เมนู

ถ้อยคำอันเป็นสุภาษิตของพระเถระผู้เป็นฤาษีแล้ว พากัน
วางศาสตราและอาวุธ บางพวกก็งดเว้นจากโจรกรรม บาง
พวกก็ขอบรรพชา โจรเหล่านั้นครั้นได้บรรพชาในศาสนา
ของพระสุคตแล้ว ได้เจริญโพชฌงค์และพลธรรม เป็น
บัณฑิต มีจิตเฟื่องฟู เบิกบาน มีอินทรีย์อันอบรมดีแล้ว
ได้บรรลุสันตบท คือนิพพานอันหาปัจจัยปรุงแต่งมิได้.

จบอธิมุตตเถรคาถา

อรรถกถากถาวิสตินิบาต


อรรถกถาอธิมุตตเถรคาถาที่ 1


ใน วีสตินิบาต คาถาของท่านพระอธิมุตตเถระ มีคำเริ่มต้นว่า
ยญฺญตฺถํ วา ธนตฺถํ วา ดังนี้. เรื่องนี้มีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็ได้บำเพ็ญบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าแต่ปาง
ก่อน สั่งสมบุญไว้ในภพนั้นๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าอัตถทัสส-
บังเกิดในตระกูลที่มั่งคั่งด้วยทรัพย์สมบัติ รู้เดียงสาแล้ว เมื่อพระศาสดา
ปรินิพพานไป ได้อุปัฏฐากภิกษุสงฆ์ ยังมหาทานให้เป็นไปแล้ว.
ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในท้องของน้องสาวท่านพระสังกิจจเถระ ได้
มีชื่อว่า อธิมุตตะ ท่านเจริญวัยแล้ว ได้บวชในสำนักของพระเถระผู้เป็น
ลุง บำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน ทั้งๆ ที่ดำรงอยู่ในภูมิของสามเณรก็ได้

บรรลุพระอรหัตแล้ว. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทานว่า1
เมื่อพระโลกนาถนามว่าอัตถทัสสี ผู้เป็นอุดมบุคคล
เสด็จนิพพานแล้ว เรามีจิตเลื่อมใส บำรุงภิกษุสงฆ์
เรานิมนต์ภิกษุสงฆ์ผู้ซื่อตรง มีจิตตั้งมั่น แล้วเอา
อ้อยมากระทำมณฑป นิมนต์ให้พระสงฆ์ผู้เป็นรัตนะ
อันสูงสุดฉันอ้อย เราเข้าถึงกำเนิดใด ๆ จะเป็นเทวดา
หรือมนุษย์ก็ตาม ในกำเนิดนั้น ๆ เราย่อมครอบงำสัตว์
ทั้งปวง นี้เป็นผลแห่งบุญกรรม. ในกัปที่ 118 เรา
ได้ให้ทานใดไว้กาลนั้น ด้วยผลแห่งทานนั้น เรา
ไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายอ้อย. คุณวิเศษ
เหล่านี้คือ ปฏิสัมภิทา 4 วิโมกข์ 8 และอภิญญา 6
เราได้ทำให้แจ้งแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว

ดังนี้.
ก็ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว ให้กาลเวลาล่วงไปด้วยความสุขใน
สมาบัติ มีความประสงค์จะอุปสมบท คิดว่าจะบอกลามารดา จึงไปหา
มารดา ในระหว่างทางได้พบโจร 500 คน ผู้เที่ยวหาเนื้อเพื่อจะทำพลี
กรรมแก่เทวดา. ฝ่ายพวกโจรได้จับตัวท่านด้วยหวังว่า จักทำเป็นพลีแก่
เทวดา. ท่านอธิมุตตะนั้น แม้จะถูกพวกโจรจับก็ไม่กลัว ไม่หวาดหวั่น
ได้มีสีหน้าผ่องใสยืนอยู่. หัวหน้าโจรเห็นดังนั้นเกิดอัศจรรย์จิตอย่างไม่เคย
เป็น เมื่อจะสรรเสริญ จึงได้กล่าวคาถา 2 คาถาว่า
เมื่อก่อน เราได้ฆ่าสัตว์เหล่าใดเพื่อบูชายัญ หรือเพื่อ

1. ขุ. อ. 32/ข้อ 38.

ปล้นทรัพย์ สัตว์เหล่านั้นหมดอำนาจ เกิดความกลัวตัว-
สั่นและพร่ำเพ้ออยู่ แต่ความกลัวมิได้มีแก่ท่านเลย ซ้ำ
ยังมีสีหน้าผ่องใสยิ่งนัก เมื่อภัยใหญ่เห็นปานนี้ปรากฏ
แล้ว เหตุไรท่านจึงไม่คร่ำครวญ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยญฺญตฺถํ ได้แก่ เพื่อบูชา หรือเพื่อ
กระทำพลีกรรมแก่เทวดาทั้งหลาย. วา ศัพท์ เป็นอรรถวิกัปปะ. กำหนด
หมายเอา.
บทว่า ธนตฺถํ แปลว่า เพื่อปล้นทรัพย์สมบัติ.
บทว่า เย หนาม มยํ ปุเร ความว่า เมื่อก่อนพวกเราได้ฆ่า
สัตว์เหล่าใด. จริงอยู่ บทว่า หนาม นี้ เป็นคำบอกปัจจุบันกาล ใช้ใน
อรรถเป็นอดีตกาล.
บทว่า อวเส ได้แก่ กระทำให้หมดอำนาจ คือไม่ให้เสรีภาพ.
บทว่า ตํ ได้แก่ เตสํ คือแก่สัตว์เหล่านั้น. บางอาจารย์กล่าวว่า อวเสสํ
หมดสิ้น ดังนี้ก็มี. (ความแห่งบาลีนั้นว่า) แก่สัตว์ทั้งหมดเว้นท่านไว้ผู้
หนึ่ง ในบรรดาสัตว์ที่พวกเราจับมา อีกอย่างหนึ่งบาลีก็อย่างนี้เหมือนกัน.
บทว่า ภยํ โหติ ความว่า ย่อมมีความกลัวแต่ความตาย อัน
เป็นเหตุให้สัตว์เหล่านั้นตัวสั่น บ่นเพ้อ คือตัวสั่นเพราะจิตสะดุ้งกลัว บ่น
เพ้อพูดคำมีอาทิว่า ข้าแต่นาย พวกฉันจักให้สิ่งนี้และสิ่งนี้แก่ท่านทั้งหลาย
พวกฉันจักยอมเป็นทาสของท่านทั้งหลาย.
บทว่า ตสฺส เต ความว่า แก่ท่านผู้ใด อันเราทั้งหลายประสงค์
จะปลงชีวิตเพื่อทำพลีกรรมแก่เทวดา เงื้อดาบคุกคามอยู่นั้น. บทว่า
ภีตตฺตํ แปลว่า ความเป็นคนกลัว อธิบายว่า ความกลัว.

บทว่า ภิยฺโย วณฺณ ปสีทติ ความว่า สีหน้าของท่านย่อม
ผ่องใสแม้ยิ่งกว่าสีตามปกติ.
ได้ยินว่า ในคราวนั้น พระเถระเกิดความปีติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง
ว่า ถ้าพวกโจรเหล่านั้นจักฆ่าเรา. เราก็จักปรินิพพานโดยหมดเธอในบัดนี้
แหละ ภาระคือทุกข์จักปราศจากไป.
บทว่า เอวรูโป มหพฺภเย ความว่า เมื่อปรากฏมรณภัยอันใหญ่
หลวงเช่นนี้, อีกอย่างหนึ่ง บทว่า เอวรูเป มหพฺภเย นี้เป็นสัตตมีวิภัตติ
ใช้ในอรรถว่า เหตุบัดนี้ พระเถระเมื่อจะแสดงธรรมโดยมุ่งให้คำตอบแก่
หัวหน้าโจร จึงได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ความว่า
ดูก่อนนายโจร ทุกข์ทางใจย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ห่วงใย
ในชีวิต ความกลัวทั้งปวงอันเราผู้สิ้นสังโยชน์ล่วงพ้นได้
แล้ว เมื่อตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพสิ้นไปแล้ว ความกลัว
ตายในปัจจุบัน มิได้มีด้วยประการใดประการหนึ่งเลย
ดุจบุรุษไม่กลัวความหนัก เพราะวางภาระแล้วฉะนั้น
พรหมจรรย์เราประพฤติดีแล้ว แม้ธรรมเราก็อบรมดีแล้ว
เราไม่มีความกลัวตาย เหมือนบุคคลไม่กลัวโรค เพราะ
โรคสิ้นไปแล้วฉะนั้น พรหมจรรย์เราประพฤติดีแล้ว แม้
มรรคเราก็อบรมดีแล้ว ภพทั้งหลายอันไม่น่ายินดีเราได้
เห็นแล้ว เหมือนคนดื่มยาพิษแล้วบ้วนทิ้งฉะนั้น บุคคล
ผู้ถึงฝั่งแห่งภพ ไม่มีความถือมั่น ทำกิจเสร็จแล้ว หมด
อาสวะ ย่อมยินดี เพราะเหตุความสิ้นอายุ เหมือน
บุคคลพ้นจากการถูกประหารฉะนั้น บุคคลผู้บรรลุธรรม

อันสูงสุดแล้ว ไม่มีความต้องการอะไรในโลกทั้งปวง ย่อม
ไม่เศร้าโศกในเวลาตาย ดุจบุคคลออกจากเรือนที่ถูกไฟ
ไหม้ฉะนั้น สิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งมีอยู่ในโลกนี้ก็ดี ภพที่สัตว์
ได้อยู่ในโลกนี้ก็ดี พระพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณใหญ่ได้
ตรัสไว้ว่า สิ่งทั้งหมดนี้ไม่เป็นอิสระ ผู้ใดรู้แจ้งธรรมข้อ
นั้น เหมือนดังที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ผู้นั้นย่อมไม่
ยึดถือภพไรๆ ดังบุคคลไม่จับก้อนเหล็กแดงอันร้อนโชน
ฉะนั้น. เราไม่มีความคิดว่าได้มีมาแล้ว จักมีต่อไป
สังขารทั้งหลายจักปราศจากไป จะคร่ำครวญไปทำไมใน
เพราะสังขารเหล่านั้นเล่า.

ดูก่อนนายโจร ความกลัวย่อมไม่มีแก่ผู้พิจารณาเห็น
ตามความเป็นจริง ซึ่งความเกิดขึ้นแห่งธรรมอันบริสุทธิ์
และความสืบต่อสังขารอันบริสุทธิ์. เมื่อใดบุคคลพิจารณา
เห็นโลกเสมอด้วยหญ้าและไม้ด้วยปัญญา เมื่อนั้นบุคคล
นั้นย่อมไม่ยึดถือว่าเป็นของเรา ย่อมไม่เศร้าโศกว่า ของ
เราไม่มี. เรารำคาญด้วยสรีระ เราไม่ต้องการภพ ร่าง-
กายนี้จักแตกไป และจักไม่มีร่างกายอื่น ถ้าท่านทั้ง
หลายจะทำกิจใดด้วยร่างกายของเรา ก็จงทำกิจนั้นเถิด.
ความขัดเคืองและความรักใคร่ในร่างกายนั้น จักไม่มีแก่
เรา เพราะเหตุที่ท่านทั้งหลายทำกิจตามปรารถนาด้วย
ร่างกายของเรานั้น.

พระสังคีติกาจารย์ได้กล่าวคาถานี้ไว้ว่า
โจรทั้งหลายได้ฟังคำนั้นของท่านอันน่าอัศจรรย์ ทำให้
ขนลุกชูชัน ดังนั้นแล้ว จึงพากันวางศัสตราวุธแล้วกล่าวคำนี้.

เบื้องหน้าแต่นี้ไป 3 คาถา เป็นคาถาถามพวกโจร และคาถาตอบ
ของพระเถระ พระสังคีติกาจารย์ทั้งหลายได้กล่าวเป็นคาถาไว้ดังนี้ว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ความไม่เศร้าโศกที่ท่านได้นี้
เพราะท่านได้ทำกรรมอะไรไว้ หรือใครเป็นอาจารย์ของ
ท่าน หรือเพราะอาศัยคำสั่งสอนของใคร.

พระศาสดาผู้เป็นสัพพัญญูรู้เห็นธรรมทั้งปวง ชนะ
หมู่มาร มีพระกรุณาใหญ่ ผู้รักษาพยาบาลชาวโลกทั้ง
ปวง เป็นอาจารย์ของเรา ธรรมเครื่องให้ถึงความสิ้น
อาสนะอันยอดเยี่ยมนี้ พระองค์ทรงแสดงไว้แล้ว ความ
ไม่เศร้าโศก เราได้เพราะอาศัยคำสั่งสอนของพระองค์.
พวกโจรฟังถ้อยคำอันเป็นสุภาษิตของพระเถระผู้เป็น
ฤาษีแล้ว พากันวางศัสตราและอาวุธ บางพวกงดเว้น
จากโจรกรรม บางพวกก็ขอบรรพชา โจรเหล่านั้นครั้น
ได้บรรพชาในศาสนาของพระสุคตแล้ว ได้เจริญโพช-
ฌงค์และพลธรรม เป็นบัณฑิต มีจิตเฟื่องฟู เบิกบาน มี
อินทรีย์อันอบรมดีแล้ว ได้บรรลุสันตบท คือพระนิพพาน
อันหาปัจจัยปรุงแต่งมิได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นตฺถิ เจตสิกํ ทุกฺขํ อนเปกฺขสฺส
คามณิ
ความว่า ดูก่อนนายโจร ทุกข์ทางใจคือความโทมนัส ดุจน้ำ

เหลืองมีโลหิตเป็นสภาวะ ย่อมไม่มีแก่คนเช่นเรา ชื่อว่าผู้ไม่มีความห่วง
ใย เพราะไม่มีความห่วงใยคือตัณหา, พระเถระกล่าวถึงความไม่มีความ
กลัว โดยอ้างถึงความไม่มีโทมนัส ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ความ
กลัวทั้งปวงเราล่วงพ้นได้แล้ว

บทว่า อติกฺกนฺตา ภยา สพฺเพ ความว่า มหาภัย 25 ประการ
และภัยอื่นแม้ทั้งหมด พระอรหันต์ผู้สิ้นสังโยชน์ก้าวล่วงแล้ว คือล่วงพ้น
แล้วเด็ดขาด อธิบายว่า ไปปราศแล้ว.
บทว่า ทิฏฺเฐ ธมฺเม ยถาตเถ ความว่า ธรรมคือสัจจะทั้ง 4
เราเห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญาอันสัมปยุตด้วยมรรค โดยการกำหนด
รู้การละ การทำให้แจ้ง และการอบรม.
บทว่า มรเณ ได้แก่ เพราะความตายเป็นเหตุ.
บทว่า ภารนิกฺเขปเน ยถา ความว่า บุรุษไรๆ ปลดเปลื้องภาระ
หนักมากที่เทินไว้บนศีรษะ ย่อมไม่กลัว เพราะปลงคือวางภาระนั้นเสีย
ฉันใด ข้ออุปไมยนี้ก็ฉันนั้น. สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
เบญจขันธ์เป็นภาระหนัก ก็บุคคลเป็นผู้นำภาระไป
การยึดถือเอาภาระไว้เป็นทุกข์ในโลก การปลงภาระเสีย
ได้เป็นสุข
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุจิณฺณํ ได้แก่ ประพฤติดีอีกแล้ว
บทว่า พฺรหฺมจริยํ ได้แก่ ศาสนพรหมจรรย์อันสงเคราะห์ในสิกขา 3.
เพราะเหตุนั้นแหละ แม้มรรคเราก็อบรมดีแล้ว คือ แม้อริยมรรคอัน
ประกอบด้วยองค์ 8 เราก็อบรมไว้โดยชอบทีเดียว.
บทว่า โรคานมิว สงฺขเย ความว่า คนเช่นเราย่อมไม่มีความ

กลัวตายอันเป็นที่สิ้นโรคคือขันธ์ เหมือนคนถูกโรคมากหลายครอบงำ
กระสับกระส่าย เมื่อโรคทั้งหลายหายไป ย่อมมีแต่ปีติและโสมนัสเท่านั้น.
บทว่า นิรสฺสาทา ภวา ทิฏฺฐา ความว่า เราเห็นภพทั้ง 3 ถูก
สามัญญลักษณะ 3 มีความเป็นทุกข์เป็นต้นครอบงำไว้ ถูกไฟ 1 กองติด
โชนแล้ว ไม่น่ายินดี คือหมดความชื่นใจ.
บทว่า วิสํ ปิตฺวาว ฉฑฺฑิตํ ความว่า เราย่อมไม่กลัวความตาย
เหมือนคนดื่มยาพิษด้วยความพลั้งเผลอแล้วทิ้งไป ด้วยประโยค (คือการ
กระทำ) เช่นนั้น.
บทว่า มุตฺโต อาฆาตนา ยถา ความว่า บุคคลถูกพวกโจรนำ
ไปยังที่ฆ่าเพื่อจะฆ่า รอดพ้นมาจากที่นั้นได้ด้วยอุบายบางอย่าง ย่อมร่า-
เริงยินดีฉันใด บุคคลผู้ชื่อว่าถึงฝั่ง เพราะได้พระนิพพานอันเป็นฝั่งแห่ง
สงสารก็ฉันนั้น เป็นผู้ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทานทั้ง 4 ชื่อว่าผู้การทำกิจเสร็จ
แล้ว เพราะทำกิจ 16 ประการมีปริญญากิจเป็นต้น เสร็จแล้ว ไม่มี
อาสวะด้วยกามาสวะเป็นต้น เพราะความสิ้นอายุ คือ เพราะเหตุสิ้นอายุ
จึงเป็นผู้ยินดี คือ เป็นผู้มีความโสมนัส.
บทว่า อุตฺตมํ แปลว่า ประเสริฐสุด. บทว่า ธมฺมตํ ได้แก่ สภาวะ
แห่งธรรม คือความเป็นผู้คงที่ในอิฏฐารมณ์เป็นต้น มีความสำเร็จเป็น
เหตุ ในเมื่อได้สำเร็จพระอรหัต.
บทว่า สพฺพโลเก ได้แก่ แม้ในโลกทั้งปวง คือในโลกแม้ที่
ประกอบไปด้วยความเป็นผู้มีอายุยืน และความเป็นผู้พร้อมมูลด้วยความสุข
เป็นต้น.
บทว่า อนตฺถิโก ได้แก่ เป็นผู้ไม่ห่วงใย.

บทว่า อาทิตฺตาว ฆรา มุตฺโต ความว่า บุคคลไร ๆ ออกจาก
เรือนที่ถูกไฟไหม้รอบด้าน กำลังลุกโชติช่วง จากนั้นย่อมไม่เศร้าโศก
เพราะออกไปได้ฉันใด ท่านผู้มีอาสวะสิ้นแล้วย่อมไม่เศร้าโศก เพราะ
การตายเป็นเหตุก็ฉันนั้น.
บทว่า ยทตฺถํ สงฺคตํ กิญฺจิ ความว่า ความเกี่ยวข้องอย่างใดอย่าง
หนึ่ง คือการสมาคมกัน การประชุมร่วมกันกับสัตว์หรือสังขารทั้งหลาย
มีอยู่ คือหาได้อยู่ในโลกนี้. บาลีว่า สงฺขตํ ดังนี้ก็มี, ความแห่งบาลีนั้น
ว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งอันปัจจัยอาศัยกันเกิดขึ้นสร้างไว้ คืออาศัยกันเกิดขึ้น
บทว่า ภโว วา ยตฺถ ลพฺภติ ความว่า ย่อมได้อุปบัติภพใด
ในหมู่สัตว์ใด.
บทว่า สพฺพํ อนิสฺสรํ เอตํ ความว่า สิ่งทั้งหมดนั้นเว้นจาก
ความเป็นอิสระ คือใคร ๆ ไม่อาจแผ่ความเป็นใหญ่ไปในโลกนี้ว่า จงเป็น
อย่างนั้น.
บทว่า อิติ วุตฺตํ มเหสินา ความว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้
แสวงหาคุณอันใหญ่ ตรัสไว้อย่างนี้ว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา.
เพราะฉะนั้น จึงมีวาจาประกอบความว่า ผู้รู้แจ้งว่า สิ่งนั้นไม่เป็นใหญ่
ดังนี้ จึงไม่เศร้าโศกเพราะความตาย.
บทว่า น คณฺหาติ ภวํ กิญฺจิ ความว่า พระอริยสาวกใด
รู้ชัดภพทั้ง 3 นั้น โดยประการที่พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ทรงแสดงไว้
โดยนัยมีอาทิว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง ดังนี้ ด้วยมรรคปัญญา
อันประกอบด้วยวิปัสสนาปัญญา พระอริยสาวกนั้นย่อมไม่ยึดถือภพไร ๆ จะ
เป็นภพน้อยหรือภพใหญ่ก็ตาม อธิบายว่า ไม่กระทำความอยากในภพนั้น

เหมือนบุรุษไร ๆ ผู้ต้องการความสุข ย่อมไม่เอามือจับก้อนเหล็กที่ร้อน
โชนอยู่ตลอดทั้งวันฉะนั้น.
บทว่า น เม โหติ อโหสึ ความว่า ความเป็นไปแห่งจิตของ
เราย่อมไม่มี ด้วยอำนาจความเห็นว่าเป็นตัวตนว่า ในอดีตกาลอันนาน เรา
ได้เป็นผู้เช่นนี้ ดังนี้ เพราะเราถอนทิฏฐิเสียหมดสิ้นแล้ว และเพราะเรา
เห็นสภาพแห่งธรรมได้ถ่องแท้แล้ว.
บทว่า ภวิสฺสนฺติ น โหติ เม ความว่า เพราะเหตุนั่นแล เรา
ย่อมไม่มีแม้ความคิดอย่างนี้ว่า ในอนาคตกาลอันนาน เราจักเป็น คือพึง
เป็นผู้เช่นนี้ คือเป็นอย่างไรหนอแล. บทว่า สงฺขารา วิคมิสฺสนฺติ ความ
ว่า แต่เรามีความคิดอย่างนี้ว่า สังขารทั้งหลายแลเป็นไปตามปัจจัย, อะไร
จะเป็นตนหรือสิ่งที่มีอยู่ในตนก็ตาม ย่อมไม่มีในสังขารนี้ และสังขาร
เหล่านั้นแลจักปราศจากไป คือพินาศไปได้ จักแตกไปทุก ๆ ขณะ.
บทว่า ตตฺถ กา ปริเทวนา ความว่า เมื่อเราเห็นอยู่อย่างนี้ ชื่อว่า
ความร่ำไรอะไรเล่าจักมีในสังขารนั้น.
บทว่า สุทฺธํ ได้แก่ ล้วนไม่เจือปนด้วยสาระในตน.
บทว่า ธมฺมสมุปฺปาทํ ได้แก่ การเกิดขึ้นแห่งปัจจัยและธรรมที่
อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น คือความดำเนินไปเพียงสักว่าธรรมมีสังขารเป็นต้น
เพราะปัจจัยมีอวิชชาเป็นต้น.
บทว่า สงฺขารสนฺตตึ ได้แก่ ความเกี่ยวเนื่องกันแห่งสังขารมี
ประเภทแห่งกิเลสกรรมและวิบาก.
บทว่า ปสฺสนฺตสฺส ยถาภูตํ ได้แก่ ผู้รู้ตามความเป็นจริง ด้วย
มรรคปัญญา พร้อมกับวิปัสสนาปัญญา.

บทว่า ติณกฏฺฐสมํ โลกํ ความว่า เมื่อใครๆ ถือเอาหญ้าและ
ไม้ที่เขาไม่หวงแหนในป่า คนอื่นย่อมไม่มีความคิดว่า ผู้นี้ถือเอาสิ่งของ
ของเราฉันใด บุคคลนั้นก็ฉันนั้น ในกาลใด ย่อมเห็นด้วยปัญญาซึ่ง
สังขารโลกอันเสมอด้วยหญ้าและไม้ เพราะความเป็นของไม่มีเจ้าของ ใน
กาลนั้น บุคคลนั้นเมื่อไม่รู้คือไม่ประสบ ไม่ได้คือไม่กระทำความเป็น
ของเราในสังขารโลกนั้น.
บทว่า นตฺถิ เม ความว่า ย่อมไม่เศร้าโศกว่า นั้นเป็นเราหนอ
สิ่งนั้นไม่มีแก่เรา.
บทว่า อุกฺกณฺฐามิ สรีเรน ความว่า เรารำคาญกายนี้อันไม่มีสาระ
บรรเทาได้ยากเป็นทุกข์อันรู้อะไรไม่ได้ มีสภาพไม่สะอาด มีกลิ่น
เหม็น น่าเกลียด และปฏิกูล คือเราเบื่อหน่ายกายนี้ดำรงอยู่อย่างนี้.
บทว่า ภเวนมฺหิ อนตฺถิโก ความว่า เราไม่ต้องการภพเเม้ทุก
อย่าง คือ เราไม่ปรารถนาภพไรๆ.
บทว่า โสยํ ภิชฺชิสฺสติ กาโย ความว่า บัดนี้ กายของเรานี้
จักแตกด้วยประโยค คือการกระทำของท่าน หรือจักแตกไปในที่อื่นโดย
ประการอื่น.
บทว่า อญฺโญ จ น ภวิสฺสติ ความว่า กายอื่นจักไม่มีแก่เรา
ต่อไป เพราะไม่มีภพใหม่.
บทว่า ยํ โว กิจฺจํ สรีเรน ความว่า ถ้าท่านทั้งหลายมีประ-
โยชน์ใดด้วยสรีระนี้ จงทำประโยชน์นั้นตามที่ท่านทั้งหลายปรารถนา. บท
ว่า น เม ตปฺปจฺจยา ความว่า มีสรีระนั้นเป็นนิมิต คือมีการกระทำ
กิจตามที่พวกท่านปรารถนาด้วยสรีระนี้เป็นเหตุ.

บทว่า ตตฺถ ได้แก่ ในโจรเหล่านั้น ทั้งผู้ที่กระทำและผู้ไม่ได้
กระทำ.
บทว่า โทโส เปมญฺจ เหหิติ อธิบายว่า ความขัดเคืองและ
ความยินดีโดยลำดับจักไม่มี เพราะเราละความอาลัยในภพของตนเสียโดย
ประการทั้งปวงแล้ว. แม้เมื่อไม่มีความขัดเคืองและความรักใคร่ในคนอื่น
เพราะมีคนอื่นเป็นเหตุ ก็เพราะพวกท่านทำกิจตามปรารถนาด้วยร่างกาย
ของเรานั้นเป็นเหตุ ท่านจึงกล่าวคำว่า ตตฺถ ในโจรเหล่านั้นด้วยอำนาจ
ตามที่ได้บรรลุ (ธรรม).
บทว่า ตสฺส ได้แก่ ของพระอธิมุตตเถระ.
บทว่า ตํ วจนํ ความว่า ได้ฟังคำมีอาทิว่า ทุกข์ทางใจย่อมไม่มี
อันแสดงถึงความไม่กลัวตาย ต่อแต่นั้นแหละ เป็นเหตุให้ขนลุกชูชันอัน
ไม่เคยเป็น.
บทว่า มาณวา ได้แก่ พวกโจร. จริงอยู่ พวกโจรเขาเรียกกันว่า
มาณวะ ดุจในประโยคมีอาทิว่า ไปกับพวกโจรผู้ที่โจรกรรม และที่ไม่
ได้ทำโจรกรรม.
บทว่า กึ ภทนฺเต กริตฺวาน ความว่า ท่านผู้เจริญ เพราะการทำ
กรรมคือตบะ ชื่อไร. พวกโจรได้กล่าวความนั่น คือกล่าวด้วยการถาม
ว่า หรือใครเป็นอาจารย์ของท่าน หรือเพราะอาศัยคำสั่งสอนคือโอวาท
ของใคร ท่านจึงได้ความไม่เศร้าโศกนี้ คือไม่มีความเศร้าโศกในเวลา
จะตาย.
พระเถระได้ฟังดังนั้น เมื่อจะตอบคำถามของพวกโจรนั้น จึงได้
กล่าวคำมีอาทิว่า สพฺพพฺญู ผู้ทรงรู้ทุกอย่าง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สพฺพญฺญู ความว่า ชื่อว่า พระ-
สัพพัญญู เพราะทรงรู้สิ่งทั้งปวง อันต่างด้วยเรื่องอดีตเป็นต้น เพราะ
ทรงบรรลุอนาวรณญาณอันเป็นไป แนบเนื่องด้วยความจำนงหวัง (คือ
เมื่อทรงต้องการก็ใช้ได้ทันที) สามารถตรัสรู้ธรรมทั้งปวง โดยประการ
ทั้งปวง โดยไม่ต้องอ้างถึงผู้อื่น. ด้วยเหตุนั้นนั่นแหละ จึงทรงชื่อว่าเห็น
ธรรมทั้งปวง เพราะทรงเห็นธรรมทั้งปวงด้วยสมันตจักษุ. พระสัพพัญ-
ญุตญาณก็คือพระอนาวรณาณของเราตถาคตนั้นนั่นเอง, ย่อมไม่ผิดจาก
บาลีที่ว่าด้วยอสาธารณญาณ เพราะพระญาณเดียวนั่นแหล่ะตรัสไว้ 2
ประการ เพื่อจะทรงแสดงว่าเป็นพระญาณที่ไม่ทั่วไปกับพระสาวกอื่นๆ
โดยมุ่งถึงอารมณ์ที่เกิดขึ้น. ก็คำใดที่ควรกล่าวในที่นี้ คำนั้นได้กล่าวไว้
พิสดารแล้วในอรรถกถาอิติวุตตกะ เพราะเหตุนั้น พึงทราบความนัยที่
กล่าวไว้ในอรรถกถาอิติวุตตกะนั้นเถิด. มีวาจาประกอบความว่า พระ-
สัมมาสัมพุทธเจ้า ชื่อว่าพระชินะเพราะทรงชนะมารทั้ง 5 ชื่อว่าทรง
ประกอบด้วยมหากรุณา เพราะทรงประกอบด้วยพระกรุณาอันใหญ่หลวง
ที่ทรงน้อมให้เป็นไปในสัตว์ทุกหมู่เหล่า ที่ต่างกันโดยจำแนกว่าเป็นผู้ต่ำ
ทรามเป็นต้น ชื่อว่า พระศาสดา เพราะทรงพร่ำสอนเวไนยสัตว์ตาม
สมควรด้วยทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ สัมปรายิกกัตถประโยชน์ และปรมัตถ-
ประโยชน์ แต่นั้นแหละชื่อว่ารักษาพยาบาลสัตวโลกทั้งปวง เพราะทรง
เยียวยาโรค คือกิเลสของสัตวโลกทั้งมวล พระองค์เป็นอาจารย์ของเรา.
บทว่า ขยคามี แปลว่า เป็นเครื่องดำเนินไปสู่พระนิพพาน.
เมื่อพระเถระประกาศคุณของพระศาสดาและของพระศาสนาอย่างนี้
แล้ว โจรบางพวกกลับได้ศรัทธาบวช บางพวกประกาศความเป็นอุบาสก

พระธรรมสังคาหกาจารย์เมื่อจะแสดงความนั้น จึงได้กล่าวคาถา 2 คาถา
โดยนัยมีอาทิว่า สุตฺวาน โอรา ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิสิโน ได้แก่ พระอธิมุตตเถระ
ชื่อว่าฤาษี เพราะอรรถว่า แสวงหาคุณมีอธิศีลสิกขาเป็นต้น. บทว่า
นิกฺขิปฺป แปลว่า ละแล้ว.
บทว่า สตฺถานิ อาวุธานิ จ ได้แก่ ศาสตรามีมีดเป็นต้น และ
อาวุธมีแล่งธนูเป็นต้น. บทว่า ตมฺหา จ กมฺมา ได้แก่ จากโจรกรรมนั้น.
บทว่า เต ปพฺพชิตฺวา สุคตสฺส สาสเน ความว่า โจรเหล่านั้น
เข้าถึงการบรรพชาในศาสนาของพระผู้มีพระภาคสุคตเจ้า ด้วยอาการมี
การดำเนินไปอันงามเป็นต้น. ชื่อว่ามีจิตเฟื่องฟู เพราะประกอบด้วยความ
ปีติอันมีความเฟื่องฟูเป็นลักษณะ ซึ่งได้บรรลุแล้วด้วยภาวนาพิเศษ.
บทว่า สุมนา แปลว่า ผู้ถึงความโสมนัส. บทว่า กตินฺทฺริยา
ได้แก่ ผู้มีอินทรีย์อันอบรมแล้ว. บทว่า ผุสึสุ ได้แก่ มรรลุพระนิพพาน
อันปัจจัยอะไร ๆ ปรุงแต่งไม่ได้ เพราะได้บรรลุพระอรหัตมรรค.
ได้ยินว่า ท่านอธิมุตตะกระทำพวกโจรให้หมดยศแล้ว พักพวก-
โจรเหล่านั้นไว้ในที่นั้นเอง (ส่วนตน) ไปหามารดา บอกลามารดาแล้ว
กลับมา พากันไปยังสำนักของพระอุปัชฌาย์ พร้อมกับโจรเหล่านั้นแล้ว
ให้บรรพชาอุปสมบท. ลำดับนั้น จึงบอกกรรมฐานแก่ท่านเหล่านั้น ไม่นาน
นัก ท่านเหล่านั้นก็ดำรงอยู่ในพระอรหัต. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
ครั้นได้บรรพชาแล้ว ...ฯ ลฯ...ได้บรรลุสันตบทอันหาปัจจัยปรุงแต่งมิได้.
จบอรรถกถาอธิมุตตเถรคาถาที่ 1

2. ปาราสริยเถรคาถา

1

ว่าด้วยไม่รักษาอินทรีย์จึงมีโทษ


[386] ความคิดได้มีแล้วแก่ภิกษุผู้ชื่อว่าปาราสริยะ ผู้เป็น
สมณะนั่งอยู่แล้วแต่ผู้เดียว มีจิตสงบสงัด เพ่งฌาน
บุรุษพึงทำอะไรโดยลำดับ พึงประพฤติวัตรอย่างไร ประ-
พฤติมารยาทอย่างไร จึงชื่อว่าเป็นผู้ทำกิจของตน และ
ชื่อว่าไม่เบียดเบียนใคร ๆ อินทรีย์ทั้งหลายย่อมมีเพื่อ
ประโยชน์และไม่ใช่ประโยชน์แก่มนุษย์ทั้งหลาย อินทรีย์
ที่ไม่รักษาย่อมไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ อินทรีย์ที่รักษา
ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ บุรุษผู้รักษาและคุ้มครอง
อินทรีย์นั่นแล จึงชื่อว่าเป็นผู้กระทำกิจของตน และ
ชื่อว่าไม่เบียดเบียนใคร ๆ. ถ้าผู้ใดไม่ห้ามจักขุนทรีย์อันไป
ในรูปทั้งหลาย เป็นผู้ยังไม่เห็นโทษ ผู้นั้นย่อมไม่พ้น
จากทุกข์ได้เลย อนึ่ง ผู้ใดไม่ห้ามโสตินทรีย์ อันเป็นไป
อยู่ในเสียงทั้งหลาย ยังไม่เห็นโทษ ผู้นั้นย่อมไม่พ้นจาก
ทุกข์ได้เลย. ถ้าผู้ใดไม่เห็นอุบายเครื่องสลัดออก ซ่อง-
เสพในกลิ่น ผู้นั้นเป็นผู้หมกมุ่นอยู่ในกลิ่น ย่อมไม่พ้น
จากทุกข์ ผู้ใดมัวแต่คำนึงถึงรสเปรี้ยว รสหวานและ
รสขม เป็นผู้กำหนัดยินดีด้วยตัณหาในรส ไม่รู้สึกถึง
ความคิดในใจ (อันเกิดขึ้นในขณะบรรพชาว่า จักทำที่สุด
ทุกข์) ผู้นั้นย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์ ผู้ใดมัวนึกถึงโผฏ-
ฐัพพะอันสวยงาม ไม่ปฏิกูล ยินดีแล้ว ผู้นั้นย่อมได้


1. ม. ปาราปริยเถรคาถา.