่เป็นคนมีปัญญา ไม่ฉลาด ในอุบาย.
ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์มาเอาสินค้ามีค่ามากจากเมืองพาราณสีบันทุกเต็ม
เกวียน 500 เล่ม ทำการเตรียมจะเดินทางแล้วพักอยู่. ฝ่ายบุตรพ่อค้าเกวียน
ผู้เขลานั้นก็บันทุกเต็มเกวียน 500 เล่ม อย่างนั้นเหมือนกัน แล้วทำการเตรียม
เดินทางพักอยู่. พระโพธิสัตว์คิดว่า ถ้าบุตรพ่อค้าเกวียนผู้เขลานี้จักไปพร้อม

กับเราทีเดียวไซร้ เมื่อเกวียนพันเล่มไปพร้อมกัน แม้ที่ก็จักไม่พอเดิน ฟืน
และน้ำเป็นต้น ของพวกมนุษย์ก็ดี หญ้าของพวกโคก็ดี จักหาได้ยาก บุตรพ่อ
ค้าเกวียนผู้เขลานี้หรือเรา ควรจะไปข้างหน้า. พระโพธิสัตว์นั้นจึงเรียกบุตรพ่อค้า
เกวียนนั้นมาบอกเนื้อความนั้นแล้วกล่าวว่า เราทั้งสองไม่อาจไปรวมกัน ท่าน
จักไปข้างหน้าหรือข้างหลัง. บุตรพ่อค้าเกวียนนั้นคิดว่า เมื่อเราไปข้างหน้าจะมี
อานิสงส์มาก เราจักไปโดยหนทางยังไม่แตกเลย. พวกโคจักได้เคี้ยวกินหญ้าที่ยัง
ไม่มีใครถูกต้อง พวกผู้คนจักมีผักอันเกื้อกูลแก่แกงซึ่งยังไม่ได้จับต้องน้ำจักใส
เราเมื่อไปตามชอบใจ จักตั้งราคาขายสินค้าได้. บุตรพ่อค้าเกวียนนั้นจึงกล่าว
ว่า สหายเราจักไปข้างหน้า. พระโพธิสัตว์ได้เห็นการไปข้างหลังว่ามีอานิสงส์มาก.
พระโพธิสัตว์นั้น ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า คนเหล่านั้นเมื่อไปข้างหน้า จักกระทำ
ที่อันขรุขระในหนทางให้สม่ำเสมอ เราจักเดินทางไปตามทางที่คนเหล่านั้นไป
แล้ว เมื่อโคพลิพัทธ์ (คือโคใช้งาน) ซึ่งไปข้างหน้ากินหญ้าแก่และแข็ง โค
ทั้งหลายของเราจักเคี้ยวกินหญ้าอร่อยซึ่งงอกขึ้นใหม่ ผักซึ่งใช้ทำแกงของพวก
มนุษย์ ซึ่งงอกขึ้นจากที่ที่ถูกเด็ดเอาไปจักเป็นของอร่อย ในที่ที่ไม่มีน้ำ คน
เหล่านั้นจักขุดบ่อทำให้น้ำเกิดขึ้น เราจักดื่มน้ำในบ่อที่คนเหล่านั้นขุดไว้ ชื่อว่า
การตั้งราคาสินค้า เป็นเช่นกับการปลงชีวิตมนุษย์ เราไปข้างหลังจักขายสินค้า
ตามราคาที่คนเหล่านี้ตั้งไว้. พระโพธิสัตว์นั้นเห็นอานิสงส์มีประมาณเท่านี้จึง
กล่าวว่า ดูก่อนสหาย ท่านจงไปข้างหน้าเถิด. บุตรพ่อค้าเกวียนผู้เขลารับคำ
แล้ว จึงเทียมเกวียนทั้งหลายเป็นการใหญ่ ออกไปล่วงพ้นถิ่นที่อยู่ของมนุษย์
ถึงปากทางกันดาร โดยลำดับ.
ชื่อว่ากันดารมี 5 อย่าง คือ กันดารเพราะโจร 1 กันดารเพราะสัตว์
ร้าย 1 กันดารเพราะขาดน้ำ 1 กันดารเพราะอมนุษย์ 1 กันดารเพราะอาหารน้อย
1. ในกันดาร 5 อย่างนั้นทางที่พวกโจรซุ่มอยู่ชื่อว่ากันดารเพราะโจรทางที่สีหะ

เป็นต้น ชุกชุม ชื่อว่ากันดารเพราะสัตว์ร้ายอาศัยอยู่. สถานที่ที่ไม่มีน้ำอาบหรือ
น้ำกิน ชื่อว่ากันดารเพราะขาดน้ำ. ทางที่อมนุษย์สิงอยู่ ชื่อว่ากันดารเพราะมี
อมนุษย์สิงอยู่. สถานที่ซึ่งเว้นจากของควรเคี้ยวอันเกิดแต่หัว เป็นต้น ชื่อว่า
กันดารเพราะอาหารน้อย ในกันดาร 5 อย่างนี้ กันดารนั้นหมายเอากันดาร
เพราะการขาดน้ำและกันดารเพราะมีอมนุษย์สิงอยู่. เพราะฉะนั้น บุตรพ่อค้า
เกวียนผู้เขลานั้นจึงตั้งตุ่มใหญ่ ๆ ไว้บนเกวียนทั้งหลาย บรรจุเติมด้วยน้ำ
เดินทางกันดาร 60 โยชน์.
ครั้นในเวลาที่บุตรพ่อค้าเกวียนผู้เขลานั้น ถึงท่ามกลางทางกันดาร ยักษ์
ผู้สิงอยู่ในทางกันดารคิดว่า เราจักให้พวกมนุษย์เหล่านี้ ทิ้งน้ำที่บันทุกมาเสีย
ทำให้กะปลกกะเปลี้ยแล้วกินมันทั้งหมด จึงนิรมิตยานน้อย น่ารื่นรมย์ เทียมด้วย
โคพลิพัทหนุ่มขาวปลอด ห้อมล้อมด้วยอมนุษย์ 12 คน ชุ่มด้วยน้ำและโคลน
ถืออาวุธพร้อมทั้งโล่เป็นต้น ประดับดอกอุบลและโกมุท มีผมเปียกและผ้า
เปียกนั่งมาบนยานน้อยนั้น ประหนึ่งคนเป็นใหญ่มีล้อยานเปื้อนเปือกตม เดิน
สวนทางมา.
ฝ่ายพวกอมนุษย์ผู้เป็นบริวารของยักษ์นั้น เดินไปมาข้างหน้าและข้าง
หลัง มีผมเปียกและผ้าเปียก ประดับดอกอุบลและดอกโกมุท ถือกำดอกปทุม
และดอกบุณฑริก เคี้ยวกินเหง้าบัว มีหยาดน้ำและโคลนหยด ได้พากันเดินไป.
ก็ธรรมดาว่าพ่อค้าเกวียนทั้งหลาย ในกาลใด ลมพัดมาข้างหน้า ในกาลนั้น
จะนั่งบนยานน้อยห้อมล้อมด้วยคนอุปัฏฐาก หลีกเลี่ยงฝุ่นในหนทางไปข้างหน้า
ในกาลใด ลมพัดมาข้างหลัง ในกาลนั้น ก็หลีกไปทางข้างหลังโดยนัยนั้นนั่นแล.
ก็ในกาลนั้น ได้มีลมพัดมาข้างหน้า เพราะฉะนั้น บุตรพ่อค้าเกวียนผู้เขลานั้น
จึงได้ไปข้างหน้า. ยักษ์นั้นเห็นบุตรพ่อค้าเกวียนนั้น กำลังมาอยู่ จึงให้ยานน้อย
ของตนหลีกลงจากทางได้ทำการปฏิสันถารกับบุตรพ่อค้าเกวียนนั้นว่า ท่าน
ทั้งหลายจะไปไหน. ฝ่ายบุตรพ่อค้าเกวียนก็ยังยานน้อยของตนหลีกลงจากทาง

ให้โอกาสเกวียนทั้งหลายไป แล้วยืน ณ ส่วนข้างหนึ่งกล่าวกะยักษ์ว่า ท่านผู้เจริญ
ฝ่ายพวกเรามาจากเมืองพาราณสี ส่วนท่านทั้งหลายประดับดอกอุบลและโกมุท
ถือดอกประทุมและบุณฑริกเป็นต้น เคี้ยวกินเหง้าบัว เปื้อนด้วยเปือกตม มีหยด
น้ำไหล พากันมา ในหนทางที่ท่านทั้งหลายมา ฝนตกหรือหนอ มีสระน้ำ
ดารดาษด้วยดอกอุบลเป็นต้นหรือ. ยักษ์ได้ฟังถ้อยคำของบุตรพ่อค้าเกวียนนั้น
แล้วจึงกล่าวว่า สหาย ท่านพูดอะไร ที่นั้น ราวป่าเขียวปรากฏอยู่ ตั้งแต่ที่นั้นไป.
ป่าทั้งสิ้นมีน้ำอยู่ทั่วไป ฝนตกเป็นประจำ แม้แต่ซอกเขาก็เต็ม (ด้วยน้ำ) ในที่
นั้น ๆ มีสระน้ำดารดาษด้วยดอกปทุม. เมื่อเกวียนทั้งหลายผ่านไปโดยลำดับ จึง
ถามว่า ท่านพาเกวียนเหล่านี้มา จะไปไหนกัน ? บุตรพ่อค้าเกวียนกล่าวว่า จะ
ไปยังชนบทชื่อโน้น . ยักษ์กล่าวว่า ในเกวียนเล่มนี้และเล่มนี้ มีสินค้าชื่ออะไร.
บุตรพ่อค้าเกวียนตอบว่า มีสินค้าชื่อโน้น และชื่อโน้น. ยักษ์กล่าวว่า เกวียนที่
มาข้างหลังเป็นเกวียนหนักมาก กำลังมาอยู่ ในเกวียนนั้น มีสินค้าอะไร. บุตร
พ่อค้าเกวียนกล่าวว่า ในเกวียนเล่มนี้มีน้ำ. ยักษ์กล่าวว่า ก่อนอื่นท่านทั้งหลาย
นำน้ำมาข้างหลังด้วย ได้การทำความเนิ่นช้าแล้ว ก็ตั้งแต่นี้ไป กิจด้วยน้ำย่อม
ไม่มี ข้างหน้ามีน้ำมาก ท่านทั้งหลายจงทุบตุ่ม เทน้ำทิ้งเสีย จงไปด้วยเกวียน
เบาเถิด. ก็แหละครั้นกล่าวอย่างนี้แล้วจึงพูดว่า ท่านทั้งหลายจงไปเถอะ ความ
ชักช้าจะมีแก่พวกเรา แล้วเดินไปหน่อยหนึ่ง ถึงที่ที่คนเหล่านั้นมองไม่เห็น
ก็ได้ไปยังนครยักษ์ของตนนั้นแล.
ฝ่ายพ่อค้าเกวียนผู้เขลานั้น เพราะความที่คนเป็นคนเขลาจึงเชื่อคำของ
ยักษ์นั้น จึงให้ทุบตุ่มทั้งหลายทั้งทั้งหมดไม่เหลือน้ำแม้สักฟายมือเดียว
แล้วขับเกวียนไป ข้างหน้าชื่อว่าน้ำแม้มีประมาณน้อย มิได้มี. มนุษย์ทั้งหลาย
เมื่อไม่ได้น้ำดื่มพากันลำบากแล้ว คนเหล่านั้นพากันไปจนพระอาทิตย์อัสดง
จึงปลดเกวียน พักเกวียนให้เป็นวงแล้วผูกโคที่ล้อเกวียน. น้ำไม่มีแก่พวกโค
หรือข้าวยาคูและภัตก็ไม่มีแก่พวกมนุษย์. ฝ่ายพวกมนุษย์มีกำลังเปลี้ยลง ไม่

ใส่ใจพากันนอนหลับไปในที่นั้น ๆ. ในลำดับอันเป็นส่วนราตรี ยักษ์ทั้งหลายมา
จากนครยักษ์ ยังโคและมนุษย์ทั้งหมดนั้นแลให้ถึงแก่ความตาย แล้วกินเนื้อ
ของโคและมนุษย์เหล่านั้น ไม่ไห้เหลือแม้แต่กระดูก แล้วจึงพากันไป. ชน
เหล่านั้น แม้ทั้งหมดถึงความพินาศ เพราะอาศัยบุตรพ่อค้าเกวียนผู้โง่เขลาคน
เดียว ด้วยประการอย่างนี้ กระดูกมือเป็นต้นได้กระจัดกระจายไปในทิศน้อยทิศ
ใหญ่ เกวียน 500 เล่มได้ตั้งอยู่ตามที่บรรทุกไว้เต็มอย่างเดิมแล.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์แล จำเดิมแต่วันที่บุตรพ่อค้าเกวียนโง่ออกไปแล้ว
ก็ยับยั้งอยู่ประมาณกึงเดือน จึงพากันออกจากพระนครพร้อมกับเกวียน 500
เล่ม ถึงปากทางกันดารโดยลำดับ. พระโพธิสัตว์นั้นจึงยังตุ่มน้ำให้เต็ม ณ ปาก
ทางกันดารนั้น พาเอาน้ำเป็นอันมากไปให้เทียวตีกลองป่าวร้องภายในกองค่าย
ให้พวกชนประชุมกันแล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย พวกท่านยังไม่
ขออนุญาตข้าพเจ้า อย่าได้เทน้ำ แม้สักเท่าซองมือหนึ่ง ชื่อว่าต้นไม้มีพิษ
ย่อมมีในทางกันดาร ใบไม้ดอกไม้หรือผลไม้ ท่านทั้งหลายไม่เคยกินในกาล
ก่อนมีอยู่ พวกท่านยังไม่ได้ไต่ถามแม้ข้าพเจ้าก็อย่าได้เคี้ยวกิน ครั้นให้โอวาท
แม้แก่คนทั้งหลายอย่างนี้แล้วจึงเดินทางกันดารด้วยเกวียน 500 เล่ม.
เมื่อพระโพธิสัตว์ถึงท่ามกลางทางกันดาร ยักษ์นั้นได้แสดงตนใน
หนทางสวนกันแก่พระโพธิสัตว์ โดยนัยก่อนนั่นแหละ พระโพธิสัตว์พอเห็น
ยักษ์นั้นเท่านั้น ได้รู้ว่าในทางกันดารนี้แหละ ไม่มีน้ำ นี้ชื่อว่ากันดารเพราะ
ไม่มีน้ำ อนึ่ง ผู้นี้ไม่มีท่าทีเกรงกลัว มีนัยน์ตาแดง แม้เงาของเขาก็ไม่ปรากฏ.
บุตรพ่อค้าเกวียนผู้เขลาให้ทิ้งน้ำหมดพากันลำบาก พร้อมทั้งบริษัทจักถูกยักษ์
นี้กินเสียแล้วโดยไม่ต้องสงสัย แต่ยักษ์นี้ เห็นจะไม่รู้ความที่เราเป็นบัณฑิต
และความที่เราเป็นผู้ฉลาดในอุบาย.
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์นั้น กล่าวกะยักษ์นั้นว่า พวกท่านจงไปเถิด
พวกเราชื่อว่าเป็นพ่อค้า ยังไม่เห็นน้ำอื่นจะไม่ทิ้งน้ำที่บรรทุกเอามา แต่เรา

ทั้งหลายจะทิ้งในที่ที่ได้เห็นแล้ว ทำเกวียนทั้งหลายให้เบาแล้วจักไป. ฝ่ายยักษ์
ไปได้หน่อยหนึ่ง เข้าถึงที่ที่มองไม่เห็น แล้วไปนครยักษ์ของตนทีเดียว. เมื่อ
ยักษ์ไปแล้ว คนทั้งปวงจึงเข้าไปหาพระโพธิสัตว์แล้วกล่าวว่า ข้าแต่เจ้านาย
คนเหล่านั้นกล่าวว่า นั่นแนวป่าเขียวปรากฏอยู่ จำเดิมแต่ที่นั้นไป ฝนจักตกเป็น
นิตย์ เป็นผู้สวมมาลัยดอกอุบลและโกมุท ถือกำดอกปทุมและบุณฑริก
เคี้ยวกินเหง้าบัว มีผ้าเปียก และมีผมเปียก มีหยาดน้ำและโคลนไหลหยดมา
พวกเราจักทิ้งน้ำ มีเกวียนเบาจะไปได้เร็ว. ฝ่ายพระโพธิสัตว์ได้ฟังคำของคน
เหล่านั้นแล้วจึงให้พักเกวียน ให้คนทั้งหมดประชุมกันแล้วถามว่า พวกท่าน
เคยได้ฟังมาจากใคร ๆ หรือว่า ในที่กันดารนี้ มีสระน้ำหรือสระโบกขรณี.
คนทั้งหลายกล่าวว่า ข้าแต่เจ้านาย ไม่เคยได้ยิน พระโพธิสัตว์กล่าวว่า นี้
ชื่อว่ากันดารเพราะน้ำไม่มี. บัดนี้ คนพวกหนึ่งพูดว่า เบื้องหน้าแต่แนวป่า
เขียวนั้น ฝนตก ธรรมดาว่าลมฝนจะพัดไปถึงที่มีประมาณเท่าไร ? คน
ทั้งหลายกล่าวว่า พัดไปได้ประมาณ 3 โยชน์ ขอรับ เจ้านาย. พระโพธิสัตว์
ถามว่า ลมกับฝนกระทบร่างกายของบุคคลแม้คนหนึ่ง บรรดาพวกท่าน มี
อยู่หรือ ? คนทั้งหลายกล่าวว่า ไม่มีขอรับ. พระโพธิสัตว์ถามว่า ธรรมดา
ก้อนเมฆย่อมปรากฏในที่มีประมาณเท่าไร ? คนทั้งหลายกล่าวว่า ในที่ประมาณ
3 โยชน์ ขอรับ. พระโพธิสัตว์ถามว่า ก็บรรดาท่านทั้งหลาย ใคร ๆ เห็น
ก้อนเมฆก้อนหนึ่ง มีอยู่หรือ ? คนทั้งหลายกล่าวว่า ไม่มีขอรับ.
พระโพธิสัตว์. ธรรมดาสายฟ้าปรากฏในที่มีประมาณเท่าไร ?
คนทั้งหลาย. ในที่ประมาณ 4-5 โยชน์ ขอรับ.
พระโพธิสัตว์. ก็บรรดาท่านทั้งหลาย ใคร ๆ ที่เห็นแสงสว่างของ
สายฟ้า มีอยู่หรือ ?
คนทั้งหลาย. ไม่มีขอรับ.

พระโพธิสัตว์. ธรรมดาเสียงเมฆจะได้ยินในที่มีประมาณเท่าไร ?
คนทั้งหลาย. ในที่ 1-2 โยชน์ ขอรับ.
พระโพธิสัตว์. ก็บรรดาท่านทั้งหลาย ใครๆ ที่ได้ยินเสียงเมฆ มีอยู่
หรือ ?
คนทั้งหลาย. ไม่มีขอรับ.
พระโพธิสัตว์. ท่านทั้งหลายรู้จักคนเหล่านั้นหรือ ?
คนทั้งหลาย. ไม่รู้จักขอรับ.
พระโพธิสัตว์กล่าวว่า คนเหล่านั้นไม่ใช่มนุษย์ คนเหล่านั้นเป็นยักษ์
พวกมันจักมาเพื่อยุให้พวกเราทิ้งน้ำ กระทำให้อ่อนกำลังแล้วจะเคี้ยวกิน บุตร
พ่อค้าเกวียนผู้เขลาซึ่งไปข้างหน้า ไม่ฉลาดในอุบายเขาคงจักถูกยักษ์เหล่านี้ ให้
ทิ้งน้ำ ลำบากแล้วเคี้ยวกินเสียเป็นแน่ เกวียน 500 เล่ม จักจอดอยู่ตามที่
บรรทุกไว้เต็มนั่นแหละ วันนี้ พวกเราจักเห็นเกวียนเหล่านั้น ท่านทั้งหลาย
อย่าได้ทิ้งน้ำแม้มาตรว่าฟายมือหนึ่ง จงรีบขับเกวียนไปเร็ว ๆ
พระโพธิสัตว์นั้นมาอยู่ เห็นเกวียน 500 เล่ม ตามที่บรรทุกไว้เต็มนั่น
แหละ และกระดูกคางเป็นต้น ของมนุษย์ทั้งหลายและของเหล่าใด กระจัดกระจาย
อยู่ในทิศน้อยทิศใหญ่ จึงให้ปลดเกวียน ให้ตั้งกองค่ายโดยเอาเกวียนวงรอบ ให้
คนและโคกินอาหารเย็น ต่อเวลายังวันให้โคทั้งหลายนอนตรงกลางคนทั้งหลาย
ตนเองพาเอาคนผู้มีกำลังแข็งแรง มือถือดาบ ตั้งการอารักขาตลอดราตรีทั้ง 3 ยาม
ยืนเท่านั้น (ไม่นอน) จนอรุณขึ้น. วันรุ่งขึ้น พระโพธิสัตว์ทำกิจทั้งปวงให้
เสร็จแต่เช้าตรู่. ให้โคทั้งหลายกินแล้วให้ทิ้งเกวียนที่ไม่แข็งแรงเสีย ให้ถือเอา
เกวียนที่แน่นหนา ให้ทิ้งสิ่งของที่มีราคาน้อยเสีย ให้ขนสิ่งของที่มีค่ามากขึ้น
ไปยังที่ตามที่ปรารถนา ๆ ขายสิ่งของด้วยมูลค่า 2 เท่า 3 เท่า ได้พาบริษัท
ทั้งหมดไปยังนครของตน ๆ นั่นแลอีก.

พระศาสดาครั้นตรัสธรรมกถานี้แล้วตรัสว่า ดูก่อนคฤหบดี ในกาล
ก่อน คนผู้มีปกติยึดถือโดยการคาดคะเน ถึงความพินาศใหญ่หลวงด้วย
ประการอย่างนี้ ส่วนคนผู้มีปรกติยึดถือคามความจริง พ้นจากเงื้อมมือของ
พวกอมนุษย์ ไปถึงที่ที่ปรารถนา ๆ โดยสวัสดี แล้วกลับมาเฉพาะยังที่อยู่ของ
ตนแม้อีก เมื่อจะทรงสืบต่อเรื่องแม้ทั้งสองเรื่อง ทรงเป็นผู้ตรัสรู้ยิ่งเองใน
อปัณณกธรรมเทศนานี้ จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
คนพวกหนึ่งกล่าวฐานะไม่ผิด นักเดาทั้งหลาย
กล่าวฐานะนั้น ว่าเป็นที่สอง คนมีปัญญารู้ฐานะและ
มิใช่ฐานะนั้นแล้วควรถือเอาฐานะที่ไม่ผิดไว้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปณฺณกํ ได้แก่ เป็นไปอย่างแน่นอน
คือ ไม่ผิด เป็นเครื่องนำออกจากทุกข์. บทว่า ฐานํ ได้แก่ เหตุ. จริงอยู่
ในเหตุ เพราะเหตุที่ผลชื่อว่าย่อมตั้งอยู่ เพราะมีความเป็นไปต่อเนื่องกับเหตุนั้น
ฉะนั้น ท่านจึงเรียกเหตุนั้นว่าฐานะ และพึงทราบประโยคของบทว่า ฐานํ
นั้นในประโยคมีอาทิว่า ฐานญฺจ ฐานโต อฐานญฺจ อฐานโต ฐานะโดย
ฐานะ และมิใช่ฐานะ.โดยมิใช่ฐานะ. ดังนั้น แม้ด้วยบททั้งสองว่า อปณฺณ-
กฏฺฐานํ
ท่านแสดงว่า เหตุใดนำมาซึ่งความสุขโดยส่วนเดียว เหตุนั้น
บัณฑิตทั้งหลายปฏิบัติแล้ว เหตุอันเป็นไปอย่างแน่นอน เหตุอันงาม ชื่อว่า
อปัณณกะไม่ผิด นี้เป็นเหตุอันไม่ผิด เป็นเหตุเครื่องนำออกจากทุกข์ ความ
ย่อในที่นี้ เพียงเท่านี้. แต่เมื่อว่าโดยประเภท สรณคมน์ 3 ศีล 5 ศีล 8
ศีล 10 ปาฏิโมกขสังวร อินทรีย์สังวร อาชีวปาริสุทธิศีล ปัจจยปฏิเสวนะ
การเสพปัจจัย จตุปาริสุทธิศีลแม้ทั้งหมด ความคุ้มครองทวารในอินทรีย์
ทั้งหลาย ความรู้ประมาณในโภชนะ ชาคริยานุโยค ฌาน วิปัสสนา อภิญญา
สมาบัติ อริยมรรค อริยผล แม้ทั้งหมดนี้ เป็นฐานะอันไม่ผิด อธิบายว่า
ข้อปฏิบัติไม่ผิด ข้อปฏิบัติอันเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์.

ก็แหละ เพราะเหตุที่ฐานะอันไม่ผิดนี้ เป็นชื่อของข้อปฏิบัติเครื่อง
นำออกจากทุกข์ เพราะฉะนั้นแหละ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงข้อ
ปฏิบัติอันไม่ผิดนั้น จึงตรัสพระสูตรนี้ว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 3 ประการ เป็นผู้
ปฏิบัติข้อปฏิบัติอันไม่ผิด เป็นผู้มีความเพียร และเป็นผู้ปรารภความเพียรนั้น
เพื่อความสิ้นอาสวะทั้งหลาย 3 ประการเป็นไฉน ? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ
ในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้ประมาณใน
โภชนะ เป็นผู้ประกอบตามความเพียรเครื่องตื่นอยู่. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
อย่างไรเล่า ภิกษุเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยจักษุ ย่อมไม่ถือเอาโดยนิมิต ฯลฯ ดู
ก่อนภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์
ทั้งหลาย. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อย่างไรเล่า ภิกษุเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาโดยแยบคายแล้ว
บริโภคอาหาร มิใช่เพื่อเล่น มิใช่เพื่อมัวเมา มิใช่เพื่อประดับ มิใช่เพื่อตก-
แต่ง เพียงเพื่อให้กายนี้ดำรงอยู่ เพื่อให้ดำเนินไป เพื่องดเว้นการเบียดเบียน
เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์ ดังนั้น เราจะบำบัดเวทนาเก่า ไม่ให้เวทนาใหม่
เกิดขึ้น การยังชีวิตให้ดำเนินไป ความไม่มีโทษและการอยู่ผาสุก จักมีแก่เรา.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะ อย่างนี้และ ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ก็อย่างไรเล่า ภิกษุจึงจะเป็นผู้ประกอบเนือง ๆ ซึ่งความเพียรเครื่อง
ตื่นอยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ชำระจิตจากธรรมเครื่อง
กางกัน ด้วยการจงกรม ด้วยการนั่งตลอดวัน ชำระจิตจากธรรมเครื่องกาง
กั้น ด้วยการจงกรม ด้วยกาฟัง ตลอดปฐมยามแห่งราตรี สำเร็จสีหไสยา

โดยข้างเบื้องขวา เอาเท้าซ้อนเท้า มีสติสัมปชัญญะ ทำไว้ในใจถึงความ
สำคัญในการลุกขึ้น ตลอดมัชฌิมยามแห่งราตรีลุกขึ้นแล้ว ชำระจิตจากธรรม
เครื่องกางกั้น ด้วยการจงกรม ด้วยการนั่ง ตลอดปัจฉิมยามแห่งราตรี. ดู
ก่อนภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุจึงชื่อว่าเป็นผู้ประกอบเนือง ๆ ซึ่งความ
เพียรเป็นเครื่องตื่นอยู่" ดังนี้.
ก็ในพระสูตรนี้ตรัสธรรม 3 ประการ อปัณณกปฏิปทา คือข้อปฏิบัติ
ไม่ผิดนี้ ย่อมใช้ได้จนกระทั่งอรหัตผลทีเดียว. ในอปัณณกปฏิปทานนี้ แม้
อรหัตผลก็ย่อมชื่อว่าเป็นปฏิปทาแก่การอยู่ด้วยผลสมาบัติ และแก่ปรินิพพาน
ที่ไม่มีขันธ์ 5 เหลือ. บทว่า เอเก ได้แก่ คนผู้เป็นบัณฑิตพวกหนึ่ง. แม้ใน
บทว่า เอเก นั้น ไม่มีการกำหนดลงไปอย่างแน่นอนว่า คนชื่อโน้น ก็
จริง แต่ถึงกระนั้น คำว่า เอเก ที่แปลว่า พวกหนึ่งนี้ พึงทราบว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาเฉพาะพระโพธิสัตว์พร้อมทั้งบริษัท. บทว่า
ทุติยํ ที่สอง ในบทว่า ทุติยํ อาหุ ตกฺกิกา นักเดากล่าวว่าเป็นฐานะ
ที่สอง นี้ ได้แก่ เหตุแห่งการยึดถือเอาโดยการเดา คือเหตุอันไม่เป็นเครื่อง
นำออกจากทุกข์ ว่าเป็นที่สอง จากฐานะอันไม่ผิดที่หนึ่ง คือ จากเหตุอัน
เป็นเครื่องนำออกจากทุกข์.
ก็ในบทว่า อาหุ ตกฺกิกา นี้ มีการประกอบความกับบทแรก ดัง
ต่อไปนี้ :- คนที่เป็นบัณฑิตพวกหนึ่ง มีพระโพธิสัตว์เป็นประธาน ถือเอา
ฐานะที่ไม่ผิด คือ เหตุอันเป็นไปอย่างแน่นนอน ได้แก่เหตุอันไม่ผิด เหตุ
อันเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์ ส่วนนักคาดคะเน มีบุตรพ่อค้าเกวียนผู้เขลา
เป็นประธานนั้น กล่าวคือ ได้ถือเอาฐานะที่เป็นไปโดยไม่แน่นอน คือ เหตุ
ที่ผิด ได้แก่ เหตุอันไม่เป็นเครื่องนำออกจากทุกข์ ซึ่งมีโทษ ว่าเป็นที่สอง

บรรดาชนทั้งสองพวกนั้น ชนที่ถือฐานะอันไม่ผิดนั้น เป็นผู้ปฏิบัติปฏิปทาขาว
ส่วนชนที่ถือเหตุอัน ไม่เป็นเครื่องนำออกจากทุกข์ กล่าวคือการยึดถือโดยคาด
คะเนเอาว่า ข้างหน้ามีน้ำ ว่าเป็นที่สองนั้น เป็นผู้ปฏิบัติปฏิปทาคำ. ในปฏิปทา
สองอย่างนั้น ปฏิปทาขาว เป็นปฏิปทาไม่เสื่อม ส่วนปฏิปทาดำ เป็นปฏิปทา
เสื่อม เพราะฉะนั้น ชนผู้ปฏิบัติปฏิปทาขาว เป็นผู้ไม่เสื่อม ถึงแก่ความ
สวัสดี ส่วนชนผู้ปฏิบัติปฏิปทาดำ เป็นผู้เสื่อม ถึงแก่ความพินาศฉิบหาย.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่อนาถบิณฑิกคฤหบดี ถึงเนื้อความดังพรรณนามา
นี้แล้ว ตรัสพระดำรัสนี้ให้ยิ่งขึ้นว่า คนมีปัญญา รู้ฐานะ และมิใช่ฐานะนี้แล้ว
ควรถือเอาฐานะที่ไม่ผิดไว้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอตทญฺญาย เมธาวี ความว่า กุลบุตร
ผู้ประกอบด้วยปัญญาอันหมดจด สูงสุด ซึ่งได้นามว่า เมธา รู้คุณและโทษ
ความเจริญและความเสื่อม ประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ ฐานะและมิใช่ฐานะ
ในฐานะทั้งหลายกล่าวคือการยึดถือฐานะไม่ผิด และการยึดถือโดยการคาดคะเน
ทั้งสอง คือ ในฐานะที่ไม่ผิดและฐานะที่ผิด นี้.
บทว่า ตํ คณฺเห ยทปณฺณกํ ความว่า ควรถือเอาฐานะที่ไม่ผิด
คือที่เป็นไปโดยแน่นอน เป็นปฏิปทาขาว เป็นเหตุเครื่องนำออกจากทุกข์
กล่าวคือปฏิปทาอื่นไม่เสื่อมนั้นนั่นแหละไว้. เพราะเหตุไร ? เพราะภาวะมี
ความเป็นไปแน่นอนเป็นต้น . ส่วนนอกนี้ไม่ควรถือเอา. เพราะเหตุไร ? เพราะ
ภาวะมีความเป็นไปไม่แน่นอน. จริงอยู่ ชื่อว่าอปัณณกปฏิปทาน เป็นปฏิปทา
ของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระพุทธบุตรทั้งปวงแล. ก็พระพุทธ-
เจ้าทั้งปวง ตั้งอยู่เฉพาะในอปัณณกปฏิปทาบำเพ็ญบารมีทั้งหลายด้วยความเพียร
มั่น ชื่อว่าเป็นพระพุทธเจ้าที่ลานต้นโพธิ. แม้พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ยังปัจเจก-
โพธิญาณให้เกิดขึ้น แม้พุทธบุตรทั้งหลายก็ตรัสรู้เฉพาะสาวกบารมีญาณ.

พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ทรงประทานกุศลสมบัติทั้ง 3 กามาวจรสวรรค์
6 และสมบัติในพรหมโลก แก่อุบาสกเหล่านั้น ด้วยประการดังนี้ ในที่สุดทรง
แสดงอปัณณกปฏิปทานี้ว่า ชื่อว่าปฏิปทาที่ไม่ผิด ให้อรหัตผล. ชื่อว่าปฏิปทา
ที่ผิด ให้การบังเกิดในอบาย 4 และในตระกูลต่ำ 5 แล้วทรงประกาศอริยสัจ
4 โดยอาการ 16 ให้ยิ่งในรูป. ในเวลาจบอริยสัจ 8 อุบาสก 500 คน
แม้ทั้งหมดนั้น ดำรงอยู่แล้วในโสดาปัตติผล.
พระศาสดา ครั้นทรงแสดงพระธรรมเทศนานี้แล้ว ทรงแสดงเรื่อง
2 เรื่องสืบอนุสนธิกัน แล้วทรงประมวลชาดกมาแสดงทรงทำพระเทศนาให้จบ
ลงว่า บุตรพ่อค้าเกวียนผู้โง่เขลาในสมัยนั้น ได้เป็น พระเทวทัต ในบัดนี้
แม้บริษัทของบุตรพ่อค้าเกวียนโง่นั้นก็ได้เป็นบริษัทของเทวทัต ในบัดนี้
บริษัทของบุตรพ่อค้าเกวียนผู้เป็นบัณฑิต ในครั้งนั้น ได้เป็นพุทธบริษัทใน
บัดนี้ ส่วนบุตรของพ่อค้าเกวียนผู้เป็นบัณฑิตในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต.
จบอปัณณกชาดกที่ 1

2. วัณณุปถชาดก



ว่าด้วยผู้ไม่เกียจคร้าน



[2] ชนทั้งหลายผู้ไม่เกียจคร้าน ขุดภาคพื้นที่
ทางทราย ได้พบน้ำในทางทรายนั้น ณ ที่ลานกลางแจ้ง
ฉันใดมุนีผู้ประกอบด้วยความเพียรและกำลัง เป็นผู้
ไม่เกียจคร้าน พึงได้ความสงบใจ ฉันนั้น.

จบวัณณปุถชาดกที่ 2