เมนู

9. อนุรุทธเถรคาถา


ว่าด้วยตรัสสรรเสริญผู้หมดอาสวะ


[393] พระอนุรุทธะละพระชนกชนนี ละพระประยูรญาติ
ละเบญจกามคุณได้แล้ว เพ่งฌานอยู่ บุคคลผู้เพียบพร้อม
ด้วยการฟ้อนรำขับร้อง มีดนตรีบรรเลงปลุกให้รื่นเริงใจ
อยู่ทุกค่ำเช้า ก็ไม่บรรลุถึงความบริสุทธิ์ด้วยการฟ้อนรำ
ขับร้องนั้นได้ เพราะยังเป็นผู้ยินดีในกามคุณอันเป็นวิสัย
แห่งมาร พระอนุรุทธะก้าวล่วงเบญจกามคุณนั้นเสียแล้ว
ยินดีในพระพุทธศาสนา ก้าวล่วงโอฆะทั้งปวงแล้ว เพ่ง
ฌานอยู่ พระอนุรุทธะได้ก้าวล่วงกามคุณเหล่านี้ คือ รูป
เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ อันน่ารื่นรมย์ใจแล้ว
เพ่งฌานอยู่ พระอนุรุทธะเป็นนักปราชญ์ หาอาสวะมิได้
ผู้เดียวไม่มีเพื่อน กลับจากบิณฑบาตแล้วเที่ยวแสวงหา
ผ้าบังสุกุลอยู่ พระอนุรุทธะเป็นนักปราชญ์มีปรีชา หา
อาสวะมิได้ เที่ยวเลือกหาเอาแต่ผ้าบังสุกุล ครั้นได้มา
แล้ว ก็มาซักย้อมเอาเองแล้วนุ่งห่ม บาปธรรมอันเศร้า
หมองเหล่านี้ ย่อมมีแก่ภิกษุผู้มักมาก ไม่สันโดษ ระคน
ด้วยหมู่ มีจิตฟุ้งซ่าน อนึ่ง ภิกษุใดเป็นผู้มีสติ มักน้อย
สันโดษ ไม่มีความขัดเคือง ยินดีในวิเวก ชอบสงัด
ปรารภความเพียรเป็นนิตย์ กุศลธรรมซึ่งเป็นฝ่ายให้
ตรัสรู้เหล่านี้ย่อมมีแก่ภิกษุนั้น ทั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ผู้ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ก็ตรัสสรรเสริญภิกษุนั้นว่า
เป็นผู้หมดอาสวะ พระศาสดาผู้ยอดเยี่ยมในโลก ทรง
ทราบความดำริของเราแล้ว เสด็จมาหาเรา ด้วยมโน-
มยิทธิทางกาย. เมื่อใด ความดำริได้มีแก่เรา เมื่อนั้น
พระพุทธเจ้าทรงทราบความดำริของเราแล้ว ได้เสด็จเข้า
มาหาเราด้วยพระฤทธิ์ แล้วทรงแสดงธรรมอันยิ่งแก่เรา
พระพุทธเจ้าผู้ทรงยินดีในธรรมเครื่องไม่เนิ่นช้า ได้ทรง
แสดงธรรมเครื่องไม่เนิ่นช้าแก่เรา เรารู้ทั่วถึงพระธรรม-
เทศนาของพระองค์แล้ว เป็นผู้ยินดีในพระศาสนา ปฏิบัติ
ตามคำพร่ำสอนอยู่ เราบรรลุวิชชา 3 โดยลำดับ ได้ทำ
ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเสร็จแล้ว เราถือการนั่ง
เป็นวัตรมาเป็นเวลา 55 ปี เรากำจัดความง่วงเหงาหาว
นอนมาแล้วเป็นเวลา 25 ปี ในเวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ภิกษุทั้งหลายถามเราว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้วหรือยัง เราได้ตอบว่า
ลมหายใจออกและหายใจเข้ามิได้มีแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ผู้มีพระหฤทัยตั้งมั่นคงที่ แต่พระองค์ยังไม่ปรินิพพาน
ก่อน พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีพระจักษุ ผู้ไม่มีตัณหาเป็น
เครื่องทำใจให้หวั่นไหว ทรงทำนิพพานให้เป็นอารมณ์
คือเสด็จออกจากจตุตถฌานแล้ว จึงจะเสด็จปรินิพพาน
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอดกลั้นเวทนา ด้วยพระหฤหัย

อันเบิกบาน ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นดวงประทีป
ของชาวโลกกับทั้งเทวโลก เสด็จดับขันธปรินิพพาน
ความพ้นพิเศษแห่งพระหฤทัยได้มีขึ้นแล้ว บัดนี้ธรรม
เหล่านี้อันมีสัมผัสเป็นที่ 5 ของพระมหามุนี ได้สิ้นสุด
ลงแล้ว ในเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน
แล้ว จิตและเจตสิกธรรมเหล่าอื่นจักไม่มีอีกต่อไป ดูก่อน
เทวดา บัดนี้ การอยู่อีกต่อไปด้วยอำนาจการอุบัติใน
เทพนิกาย ย่อมไม่มี ชาติสงสารสิ้นไปแล้ว บัดนี้การ
เกิดในภพใหม่มิได้มี ภิกษุใดรู้แจ้งมนุษยโลก เทวโลก
พร้อมทั้งพรหมโลก อันมีประเภทตั้งพัน ได้ในเวลา
ครู่เดียว ทั้งเป็นผู้เชี่ยวชาญในคุณ คืออิทธิฤทธิ์ และ
ในจุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย ภิกษุรูปนั้นย่อมเห็น
เทพเจ้าทั้งหลายได้ตามความประสงค์. เมื่อก่อนเรามี
นามว่าอันนภาระ เป็นคนยากจน เที่ยวรับจ้างหาเลี้ยงชีพ
ได้ถวายอาหารแด่พระอุปริฏฐปัจเจกพุทธเจ้าผู้เป็นสมณะ
เรืองยศ. เพราะบุญกรรมที่ได้ทำมาแล้ว เราจึงได้มาเกิด
ในศากยตระกูล พระประยูรญาติขนานนามให้เราว่า
อนุรุทธะ เป็นผู้เพียบพร้อมไปด้วยการฟ้อนรำและขับร้อง
มีเครื่องดนตรีบรรเลงปลุกให้รื่นเริงใจอยู่ทุกค่ำเช้า ต่อมา
เราได้เห็นพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ไม่มี
ภัยแต่ที่ไหนๆ ได้ยังจิตให้เลื่อมใสในพระองค์ท่านแล้ว

ออกบวชเป็นบรรพชิต เราระลึกถึงชาติก่อน ๆ ได้ เรา
ได้เคยเป็นท้าวสักกรินทร์เทวราชอยู่ในดาวดึงส์เทพพิภพ
มาแล้ว เราได้ปราบปรามไพรีพ่ายแพ้แล้ว ขึ้นผ่านสมบัติ
เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ จอมมนุษย์นิกรในชมพูทวีป มี
สมุทรสาครทั้ง 4 เป็นขอบเขต 7 ครั้ง ได้ปกครองปวง
ประชานิกรโดยธรรม ด้วยไม่ต้องใช้อาชญาหรือศาสตรา
ใด ๆ เราระลึกชาติหนหลังในคราวที่อยู่ในมนุษยโลกได้
ดังนี้คือเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ 7 ชาติ เป็นพระอินทร์
7 ชาติ รวมการท่องเที่ยวอยู่เป็น 14 ชาติด้วยกัน ใน
เมื่อสมาธิอันประกอบด้วยองค์ 5 เป็นธรรมอันเอกปรากฏ
ขึ้น ที่เราได้ความสงบระงับกิเลส ทิพยจักษุของเราจึง
บริสุทธิ์ เราดำรงอยู่ในฌานอันประกอบด้วยองค์ 5 ประ-
การ รู้จุติและอุปบัติ การมา การไป ความเป็นอย่างนี้และ
ความเป็นอย่างอื่น ของสัตว์ทั้งหลาย เรามีความคุ้นเคยกับ
พระบรมศาสดาเป็นอย่างดี เราได้ทำตามคำสั่งสอน
ของพระพุทธเจ้าเสร็จแล้ว ปลงภาระอันหนักลงได้แล้ว
ถอนตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพขึ้นได้แล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะ
จักนิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ภายใต้พุ่มกอไผ่
ใกล้บ้านเวฬุวคามแห่งแคว้นวัชชี.

จบอนุรุทธเถรคาถา

อรรถกถาอนุรุทธเถรคาถาที่ 9


คาถาของท่านพระอนุรุทธเถระ มีคำเริ่มต้นว่า ปหาย มาตาปิตโร
ดังนี้. เรื่องนี้มีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็ได้บำเพ็ญบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าแต่
ปางก่อน บังเกิดเป็นกุฎุมพี ผู้สมบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติ. ในกาลแห่ง
พระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมุตตระ วันหนึ่ง เขาไปวิหารฟังธรรมในสำนัก
ของพระศาสดา ได้เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่ง ไว้ใน
ตำแหน่งผู้เลิศแห่งภิกษุผู้มีจักษุทิพย์ แม้ตนเองก็ปรารถนาฐานันดรนั้น
จึงยังมหาทานให้เป็นไปตลอด 7 วัน แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีภิกษุ
บริวารแสนหนึ่ง ในวันที่ 7 ได้ถวายผ้าชั้นเลิศแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า และ
ภิกษุสงฆ์ แล้วกระทำปณิธานความปรารถนาไว้ ฝ่ายพระศาสดาทรง
ทราบว่าความปรารถนาของเขาจะสำเร็จโดยไม่มีอันตราย จึงทรงพยากรณ์
ว่า ในอนาคตกาล จักเป็นผู้เลิศแห่งภิกษุผู้มีจักษุทิพย์ในศาสนาของ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม. แม้เขาก็ทำบุญทั้งหลายในพระ-
ศาสดานั้น เมื่อพระศาสดาปรินิพพานแล้ว เมื่อพระเจดีย์ทองสูง 7 โยชน์
สำเร็จแล้ว ก็ทำการบูชาประทีปอย่างโอฬาร ด้วยต้นไม้ประดับประทีป
และตัวประทีปหลายพัน โดยอธิษฐานว่า ขอจงเป็นอุปนิสัยปัจจัยแก่
ทิพยจักษุญาณเถิด.
เขากระทำบุญทั้งหลายจนตลอดชีวิตด้วยประการอย่างนี้ แล้วท่อง-
เที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้ากัสสป
บังเกิดในเรือนกุฎุมพี ในเมืองพาราณสี ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว เมื่อ
พระศาสดาปรินิพพานแล้ว เมื่อสร้างพระเจดีย์ทองโยชน์หนึ่งสำเร็จแล้ว